ไสยศาสตร์ที่เขาพนมรุ้ง

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย สันโดษ, 20 พฤศจิกายน 2008.

  1. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    <TABLE class=blog_center_data><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]




    ศาสนาฮินดู พราห์ม เกิดมาก่อนศาสนาพุทธในอินเดีย

    จนกระทั่งมาใช้ยุทธวิธีว่าพระพุทธเจ้าคือปางอวตารมาจากตรีรมูติ ศาสนาพุทธจึงต้องออกจากอินเดียไปเจริญเติบโตที่เนปาลและเอเชีย ในภูมิภาคเอเชียหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ตาม วัฒนธรรมประเพณีต่างๆมักจะผสมผสานกันระหว่างสองลัทธินี้อย่างแยกกันไม่ออก ในด้านกระพี้หรือพิธีกรรม ลัทธิศาสนาฮินดูพราห์มก่อเกิดลัทธิเทวะราชา ขึ้นในเอเชีย ต่อมาเมื่อพุทธศาสนาเจริญเติบโตขึ้น เอเชียก็รับพุทธราชา เข้ามาเป็นลัทธิในการเป็นพื้นฐานปกครองบ้านเมือง

    ลัทธิฮินดูพราห์มจะมีคัมภีร์ไสยาเวทย์ ที่เป็นฤทธิ์ทางโลกียะ ถูกใช้ในหมู่คนที่"หลงทาง" เพราะแนวทางของลัทธิจะใช้ฌานสมาบัติขั้นขณิกสมาธิ ขึ้นไปจนถึง นิโรธสมาบัติ ก็จะได้ฤทธิ์ทางอภิญญาทั้ง6 อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งหมดซึ่งเป็นฤทธิ์ทางโลกียะญาณ แต่แนวทางของพุทธก็จะเหมือนกัน แต่ผิดกันที่พุทธใช้วิปัสสนา-กรรมฐาน เข้ามาช่วยให้เป็นโลกุตตละญาณ

    [​IMG]

    ทางฮินดูพราห์ม มีฤทธิ์จริง แต่ไม่ได้เป็นอริยะและไม่หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
    ทางพุทธ ทั้งมีฤทธิ์และไม่มีฤทธิ์ แต่ได้เป็นอริยะ และหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
    ในทางปฏิบัติ ฮินดูพราห์มจึงได้เป็นแค่"เทพเทวดา" และต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด
    แต่ทางพุทธ จะหลุดจากการเวียนว่ายตายเกิดเข้านิพพานได้

    ในยุคพระร่วงเจ้า ขอมรุ่งเรืองอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมินี้ จึงมีการสร้างเทวสถานอยู่ทั่วไปทั้งบุรีรัมย์ โคราช เขาพระวิหาร นครวัดนครทมฯลฯ ไสยาเวทย์จะควบคู่ในทางปฏิบัติอยู่ในทั้งสองลัทธิ เฉพาะในไทย ในสมัยรัชกาลที่4 จึงแยกนิกายทางพุทธเถรวาทออกเป็นสองสายคือ สายมหานิกายและธรรมยุติ

    สายมหานิกายหรือพระบ้านนี่จะมีการปฏิบัติผสมผสานไปกับลัทธิฮินดูพราห์มเป็นส่วนใหญ่ แต่สายธรรมยุติหรือพระป่า ไม่ผสมสายพระบ้านบางวัดผสมผสานทั้งฮินดูพราห์ม มหายานและเถรวาท ก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป สายพระบ้านนี่มีวัดอยู่ประมาณ25000วัด ส่วนสายพระป่ามีวัดอยู่ประมาณ1000กว่าวัด ในไทย

    นอกนั้นเป็นพวกสำนักทรงเจ้าเข้าผี ฤาษีชีไพร นักพรตนักบวชและลัทธิอื่นๆ
    ในบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองหรือพวกชนชั้นสูงส่วนมากจะนิยมและเชื่อถือศรัทธาในลัทธิฮินดูพราห์มเป็นส่วนใหญ่ เช่นตรีรมูติ พระพิฆเนศร์ ท้าวมหาพรหม เจ้าแม่กาลี หรือไม่ก็หลุดไปสายมหายาน จตุคามรามเทพไปโน่น หรือบางส่วนก็ไปหาฤาษีชีไพร เจ้าพ่อเจ้าแม่ต่างๆ

    ซึ่งในสายธรรมยุติแล้ว ท่านเน้นไตรสรณคมณ์ คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์(อริยะสงฆ์)ให้เป็นที่พึ่งสุดท้าย ส่วนภพภูมิอื่นๆ ท่านว่ามีจริง แต่ไม่ใช่ที่พึ่งสุดท้าย เพราะภพภูมิอื่นๆนั้น ไม่สามารถหลุดพ้นจากวัฎสงสารไปได้ ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่อีกต่อไปตามกฏแห่งกรรม ไม่สามารถหลีกหนีพ้นไปได้ เข้านิพพานไม่ได้ ยกเว้นได้อนาคามีผลในภพเทวดาแล้วปฏิบัติต่อจึงเข้านิพพานได้ ดังนี้ในบัวสี่เหล่านั้น พวกหลงไสยาเวทย์ คลั่งลัทธิ ทุบเทวสถานเขาพนมรุ้ง หรือเณรแอร์ย่างเด็กกุมารทอง ถือว่าเป็นพวกบัวในโคลนตรม พวกนับถือผีสางเทวดาต่างๆ ทรงเจ้าเข้าผี ฤาษีชีไพร หมอดู ถือเป็นพวกบัวใต้น้ำ พวกนับถือมหายานหรือเถรวาท ถือเป็นบัวปริ่มน้ำ

    พวกนับถือเถรวาทสายธรรมยุติ ถือเป็นบัวพ้นน้ำ

    ดังจะเห็นจากในหลวงและสมเด็จฯท่าน เวลาเข้ากราบนมัสการพระสงฆ์องค์เจ้าแล้ว ทั้งสองพระองค์จะเข้าหาพระป่าสายธรรมยุติเป็นหลักเสียส่วนใหญ่ อาธิเช่น หลวงปู่ดุลย์ หลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวน พระอาจารย์ฝั้นฯหลวงปู่เทสก์ฯเป็นต้น หรือแม้แต่ฟ้าหญิงองค์เล็ก ก็กราบอาจารย์มหาบัวเป็นครูบาอาจารย์

    กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม มหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาและองค์กรที่เกี่ยวข้องต่างๆ สมควรตื่นจากการตั้งรับ มาทำงานเชิงรุกได้แล้ว โดยการให้"ความรู้ ความจริง"แก่ประชาชน และหรือ เสนอต่อรัฐบาลให้บรรจุพุทธศาสนาสายธรรมยุติพระป่า(เท่านั้น)เป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ

    เพื่อป้องกันความหลงผิดทั้งหลายทั้งปวงที่ได้เกิดขึ้นมาแล้วและที่กำลังจะเกิดขึ้น ต้องบอกและสอนต่อประชาชนว่า เครื่องมือของพระพุทธเจ้าที่วางไว้เพื่อการหลุดพ้นฯนั้นมี หนึ่งต้องบวช สองต้องยึดธุดงควัตร13คือเดินป่าเป็นอาจิณ และต้องถือขันธวัตร14 เพื่อทรมาณกายและยึดกรรมฐาน40 เพื่อมรมาณใจและใช้วิปัสสนาเพื่อให้บรรลุธรรม เป็นอริยะสงฆ์(ตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป)

    ถ้าไม่มีเครื่องมือสี่อย่างนี้ ก็อนุมานว่าเป็นพวกไม่สามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดทั้งสิ้น
    และต้องไม่นับรวมฆาราวาส ที่ต้องปฏิบัติฆาราวาสธรรมเท่านั้นก็พอแล้ว ไม่ใช่ไปไหว้พระราหู ไปกราบตรีรมูติ กราบฤาษีชีไพร กราบเจ้าพ่อเจ้าแม่ต่างๆ ที่สักวันตามกฏแห่งกรรมก็ต้องมาเสวยกรรมเป็นมนุษย์เป็นเดียรัจฉานอยู่ร่ำไป

    พระพุทธเจ้าแท้ๆมีองค์เดียวในยุคสมัยนี้ มีพระธรรม ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ มีพระสงฆ์สายพระป่า ไม่กราบ ไม่ยึดเป็นที่พึ่งสุดท้าย บ้านเมืองมันถึงวิปริตผิดธรรมดาไปเช่นนี้นี่เอง


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ที่มา http://www.oknation.net/blog/NARKA
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2008
  2. ตะกอน

    ตะกอน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +26
    ถ้าได้เป็นอริยะ และหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด แต่ไม่มีฤทธิ์ ก็ยอมนะ ถ้าหลุดพ้นจากอุปทานทั้งหลายเเล้ว ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องมีฤทธิ์นี่เน๊อะ ^^
     
  3. jake009

    jake009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +285
    อ้างอิง "พวกนับถือเถรวาทสายธรรมยุติ ถือเป็นบัวพ้นน้ำ"
    ไม่เห็นด้วยกับ คำกล่าวนี้ เพราะ การกล่าวเช่นนี้ ไม่ถูกต้องนัก เพราะไม่ว่านิกายไหน ก็พุทธเหมือนกัน จะพ้นน้ำหรือไม่พ้นน้ำ อยู่ที่การปฏิบัติตามคำสอนของแต่ละคนมากกว่า
     
  4. ผู้นอบน้อมสุดใจ

    ผู้นอบน้อมสุดใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    955
    ค่าพลัง:
    +2,094
    พุทธเหมือนกันทั้งนั้นครับ
     
  5. ตะกอน

    ตะกอน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +26

    เห็นด้วยครับ คำว่าบัวพ้นน้ำ ไม่ได้อยู่ที่สีของจีวร หรือนิกายใหน อยู่ที่การปฎิบัติมากกว่า
     
  6. SaveMax

    SaveMax เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    172
    ค่าพลัง:
    +578
    พุทธ เขียนเหมือกัน พูดเหมือนกัน คนไม่เหมือนกัน ปฏิบัติไม่เหมือนกัน...
     

แชร์หน้านี้

Loading...