โลกกับธรรม..สัมพันธ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ไม้บรรทัด, 3 กันยายน 2010.

  1. ไม้บรรทัด

    ไม้บรรทัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2008
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +293
    โลกกับธรรมสัมพันธ์
    <O:pคำนำ

    <O:p> หนังสือเล่มเล็กๆที่ท่านอ่านอยู่นี้เป็นผลของมือบอนที่ผู้เขียนไม่อยู่เปล่า ได้เขียนไว้นานหลายปีแล้ว เวลานี้ผู้เขียนแก่ชราภาพ เขียนแลพูดไม่ค่อยสะดวก สานุศิษย์คิดจะรวบรวมของเก่าๆที่ผู้เขียนได้เขียนไว้มารวบรวมให้เป็นเล่ม เพื่ออนุชนรุ่นหลังจะได้ศึกษาแลปฏิบัติตาม</O:p>
    <O:p></O:p><O:p></O:p><O:p> สังขารร่างกายแก่ชราภาพย่อมเสื่อมคุณภาพทำงานอะไรไม่ค่อยได้ แต่ธรรมยิ่งแก่ก็ยิ่งมีคุณภาพด ีธรรมย่อมไม่ถึงซึ่งแก่ชราภาพ</O:p><O:p></O:p>
    <O:p>(พระนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาจารย์):cool:</O:p><O:p></O:p>
    <O:p>วัดหินหมากเป้ง
    </O:p><O:p>๑๘ ธันวาคม ๒๕๒๙</O:p><O:p></O:p>

    <O:p></O:p><O:p></O:p>

    พอท่านจับหนังสือเล่มนี้ยกขึ้นมาดูที่หน้าปกก็จะทายในใจได้ทันทีว่า บทความเบื้องต้นนี้ผู้เขียนจะพูดถึงเรื่องอะไร พอเปิดต่อไปหลังจากหน้าคำนำแล้ว ก็จะเข้าใจได้ทันทีว่า อ๋อ ท่านพูดถึงเรื่อง โลก มันเกี่ยวข้องด้วย ธรรม นี่ แน่นอนทีเดียว ไม่มีใครจะปฏิเสธได้สักคนเลยว่า คนเราที่เกิดมานี้จะไม่เอาวัตถุอันมีอยู่ในโลกนี้มาประกอบเป็นโครงสร้างตัวตนเป็นไม่มี (ธาตุทั้งสี่นี้แหละคือธรรม) แม้แต่สัตว์แลพืชติณชาติที่เกิดอยู่บนแผ่นดินนี้ทั้งหมดก็ไม่พ้นเอาวัตถุของโลกนี้มาประกอบจึงจะเกิดแลงอกงามขึ้นมาได้<O:p></O:p>
    ฉะนั้นโลกอันนี้จึงเป็นพื้นฐานที่รับรองของสัพพะสิ่งทั้งหลาย ผู้หรือสิ่งอันจะต้องเกิดขึ้น ทั้งของที่วิญญาณครองและหาวิญญาณครองมิได้ เมื่ออุบัติหรือเกิดปรากฏเป็นรูปร่างขึ้นมาแล้ว (ที่เรียกว่า สังขาร) ก็จะต้องอาศัยโลกนี้อยู่ต่อไปอีก ขณะเดียวกัน ก็จะต้องขุดค้น คุ้ยเขี่ยแทะเอาสะเก็ด เปลือกผิวของโลกนี้แหละมาเป็นเครื่องบำรุงหล่อเลี้ยง จึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ชั่วระยะหนึ่ง<O:p></O:p>
    หากเรือนร่างหรือวัตถุโลกที่เขาเหล่านั้นนำมาใช้อยู่นั้นวิปริตแปรปรวน ไม่สามารถจะรับภาระได้แล้วมันก็จะต้องแตกดับ แปรสภาพเข้าไปเป็นสภาพเดิมของมัน ( คือธาตุทั้งสี่) สัตว์ผู้ยังมีหนี้สินติดพัวพันอยู่กับโลกนี้(คือบุญ- กรรม) ตายไปแล้วจะต้องกลับมาชดใช้หนี้สินโลกนี้อีก (คือมาเอาวัตถุโลกนี้มาประกอบแล้วมาบริโภควัตถุโลกนี้สืบต่อไป)<O:p></O:p>
    ตกลงว่าวัตถุของโลกนี้เป็นของกลาง มิใช่ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ใครจะถือเอาเป็นกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียวไม่ได้ ถึงจะถือเอาก็ไม่เป็นของตนได้แต่ผู้เดียวใครเกิดมาก่อนเอาไปใช้ก่อน และบริโภคชั่วระยะที่ยังดำรงอยู่นี้ เวลาแตกดับแล้วสละทิ้งไว้ในโลกนี้ตามเดิม คนทีหลังเกิดมาก็ต้องเอาของเขาทิ้งไว้นั้นมาประกอบเกิดแลบริโภคต่อไป<O:p></O:p>
    อนึ่ง ของที่บริโภคนำมาหล่อเลี้ยงในขณะที่ยังดำรงอยู่นั้น เมื่อถ่ายลงไปถมพื้นแผ่นดินนี้อีก กลายเป็นปุ๋ยหล่อเลี้ยงผักหญ้าแลลูกไม้ ผลไม้ต่างๆ ผู้ที่เกิดมาทีหลังก็จะต้องอาศัยของเก่าเขาเหล่านั้นบริโภคหล่อเลี้ยงให้เขาได้ทรงอยุ่ต่อไป ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันใช้บริโภควัตถุของโลกอยู่อย่างนี้ตลอดไปไม่มีที่สิ้นสุดไม่ทราบว่าใครเป็นผู้เกิดก่อนเกิดหลังแลใครบริโภคของใครกันแน่<O:p></O:p>
    ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่าโลกนี้กลม แต่พระองค์มิได้หมายความว่ากลมอย่างลูกมะพร้าวกลมเพราะไม่มีต้นมีปลาย ไม่ทราบว่าใครเกิดก่อนใคร ใครตายก่อนใคร และใครกินของใคร ใครกินก่อนกินหลัง ตกลงเรากิน เราถ่ายแล้วนำมากินอีก เราตายแตกดับสละทอดทิ้งไว้แล้ว คนหลังนำเอามาประกอบเกิดอีก แต่มันมาตรงตามความเป็นจริง คือโลกเป็นของกลม<O:p></O:p>
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า มนุษย์และสัตว์ ตลอดถึงต้นไม้ใบหญ้าซึ่งเกิดมีอยู่ในโลกนี้ทั้งหมด อาจเป็นเลือดเนื้อและกระดูกของมารดา บิดา หรือบุตร ธิดา หลาน เหลน หรือตัวเราเองก็ได้ ซึ่งของเหล่านั้น เกิดจากธาตุทั้งสี่อันเป็นวัตถุของกลางของโลกนี้ ทุกคนเกิดมาก็ต้องมายืมเอาไปใช้ด้วยกันทั้งนั้น เหมือนกับธนบัตรของรัฐบาลที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ แต่ละใบบางทีเราอาจนำมาใช้หลายครั้งแล้วก็ได้ใครจะไปรู้ เราไม่สนใจเฉยๆ<O:p></O:p>
    พระองค์ทรงสอนให้เอ็นดูเมตตาสงสารซึ่งกันและกัน อย่าได้เห็นแก่ตัวนัก คนอื่นสัตว์อื่นก็คือส่วนหนึ่งของตัวเรานั่นเอง หรือมิฉะนั้นก็อาจเป็นจิตเป็นใจบิดามารดา ครูบาอาจารย์ บุตร หลาน ญาติมิตรของเราคนใดคนหนึ่งยังกำลังครองร่างก้อนนั้นอยู่ก็ได้ ธาตุทั้งสี่คือโลกอันนี้ จึงนับว่าเป็นของมีพระคุณแก่มนุษย์ชาวโลก ผู้ยังมีกรรมที่จะต้องมาเกิดอีกเป็นอันมาก<O:p></O:p>
    เมื่อเรามาศึกษาธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วก็จะเห็นว่า ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า พระองค์ก็สอนให้รู้เข้าใจเท่าทันในโลกธาตุ (คือตัวของคนเรานี้เอง)ฉะนั้น โลก กับธรรม จึงเกี่ยวเนื่องกันอยู่ตลอดกาลเป็นนิจ ในเมื่อจิตของเรายังไม่พ้นหรือเหนือจากโลกถึงแม้ที่พ้นจากโลกแล้วก็ตาม เมื่อท่านผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องเสวยวิบาก(คือเกี่ยวเนื่องอยู่กับโลก) ตามสภาพของมัน<O:p></O:p>
    โลกกับธรรมต่างก็เดินเข้าหาจุดหมายอันเดียวกันคือความสุข แต่วิธีเดินมันผิดกันไปคนละทาง ฉะนั้นผลมันจึงไม่เหมือนกัน คือโลกมีแต่จะเอาถ่ายเดียว คิดปรุงแต่งกอบโกยสะสมเอาๆหนักเข้าจนเป็นการเห็นแก่ตัว อันเป็นเหตุทำความเดือดร้อน เป็นทุกข์แก่คนอื่นไปก็มี แล้วก็ไม่มีเวลาอิ่มเวลาพอสักทีเสียด้วย แม่อายุจะสักร้อยปีตายไป ความอิ่มความพอก็ยังไม่มีที่สิ้นสุด ตายไปแล้วก็ยังเป็นหนี้ของโลกอยู่เลย(คือความบกพร่องอยู่)จึงเป็นทุกข์ทั้งแก่ตนแลคนอื่นด้วย<O:p></O:p>
    พระพุทธเจ้าทรงเห็นโทษในความไร้ค่าชีวิตของคนเรานี้ จึงทรงสอนว่าทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งมีอยู่ในโลกนี้แม้ที่สุดแต่ตัวของเราเอง มันเป็นเพียงของอาศัยชั่วคราวเท่านั้น ฉะนั้น เมื่อสิ่งนั้นๆ เกิดมีมาแล้วจงให้รู้อิ่มแลพอเป็น แล้วใช้แลสละให้เป็นประโยชน์ สมควรแก่ฐานะและหน้าที่ของมันเสีย<O:p></O:p>
    ในโลกนี้ธรรมล้วนๆย่อมไม่มี มีแต่โลกเจือด้วยธรรมทั้งนั้น<O:p></O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กันยายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...