เตรียมตัวให้พร้อม!มันกำลังมา แจ้งข่าวสารการชำระโลก

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย jityim, 23 เมษายน 2018.

  1. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,424
    ค่าพลัง:
    +3,200
    เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของประเทศไทย

    การกล่าวทักความโหราศาสตร์เรื่องหายนะใหญ่นี้มิไดมีแค่คนเดียว แต่มีโหราจารย์ชื่อดังในเมืองไทยอย่างน้อย 3-4 คน กล่าวเป็นเสียงเดียวกัน ทำนองเดียวกันเกี่ยวกับเรื่องนี้

    IMG_20240418_075616.jpg

    เสำคัญมาก...ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2567 เป็นต้นมา ได้เกิดสุริยุปราคา โลกได้เกิดภัยพิบัติตามมา ทั้งพายุพัดกระหน่ำประเทศอเมริกา รัสเซียน้ำท่วมหนักในรอบ 80 ปี เขื่อนแตก ผู้คนในรัสเซียนับแสนคนต้องประสบทุกข์ภัย และอีกหลายประเทศในตะวันออกกลาง

    เปิดดูไฟล์ 6365967

    และสงครามตะวันออกกลางมีสงคราม ที่อาจจะกลายเป็นการใช้อาวุธนิวเคลียร์สู้กัน แต่จะไม่ใช่สงครามโลกถึงกระนั้นพลังงานของโลก ต้องเสียสมดุลลดลงไปมาก จำได้ไหมคะเมื่อ2-3 โพสต์ก่อนที่ได้ลงไว้เกี่ยวกับ

    IMG_20240417_194820.jpg

    เป็นคำทำนายเมื่อ 600 ปีก่อนคริตกาล หลังจากนั้น8 เมษายน สงครามตะวันออกกลาง ก็ยกระดับสงครามขึ้นมาจริง ๆ ทั่วโลกกำลังจะรอดูการตัดสินใจอยู่ว่าจะรุนแรงและยืดเยื้อแค่ไหน แต่หลังวันที่ 8 เมษา ปรากฏว่าโลกของเรามีเหตุการณ์ตรงที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์สื่อกล่าวเตือนไว้พอดีคือ
    IMG_20240417_150726.jpg

    หากมวลมนุษย์โลกอยากรู้ว่าจะมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นที่ใดหมายถึงใต้มหาสมุทรด้วย(ก็รวมถึงการเกิดสึนามิด้วยเช่นกัน) ให้มนุษย์สังเกตุให้ดีหรือเฝ้าติดตามข่าวจากจอโทรทัศน์ได้ สิ่งที่บอกเหตุล่วงหน้าก่อนเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นก็คือ ต้องมีที่หนึ่งที่ใดบนโลกเกิดพายุในฟ้าคะนองรุนแรงคิดต่อกันอย่างน้อย 2-3 วัน หรือมีพายุหมุนก่อนเสมอ โดยทิ้งระยะห่างเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือนก็ได้ ทั้งนี้ไม่จำเป็นว่าพายุฝนฟ้าคะนองหรือพายุหมุนเกิดขึ้นนที่ใด จะต้องเกิดแผ่นไหวที่นั่นเสมอไป อาจเป็นคนละซึกโลกก็ได้

    นอกจากความเหมาะสมต่อการเกิดแผ่นดินไหวบริเวณที่อยู่ใกล้แนวปริร้าวของเปลือกโลก พื้นที่บริเวณส่วนที่บางกว่าของเปลือกโลกชั้นกลาง และบริเวณที่ใต้พื้นโลกที่มีการสะสมพลังงานสถิติปริมาณสูงๆล้วนเป็นบริเวณที่เกิดปรากฏการณ์แผ่นดินไหวได้ทั้งสิ้น

    ค่ะนั่นก็แสดงว่า ถ้าพลังงานของโลกเราลดลง โลกจะปรับสมดุลสร้างพลังงานทดแทนพลังงานที่เสียสมดุลไปด้วยเสมอ โอกาสที่โลกจะสี่ยงจึงเป็นไปได้มากตามคำสื่อเตือนและสอดคล้องกับคำทำนายก่อนคริสตกาล 600 ปี อย่างสอดคล้องกัน

    ประเทศไทยของเราจึงควรประมาทมิได้ ลองคิดดูนะคะเมื่อประมาณเดือนแล้วที่จังหวัดนนทบุรี หน้าวัดแห่งหนึ่ง ถนนทรุดลงมีพ่อลูกขับจักรยานยนต์อยู่บริเวณนั้น พอดีตามข่าวใต้พื้นถนนมีแต่น้ำ ถ้าสมมุติว่าแนวเปลือกโลกที่พาดผ่านประเทศไทย (ใกล้กรุงเทพ) ขยับสักนิด ประเทศไทยเราจะเป็นนเช่นไร อาจไม่ต้องถึงแผ่นดินไหวแค่น้ำท่วมเราลองคิดภาพดูก็ได้ค่ะ

    เปิดดูไฟล์ 6365990

    เราไม่ควรประมาทค่ะ หลายท่านอาจจะเลิกเชื่อไปแล้ว เพราะว่าไม่เห็นจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงกับประเทศไทยเลย ก็ไม่ดีหรือคะเมื่อเรารู้ว่าอะไรเป็นอะไรและร่วมแรงร่วมใจกันช่วยเหลือป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นนกับบ้านเมืองของเรา และความรุนแรงนี้ของภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นนั้น ขึ้นอยู่กับพลังงานที่สร้างขึ้นทดแทนพลังงานที่เสียสมดุลไป ถ้าสงครามไม่รุนแรงมาก ภัยพิบัติก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย แล้วแต่การตัดสินใจของมวลมนุษย์ ที่สิ่งศักดิ์ย้ำเตือนตลอดมา

    แม้กระทั่งประเทศไทย บ้านเมืองของเราก็ยังไม่แน่นอน มีคำทำนายว่า หลัง 21 เมษายน ดาวพฤหัสย้าย หลายวันก่อนบ้านเมืองจะดีขึ้นจนไปถึง พฤษภาคมปีหน้า ถ้าใครได้ติดตามข่าวเมื่ออาทิตย์ก่อน แต่วันนี้กลับเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว

    IMG_20240417_194352.jpg

    ถ้าเป็นจริงนั่นแสดงว่า ดวงดาวและอิทธิพลส่งผลต่อเหตุปัจจัยต่อกันและกัน จึงไม่มีอะไรแน่นอนล้วนขึ้นอยู่ตามเหตุและปัจจัยทั้งสิ้น



    ตั้งแต่นาทีที่ 2.30 นาทีเป็นต้นไป ที่พูดไว้เป็นสิ่งน่ากังวลใจที่สุด แต่แล้ว jityim ก็เปิดมาเจอคำพูดของโหรสนามพอดีถ้าช่วงนี้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของน้องไนซ์ คงไม่น่าเป็นเรื่องบังเอิญแน่ค่ะ

    เรื่องที่บานปลายอยู่ ณ.ขณะนี้ คือเรื่องเพศภาพกับการบวช

    IMG_20240417_194423.jpg
    IMG_20240417_194550.jpg


    น้องไนซ์ไม่ได้อ่านพระไตรปิฎกแต่นำหลักสัจจะธรรมมากล่าวถึง และตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสไว้

    ถ้าเราพิจารณาโดยหลักสัจจะธรรมกับคำสอนจากพระโอษฐ์ เรื่องสัจจะธรรมทั้งปวงที่ออกมาพระโอษฐล้วนมีเหตุแลผลในตัวเอง อย่างเช่น
    ทำไมต้องห้ามภิกษุตัดต้นไม้ และถ้าผู้หญิงที่บวชมีปริมาณมากกว่าผู้ชายบวชอายุพระศาสนาจะลดลง ล้วนแต่เป็นเหตุเป็นผลในตนเองตามหลักสัจจะของความเป็นจริง ที่ทรงตัสห้ามเอาไว้ตามหลักสัจจะ น้องไนซ์สร้างบารมีตามหลักของสัจจะ จึงนำสัจจะของพระศาสนามากล่าว อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่า อรรถกถาขยายความบัณเฑาะด์ 5 ข้อว่ามีอะไรบ้างที่บวชได้ และบวชไม่ได้

    เพื่อพิจารณาให้เรื่องนี้เกิดความสงบและไม่บานปลายกลายเป็นเรื่องที่จะทำให้ศาสนามีอันต้องมีสะดุดเพราะน้องจะต้องทำหน้าที่ของตนเองภายภาคหน้าในอนาคต และถึงแม้ขณะนี้เองด้วยเช่นกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2024
  2. ฝ่ายขาว

    ฝ่ายขาว สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2021
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +16
    คงใกล้ละคับนิวเครีย
     
  3. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,424
    ค่าพลัง:
    +3,200
    อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวถึงสงครามโลก

    อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ผู้คนพบทฤษฎีควันตัม น่าจะทราบความรุนแรงของระเบิดนิวเคลียร์ได้เป็นอย่างดี เพราะถ้าเกิดขึ้นจริงโลกคงไม่เหลืออะไร กว่าจะวิวัฒนาการกันใหม่น่าจะนานโข

    IMG_20240420_141132.jpg


    ไม่น่าจะเกิดขึ้นค่ะ jityim ว่านะคะ เพราะตอนนี้ไม่ว่ารัสเซียและอิหร่าน ก็เริ่มทำสงครามกับภัยพิบัติในประเทศของตนเองอีกทางด้วยค่ะ ประเมินสถานการณ์แล้วไม่น่าจะเกิดขึ้นค่ะ

    เพราะผู้นำของแต่ละประเทศน่าจะรู้ดี และคงมีที่ปรึกษา การตัดสินใจน่าจะคิดกันหนักขึ้น โดยเฉพาะสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติในตะวันออกกลางและรัสเซีย น่าจะเห็นเค้าลางได้บ้างแล้วโดยเฉพาะรัสเซียคราวนี้จะหนักมาก อิหร่านก็เจอน้ำท่วมด้วยเหมือน ก็เพื่อป้องปราม ส่วนผู้ที่เกี่ยวข้องกับสงครามในอิสราเอล ฟ้าดินจะลงโทษเอง ส่วนที่ประเทศที่ไม่เจอภัยพิบัติอาจเพราะไม่อยากซ้ำเติมผู้คนในประเทศที่เจอภัยสงครามอย่างสาหัสากรรจ์กันมาแล้ว jityim รู้สึกอย่างนั้นค่ะ

    ใครรับรู้พลังงานของโลกสัดส่ายในเวลาชัดเจนบ้างในเวลานี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์กล่าวไว้ว่า พลังอำนาจแม่เหล็กโลกเป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับมนุษย์มากเพราะมันเกี่ยวกับความสมดุลของอำนาจแม่เหล็กในรหัสพันธุกรรมของมนุษย์โดยตรง ถ้าหากความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กโลกเปลี่ยนแปลงไปไม่ว่าจะเป็นด้านบวก หรือด้านลบหรือน้อยลง จะเกิดผลกระทบครั้งใหญ่ทั้งตัวโลกเองและไม่เว้นแต่มนุษย์บนโลกใบนี้

    การหมุนของแกนโลก และการโคจรรอบดวงอาทิตย์จะเปลี่ยนแปลงไป ความเร็วในการหมุนและการโคจรรอบดวงอาทิตย์จะถูกเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย การเอียงของแกนหมุนก็จะเบี่ยงเบน ขั้วแม่เหล็กเหนือใต้ จะไม่ปกติ จนสร้างผลกระทบต่อกายภาพของโลกอย่างมากมายและน่ากลัวยิ่ง เช่นโลกจะมีอากาศแปรปรวนอุณหภูมิสูงขึ้น บ้างลดต่ำลง ทิศทางในผนที่โลกจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม พื้นแผ่นดินบางส่วนจะหายไป บางส่วนก็จะปรากฎขึ้นมา การเคลื่อนตัวของผิวโลกจะรุนแรง จนเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟที่กำลังคุกกรุ่นอยู่อาจถึงขั้นระเบิดได้

    ด้วยกระบวนการทางวิทยศาสตร์ การกระทำต่อโลกในลักษณะนี้ที่เคยปฏิบัติกันอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการทดลองระบบนิวเคลียร์ ชั้นใต้ดินใต้มหาสมุทร จะมีผลกระทบต่อคลื่นแม่เหล็กโลกโดยตรงทั้งสิ้น หากเพิ่มความถี่ในการกระทำมากขึ้น หรือรุนแรงขึ้นเท่าใด ผลกระทบจะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

    กรณีตัวอย่างเช่น การกระทำของมนุษย์ที่น่าเป็นห่วง คือกระบวนการที่เรียกว่า "scalar" ขณะนี้มนุษย์กำลังเริ่มต้นทดลองใช้กันอยู่เพื่อหวังจะดึงเอาพลังงานใต้โลกขึ้นมาใช้ประโยชน์ กรรมวิธีก็คือ การใช้พลังงานปล่อยลงสู่พื้นดินโลกของพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็ก เพื่อหวังจะดึงเอาพลังงานไฟฟ้าจากโลกขึ้นมาใช้ เสมือนหนึ่งการใช้น้ำปล่อยให้มันไหลเข้าไปตามท่อ จากปลายด้านหนึ่งเพื่อให้มันไหลออกไปยังอีกด้านหนึ่งของปลายท่อนั้น โดยจะต้องใช้น้ำจำนวนหนึ่งดันไปตามท่อตลอดเวลา แต่การดันพลังงานไฟฟ้าผ่านชั้นดินของเปลือกโลกแตกต่างกันตรงที่ ไม่มีความชัดเจนว่าพลังงานทางไฟฟ้าคือโผล่ตรงไหนบนพื้นโลก ถ้ามันไปโผล่อย่างที่ใด มันจะปริมาณหรือศักยภาพทางไฟฟ้าสูงระดับใด และจะควบคุมมันได้หรือไม่ นั่นคืออันตรายในการปฏิบัติต่อมนุษย์เองอย่างยิ่ง สิ่งที่น่าคิดตามมาก็คือ มันจะส่งผลให้พลังอำนาจแม่เหล็กโลกเสียสมดุลไปหรือไม่ ถ้าการกระทำนี้สามารถดึงเอาพลังงานไฟฟ้าออกมาได้จำนวนมากเกินระดับที่พลังอำนาจแม่เหล็กโลกจะรับไหว

    การใช้อาวุธนิวเคลียร์ก็เช่นกัน อาวุธนิวเคลียร์ทำลายกายภาพของโลกอย่างรุนแรงส่งผลต่อคลื่นอำนาจแม่เหล็กโลก ก็จะส่งผลต่อการหมุนของแกนโลก ย่อมส่งผลถึงการเอียงของแกนหมุนที่จะเบี่ยงเบนคือ ขั้วแม่เหล็กเหนือใต้ด้วย

    ข้อมูลเหล่านี้ผ่านตาเข้ามานับ 10 ครั้ง และเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี่เอง ไม่ใช่เชื่อเรื่องหมอดูว่างมงาย แต่เชื่อเรื่องพลังงานและดวงดาวที่มีอิทธิพลต่อทุกชีวิต(กรรมล้วนกำหนด) IMG_20240420_124348.jpg

    IMG_20240420_124337.jpg

    เพราะเมื่อวานก็แผ่นดินไหวที่ญี่ปุน ภูเขาไฟระเบิดที่อินโดนีเซีย

    ในการปรับเปลี่ยนความเข้มข้นสนามแม่เหล็กโลก ซึ่งกำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้จนกว่าจะสิ้นสุด เป้าหมายคือยกระดับความเข้มข้นแม่เหล็กโลกของจักรวาล เพื่อใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นเปลี่ยนแปลงโลกสู่ความสมดุล และเปลี่ยนแปลงจิตสำนึกทุกคนให้สูงขึ้น ด้วยอำนาจแม่เหล็ก

    การสร้างความสมดุลของโลกมนุษย์จำนวน 1% ของประชากรโลกจะต้องจบชีวิตลง

    อีก 99% ของส่วนที่เหลือ ถ้ามีแบบบทการดำเนินชีวิตเยี่ยงมนุษย์ที่ไร้สมรรถภาพ คือไม่รู้จักใช้ความอดทน อดกลั้น ไม่รู้จักกันให้อภัย ไม่รู้จักมอบพลังงานความรักให้แก่ผู้อื่นที่ด้อยกว่า และยังเป็นมนุษย์ที่ขาดสมดุล คือเต็มด้วยพฤติกรรมขยะประพฤติตนเป็นที่น่าเกลียดกว่าผู้อื่น ทำตัวอุปสรรคในการดำเนินชีวิตของคนอื่น บุคคลเหล่านี้จะต้องไปเหยื่อของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อย่างทุกข์ทรมาน จะต้องตายด้วยอายุขัยแสนสั้น เพราะเชื้อโรคร้ายชนิดใหม่ หรือการเจ็บป่วยเรื้อรัง และการตายอย่างฉับพลัน เพราะป่วยด้วยโรคเครียด โรควิตกกังวล ทำให้เซลล์ร่างกายของตนหลั่งฮอร์โมนแห่งความตายออกมาทำลายระบบชีวิตชีวภาพของตัวเองย่อยยับ โดยไม่รู้ว่าอาการใดๆล่วงหน้ามาก่อน บางคนอาจเป็นมนุษย์ที่เป็นผีดิบเพราะจิตสำนึกภายในการถูกทำลายด้วยพลังงานของตนเอง

    มนุษย์ผู้ทีความสมดุลในจิตใจ และดำเนินชีวิตแบบหมู่คณะ คือผู้ที่มีชีวิตรอด เพราะมีความสงบสุขในจิตใจ

    โลกยุคการเปลี่ยนแปลง หลังจากสุริยุปราคาสู่ยุคพลังงานงานใหม่นี้ มนุษย์จำนวน 1% ตั้งจบชีวิตลงด้วยภัยธรรมชาติต่างๆที่เกิดขึ้นทั่วทุกทวีป ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย (อุทกภัยครั้งใหญ่ วาตภัยที่ร้ายแรงกว่าอดีต แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ในที่ที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน)

    สำหรับมนุษย์ 99% ที่เหลืออยู่จากการเปลี่ยนแปลงสู่โลกยุคพลังงานใหม่นี้ ถ้าจะดำเนินชีวิตอยู่ต่อไปได้ มนุษย์ต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น จึงจะเป็นหนทางที่อยู่รอด

    ผู้ที่ขาดความสมดุล แต่เต็มไปด้วยพฤติกรรมขยะ และเป็นมนุษย์ไร้ประสิทธิภาพจะเป็นอันตรายต่อสังคมอย่างยิ่งสูงกว่ายุคพลังงานเก่า และบั้นปลายคือความหายนะของตัวเองที่ไม่มีวันหลีกเลี่ยงได้

    ในส่วนภาครัฐ จะเกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจการปกครองประเทศ และกลุ่มผู้บริหารประเทศ ถ้าพวกเขาเหล่านี้เป็นผู้ที่ขาดความสมดุล มีกาย จิต และจิตวิญญาณที่ไม่สะอาดบริสุทธิ์ และเป็นผู้ที่ขาดสมรรถภาพ หรือพฤติกรรมขยะอันน่าขยะแขยง บุคคลเหล่านี้จะเป็นผู้ไม่พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างนี้อย่างแน่นอน พวกเขาจะพาการแสดงออกใดๆ ในทางก่อความวุ่นวายสับสนในสังคมประเทศชาติหนักหนักขึ้น พวกเขาจะทะเลาะกันเอง ชิงดีชิงเด่น เข่นฆ่า พยาบาท ขาดจิตสำนึกแบบรวมหมู่ ไม่ละอายต่อการแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว ไม่ขลาดกลัวต่อบาป และอีกสารพัดในสังคมมนุษย์นั้นจะได้เห็น สถานการณ์เช่นนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วโลก

    ผลของความวุ่นวายดังกล่าว จะทำให้ประเทศที่เศรษฐกิจสมดุลถึงคราวต้องล่มสลายลง และการสร้างเศรษฐกิจที่สมดุลจึงจะมีความชัดเจนขึ้น สู่การเริ่มต้นใหม่พร้อมพร้อมไปพร้อมโลกยุคพลังงานใหม่ มนุษย์จะไมมีเวลาทำสงครามระหว่างชนชาติอีกต่อไป มนุษย์จะต้องมีภาระหนักกับการเผชิญหน้าปัญหาสิ่งแวดล้อมเพื่อความอยู่รอด มากกว่าคิดจะสงครามโลกครั้งที่ 3 ซึ่งมันไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป นอกจากการต่อสู้ระหว่างชนชาติเดียวกันเท่านั้น

    เพราะผลการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กโลกครั้งนี้ ความสมดุลของอำนาจแม่เหล็กและพันธุกรรมของมนุษย์ทั้งระบบ จะถูกปรับเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ซึ่งนักวิทยาศาสตร์จะต้องพบความจริงในเรื่องนี้ นอกจากนั้นความเข้มข้นของแม่เหล็กโลกที่เปลี่ยนแปลง จะทำให้สังคมบนโลกเปลี่ยนไป โดยเฉพาะระบบเศรษฐกิจและระบบการเงินจะสมดุลกันทั่วโลก เพราะจิตสำนึกที่สูงขึ้นของผู้มีอำนาจระดับผู้นำถูกทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง


    มีกุญแจ 2 ดอกใหญ่ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ให้ไว้ที่จะไขประตูไปสู่ความสงบสุขและสันติคือมนุษย์ทุกชนชั้นต้องปฏิบัติตามแนวทางสำคัญ 2 ประการนี้คือ

    1.จะต้องสร้างเป็นอย่างไร เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด

    2.จะต้องดำเนินชีวิตความอดทนและมอบความรักต่อผู้ที่ด้อยกว่า

    ค่ะข้อมูลนี้น่าจะเป็นประโยชน์ ซึ่งความจริงดูข่าวเหมือนสงครามจะบานปลาย ถ้าบานปลายถึงสงครามนิวเคลียร์ อาจทำให้ภัยพิบัติใหญ่ต่อโลก เช่นการเกิดกระบวนการ ploe shift ได้ แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ลงแสดงว่าสิ่งที่คาดไว้จะไม่เกิดค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2024
  4. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,424
    ค่าพลัง:
    +3,200
    น้องไนซ์ เชื่อมจิต " กับ มิกราชโพธิญาณ"

    คำว่า "มิกราชโพธืญาณ" ไม่ใช่พระยาธรรมิกราช พระยาธรรมิกราช คือ ธรรมที่เป็นใหญ่กว่าธรรมทั้งปวง หรือราชาแห่งธรรม ใน คิริมานันทสูตร หรือ ผู้บำเพ็ญบารมีโพธิสัตว์จะรู้จักกันในนาม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบรมมหาจักรพรรดิ์ หรือ "องค์สันตะโร"

    และยุคสมัยนี้ "มิกราชโพธิญาณ" ไม่ได้มีพระองค์เดียว ผู้มาต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ครบ 5,000 ปี คือผู้บำเพ็ญบารมีพระโพธิสัตว์ แต่แตกต่างกันตรงบารมีของแต่ละท่านไม่เท่ากัน jityim แน่ใจว่าเมื่อ 10 ปีก่อนที่เข้ามาเว็บพลังจิต สัมผัสได้มีผู้ปราถนาพุทธภูมิหลายคนมาก แต่ละท่านเพ็ญบารมีไปตามเหตุแต่ละปัจเจกของบุคคล

    ส่วนกรณี น้องไนซ์ ที่จะนำมากล่าวถึงนี้ ในโลกโซเซียลเกิดกระแสที่มีทั้งเห็นด้วยและกระแสต่อต้านกันจำนวนมาก และ Influencer ผู้มีอิทธิพลทางความคิดของสังคมหลายคนให้ความสนใจ และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ ณขณะนี้

    พอจับประเด็นได้ว่า...

    1.อ.น้องไนซ์ เชื่อมจิต ไม่มีในพระพุทธศาสนา
    2. อ.น้องไนซ์แอบอ้างคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
    3.เทวาจุติ ไม่ใช่ของพระพุทธศาสนา (ไม่มีในพระไตรปิฎก) และแอบอ้างเป็นพระอนาคามี

    1. คำว่า "เชื่อมจิต" ไปลองค้นคว่ามาดู มีผู้รู้ท่านหนึ่งบอกว่าตรงกับคำว่า "อาเนญชสมาธิ"

    IMG_20240420_164628.jpg

    ซึ่งคำหนึ่งคำ คือการสมมุติบัญญัติขึ้นนมาเพื่อใช้สื่อความหมายให้เข้าใจ คำว่า "เชื่อมจิต" เมื่อเราคิดพิจารณาโดยนัยยะของคำบัญญัตินั้น เพื่อสื่อความหมายตรง ๆ เพื่อให้มีความเข้าใจที่ตรงกัน

    ไปค้นมาหาข้อมูลเพิ่มเติมจากข้อมูล อ.น้องไนซ์

    IMG_20240421_125328.jpg

    สมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าได้เทศน์ให้คนจำนวนมากฟัง ในมหาสมาคม แต่จะมีคน1 คน ได้ฟังแล้วบรรลุธรรม เพราะพระพุทธองค์มีบารมีทศพลญาณหยั่งรู้ว่าระจิตและอินทรีย์ของผู้ฟังได้ ซึ่งเป็นสอนธรรมแบบจิตสู่จิต

    ถ้าจะกล่าวถึง พระสูตร"อเนญชสัปปายสูตร" คือ การเข้าสมาธิสักครู่หนึ่ง เมื่อได้สมาธิดีแล้ว ฟังพุุทโธวาท และน้อมเข้ามาสู่ใจ และน้อมใจปฏิบัติตามพุทโธวาทตรง ให้เข้าใจแจ่ม
    เมื่อดูวิธีการเชื่อมจิตของ อ.น้องไนซ์ คือ การเชื่อมกันระหว่างสมาธิ กับสมาธิ จึงไม่แตกต่าง ส่วนวิธีการสอนแล้วแต่บารมีของแต่ละท่านที่สั่งสมไว้

    2. แอบอ้างคำสอนพระพุทธเจ้า
    ธรรมะคือสัจจะธรรม สัจจะความจริงล้วนมีเหตุผลในตนเอง หากเจ้าลัทธินอกศาสนา คือ จะสอนอะไรที่นอกเหนือจากความเป็นจริง คือสัจจะ แต่กลับสอนให้คนหลงเชื่อตามทิฐิ 62 ในพรหมชาลสูตรแล้ว เป็น มิจฉาทิฐิ

    IMG_20240421_125810.jpg


    และถ้าหากสอนให้เห็นตามความเป็นจริง เพื่อหลุดพ้น เพื่อพ้นทุกข์ เพราะว่าสัจจะก็เหมือนใบไม้ทั้งป่า การพ้นทุกข์ อริยสัจสี่ มรรค 8 เหมือนใบไม้กำมือเดียว หากสอนให้เห็นตามความเป็นจริงเพื่อพ้นทุกข์ ลองพิจารณาจากดูได้ค่ะ
    IMG_20240421_125733.jpg IMG_20240421_125637.jpg


    3.เทวานิรมิตรจุติ และพระอนาคามี

    คำว่า"เทวานิรมิตจุติ ใพระไตรปิฏก มีธรรมดาอยู่ว่าพระโพธิสัตว์เมื่อบารมีเต็มที่แล้ว เทพเทวดาจะอัญเชิญท่านลงมาเกิดในโลกมนุษย์ พระองค์ทรงตรวจดู "ปัจมหาวิโลกนะ" ดังนั้นเทวานิรมิตรจุติ อาจเทียบได้ในกรณีพระโพธิสัตว์ลงมาบำเพ็ญบารมีก็อาจเทียบเคียงกันได้แล้วแต่เหตุปัจจัยของแต่ละท่านค่ะ

    ส่วนคำว่า พระอนาคามี ตามหลักศาสนาพุทธที่เราเข้าใจ อนาคามีแปลว่า ผู้ไม่มาเกิดอีก หมายความว่าจะไม่กลับมาเกิดในกามมาวจรภพอีก แต่จะเกิดในพรหมโลก อีกครั้งเดียว และบรรลุพระอรหันต์แล้วนิพพานบนพรหมโลกนั้น

    ส่วนสำหรับผู้ปรารถนาพระโพธิสัตว์ จะไม่บรรลุพระอริยบุคคลหรือละสังโยชน์ หรือบรรลุมรรคผลขั้นใดขั้นหนึ่งได้ มิฉะนั้นก็จะไม่สามารถบำเพ็ญบารมีพุทธภูมิหรือเป็นพระพุทธเจ้าได้

    แต่การบำเพ็ญบารมีพระโพธิสัตว์ ต้องเรียนรู้อริยมรรค อริยสัจสี่ การบรรลุอริยมรรคขั้นต่าง ๆ ก็คือ การสั่งสมวาสนาบารมีเอาไว้ ตามภูมิจิตภูมิธรรม เป็นขั้น ๆ แบ่งเป็นนิยตโพธิสัตว์ และอนิยตโพธิสัตว์ หรือสายโพธิกะแบบไหน ปัญญาโพธิกะ ศรัทธาโพธิกะ และวิริยะโพธิกะ ก็มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎก

    ที่จริงแล้วทุกท่านที่บำเพ็ญบารมีพระโพธิสัตว์จะทราบกันดีอยู่แล้ว จึงไม่แปลกใจหากพูดเรื่องนี้ในเว็บพลังจิต

    jityim มองดูสถานการณ์แล้ว ก็ถามตนเองว่า เราควรอย่างไรกับเรื่องนี้ได้บ้าง เมื่อ jityim เป็นผู้จุดประเด็นเรื่องให้คนดีได้ทำหน้าที่ บอกตรง ๆ ค่ะว่า ไมเคยดูรายการโหนกระแสที่นำพูดถึง อ.น้องไนซ์ที่กล่าวถึงมาก่อน เพิ่งมาดูตอนเกิดดราม่าทางสื่อสังคมโซเซียล ว่ามีความเป็นมาอย่างไร? แต่รู้ข่าวบ้างประปรายบ้าง ว่ามีการร้องเรียน แต่ตอนนั้นไม่ได้ติดดตามข่าวเลยว่าไปถึงไหน มีอยู่ช่วงหนึ่งน่าจะเป็นกรณีโพสต์เรื่องของคุณเอกฝ่ามือพลังจิต รักษาโรค แต่มีความรู้สึกว่าอยากนำเรื่อง อ.น้องไนซ์มาลงพร้อมด้วย พิมพ์ลงไปข้อความลบออกไปเองจึงไม่ได้ลง และในใจรู้สึกลึก ๆ ว่า ยังไม่ถึงเวลา

    และกรณีโพสต์หัวข้อ "ทำร้ายนักปราชญให้สูญสิ้น " มีความรู้สึกว่าจะต้องทำเรื่องนี้คือ เรื่องตำรวจศึกสีกากี ทำ 3 รอบยังลงไม่ได้ อันมีเหตุต้องชะงักไว้ก่อน จนกระทั่งมา นึกถึงคำว่า บ้านเมืองจะอยู่รอดต่องสนับสนุนคนดีให้ได้ทำงาน และมีเหตุให้นำเรื่องของ อ.น้องไนซ์ และวัดธรรมกายมาลงพร้อมด้วย เพื่อแจ้งว่า พลังงานบวกของผู้ปฏิบัติธรรมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา คือหัวใจสำคัญที่สุดในการช่วยเหลือโลกนี้ เมื่อนำมาลงด้วยจึงจะสามารถโพสต์ได้

    แลตอนนี้เรื่องเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมาก จึงย้อนกลับไปดูรายการโหนกระแส และจับประเด็นออกมา และจึงไปค้นคว้าข้อมูลที่หลายคนเคลือบแคลงสงสัยมาให้พิจารณาข้อมูลข้างต้น

    ส่วนประเด็นคุณหนุ่มกรรชัย jityim ดูแล้วคุณหนุ่มพยามยามทำหน้าที่แบบเป็นกลาง แต่สไตล์พิธีกรการจัดรายการของคุณหนุ่มมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว การถามก็เพื่อให้คนรู้ข้อเท็จจริงที่หลายคนเคลือบแคลงสงสัยออกมา

    ส่วนกรณีของ อ.น้องไนซ์ ประเด็นอยู่ที่ว่า การ
    กล่าวหาว่า อ.น้องไนซ์แอบอ้างว่าคือ พระพุทธเจ้า ซึ่งตรงส่วนนี้ ถ้าใครกำลังบำเพ็ญบารมีเรื่องนี้อยู่ มันสำคัญยิ่งต่อความศรัทธา ถือเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับตนเพราะคือที่สุดของการเหยียบย่ำหัวใจแห่งความศรัทธา เท่าที่จับประเด็น น้องต้องการให้ตรวจสอบก่อนแล้วค่อยนำมาลง ด้วยเด็กเหมือนผ้าขาวที่ใสซื่อบริสุทธิ์ คิอ คิดอย่างไร พูดอย่างนั้น ออกมาจากภาษาจิต ภาษาที่กล่าวอาจไม่ทันระมัดระวังตัวเหมือนผู้ใหญ่ เพราะต้องเรียนรู้อีกมากกว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่

    และถามว่ากรณีน้องใบบุญ ที่สังคมนำมาเปรียบเทียบกับ อ.น้องไนซ์อยู่ ณ ขณะนี้ ถ้าเรารู้ว่า วาสนาที่สั่งสมไว้ ภึงแม้เป็นพระอรหันต์แล้วก็ตามก็ยังแสดงกริยาเป็นวาสนาของตนที่สั่งสมได้ ยกตัวอย่างเช่น พระสารีบุตร ในพระไตรปิฎกท่านยังมีลักษณะแสดงท่าเดินคล้ายลิงที่มีภิกษุนำไปถามพระพุทธเจ้า ที่ทรงตรัสตอบไว้ว่า แม้จะบรรลุพระอรหันต์ ก็ยังละไม่ได้ ยกเว้นพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้นที่ละวาสนาได้หมดสิ้น การบำเพ็ญบารมีต้องเรียนรู้โลกให้เข้าใจทั้งหมด ทั้งดีและชั่ว เพื่อจะได้เป็นบรมครูพระพุทธเจ้าสอนให้พ้นทุกข์ในอนาคตที่มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

    และน้องไนซ์เริ่มทำหน้าที่ คือ ตั้งแต่อายุน้อย ด้วยเหตุปัจจัยแต่ละบุคคลที่อาจรอไม่ได้ เพราะยุคนี้โลกต้องการพลังงานบวกเพื่อช่วยเหลือโลก แต่มิใช่มี อ.น้องไนซ์คนเดียว แต่ถ้า อ.น้องไนซ์เริ่มทำตั้งแต่อายุน้อย มิรอให้เติบใหญ่ก่อน แสดงว่าต้องมีเหตุปัจจัยบางประการ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ด้วยวัยวุฒิและสภาวะความพร้อมต่าง ๆ ยังไม่สามารถทำด้วยตนเองอย่างเต็มกำลังได้ จึงต้องอาศัยพ่อและแม่คอยส่งเสริมให้สำเร็จ เราจะเห็นได้ว่า ช่วงแรก ๆ เวลาน้องสื่อภาษาบัญญัติ น้องต้องนึกคำก่อนว่าตรงกับภาษาจิตอย่างไร พ่อและแม่จึงต้องช่วยสื่อแทนให้

    ถ้าสมมุติว่าน้องมีอายุโตเต็มวัย ผ่านประสบการณ์เรียนรู้ชีวิตมีความพร้อมต่อทุกการตัดสินใจ ด้วยเป็นผู้ใหญ่เต็มวัย การตอบคำถามด้วยตัวน้องเอง ต้องกลั่นกรองด้วยวุฒิภาวะ แต่น้องเป็นเด็ก ที่เปรียบว่าใสซื่อบริสุทธิ์ภาษาจิตอย่างไร ก็กล่าวอย่างนี้น และอีกอย่างด้วยพ่อกับแม่รักลูกและปกป้องลูกของตนเองเป็นธรรมดา พ่อกับแม่จึงทำตามหน้าที่ของพ่อแม่ แต่ถ้าเป็นผู้บำเพ็ญบารมีเอง เมื่อท่านโตเต็มวัยแล้ว ท่านย่อมรู้ดีว่า ทุกอย่างย่อมมีบททดสอบ ยิ่งบารมีสูงยิ่งหนักกว่าผู้อื่น และรู้ได้ว่า อ.น้องไนซ์จะไม่เรื่องบานปลายแน่นอน เพราะพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีน้องรู้ว่าควรทำอย่างไร? ต่อเหตุการณ์ที่เป็นอยู่เวลานี้

    อยากให้เข้าใจ

    1.คำพูดที่ออกมาจากภาษจิต เด็กจะใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่ได้คิดอะไรมากมาย

    2.อัตตาของผู้บำเพ็ญบารมีย่อมมีบ้าง โดยเฉพาะเรื่องที่เคารพบูชาสูงสุด ใครจะมาก้าวล่วงมิได้เลย โดยเฉพาะคำพูที่ว่า ทำตัวเสมอพระพุทธเจ้า

    3.พ่อและแม่ย่อมรักและปกป้องลูกตนเอง ภ้าอ.น้องไนซ์โตวัยเต็มตัว ท่านย่อมทราบดีว่าผู้บำเพ็ญบารมีต้องเจอบททดสอบอะไรบ้าง อุเบกขาเป็นหัวใจของพระโพธิสัตว์ ท่านย่อมไม่ฟ้องร้องแน่นอน เพราะใครทำเช่นไร ย่อมรับผลเช่นนั้น เจตนาบริสัทธิ์ภายในจิตใจเป็นตัวกำหนด ท่านจะไม่ทำให้พระพุทธศานามัวหมอง jityim เชื่อออย่างนั้นค่ะ แต่ตอนนี้ท่านทำหน้าที่ไวกว่าที่จะท่านจะรับภาระคนเดียวได้ พ่อและแม่จึงเป็นกำลังสำคัญในการช่วยเหลือเพื่อทำหน้าที่ให้บริบูรณ์

    ทุกอย่างคงไม่ใช่เรื่องบัเอิญเพราะเหตุใด! จึงทำหน้าที่เร็วเกินไป

    ค่ะ jityim เอง ก็คิดว่านี้คือดีที่สุดแล้วสำหรับตนเองที่คิดจะช่วยได้ตามกำลัง เพราะอ.น้องไนซ์อาจมีบารมีสูงกว่า ตนเองมากในทางธรรม แต่ทางโลกท่านยังเด็กนักที่จะทำอะไรได้เต็มกำลัง หากแม้โตขึ้นท่านอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด เพราะย่อมมีมารมีบททดสอบมากที่ทำให้ออกนอกลู่นอกทาง แต่ภ้ากำลังใจท่านเข้มแข็งและลงมาทำหน้าที่นี้จริง ๆ คิดว่าต้องมีคนคอยช่วยเหลือให้ท่านทำงานสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาได้ตามที่ปรารถนาไว้สำเร็จ

    ขอทำหน้าที่ส่งเสริมคนดี ให้ได้ทำหน้าที่อย่างสุดกำลัง ผลข้างหน้าไม่แน่แนอนจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ jityim ถือคติว่า การที่เรามีจิตคิดช่วยเหลือใครไว้มาก "ยามตกยากมักจะมีมือที่มองไม่เห็นยื่นมือเข้ามาช่วยเสมอ"


    สวัสดีค่ะ กรทู้นี้น่าจะจบบริบูรณ์ เพราะเรื่องราวได้มาถึงที่สุดแล้ว พบกันใหม่เมื่อชาติต้องการ หรือเจอกันในยุคพลังงานใหม่ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2024
  5. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,424
    ค่าพลัง:
    +3,200
    "เชื่อมจิต" มีในพระไตรปิฎกหรือไม่!?

    ตอนนี้ทั่วโลกถูกผลกระทบภัยพิบัติอย่างหนักหน่วง ถ้าใครไม่ได้ติดตาม จะไม่รู้เลยว่าโลกเกิดอะไรขึ้นบ้าง

    IMG_20240426_091316.jpg ใจ

    และมีการคาดการณ์ว่าประเทศไทยยจะรัอนเทียบเท่าทะเลทรายซาฮาร่า
    IMG_20240426_091256.jpg IMG_20240426_091332.jpg

    และตอนนี้สังคมแตกแยกทางความคิดกันมาก
    แม้เมื่อวานสำนักพุทธ ได้เข้ามาชี้แจงบ้างแล้ว

    IMG_20240426_091348.jpg
    เปิดดูไฟล์ 6370400

    ซึ่งประด็นที่สำคัญคือ คำว่า "เชื่อมจิต"
    IMG_20240426_091215.jpg

    IMG_20240426_091238.jpg

    พุทธศาสนาเป็นทั้งปรัชญาและวิทยาศาสตร์

    ระบบชีววิทยาที่เป็นร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยมวลหยาบๆร้อยเรียงกันอยู่ในระดับเซลล์จนเป็นรูปทรง โดยมีสิ่งเร้นที่อยู่ภายในที่เรียกว่าจิตใจ จิตสำนึก จิตวิญญาณ ก็คือต้นกำเนิดของพลังงานที่มีคลื่นอนุภาคเล็กละเอียดระดับปรมาณู เป็นคลื่นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กอย่างหนึ่งที่ถูกห่อหุ้มเอาไว้ภายใน

    กลไกที่สามารถก่อให้เกิดการกระทำทั้งทางกายและวาจาโดยมีใจเป็นผู้ก่อให้เกิดการกระทำกระบวนการของใจ ก็คือจิต ที่สะสมข้อมูลในอารมณ์ต่างๆมาจากทุกๆภพทุกๆชาติ ซึ่งติดมากับจิตวิญญาณส่วนหนึ่ง และกระบวนการของใจนี่เองที่สร้างอารมณ์ขึ้นมาเมื่อมีสิ่งเร้ามากระทบสภาวะของจิตใจของมนุษย์


    ถ้าหากมนุษย์ต้องการเรียนรู้เรื่องจิตวิญญาณให้รู้มากกว่าที่ไม่รู้ มนุษย์จะต้องศึกษาค้นคว้าเรื่องแสง ให้ลึกซึ้งกว่าที่รู้ในปัจจุบันนี้

    เรื่องแสง ยังเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์อยู่

    แต่ถ้าอยากรู้เรื่อง "จิตวิญญาณ" ต้องหันมาสนใจใฝ่รู้ในด้าน คุณสมบัติของแสง ที่กิดจากอนุภาคเล็กละเอียดของคลื่นแสงระดับความถี่ที่ตาของมนุษย์มองไม่เห็น ซึ่งมันเคลื่อนที่ได้รวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าอนุภาคของแสง ที่มนุษย์ยึดถือว่ารู้จริงอีกด้วย

    ในโลกวิทยาศาสตร์มนุษย์ยอมรับว่า สิ่งที่แฝงเร้นอยู่ภายในรูปธรรมใดๆ ก็คืออนุภาคของมวลและพลังงานในระดับจักรวาลในมิติโลก ที่เร้นอยู่ในรูปธรรมหรือรูปทรง ก็คืออนุภาคเล็กละเอียดระดับปรมาณู เล็กยิ่งกว่าอนุภาคโฟตอนของคลื่นแสงที่มนุษย์รู้จักกันเสียอีก

    จิตมีความต้องการจะเคลื่อนที่เดินทางไปยังแห่งใดในสนามพลังงานจักรวาล กลุ่มอนุภาคของคลื่นจะรับถ่ายทอดคลื่นการคิดของจิตแล้วปฏิบัติหน้าที่ของตนในทันที ซึ่งนอกจากจะทำหน้าที่ในการเคลื่อนย้ายเปลี่ยนตำแหน่งสถานที่แล้ว ยังสามารถเป็นตัวสื่อคลื่นการคิดของจิตถ่ายทอดไปยังจิตดวงอื่น ๆ หรือเป้าหมายในการส่งสัญญาณที่จิตต้องการได้เช่นกัน และในทางกลับกันยังสามารถรับคลื่นการคิดจากจิตดวงอื่น ๆ ได้อีกด้วย

    จงมีสมาธิในการคิดถึงสิ่งนั้นแต่เพียงเรื่องเดียว

    ปกติแล้วในภาวะไร้สมาธิ สมาธิไม่เที่ยง แม้มนุษย์จะมีความสนใจและใส่ใจอย่างจดจ่ออยู่กับเรื่องใดสิ่งใดอยู่ในขณะนั้นก็ตาม ธรรมชาติของจิตเราสามารถจะแบ่งแยก การรู้สึกนึกคิดจากเรื่องนั้นๆ ไปรู้สึกไปคิดถึงเรื่องอื่นที่ผ่านแวบเข้ามาในสมองพร้อมกันอย่างจดจ่ออยู่กับความคิดรู้สึก ณขะเดียวกันนั้นได้เสมอ มันไม่เคยหยุดนิ่งได้สักอย่างแท้จริงเลย จิตมนุษย์มันจะสามารถจับกระแสการได้ยิน ภาวะการมองเห็นแต่ละสภาพทางกาย เพื่อสร้างคลื่นการคิดรู้เป็นอารมณ์และความรู้สึกพร้อมกัน และหลายทางในขณะเดียวกันได้เสมอ พลังอำนาจในการคิดรู้ของมนุษย์ จะอยู่ในระดับต่ำเพราะมีคลื่นการคิดรู้สับสนและระบบ ยิ่งไร้สมาธิมากเท่าไหร่ มนุษย์จะได้รับรู้ผลึกแห่งการคิดน้อยมากขึ้นเท่านั้น

    คลื่นการคิดจะมีอนุภาคอันเล็กละเอียด อันเกิดจากการผลักดันของกระบวนการทางจิตใต้สำนึกซึ่งเกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณของมนุษย์นั้น ช่วยเหลือ มันจะแผ่ผ่านไปตามเส้นสนามพลังงานแม่เหล็กโลกออกไปรอบๆตนเองมีพลังสมาธิมากเท่าไหร่ก็แผ่ออกไปได้ไกลมากเท่านั้น คลื่นการคิดเหล่านี้จะมีคุณสมบัติของข้อมูลที่ต้องการติดไปกับอณูของคลื่นด้วย ทันทีที่มันค้นพบสารจิตอันเป็นคุณสมบัติข้อมูลที่ต้องการ มันจะรับเอาคุณสมบัตินั้น ส่งคลื่นข้อมูลสะท้อนกลับเข้าสู่ศูนย์กลางการสั่นสะเทือนคือจิตของเราได้ทันที เพื่อนำมาใส่รหัสเป็นผลึกแห่งการคิดรู้แปลเป็นภาษาพูดภาษาเขียนกันต่อไป

    กระบวนการคิดรู้ใดๆของมนุษย์ ก็คือการแลกเปลี่ยนคุณสมบัติของพลังการคลื่นความคิด ของแต่ละคนกับมนุษย์คนอื่นในมิติที่ 3 แห่งกาลเวลานั่นเอง


    ส่วนการเชื่อมจิตนั้น ก็คือ การสอนจิตในสมาธิ หรือ สมาธิสู่สมาธิ ทั้งผู้รับและผู้สอนต้องกำหนดสมาธิ หรือการสอนจิตแบบจิตสู่จิต

    คำว่า"เชื่อม" คือ นัยนะถึง การเชื่อมโยง หมายถึง การติดต่อกัน ,การเกี่ยวพัน, เกี่ยวข้องกัน,สอดคล้องกัน

    คำว่า "จิต" หรือ จิตวิญญาณ ตามหลักวิทยาศาสตร์ ืคือ พลังงาน เป็นการรวมตัวกันของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็ก ซึ่งเป็นกลุ่มอนุภาคละเอียดยิ่งกว่าโฟตอนลดเลี้ยวเกี่ยวพันอยู่ภายในทั้งระบบ เป็นคลื่นความถี่ที่สูงมากสามารถเดินทางข้ามมิติกาลเวลาได้ มีภาษาจิตที่สื่อสารกันได้


    ถ้าหากตามพระไตรปิฎก เอนญชสมาธิ ที่มาจาก อเนญชาภิสังขาร

    อเนญชาภิสังขาร คือ อภิสังขารที่เป็นอเนญชา คือ กุศลเจตนาที่เป็นอรูปาวจร 4 เรียกง่าย ๆ ได้แก่ บุญ บาป ฌาน


    เรื่องช้างลงน้ำ

    [๒๙๘] ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะ เรียกภิกษุทั้งหลายมากล่าวว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย เราเข้า อาเนญชสมาธิ ใกล้ฝั่งแม่น้ำสัปปินิกา ณ ตำบลนี้ ได้ยินเสียงโขลงช้างลงน้ำ เวลาขึ้นจากน้ำเปล่งเสียงดัง ดุจนกกระเรียน

    ภิกษุทั้งหลายพากัน เพ่งโทษ ติเตียน โพทะนาว่า ไฉนท่าน พระมหาโมคคัลลานะ จึงกล่าวอย่างนี้ว่า

    ดูกรอาวุโสทั้งหลาย เราเข้า อาเนญชสมาธิ ใกล้ฝั่งแม่น้ำสัปปินิกา ณ ตำบลนี้ ได้ยินเสียงโขลงช้างลงน้ำ เวลาขึ้นจากน้ำเปล่งเสียงดัง ดุจนกกระเรียน ท่านพระมหาโมคคัลลานะ กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม แล้วกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาค

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย สมาธินั้นมีอยู่ แต่ไม่บริสุทธิ์ โมคคัลลานะพูดจริง โมคคัลลานะ ไม่ต้องอาบัติ.


    มหาสุญญตสูตร (๑๒๒) หน้า ๑๘๕

    …………………………

    ภิกษุนั้นย่อมใส่ใจ อาเนญชสมาบัติ เมื่อเธอกำลังใส่ใจ อาเนญชสมาบัติ จิตยังไม่แล่นไป ยังไม่เลื่อมใส ยังไม่ตั้งมั่น ยังไม่นึกน้อมไปใน อาเนญชสมาบัติ เมื่อเป็นเช่นนั้น ภิกษุย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า เมื่อเรากำลังใส่ใจ อาเนญชสมาบัติ จิตยังไม่แล่นไป ยังไม่เลื่อมใส ยังไม่ตั้งมั่นยังไม่นึกน้อมไปใน อาเนญชสมาบัติ ด้วยอาการนี้แล ย่อมเป็นอันเธอรู้สึกตัวในเรื่อง อาเนญชสมาบัติ นั้นได้

    ดูกรอานนท์ ภิกษุนั้นพึงดำรงจิตภายใน ให้จิตภายในสงบ ทำจิตภายใน ให้เป็น ธรรมเอก ผุดขึ้น ตั้งจิตภายในให้มั่น ในสมาธินิมิตข้างต้นนั้นแล เธอย่อมใส่ใจ ความว่างภายใน เมื่อเธอกำลังใส่ใจความว่างภายใน จิตย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น นึกน้อมไป ในความว่างภายใน เมื่อเป็นเช่นนั้น

    ภิกษุย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า เมื่อเรากำลังใส่ใจ ความว่างภายใน จิตย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น นึกน้อม ไปในความว่างภายใน

    ด้วยอาการนี้แล ย่อมเป็นอันเธอรู้สึกตัวในเรื่องความว่างภายในนั้นได้
    ภิกษุนั้นย่อมใส่ใจความว่างภายนอก ...
    ภิกษุนั้นย่อมใส่ใจความว่างทั้งภายในและภายนอก ...
    ภิกษุนั้นย่อมใส่ใจอาเนญชสมาบัติ

    เมื่อเธอกำลังใส่ใจอาเนญชสมาบัติจิตย่อมแล่นไปเลื่อมใส ตั้งมั่น นึกน้อมไปใน อาเนญชสมาบัติ เมื่อเป็นเช่นนั้น

    ภิกษุย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่าเมื่อเรากำลังใส่ใจอาเนญชสมาบัติ จิตย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น นึกน้อมไปใน อาเนญชสมาบัติ ด้วยอาการนี้แล ย่อมเป็นอันเธอ รู้สึกตัว ในเรื่อง อาเนญชสมาบัติ นั้นได้


    http://www.anakame.com/page/1_Sutas/700/716.htm


    เนญชสมาธิ อาเนญชสมาบัติ อาเนญชาภิสังขาร อาเนญชสัญญา)
    รวบรวมจากพระไตรปิฏกสยามรัฐ คัดเฉพาะ พุทธวจน

    อเนญชาภิสังขาร คือ สภาพปรุงแต่งภพอันมั่นคง ไม่หวั่นไหว ได้แก่ ภาวะจิตที่มั่นคงแน่วแน่ด้วยสมาธิจตุตถฌาน

    อเนญชสมาธิ คือ สมาธิที่ไม่หวั่นไหวด้วยกิเลส
    คือ เมื่อมีสมาธิแน่วแน่มั่นคง สติสัมปชัญญะมั่นคง จิตย่อมมีอภิญญาระลึกรู้เห็นในสิ่งที่วิเศษในภาวะจิตสงบนิ่ง เช่น พระโมคคัลลานะได้ยินช้างขึ้นน้ำลงน้ำเปล่งเสียงดังนกกระเรียน

    เมื่อจิตอยู่ในสภาวะสมาธิย่อมสื่อสารจิตกันได้

    การเข้าสมาธิสักครู่หนึ่ง เมื่อได้สมาธิดีแล้ว ฟังพุุทโธวาท และน้อมเข้ามาสู่ใจ และน้อมใจปฏิบัติตามพุทโธวาทตรง ให้เข้าใจแจ่ม

    นั่นแหละค่ะ ที่ตอนนี้หลายคนปฏิเสธว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เกี่ยวกับ อเนญชสมาธิ ในพระไตรปิฎก ไม่ใช่สภาวะที่จะนำมาเชื่อมจิตได้ แต่เมื่อศึกษาเรื่องจิต การที่มีสมาธิทั้งผู้รับและผู้ส่ง สามารถสื่อถึงกันได้ เพราะจิตคือกระแสพลังงาน คลื่นกระแสจิต สื่อสารกันได้ จึงเชื่อมโยงติดต่อหากันได้ ดั่งที่ พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้

    IMG_20240426_153137.jpg

    Screenshot_2024-04-26-12-19-14-20_f69139cffc4d135a71392e13634f144a.jpg
    Screenshot_2024-04-26-12-10-54-93_f69139cffc4d135a71392e13634f144a.jpg Screenshot_2024-04-26-12-16-30-45_f69139cffc4d135a71392e13634f144a.jpg Screenshot_2024-04-26-12-08-44-48_f69139cffc4d135a71392e13634f144a.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2024 at 21:28
  6. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,424
    ค่าพลัง:
    +3,200


    จิตไม่ใช่ความว่างเปล่า มีสภาวะรู้อยู่ภายใน
     
  7. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,424
    ค่าพลัง:
    +3,200
    ถามว่าผิดสัจจะที่ได้ไห้ไว้ไหม! เมื่อคิดว่านี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง เพราะทุกครั้งที่เข้าดูยูทูปมีแต่เรื่องนี้เด้งมาที่หน้าจอ เคยเห็นวีดีโอสำนักพุทธตอบมาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่จบ

    รู้ไหมว่า ภัยพิบัติที่ต่างประเทศเขาโดนกันหนักมากและตอนนี้พลังงานของโลกสัดส่ายชัดเจนมาก ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป

    ส่วนเรื่องอเนญชสมาธิ jityim ไม่รู้หรอกว่าภาษาบาลีหมายถึงอะไร

    รู้แค่ว่า เมื่อค้นดูมีข้อมูลที่พระพุทธเจ้าที่ได้ทรงตรัสกับพระภิกษุเรื่องพระโมคคัลลานะกับการเข้าอเนญชสมาธิ และ

    สิ่งที่ได้รับรู้ในการยกระดับพลังงานใหม่ ที่มีครูบาอาจารย์กล่าวไว้ว่า ยุคนี้เป็นยุคอภิญญาสาธารณะ น่าจะใช้ได้กับยุคศิวิไลย์

    อเนญชสมาธิ อเนญชาสมาบัติในพระไตรปิฎกอาจกล่าวถึงไว้หลายพระสูตรแตกต่างกัน แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสไว้ว่า อเนญชสมาธิ ยังคงมีอยู่ แต่ไม่บริสุทธิ์ การเข้าอเนญชสมาธิ จึงน่าจะแตกต่างจากอเนญชสมาบัติ

    เมื่อ jityim เจอสภาวะธรรมโลกุตระ เกี่ยวกับสัจจะความจริงของสังขารโลกไร้แก่นสาร เมื่อพบสภาวะนี้ เป็นการรับรู้สภาวะนี้โดยอัตโนมัติ เป็นภาษาธรรมชาติที่สื่อสารด้วยตัวมันเอง (ไร้การปรุงแต่งใดๆ) มื่อเจอสภาวะจะมีการรับรู้โดยอัตโนมัติในตัวมันเองไร้การปรุงแต่งใด ๆ เป็นการรู้แบบซื่อ ไร้การปรุงแต่ง แต่มีภาวะการรับรู้ในสิ่งเหล่านั้นด้วยตัวสื่อสารด้วยตัวมันเอง

    เมื่อเราอยากจะรู้ว่าสิ่งนั้น สภาวะนั้น คืออะไร เราเพียงแค่กำหนดจิต เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งนั้น สภาวะของสิ่งนั้นเราจะรู้ด้วยตนว่ามีความหมายอย่างไร มีลักษณะเป็นอย่างไร

    และมีอีกสภาวะหนึ่ง เมื่อเรากำหนดถามต้องการรู้ในสิ่งที่สงสัย ก็มีคำตอบลักษณะเสียงธรรมชาติที่ตอบกลับมาในสมาธิ สื่อกับเราทางจิต ข้อความที่สื่อกลับมา

    ที่ได้คำตอบว่า เมื่อเราไม่ทิ้งท่าน ท่านจะไม่ทิ้งเรา (ในสมาธิรับรู้ว่าเป็นใคร (ธรรม) องค์ธรรม ความดี ประพฤติธรรม)

    ทุกสภาวะที่รับรู้จิตต้องสติตั้งมั่น สัมปชัญญะเต็มตัว อุเบกขา

    นี่ขนาดสภาวะสมาธิอนุบาลแค่นั้น แล้วผู้ที่บำเพ็ญบารมี เช่นนิยตโพธิสัตว์ล่ะ จะเป็นอย่างไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2024 at 21:24
  8. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,424
    ค่าพลัง:
    +3,200
    อเนญชสมาธิ กับ เชื่อมจิต

    วิวาทาธิกรณ์ การวิวาทเถียงกันด้วยธรรมวินัย

    ขณะนี้ประเทศไทยของเราได้เกิดการแตกแยกทางความคิดเป็น 2 ฝ่ายมาเป็นเวลานับเดือน และปีนี้โลกของเราจากโลกร้อนกลายเป็นโลกเดือดทั่วโลก ถ้าเราตามข่าวแผนที่ประเทศไทยความร้อนเดือดดำมืดทั่วประเทศ และข่าวการเกิดเพลิงไหม้ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่นับ 10 แห่ง ซึ่งเรารู้อยู่แล้วว่านั่นเกิดจากโลกเสียสมดุลทั้งกายภาพ และจิตใจของมนุษย์
    IMG_20240430_174304.jpg
    IMG_20240430_174318.jpg

    ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่มีท่าทีที่จะจบลงอย่างง่าย ๆ



    และเมื่อมีวิวาทาธิกรณ์ /อธิกรณ์ เรื่อง อเนญชสมาธิ กับเรื่องเชื่อมจิต ว่า
    นี้เป็นธรรม นี้ไม่เป็นธรรม
    นี้พระตถาคตตรัสภาษิตไว้ นี้ตถาคตไม่ได้ตรัสภาษิตไว้
    นี้ตถาคตทรงประพฤติมา นี้ตถาคตไม่ได้ทรงประพฤติมา
    นี้ตถาคตทรงบัญญัติไว้ นี้ตถาคตไม่ได้ทรงบัญญัติไว้




    ที่มีการกล่าวหากันว่าบิดเบือนคำสอนไม่มีในพระไตรปิฎก jityim ขอเป็นส่วนหนึ่งของในการร่วมรักษาพระพุทธศาสนา เพื่อให้เรื่องอธิการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วต้องจัดทำให้เรียบร้อย จึงขอนำข้อมูลที่เห็นว่าน่าจะมีประโยชน์มาพิจารณาเพื่อให้เกิดความสงบสุขแก่ชาติบ้านเมืองต่อไปตามหัวข้อดังต่อไปนี้ค่ะ

    1.สภาวะธรรมอาเนญชสมาธิ คืออะไร? หมายถึงสิ่งใด!

    2..อาเนญชสมาธิ เป็นธรรมที่เกิดขึ้นได้เฉพาะอรหันต์เท่านั้นหรือ!!

    3.อาเนญชสมาธิ กับ เชื่อมจิต เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร

    4. คำว่า เชื่อมจิต บิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้าไหม?



    ก่อนอื่นต้องขอนำความหมายของคำว่า

    "บิดเบือน" หมายความว่าอย่างไร "ทำให้ผิดเพี้ยนไปจากข้อเท็จจริง, ทำให้ผิดแผกไปจากเดิม"

    IMG_20240429_224215.jpg

    jityim ต้องขอขอบคุณโพสต์นี้ในกระทู้ อเนญสมาธิ ที่ทำให้ต้องไปหาข้อเท็จจริงมา ซึ่งความเห็นที่ได้มาเพื่อนำมาพิจารณาว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เพื่อที่จะนำเรื่องวิวาทธิกรณ์ที่ต้องจัดทำให้เรียยร้อย ความเห็นต่างมิใช่บิดเบือนข้อเท็จจริง แต่เป็นการทำความเห็นที่ทำให้กระจ่างขึ้นเพื่อพิจารณา


    1.สภาวะธรรมอเนญชสมาธิคืออะไร? หมายถึงสิ่งใด!
    ตาคมพจนานุกรมพุทธศาสตร์ คำว่า"อาเนญช" ค้นพบว่า ตามความหมายสื่อที่พบได้

    อเนญชาภิสังขาร คือ สภาพที่ปรุงแต่งภพอันมั่นคง ไม่หวั่นไหว ได้แก่ ภาวะจิตที่มั่นคงแน่วแน่ด้วยสมาธิแห่งจตุตถฌาน

    วิธีการปฏิบัติเข้าอเนญชสมาบัติ พระสูตรเพื่อการหลุดพ้น

    https://uttayarndham.org/buddhology/2992/พุทธวิธีเข้าอเนญชสมาบัติ

    หลักสำคัญของการเข้าถึงภาวะ "อเนญชสมาบัติ" ก็คือ ดำรงจิตภายใน ให้จิตภายในสงบจิต ธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งจิตภายในให้มั่น จืตผ่องใสในอายตนะ เมื่อมีความผ่องใสก็จะเข้าถึงอเนญชสมาบัติ หรือน้อมใจไปในปัญญา

    วิธีปฏิบัติพิจารณากาม ละอกุศล เป็นผู้มากด้วยปฏิปทา จิตย่อมผ่องใสในอายตนะ ก็จะเข้าถึงอาเนญชสมาบัติหรือจะน้อมใจไปในปัญญาได้ในปัจจุบัน เมื่อตายไป พึงเป็นวิญญาณเข้าถึงสภาพหาความหวั่นไหวมิได้ นั่นเป็นฐานะที่มีได้

    อ้างอิงถึง 2 พระสูตร คือ มหาสุญญตสูตร และเนญชสัปปายสูตร

    1.อเนญชสัปปายสูตร(พระไตรปิฎก(ฉบับหลวงเล่มที่ 14 สุตตันตปิฎก หน้า 57)

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก อริยสาวกพิจารณาเห็น ดังนี้ ซึ่งกาม ทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า และกามสัญญาทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีใน ภพหน้า ซึ่งรูปบางชนิดและรูปทั้งหมด คือ มหาภูต ๔ และรูปอาศัย มหาภูต ทั้ง ๔ เมื่ออริยสาวกนั้นปฏิบัติแล้วอย่างนี้ ด้วยประการนี้ เป็นผู้มากด้วยปฏิปทา นั้นอยู่ จิตย่อมผ่องใสในอายตนะ
    เมื่อมีความผ่องใสก็จะเข้าถึงอาเนญชสมาบัติ หรือจะน้อมใจไปในปัญญาได้ ในปัจจุบัน เมื่อตายไป ข้อที่วิญญาณอันจะเป็นไป ในภพนั้นๆ พึงเป็นวิญญาณ เข้าถึงสภาพ หาความหวั่นไหวมิได้ นั่นเป็นฐานะที่ มิได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า ปฏิปทามี อาเนญชสมาบัติ เป็นที่สบายข้อที่ ๒
    …………………………
    [๘๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็น ดังนี้ว่า กามทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า และกามสัญญา ทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพนี้ รูปทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า และรูปสัญญาทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า และ อาเนญชสัญญา อากิญจัญญายตนสัญญา สัญญาทั้งหมดนี้ ย่อมดับไม่มีเหลือ ในที่ใด ที่นั่นคือเนวสัญญานาสัญญายตนะอันดีประณีต

    ---------------------------------
    2. พระสูตรมหาสุญญตสูตร (122) หน้า 185 (พระไตรปิฎก ฉยับหลวง เล่มที่ 14 สุตตันตปิฎก หน้าที่ 187)

    กล่าวถึงการใส่ใจอเนญชสมาบัติไว้ว่า

    ดูกรอานนท์ ภิกษุนั้นพึงดำรงจิตภายใน ให้จิตภายในสงบ ทำจิตภายใน ให้เป็น ธรรมเอก ผุดขึ้น ตั้งจิตภายในให้มั่น ในสมาธินิมิตข้างต้นนั้นแล เธอย่อมใส่ใจ ความว่างภายใน เมื่อเธอกำลังใส่ใจความว่างภายใน จิตย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น นึกน้อมไป ในความว่างภายใน เมื่อเป็นเช่นนั้น
    ภิกษุย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า เมื่อเรากำลังใส่ใจ ความว่างภายใน จิตย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น นึกน้อม ไปในความว่างภายใน
    ด้วยอาการนี้แล ย่อมเป็นอันเธอรู้สึกตัวในเรื่องความว่างภายในนั้นได้
    ภิกษุนั้นย่อมใส่ใจความว่างภายนอก ...
    ภิกษุนั้นย่อมใส่ใจความว่างทั้งภายในและภายนอก ...
    ภิกษุนั้นย่อมใส่ใจอาเนญชสมาบัติ


    2.อาเนญชสมาธิ เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะอรหันต์เท่านั้นหรือ?

    คุณธรรมพระอรหันต์ ว่าด้วยผู้ไม่หวั่นไหว ตามพระสูตร อัตตทัณฑสุตตนิสเทส (พระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่มที่ 28 สุตตันตปิฎก หน้าที่ 423)

    ผู้ไม่หวั่นไหว อภิสังขารอะไร ๆ ย่อมไม่มี

    ตามพระสูตรอัตตฑัณฑสุตตนิทส ที่ทรงตรัสไว้ว่า

    [๘๗๔] คำว่า อภิสังขารอะไรๆ ย่อมไม่มี ความว่า ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อาเนญชาภิสังขาร เรียกว่า อภิสังขาร (นิสังขิติ). ปุญญาภิสังขารก็ดี อปุญญาภิสังขารก็ดี อาเนญชาภิสังขาร ก็ดี อันบุคคลนั้นละ ตัดรากขาดแล้ว ทำไม่ให้มีที่ตั้งดังตาลยอดด้วน ถึงความไม่มีในภายหลัง มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา
    ด้วยเหตุเท่านี้ อภิสังขารทั้งหลายก็ไม่มีไม่ปรากฏ ไม่เข้าไปได้ คือ เป็นสภาพ อันบุคคลนั้น ละ ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำให้ไม่ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไป คือญาณ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อภิสังขารอะไรๆ ย่อมไม่มี.
    [๘๗๕] คำว่า บุคคลนั้นงดเว้นแล้วจากอภิสังขาร ความว่า ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อาเนญชาภิสังขาร เรียกว่า อภิสังขาร (วิยารัมภะ). ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อาเนญชาภิสังขาร อันบุคคลนั้นละ ตัดรากขาดแล้ว ทำไม่ให้มีที่ตั้ง ดังตาลยอดด้วน ให้ถึงความไม่มีในภายหลัง มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา
    ด้วยเหตุเท่านี้ บุคคลนั้นชื่อว่าเป็นผู้งด เว้น เว้นขาด เว้นเฉพาะออก สลัดออก พ้นขาด ไม่เกี่ยวข้องอภิสังขาร เป็นผู้มีจิตปราศจากแดนกิเลสอยู่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า บุคคลนั้น งดเว้นแล้วจากอภิสังขาร.

    ความไม่หวั่นไหวนัยยะนี้ บุคคลนั้นงดเว้นจากอภิสังขารทั้งปวง ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภสังขาร และอาเนญชาภสังขาร อันนั้นละและตัดขาดแล้ว ทำให้ไม่มีที่ตั้ง ดังตาลยอดด้วน ให้ถึงความไม่มีในภายหลัง ความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา เมื่อเว้นขาด สลัดออก เป็นผู้มีจิตปราศจากกิเลสอยู่ บุคคลนั้นเว้นจากอภิสังขารแล้วทั้งปวง จึงชื่อได้ว่าเป็นผู้ไม่หวั่นไหว ด้วยประการฉะนี้

    ดังนั้นพระอรหันต์ที่มีชื่อว่า ผู้ไม่หวั่นไหว จึงไม่หวั่นไหวด้วยประการละฉะนี้

    คำว่า อาเนญชสมาธิ จึงหมายถึง สมาธิอันไม่หวั่นไหว

    อ้างอิงจากพระสูตร ยโสชสูตร


    http://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=25&siri=58

    ๗๕] ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคประทับนั่งอยู่ด้วยสมาธิอันไม่หวั่นไหว ครั้งนั้นภิกษุเหล่านั้นมีความดำริว่า บัดนี้ พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ด้วยวิหารธรรม ไหนหนอ ภิกษุเหล่านั้นมีความดำริอีกว่า บัดนี้ พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ด้วย อาเนญชวิหารธรรม ภิกษุทั้งหมดนั้นแลนั่งอยู่ด้วย อาเนญชสมาธิ
    (พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ สุตตันตปิฎก หน้า ๗๙)

    --------------------
    และ

    ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากสมาธินั้น แล้วตรัสกะท่าน พระอานนท์ ว่า ดูกรอานนท์ ถ้าว่าเธอพึงรู้ไซร้ ความแจ่มแจ้ง แม้มีประมาณเท่านี้ ก็ไม่พึงปรากฏแก่เธอ ดูกรอานนท์ เราและภิกษุ ๕๐๐ เหล่านี้ทั้งหมด นั่งแล้วด้วย อาเนญชสมาธิ
    ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า ภิกษุใดชนะหนาม คือ กาม ชนะการด่า การฆ่า และการจองจำได้ แล้ว ภิกษุนั้น มั่นคงไม่หวั่นไหวดุจภูเขา ภิกษุนั้นย่อมไม่หวั่นไหว ในเพราะสุขและทุกข์
    คลิก ดูพระสูตรเต็ม
    (พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๗๗)

    ซึ่งในพระสูตรนี้มีแต่อรรถาธิบายว่า

    @๑ อาเนญชสมาธิ หมายถึงสมาธิอันสัมปยุตด้วยอรหัตตผลมีฌานที่ ๔ เป็นพื้นฐาน อาจารย์บางพวกกล่าวว่า
    @มีอรูปฌานเป็นพื้นฐาน เหตุที่พระผู้มีพระภาคทรงเข้าอาเนญชสมาธิ เพราะทรงประสงค์จะแสดงว่าภิกษุ
    @เหล่านั้นมีสัมโภคะเสมอกับพระองค์ และทรงประสงค์จะแสดงให้ปรากฏว่าภิกษุเหล่านั้นบรรลุพระอรหัตตผล
    @โดยไม่ต้องทรงเปล่งพระวาจา (ขุ.อุ.อ. ๒๓/๑๙๕)
    {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๕ หน้า : ๒๑๗}

    เมื่ออ่างถึงพระสูตรข้างต้น ในพระสูตรพระพุทธเจ้า ไม่มีคำใดที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวถึงว่า เป็นวิหารธรรมของผู้เสร็จกิจอรหันตตผลเท่านั้น

    พระอรหันตผลผู้ไม่หวั่นไหวย่อมหมายถึงพระสูตร อุตตฑัณฑสุตตนิเทส ว่าด้วยผู้ไม่หวั่นไหวงดเว้นแล้วอภิสังขารทั้งปวง เท่านั้น

    ส่วนคำว่า อเนญชสมาธิ และอเนญสมาบัติ เป็นวิหารธรรมที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทรงวิหารธรรม

    ส่วนผู้ที่สามารถจะเข้าอเนญชสมาบัติ ตามพระสูตร สุนักขัตตสูตร ได้ตรัสไว้ว่า

    [๗๑] ดูกรสุนักขัตตะ ข้อที่ปุริสบุคคลบางคนในโลกนี้ พึงเป็นผู้น้อม ใจไปใน โลกามิส นั่น เป็นฐานะที่มีได้แล ปุริสบุคคลผู้น้อมใจไปในโลกามิส ถนัดแต่เรื่อง ที่เหมาะแก่โลกามิสเท่านั้น ย่อมตรึก ย่อมตรองธรรมอันควรแก่ โลกามิส คบแต่คนชนิดเดียวกัน และถึงความใฝ่ใจกับคนเช่นนั้น
    แต่เมื่อมีใคร พูดเรื่องเกี่ยวกับ อาเนญชสมาบัติ ย่อมไม่สนใจฟัง ไม่เงี่ยโสต สดับ ไม่ตั้งจิตรับรู้ไม่คบคนชนิดนั้น และไม่ถึงความใฝ่ใจ กับคนชนิดนั้น เปรียบเหมือนคน ที่จากบ้านหรือนิคมของตนไปนาน พบบุรุษคนใดคนหนึ่ง ผู้จากบ้านหรือนิคมนั้น ไปใหม่ๆ ต้องถามบุรุษนั้นถึงเรื่องที่บ้าน หรือนิคมนั้นมีความ เกษม ทำมาหากินดี และมีโรคภัยไข้เจ็บน้อย บุรุษนั้นพึงบอกเรื่องที่บ้าน หรือนิคมนั้น มีความเกษม ทำมาหากินดี และมีโรคภัย ไข้เจ็บน้อยแก่เขา
    ดูกรสุนักขัตตะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เขาจะพึงสนใจ ฟังบุรุษนั้นเงี่ยโสตสดับ ตั้งจิตรับรู้ คบบุรุษนั้น และ ถึงความใฝ่ใจกับบุรุษนั้น บ้างไหมหนอ ฯ
    สุ. แน่นอน พระพุทธเจ้าข้า
    พ. ดูกรสุนักขัตตะ ฉันนั้นเหมือนกันแล ข้อที่ปุริสบุคคลบางคนในโลกนี้ พึงเป็น ผู้น้อมใจไปในโลกามิส นั่นเป็นฐานะที่มีได้แล ปุริสบุคคลผู้น้อมใจไปใน โลกามิส ถนัดแต่เรื่องที่เหมาะแก่โลกามิสเท่านั้น ย่อมตรึก ย่อมตรองธรรมอันควร แก่โลกามิส คบแต่คนชนิดเดียวกัน และถึงความใฝ่ใจกับคนเช่นนั้น
    แต่เมื่อมีใครพูดเรื่องเกี่ยวกับ อาเนญชสมาบัติ ย่อมไม่สนใจฟัง ไม่เงี่ยโสต สดับ ไม่ตั้งจิตรับรู้ ไม่คบคนชนิดนั้น และไม่ถึงความใฝ่ใจกับคนชนิดนั้น บุคคล ที่เป็นอย่างนี้นั้น พึงทราบเถิดว่า เป็นปุริสบุคคลผู้น้อมใจไปในโลกามิส
    [๗๒] ดูกรสุนักขัตตะ ข้อที่ปุริสบุคคลบางคนในโลกนี้ พึงเป็นผู้น้อม ใจไปใน อาเนญชสมาบัติ นั่นเป็นฐานะที่มีได้แล ปุริสบุคคลผู้น้อมใจไปใน อาเนญชสมาบัติ ถนัดแต่เรื่องที่เหมาะแก่ อาเนญชสมาบัติ เท่านั้น ย่อมตรึก ย่อมตรองธรรมอันควรแก่ อาเนญชสมาบัติ คบแต่คนชนิดเดียวกัน และถึงความใฝ่ใจ กับคนเช่นนั้น
    แต่เมื่อมีใครพูดเรื่องเกี่ยวกับโลกามิส ย่อมไม่สนใจฟัง ไม่เงี่ยโสตสดับ ไม่ตั้งจิตรับรู้ ไม่คบคนชนิดนั้น และไม่ถึงความใฝ่ใจกับคนชนิดนั้น เปรียบเหมือน ใบไม้เหลือง หลุดจากขั้วแล้ว ไม่อาจเป็นของเขียวสดได้ ฉันใดดูกรสุนักขัตตะ
    ฉันนั้นเหมือนกันแล เมื่อความเกี่ยวข้องในโลกามิส ของปุริสบุคคลผู้น้อมใจ ไปใน อาเนญชสมาบัติ หลุดไปแล้ว บุคคลที่เป็นอย่างนี้นั้น พึงทราบเถิดว่า เป็นปุริสบุคคลผู้น้อมใจไปใน อาเนญชสมาบัติ พรากแล้ว จากความเกี่ยวข้อง ในโลกามิส
    [๗๓] ดูกรสุนักขัตตะ ข้อที่ปุริสบุคคลบางคนในโลกนี้ พึงเป็นผู้น้อม ใจไปในอากิญจัญญายตนสมาบัติ นั่นเป็นฐานะที่มีได้แล ปุริสบุคคลผู้น้อมใจไปใน อากิญจัญญายตนสมาบัติ ถนัดแต่เรื่องที่เหมาะแก่ อากิญจัญญายตนสมาบัติเท่านั้น ย่อมตรึก ย่อมตรองธรรมอันควรแก่ อากิญจัญญายตนสมาบัติ คบแต่คนชนิดเดียวกัน และถึงความใฝ่ใจกับคนเช่นนั้น แต่เมื่อมีใครพูดเรื่องเกี่ยวกับ อาเนญชสมาบัติ ย่อมไม่สนใจฟัง ไม่เงี่ยโสตสดับ ไม่ตั้งจิตรับรู้ไม่คบคน ชนิดนั้น และไม่ถึงความ ใฝ่ใจกับคนชนิดนั้น เปรียบเหมือนศิลาก้อน แตกออกเป็น ๒ ซีกแล้ว ย่อมเป็นของเชื่อมกันให้สนิทไม่ได้ ฉันใด
    ดูกรสุนักขัตตะ ฉันนั้นเหมือนกันแล เมื่อความเกี่ยวข้องใน อาเนญชสมาบัติ ของปุริสบุคคล ผู้น้อมใจไปใน อากิญจัญญายตนสมาบัติ แตกไปแล้ว บุคคลที่เป็นอย่างนี้นั้น พึงทราบเถิดว่า เป็นปุริสบุคคลผู้น้อมใจ ไปใน อากิญจัญญายตนสมาบัติ พรากแล้วจากความเกี่ยวข้องใน อาเนญชสมาบัติ
    [๗๔] ดูกรสุนักขัตตะ ข้อที่ปุริสบุคคลบางคนในโลกนี้ พึงเป็นผู้น้อม ใจไปใน เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ นั่นเป็นฐานะที่มีได้แล ปุริสบุคคล ผู้น้อมใจไปใน เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ถนัดแต่เรื่องที่เหมาะแก่ เนวสัญญานาสัญญายตน สมาบัติ ย่อมตรึก ย่อมตรองธรรมอันควรแก่เนวสัญญา นาสัญญายตนสมาบัติ คบแต่คนเช่นเดียวกัน และถึงความใฝ่ใจกับคนเช่นนั้น
    แต่เมื่อมีใครพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับ อากิญจัญญายตนสมาบัติ ย่อมไม่สนใจฟัง ไม่เงี่ยโสตสดับ ไม่ตั้งจิตรับรู้ ไม่คบคนชนิดนั้น และไม่ถึงความใฝ่ใจกับคนชนิดนั้น เปรียบเหมือนคนบริโภคโภชนะที่ถูกใจอิ่มหนำแล้ว พึงทิ้งเสีย
    ดูกรสุนักขัตตะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เขาจะพึงมีความปรารถนา ใน ภัตนั้นบ้างไหมหนอ
    สุ. ข้อนี้หามิได้เลย พระพุทธเจ้าข้า
    พ. นั่นเพราะเหตุไร
    สุ. เพราะว่าภัตโน้น ตนเองรู้สึกว่า เป็นของปฏิกูลเสียแล้ว
    พ. ดูกรสุนักขัตตะ ฉันนั้นเหมือนกันแล เมื่อความเกี่ยวข้องในอากิญ จัญญายตน สมาบัติ อันปุริสบุคคลผู้น้อมใจไปใน เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ คายได้แล้ว บุคคลที่เป็น อย่างนี้ นั้น พึงทราบเถิดว่า เป็นปุริสบุคคลผู้น้อมใจไปใน เนวสัญญานา สัญญายตนสมาบัติ พรากแล้วจากความเกี่ยวข้องใน อากิญจัญญายตน สมาบัติ
    (พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๔ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๔๙)

    ดูกรสุนักขัตตะ ข้อที่ปุริสบุคคลบางคนในโลกนี้ พึงเป็นผู้น้อมใจไปในอากิญญายตนะสมาบัติ นั่นมีฐานะที่มีได้แล อันปุริสบุคคลผู้น้อมใจไปในเนวสัญญานาาัญญายตนสมาบัติ นั่นมีฐานะที่มีได้แล

    นั่นก็แสดงว่าบุคคลบางคนในโลกนี้ แม้ไม่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ แต่สามารถเข้าอเนญชสมาบัติ คือ อกิญจัญญายตนะ และเนวสัญญานาสัญญายตนะได้ เท่าที่ทราบมาผู้ปราถนาพระโพธิสัตว์หลาย ๆ ท่านมีสมาบัติ 8 สร้างฐานบารมีทศพลญาณไว้อย่างมากมาย



    3. อาเนญชสมาธิ กับเชื่อมจิต เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร?

    (ขุ.อุ.อ. ๒๓/๑๙๕) ซึ่งในคัมภีร์ระบุชัด ว่าการเข้าสมาธิแล้วใช้จิตในภาวะของการเข้าสมาธิสามารถพูดคุยกันได้



    จากพระสูตรยโสชสูตร ว่าด้วยพระยโสเถระ พระไตรปิฎกเล่มที่ 25 พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ 17 (ฉบับบมหาจุฬา)



    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเรียกพระอานนท์มาตรัสว่า “อานนท์ ภิกษุ
    พวกไหนส่งเสียงอื้ออึงเหมือนพวกชาวประมงแย่งปลากัน”
    ท่านพระอานนท์ทูลตอบว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป
    เหล่านั้น มีพระยโสชะเป็นหัวหน้าเดินทางมาถึงกรุงสาวัตถีโดยลำดับเพื่อจะเฝ้า
    พระผู้มีพระภาค ภิกษุอาคันตุกะเหล่านั้นแลกำลังทักทายกับภิกษุเจ้าถิ่น ปูลาดเสนาสนะ
    เก็บบาตรและจีวรอยู่ จึงได้ส่งเสียงอื้ออึง พระพุทธเจ้าข้า”
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “อานนท์ ถ้าเช่นนั้น เธอจงเรียกภิกษุเหล่านั้นมาหา
    เราว่า พระศาสดารับสั่งหาท่านทั้งหลาย”
    ท่านพระอานนท์ทูลรับสนองพระดำรัสแล้วเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้นถึงที่อยู่ ได้กล่าวกับภิกษุเหล่านั้นว่า “พระศาสดารับสั่งหาท่านทั้งหลาย” ภิกษุเหล่านั้นรับคำของ
    ท่านพระอานนท์แล้วพากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว
    นั่ง ณ ที่สมควร พระผู้มีพระภาคจึงตรัสถามภิกษุเหล่านั้นดังนี้ว่า
    “ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุอะไร เธอทั้งหลายจึงส่งเสียงอื้ออึงเหมือนพวก
    ชาวประมงแย่งปลากัน” เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสถามอย่างนี้ ท่านพระยโสชะจึง
    กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป
    เหล่านี้เดินทางมาถึงกรุงสาวัตถีโดยลำดับ เพื่อจะเฝ้าพระผู้มีพระภาค ภิกษุอาคันตุกะ
    เหล่านั้นทักทายกับภิกษุเจ้าถิ่น ปูลาดเสนาสนะ เก็บบาตรและจีวรอยู่ จึงได้ส่งเสียงอื้ออึง พระพุทธเจ้าข้า”
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงไปเสียเถิด เราขับไล่
    เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายไม่ควรอยู่ในสำนักของเรา”
    ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระดำรัสแล้วพากันลุกจากที่นั่ง ถวายอภิวาท
    แล้วทำประทักษิณ เก็บเสนาสนะ ถือบาตรและจีวรเที่ยวจาริกไปทางแคว้นวัชชี
    เที่ยวจาริกไปโดยลำดับจนถึงแคว้นวัชชีแล้วไปที่แม่น้ำวัคคุมุทา สร้างกุฎีมุงด้วยใบไม้
    เข้าอยู่จำพรรษาใกล้ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา
    ครั้งนั้น ท่านพระยโสชะผู้เข้าจำพรรษาอยู่ด้วย ได้เรียกภิกษุทั้งหลายมา
    กล่าวว่า “ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคทรงมุ่งหวังประโยชน์ แสวงหา
    ประโยชน์ ทรงอนุเคราะห์ อาศัยความอนุเคราะห์ จึงทรงขับไล่พวกเรา เอาเถิด
    ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ขอพวกเราจงอยู่อย่างที่พระผู้มีพระภาคทรงมุ่งหวังประโยชน์แก่พวกเราเถิด”
    ภิกษุเหล่านั้นรับคำของท่านพระยโสชะ แล้วก็ปลีกตัวไป ไม่ประมาท มีความเพียร อุทิศกายและใจอยู่ ภายในพรรษานั้นนั่นแล ทุกรูปก็ได้ทำให้แจ้งวิชชา
    ๓ ประการ๑-

    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคครั้นประทับอยู่ในกรุงสาวัตถีตามพระอัธยาศัยแล้วจึงเสด็จจาริกไปทางกรุงเวสาลี เสด็จจาริกไปโดยลำดับจนถึงกรุงเวสาลี ประทับอยู่ณ กูฏาคารศาลาในป่ามหาวัน เขตกรุงเวสาลีนั้น

    ขณะประทับอยู่ที่นั้น พระผู้มีพระภาคทรงมนสิการกำหนดจิตของภิกษุที่อยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทาด้วยพระทัย แล้วรับสั่งเรียกท่านพระอานนท์มาตรัสว่า

    อานนท์ ทิศที่ภิกษุผู้อยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทาอยู่จำพรรษานี้ เป็นเหมือนเกิด
    แสงสว่าง เป็นเหมือนเกิดรัศมี ปรากฏแก่เรา เธอคงไม่รังเกียจที่จะไปเพื่อความ
    สนใจของเรา


    อานนท์ เธอพึงส่งภิกษุผู้เป็นทูตไปสำนักภิกษุผู้อยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทาพร้อมกับสั่งว่า พระศาสดารับสั่งหาท่านทั้งหลาย พระศาสดามีพระประสงค์จะพบ
    ท่านทั้งหลาย”
    ท่านพระอานนท์ทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว เข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่งถึงที่อยู่ ได้กล่าว
    กับท่านว่า “ผู้มีอายุ ท่านจงเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทาถึงที่อยู่
    แล้วพูดอย่างนี้ว่า พระศาสดารับสั่งหาท่านทั้งหลาย พระศาสดามีพระประสงค์จะพบ
    ท่านทั้งหลาย”


    ภิกษุรูปนั้นรับคำท่านพระอานนท์แล้วก็หายไปจากกูฏาคารศาลาในป่ามหาวัน
    ไปปรากฏเบื้องหน้าภิกษุเหล่านั้น ณ ใกล้ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา เหมือนคนมีกำลัง
    เหยียดแขนออกหรือคู้แขนเข้า ฉะนั้น แล้วได้กล่าวกับภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ใกล้ฝั่ง
    แม่น้ำวัคคุมุทาว่า “พระศาสดารับสั่งหาท่านทั้งหลาย พระศาสดามีพระประสงค์จะพบ
    ท่านทั้งหลาย”
    ภิกษุเหล่านั้นรับคำของภิกษุนั้นแล้วเก็บเสนาสนะ ถือบาตรและจีวรพร้อมกับ
    หายไปจากฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา ไปปรากฏเบื้องพระพักตร์พระผู้มีพระภาค ณ กูฏาคาร-
    ศาลาในป่ามหาวัน เหมือนคนมีกำลังเหยียดแขนออกหรือคู้แขนเข้า ฉะนั้น
    ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคประทับนั่งเข้าอาเนญชสมาธิ๑- ครั้งนั้น ภิกษุเหล่านั้น
    ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า “บัดนี้ พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ด้วยวิหารธรรมไหนหนอ”
    ครั้นแล้ว ภิกษุเหล่านั้นก็ได้รู้ว่า “บัดนี้ พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ด้วยอาเนญช-
    วิหารธรรม” ทุกรูปจึงพากันนั่งเข้าอาเนญชสมาธิ
    ครั้งนั้น เมื่อราตรีผ่านไปแล้ว ปฐมยามผ่านไปแล้ว ท่านพระอานนท์ก็ลุก
    จากที่นั่ง ห่มจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมมือไปทางพระผู้มีพระภาคประทับอยู่
    ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ราตรีผ่านไปแล้ว
    ปฐมยามผ่านไปแล้ว ภิกษุอาคันตุกะนั่งอยู่นานแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคทรง
    ทักทายกับภิกษุอาคันตุกะด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า” เมื่อท่านพระอานนท์กราบทูล
    อย่างนี้ พระผู้มีพระภาคก็ยังประทับนิ่งอยู่
    แม้ครั้งที่ ๒ เมื่อราตรีผ่านไปแล้ว มัชฌิมยามผ่านไปแล้ว ท่านพระอานนท์ก็
    ลุกจากที่นั่ง ห่มจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมมือไปทางพระผู้มีพระภาคประทับอยู่
    ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ราตรีผ่านไปแล้วมัชฌิมยามผ่านไปแล้ว ภิกษุอาคันตุกะนั่งอยู่นานแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคทรงทักทายกับ
    ภิกษุอาคันตุกะด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคก็ยังประทับนิ่งอยู่เช่นเดิม
    แม้ครั้งที่ ๓ เมื่อราตรีผ่านไปแล้ว ปัจฉิมยามผ่านไปแล้ว เข้ารุ่งอรุณ เริ่มสว่าง
    ท่านพระอานนท์ก็ลุกจากที่นั่ง ห่มจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมมือไปทางพระผู้มี
    พระภาคประทับอยู่ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ราตรี
    ผ่านไปแล้ว ปัจฉิมยามผ่านไปแล้ว เข้ารุ่งอรุณ เริ่มสว่าง ภิกษุอาคันตุกะนั่งอยู่นานแล้วขอพระผู้มีพระภาคทรงทักทายกับภิกษุอาคันตุกะด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า”
    ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคก็เสด็จออกจากสมาธินั้น รับสั่งเรียกท่านพระ
    อานนท์มาตรัสว่า “อานนท์ ถ้าเธอพึงรู้ไซร้ ความแจ่มแจ้งแม้นี้ก็ยังไม่ปรากฏชัดแก่เธอ อานนท์ เรากับภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้ทั้งหมดได้นั่งเข้าอาเนญชสมาธิ”

    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้
    ในเวลานั้นว่า

    พุทธอุทาน
    ๑-ภิกษุใดละหนามคือกามได้ ๒-ชนะการด่าได้ ๓- ชนะการทำร้ายได้ ๔- และชนะการจองจำได้ ภิกษุนั้นดำรงมั่น ไม่หวั่นไหวดุจภูเขา ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะสุขและทุกข์


    -----------------

    จะเห็นได้ว่า พระพุทธองค์ทรงสื่อสารทางจิตกับพระอรหันต์ 500 รูป โดยการเข้า อาเนญชสมาธิ ที่พระอานนท์ถามว่าพระพุทธเจ้าว่า

    "เมื่อราตรีผ่านไปนานแล้ว ภิกษุอาคันตุกะนั่งอยู่นานแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทักทายภิกษุอาคันตุกะด้วยเถิด เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จออกจากสมาธิ ทรงตรัสกับพระฮานนนท์ว่า อานนท์ถ้าเธอพึงรู้ไซร้ ความแจ่มแจ้งไม่ปรากฎชัดแก่เธอ เรากับภิกษุ 500 รูปนี้ทั้งหมดได้นั่งอาเนญชสมาธิ"

    นั่นก็คือการเข้าสมาธิสื่อสารกัน นั่นเอง พระทรงทรงมิได้เปล่งวาจาทักทายพระภิกษุอาคันตุกะเลย

    ส่วนกรณี การกำหนดจิตหยั่งรู้ว่าระจิต คือ การกำหนดเข้าไปรู้วาระจิต (ขอเรียกว่าการเชื่อมจิตของพระภิกษุ การกำหนดเข้าไปหยั่งรู้วาระจิตผู้อื่น)

    ดั่งข้อความที่ทรงตรัสว่า

    ขณะประทับอยู่ที่นั้น พระผู้มีพระภาคทรงมนสิการกำหนดจิตของภิกษุที่อยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทาด้วยพระทัย แล้วรับสั่งเรียกท่านพระอานนท์มาตรัสว่า
    “อานนท์ ทิศที่ภิกษุผู้อยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทาอยู่จำพรรษานี้ เป็นเหมือนเกิดแสงสว่าง เห็นเหมือนเกิดรัศมี ปรากฏแก่เรา เธอคงไม่รังเกียจที่จะไปเพื่อความสนใจของเรา อานนท์ เธอพึงส่งภิกษุผู้เป็นทูตไปสำนักภิกษุผู้อยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทาพร้อมกับสั่งว่า พระศาสดารับสั่งหาท่านทั้งหลาย พระศาสดามีพระประสงค์จะพบท่านทั้งหลาย”



    4. คำว่า "เชื่อมจิต" บิดเบือนคำสอนพระพุทธเจ้าไหม?


    จะเห็นได้ว่า ตอนที่พระพุทธเจ้ากำหนดจิตรู้ว่าระจิตพระภิกษุ 500 รูปตอนที่อยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา ด้วยทรงมนสิการกำหนดจิต เป็นเหมือนเกิดแสงสว่าง เป็นเหมือนเกิดรัศมีที่ปรากฎแก่พระพุทธเจ้า และทรงมีรับสั่งให้พระอานนท์ไปตามพระภิกษุมาพบ

    ถ้าหากว่าการเข้าเอนญชสมาธิ อเนญชสมาบัติ ที่บุคคลที่สามารถ้าข้าถึงสมาบัติ 8 ได้ โดยเฉพาะพระโพธิสัตว์ที่ต้องสะสมบารมีทศพลญาณสำหรับผู้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต มีความน่าจะเป็นไปได้

    ส่วนการเข้าอเนญชสมาธิ jityim พยายามค้นหาพระสูตรที่ว่า วิหารธรรมนี้ใช้ได้กับพระอรหันต์เท่านั้น หาไม่เจอ

    แต่ถ้านำพระสูตร ....
    สุนักขัตตสูตร ที่กล่าวเกี่ยวกับบุคคลบางคนในโลกที่ได้อเนญชสมาบัติ ที่ได้อากิญจัญญายตนสมาบัติ และเนวสัญญา นาสัญญายตนสมาบัติ นั่นเป็นฐานะที่พึงมีได้

    และในพระสูตร ยโสชสูตร ก็ทรงกำหนดจิตหยั่งรู้วาระจิต โดยการเชื่อมโยงเข้าไปรู้วาระจิตเห็นเป็นเหมือนแสงสว่าง เป็นเหมือนรัศมีจิตของพระภิกษุ 500 รูป ว่าบรรลุพระอรหันต์ พระพุทธองค์สนใจจึงเรียกเข้ามาพบ เมื่อทรงเข้าอเนญชวิหารธรรม พระภิกษุจึงพากันเข้าอเนญชสมาธิ โดยหลายราตรีมิได้ตรัสทักทายภิกษุ 500 รูป เลย

    ดังนั้นพระสูตรยโสชสูตร ประกอบด้วย
    1.การกำหนดจิตถึงพระภิกษุ 500 รูป เพื่อเห็นวาระจิต (เชื่อมจิต /จิตสู่จิต)

    2.การเข้าอเนญชสมาธิ ที่พระพุทธองค์สนใจเพื่อสื่อสารจิตกับพระภิกษุอาคันตุกะ 500 รูปนั้น โดยมิได้ทักทายกันเลย

    หวังว่าความเห็นเหล่านี้น่าจะแลกเปลี่ยนกันเพื่อเป็นประโยชน์ เพื่อหาข้อยุติ ข้อเท็จจริงร่วมกันค่ะ

    ใครคิดเห็นประการใดบ้างคะ เพื่อพิจารณา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2024 at 17:31

แชร์หน้านี้

Loading...