สึกพระมาหลายเดือนมีสิ่งแปลกใหม่มาเล่าสู่กันฟัง
สัพเพ สัตตา มะรันติ จะ มะริงสุจะ มะริสสะเร ตะเถวาหัง มะริสสามิ นัตถิ เม เอตถะ สังสะโย สัตว์ทั้งหลายมีความตายรออยู่ ล้วนต้องตาย อย่างแน่นอน...
คืนนี้จะลองนั่งโดยอัดวีดีโอไว้ด้วย อยากรู้ว่าเวลาที่ตัวรู้มันรู้สึกนิ่ง แล้วกายนิ่งจริงหรือปล่าว
เขาเถียงกันไม่อยากได้ อาตมาก็เอาเงินโยนแม่ที่ส่งมาเลี้ยงเพลพอมีเหลือซื้อไว้ ตัดปัญหา เพราะอาตมาปกติเป็นคนใจอ่อน ใครยืมตังค์ไม่เคยได้คืน...
เมื่อวานวันที่ ๑๕ มีนา เป็นวันเกิด พอฉันท์เช้าเสร็จก็เข้าศาลาทำวัตรเช้ารูปเดียวต่อหน้าหลวงปู่บุดดา ถาวโร...
ถ้าเหตุยังไม่ได้เคยเกิด(ตัวปัญหาที่คอยตำนิว่ากระทู้คนอื่น)ก็ถือว่าเป็นกุศลที่แชร์ประสพการณ์...
สาธุ...สาธุ ถูกแล้วโยม ที่อาตมารู้มาตรงกัน คือ ถ้ารูปไหนวิปัสสนารั่ว เขาจับแยกเลย สอบอารมณ์ทุกสามวัน...
ช่วยลงให้ละเอียดข้อมูลหยาบเกินไป ที่เน้นสีแดงขอให้ลงให้ละเอียด เช่นเขาทำยังไงกับใครบ้าง ใครอยู่ในเหตุการ กี่คน เอาแบบเหมือนอ่านนิยายเลย...
เป็นปิตินะโยมเป็นโอภาส เกิดใน วิปัสสนาญาณสาม เพราะลักษณะการนั่งพิจารณากายเป็นการเจริญวิปัสสนาญาณ เริ่มจากพิจารณารูป(กาย)นาม(จิต)...
การนั่งสมาธิเมื่อจิตเป็นสมาธิดีแล้ว จิตจะปล่อยการตามดูลมแล้วไปจับนิมิตเป็นอารมณ์แทน...
หลังสงกรานต์หลวงพี่ดวลบอกจะให้ไปเขาใหญ่ด้วย ๔๕ วันจัดเต็ม ยังลุ้นอยู่ว่าจะได้ไปจริงหรือปล่าว เพราะรู้สึกว่าจะเป็นการ จัดอบรม วิปัสสนาจารย์...
การทำกสิณคือการทำสมถ การเพ่งน้ำนี้ท่านั่งต้องสบายก่อน ว่างภาชนะใส่น้ำ หรือ ห้วย หนองคลอง บึง ก็ได้ ให้อยู่ในลักษณะดูแล้วสบาย ไม่ก้มไปหรือเงยไป...
พระพุทธเจ้าทรงสอนอยู่เสมอว่า รูปนามไม่เที่ยง ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย...
ผู้ได้ฌาณแล้วมีที่ไปแน่นอนนั้นไม่มีในพระไตรปิฏก มีแต่ว่าผู้ที่อาศัยจิตสุดท้ายก่อนจะตายอยู่ในฌาณจะไปเกิดในพรหมโลก แต่ผู้ได้ฌาณแล้วยังเสื่อมได้...
การเข้าออกฌาณก่อนละกายสังขารของพระอริยะเจ้าทั้งหลายเป็นไปเพื่อ สงบระงับ และ สงบระงับ เป็น สมถ ยังไม่ใช่วิปัสสนา...
แยกชื่อด้วยเครื่องหมายจุลภาค เช่น พลังจิต, พุทธศาสนา