เรื่องเด่น โลกันตนรก ( พระอาจารย์เล็ก วัดท่าขนุน )

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 20 พฤศจิกายน 2017.

  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,405
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,470
    เปิดดูไฟล์ 4397876




    #พระอาจารย์กล่าวถึงโลกันตนรกให้ฟังว่า "โลกันต์เขาลงโทษด้วยความเย็น เป็นนรกขุมเดียวที่อาตมาสนใจไปดู ขุมอื่น ๆ ไม่ไปหรอก เพราะเคยลงมาหมดแล้ว ขาดโลกันต์ขุมเดียวยังไม่ได้ลง จึงต้องไปดู อยากจะรู้ว่าการลงโทษด้วยความเย็นนั้นเย็นขนาดไหน ? ก็เย็นขนาดที่สัตว์นรกตกกระทบผิวน้ำแล้วป่นเป็นผงไปเลย กรอบขนาดนั้นเลย แต่ป่นเป็นผงเฉพาะส่วนของเลือดเนื้อ แต่กระดูกยังอยู่ ลองนึกถึงว่า ลำพังตัวคนก็หนาวจะแย่อยู่แล้ว ถ้าเหลือแต่กระดูกจะหนาวขนาดไหน ? เป็นรสชาติที่อธิบายไม่ได้หรอก นอกจากไปลงเสียเอง สักพักหนึ่งเลือดเนื้อก็กลับมาใหม่ รีบว่ายตะเกียกตะกายเพื่อจะหนีขึ้นฝั่ง บางคนก็ตกอยู่ชิดฝั่งนี้ แต่มองอะไรไม่เห็น ก็ตะกายว่ายไปอีกฝั่ง กว่าจะไปถึงก็อีกไกล ร่างก็แตกกรอบไปอีกรอบหนึ่ง"

    ☘ถาม : ทำผิดอะไรนักหนาถึงโดนขนาดนี้ ?
    ตอบ : ทำผิดประมาณสี่เท่าของอเวจี อย่าคิดว่าไม่มีใครทำได้นะ ตัวอย่างมี ในคัมภีร์เภทธรรมติจักรศาสตร์ของมหายาน เขากล่าวถึงการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่สองว่า ไม่ใช่เกิดจากความวิบัติของสีลสามัญตาแบบของเถรวาท

    ของเถรวาทกล่าวว่า การสังคายนาเกิดจากความวิบัติของสีลสามัญตาเพราะว่าภิกษุพาวัชชีไปผ่อนผันศีลอยู่ ๑๐ ข้อ อย่างเช่นว่า สุรารสอ่อนที่มีสีแดงเหมือนเท้านกพิราบนั้นดื่มได้ ก็คือกินไวน์ได้ หรือจับต้องเงินทองได้ ฯลฯ พระยสกากัณฑบุตรจึงต้องทำการสังคายนาพระธรรมวินัยใหม่

    แต่ทางด้านคัมภีร์เภทธรรมติจักรศาสตร์ของทางด้านสันสกฤตที่เป็นมหายาน เขาบอกว่าการสังคายนาครั้งที่ ๒ เกิดจากมติของพระมหาเทวะ ๕ ข้อ

    มหาเทวะ เป็นลูกพ่อค้าเกวียน มีแม่ที่สวยมาก พ่อไปค้าขายต่างเมืองบ่อย ๆ เมื่อพระมหาเทวะโตเป็นหนุ่ม ก็เลยเป็นชู้กับแม่ตัวเอง แล้วกลัวว่าพ่อของตนเองจะรู้ พอพ่อกลับมาก็เลยฆ่าพ่อเสีย แล้วพาแม่หนีไปอยู่เมืองอื่น

    พอไปอยู่ที่เมืองอื่น เจอพระอรหันต์องค์หนึ่งที่รู้จักว่าท่านเป็นลูกเต้าเหล่าใคร มาจากไหน พระมหาเทวะกลัวว่าพระอรหันต์จะบอกเบื้องหลังของตน ก็เลยฆ่าพระอรหันต์ พอฆ่าพระอรหันต์เสร็จโดนแม่ดุด่า ว่าทำไมไปสร้างอนันตริยกรรมขนาดนั้น ก็เลยฆ่าแม่ด้วย..!

    ด้วยความเครียดที่ตัวเองทำสิ่งที่เป็นกรรมหนักขนาดนั้น ก็เลยคิดจะล้างกรรมโดยการหนีไปบวชในพระพุทธศาสนา พอหนีไปบวชด้วยความที่ท่านเป็นคนฉลาดมีปัญญามาก สามารถท่องจำพระไตรปิฎกได้ ลูกศิษย์ก็เลยเยอะ พออยู่ไปก็เกิดวิปลาสขึ้นมา เที่ยวไปพยากรณ์ว่าคนนั้นคนนี้เป็นพระอรหันต์

    ลูกศิษย์ก็บอกว่า "พระอรหันต์ท่านน่าจะรู้ทุกอย่าง แต่ทำไมผมไม่รู้ตัวว่าเป็นพระอรหันต์ แล้วทำไมอาจารย์บอกว่าผมเป็น ?" ท่านบอกว่าพระอรหันต์อาจจะมีอันญาณ คือ ความไม่รู้ได้ การจะได้มรรคผลหรือไม่ได้มรรคผลต้องมีผู้รู้พยากรณ์ให้

    พอพระลูกศิษย์ท่านสงสัย พระมหาเทวะท่านก็เครียด เพราะกลัวคนจะรู้ความลับด้วย ขณะเดียวกันลูกศิษย์ก็ฉลาด มาเรียนก็ไม่ได้เรียนเปล่า ปฏิบัติไปด้วย สงสัยตรงไหนก็ไปไล่ถามและอาจารย์ก็ไม่เก่งจริง พอพระมหาเทวะเครียดขึ้นมา ก็ไปยืนรำพึงว่า "อโห..ทุกขัง ทุกข์จริงหนอ"

    ลูกศิษย์พอได้ยินก็ถาม "อาจารย์เป็นพระอรหันต์แล้วยังทุกข์อยู่อีกหรือ ?" พระมหาเทวะก็เก่ง บอกว่าคนจะเป็นพระอรหันต์ได้จะต้องภาวนาว่า อโห..ทุกขัง พระมหาเทวะก็แก้อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ

    จนกระทั่งวันหนึ่งพระมหาเทวะ "ฝันเปียก" ลูกศิษย์เอาสบงไปซัก เห็นเข้าจึงถามว่า "ไหนอาจารย์ว่าเป็นพระอรหันต์หมดความกำหนัดแล้ว ทำไมยังฝันเปียกอยู่ ?" พระมหาเทวะก็บอกว่าพระอรหันต์อาจจะโดนมารยั่วยวนในความฝันได้

    มติเหล่านี้ลูกศิษย์เขาบันทึกลงในคัมภีร์ กลายเป็นอาจาริยวาท ก็คือ คำสอนเฉพาะตัวของแต่ละอาจารย์ที่ลูกศิษย์เขานับถือ ซึ่งทำให้ธรรมะจริง ๆ เสียหายหมด จึงต้องมีการสังคายนาพระธรรมวินัยใหม่

    เราอาจจะคิดว่า ไม่มีคนที่สามารถจะทำผิดถึงสี่เท่าของอเวจีได้ แต่มหาเทวะทำได้สำเร็จ ทั้งทำลายพระธรรมวินัย ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ โทษอเวจีล้วน ๆ เลย เขาเป็นยอดคนจริง ๆ เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายเหล่านี้มีโลกันต์เป็นที่ไป ได้ตู้เย็นส่วนตัว..! จะว่าไปแล้ว กำลังใจขนาดนี้ถ้าพลิกมุมนิดเดียวอาจจะบรรลุมรรคผลไปเลย

    หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า พระไตรปิฎกฉบับที่เชื่อถือได้มากที่สุด ก็คือฉบับที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชพระราชทานให้ออกญาโกษาปาน นำไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ฉบับนั้นยังไม่เพี้ยน

    มารุ่นหลังความหมายเริ่มเพี้ยนเยอะ เอาแค่พระสูตรแรกในทีฆนิกาย สุตตันตปิฎก เปิดพระไตรปิฎกขึ้นมา ถ้าถึงสุตตันตปิฎกก็จะเจอเลย พระสูตรแรกคือ พรหมชาลสูตร

    พรัหมะ แปลว่า ผู้ประเสริฐ , ผู้เป็นใหญ่ ชาละ คือตาข่าย เขาตีความหมายว่า พระสูตรแห่งข่ายคือพระญาณอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า อยู่ในลักษณะยกย่องว่าพระพุทธเจ้ามีข่ายคือพระญาณอันประเสริฐ จึงสามารถรู้ลัทธิต่าง ๆ ของศาสดาอื่น ๆ ได้ถึง ๖๒ ลัทธิด้วยกัน

    แต่ความจริงความหมายนี้ผิด คำว่าพรหมชาละตัวนี้แปลว่า ตาข่ายดักพรหม ก็คือ บรรดาทิฐิทั้ง ๖๒ ลัทธิไม่มีใครหลุดพ้นไปจากพรหมหรอก ติดอยู่แค่นั้นแหละ ไม่เกินนั้นเด็ดขาด

    ถ้าตีความผิดไปเรื่อย ๆ ต่อไปความหมายก็จะเพี้ยนไปด้วย เพราะฉะนั้น..ภาษาบาลีถึงแม้ว่าจะดี เพราะเป็นภาษาที่ตายไปแล้ว ความหมายไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้อีกแล้ว แต่ก็ขึ้นอยู่กับคนแปลว่าเข้าถึงแค่ไหน

    โดยเฉพาะในเรื่องของอารมณ์ธรรมะจริง ๆ แล้ว ไม่สามารถบันทึกเป็นตัวหนังสือได้ เพราะว่าอารมณ์ธรรมจริง ๆ เป็นปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน ละเอียดเกินกว่าคำพูดหรือหนังสือจะบันทึกไว้ได้

    #พระครูวิลาศกาญจนธรรมดร.
    (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    #เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ต้นเดือนกันยายน๒๕๕๓
    (+www.watthakhanun.com+)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2017

แชร์หน้านี้

Loading...