'เอิร์ธ' ศัลย์ อิทธิสุขนันท์ อดีตมิสเตอร์ Perfectionist

ในห้อง 'พุทธศาสนากับคนดัง' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 17 ตุลาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=160 align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=1 vAlign=center width=165 align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=/images/linedot_vert3.gif width=4>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=7 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>ระยะเวลาเพียงสองอาทิตย์อาจไม่มากพอต่อการเข้าใจโลกเข้าใจชีวิต แต่สำหรับพิธีกรและดีเจชื่อดังอย่าง ‘เอิร์ธ’ ศัลย์ อิทธิสุขนันท์ ถือเป็นช่วงเวลาที่คุ้มค่าต่อการเรียนรู้ เพราะเขาได้ใช้ไปในร่มกาสาวพัสตร์ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร

    ในวัย 35 ปี เอิร์ธพักงานในวงการบันเทิงที่ทำอยู่ เช่น พิธีกรรายการ “สโมสรสุขภาพ” และรายการ M-Cut ทางช่อง 9, รายการ Star State ทางช่อง 3, ดีเจคลื่นชิล เอฟเอ็ม 89, ทูตมูลนิธิรักษ์ไทย รวมถึงกิจการร้านชั้นขนมหวาน และชั้นแคทเทอริ่ง ที่นับวันจะไปได้สวยและขยายสาขาออกไปมากขึ้น เพื่อไปบวชทดแทนบุญคุณพ่อแม่ ซึ่งได้กล่าวถึงความรู้สึกในวันที่มีเพื่อนฝูงจากแวดวงต่างๆไปร่วมอนุโมทนาในพิธีบวชว่า

    “ปกติวันพ่อวันแม่ก็จะให้แต่พวงมาลัย พอบวชได้กราบเท้าท่านน้ำตาเลยซึม เพราะมีบางครั้งที่เราเหนื่อยจากการทำงานมา เราอาจจะพูดไม่ดีกับท่านไปบ้าง ด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ประมาท พลั้งเผลอ เลินเล่อ เราก็เลยขออโหสิกรรมท่านทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกายกรรม วจีกรรม หรือมโนกรรม”

    และหลังจากที่สึกออกมาแล้ว เขาบอกเล่าว่า เหตุผลรองลงมาที่ทำให้ต้องบวช ก็เพื่อจะได้มีเวลาอยู่กับตัวเองและศึกษาโลกอีกโลกหนึ่งอย่างแท้จริง ดังนั้นชีวิตช่วงหนึ่งที่หมุนช้าลง เขาจึงมีสติไตร่ตรองในเรื่องต่างๆมากขึ้น

    “เพราะเอิร์ธเป็นคนที่มีคิวงานแน่นมาก ธุระปะปังอะไรมากมายเต็มไปหมด พอช่วงบวช รู้สึกว่าตัวเองได้นิ่งและใจเย็นขึ้นบ้าง”

    อดีตพระเอิร์ธ ผู้ได้รับฉายาระหว่างที่บวชว่า “ปญฺญา- สัลฺโล” แปลว่า ผู้มีปัญญาเฉียบแหลม ยอมรับว่าก่อนหน้านี้เขาก็เคยลังเลที่จะบวชมาหลายครั้ง เพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอะไรมาก อีกทั้งยังติดในรูปลักษณ์ภายนอก

    “คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ได้เร่งรัด จะบวชหรือไม่บวชก็ได้ เคยมีบางช่วงที่คิดเหมือนกันว่าไม่ต้องบวชก็ได้มั้ง เราเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา มันก็สามารถทำความดีได้นะ ตอนนั้นยังทำงานเยอะ ยังไม่สามารถละกิเลสได้

    ซึ่งเอิร์ธคิดว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้หลายคนไม่กล้าบวชก็คือ ต้องโกนหัว เอิร์ธก็เคยกลัว คิดว่าถ้าโกนหัวแล้ว หน้าตาเราจะเป็นอย่างไร สึกออกมาจะทำงานได้ไหม เพราะกว่าผมจะยาว คงต้องใช้เวลา”
    และหลังจากที่เคยบอกตัวเองว่า “รอให้พร้อมก่อน” ในที่สุดเขาก็เลิกผัดวันประกันพรุ่ง เพราะเรียนรู้ว่า จริงๆแล้วความพร้อมเกิดจากใจเป็นสำคัญ

    “อาจเป็นเพราะช่วงหลังเอิร์ธได้หยิบหลักธรรมะมาใช้อย่างถูกต้องด้วยมั้ง ธรรมะของการอยู่กับปัจจุบัน เราไม่รู้อนาคต ดังนั้นจะทำอย่างไรให้ปัจจุบัน ของเราดี และใช้ชีวิตให้มีคุณภาพที่สุด
    วิถีชีวิตในอนาคตมันเป็นเรื่องที่จะต้องมี แต่เราไม่รู้ว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้น ฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเรา เราต้องทำวันนี้ให้มันดีที่สุด ถ้าอยากทำอะไรที่มันเป็นสิ่งดี ก็ทำเลยดีกว่า”

    และจากที่ตัดสินใจลงมือทำ(ดี)ทันทีดีที่สุด เขาก็เริ่มถอยห่างจากการเป็นคนห่วงรูปลักษณ์ภายนอกออกมาเรื่อยๆ

    “ตอนทำวัตรสวดมนต์ แม้จะสวดเป็นคำบาลี แต่ก็มีคำแปลให้เข้าใจความหมายในสิ่งที่สวด เช่น เรามีความแก่เป็นธรรมดา เรามีความตายเป็นธรรมดา ซึ่งมันเป็นเรื่องจริงเลย แต่ว่าคนจะหนีตลอดเวลา กลัวว่ามันจะมาถึง มันเหมือนเราไม่ยอมรับความจริง จะต้องรอเป็นคนที่แก่มากๆแล้วถึงจะยอมรับความจริง และเข้าใจในสิ่งนี้”

    ณ วัดหลวงชั้นเอกอย่างวัดบวรฯ นอกจากกิจของสงฆ์ที่ต้องปฏิบัติทุกวันอย่างเคร่งครัด และต้องเข้าชั้นเรียนเพื่อศึกษาเรื่องวินัยสงฆ์ พุทธประวัติ ศาสนพิธี ฯลฯ ดีเจหนุ่มยังได้มีโอกาสเข้าเฝ้าสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งทรงเป็นพระอภิบาล (พระพี่เลี้ยง) ของพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในระหว่างที่ทรงผนวช

    “สี่ถึงห้าครั้งเลยครับ(หัวเราะ) มีแต่คนบอกว่าเด็กเส้นหรือเปล่า ทำไมได้เข้าเฝ้าบ่อย แถมได้นอนเฝ้าด้วย โชคดีมาก ปกติแล้วพระใหม่จะไม่ค่อยมีโอกาสเลย แต่พระผู้ใหญ่จะได้เข้าเฝ้าอยู่บ่อยๆ มีพระที่ต้องคอยอยู่เวรตอนกลางคืน 2-3 ชั่วโมง เอิร์ธมีโอกาสเป็นหนึ่งในนั้นด้วย พระอาจารย์ไหว้วานให้ช่วย ซึ่งก็ยินดีอยู่แล้ว”

    แม้จะไม่มีโอกาสสนทนาธรรมกับสมเด็จพระสังฆราช เนื่องจากพระองค์ชราภาพมากแล้ว ถึงกระนั้นเขาก็รู้สึกภาคภูมิใจมากแล้วที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าและเห็นพระองค์ท่านทรงทอดพระเนตรมาที่พระบวชใหม่เช่นเขา

    “สมัยก่อนคนที่จะเข้าเฝ้าพระองค์ท่านได้ก็ต้องรอให้ถึงสี่โมงเย็น ตอนที่พระองค์ท่านอาพาธไปรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ แต่ปีนี้ไม่ได้แล้ว เพราะว่าปีที่ผ่านมาพระองค์ท่านติดเชื้อ ถ้าคนเข้าเฝ้าเยอะไม่ค่อยดีต่อสุขภาพของพระองค์เท่าไหร่ ก่อนหน้านี้ก็เคยมีความคิดอยากจะเข้าเฝ้าพระองค์ท่านสักครั้ง พอบวชเป็นพระจึงทำให้มีโอกาส”

    ราว 3 วัน ระหว่างที่บวช เขายังได้รับประสบการณ์ที่ดี จากการเดินทางไปจำวัดที่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง ในจังหวัดนครราชสีมาอีกด้วย
    “เพราะอยากรู้ว่าวัดป่าเป็นอย่างไร พระธุดงค์เป็นอย่างไร ที่โน่นมีพระอาพาธอยู่ด้วย ก็เลยได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับท่าน ทำให้การบวชครั้งนี้ได้ประสบการณ์เยอะแยะ”

    เวลานี้เขาค้นพบคำตอบว่า การบวชเป็นพระไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินไปสำหรับเขา และไม่มีคำพูดใดที่จะมาลดศรัทธาที่ตัวเขามีต่อพระพุทธศาสนา
    “การบวชไม่ยากครับ แต่ถ้าจะประพฤติให้ครบ 227 ข้อตามพระวินัยจริงๆมันยาก แต่ก็มีคนทำได้เยอะแยะ เอิร์ธเป็นคนชอบไหว้พระ ชอบทำบุญอยู่แล้ว จากเดิมเราศรัทธามากอยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้รู้สึกมากขึ้นหรือลดลงกว่าเดิม”

    การเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี เขาเห็นว่าควรจะต้องรักษาศีลห้าให้ได้ ในเบื้องต้น มากกว่านั้น สำหรับเขาแล้ว ถ้ามีโอกาสก็จะทำบุญ และตั้งใจปฏิบัติธรรม

    ที่ผ่านมาเขามีวิธีการทำบุญด้วยการเปลี่ยนหลอดไฟให้วัด บริจาคค่าน้ำค่าไฟ ล้างห้องน้ำ กวาดลานวัด ใส่บาตร ถวายเพล ฯลฯ โดยวัดที่ไปประจำก็คือวัดใกล้บ้าน อย่างวัดภาษีเจริญ รวมถึงวัดบวรฯ และวัดตามต่างจังหวัด

    “แล้วแต่สะดวกมากกว่า แต่ที่บ่อยที่สุดก็เป็นวัดบวรฯ นี่แหละ เพราะสนิทกับหลวงตาสาโรจน์ รู้จักผ่านเพื่อน เพราะเพื่อนเคยมาบวชที่นี่ก่อน พอมาทำบุญก็เลยได้รู้จักหลวงตา มีเหตุอะไรที่ทำให้ต้องเข้าวัด หรือทำบุญ นับถอยหลังตอนปีใหม่ เอิร์ธก็มาอยู่วัด และสุดท้ายเวลาประจวบเหมาะก็ได้มาบวชที่วัดนี้”

    กล่าวถึงคนดีในสายตา เขาบอกว่าเป็นอะไรที่จำกัดความลำบาก แต่ถ้าให้นึกถึงคร่าวๆ เขาคิดว่าคนดีก็คือคนที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

    “ไม่เบียดเบียนคนอื่น สังคม และตัวเอง น่าจะเป็นพื้นฐานของคนดี และจากที่ดีแล้วก็อาจจะต่อยอดความดีนั้นออกไปอีก”

    และความดีที่เขาตั้งใจว่าอยากทำเพื่อพระพุทธศาสนา ในฐานะที่เป็นคนมีชื่อเสียง แล้วมีโอกาสพูดและส่งสารอะไรบางอย่างออกไปให้คนวงกว้างได้รับรู้

    “สิ่งที่อยากทำตอนนี้คือ อยากจะบอกต่อ ปัจจุบันมีคนเข้าใจพระพุทธศาสนาผิดเพี้ยนไปเยอะ แม้เราจะไม่ใช่พระ ถ้าเราได้บอกต่อนิดหน่อยแล้วทำให้คนเข้าใจในพระพุทธศาสนา มันก็น่าจะดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพระพุทธ-เจ้าสอนอะไรไว้ หรือเรื่องที่เคยมีคนบอกว่า เดี๋ยวนี้พระมีหลายรูปแบบ อย่างเช่น พระดูหมอ พระดูดวง พระรักษาโรค เดิมทีทุกคนเชื่อถือพระอยู่แล้ว แต่พอพระไปทำผิด คนก็เลยไม่รู้ว่า สิ่งที่พระทำมันผิดหรือถูก หรือว่าอย่างไร

    เอิร์ธคิดว่า พระก็คือมนุษย์ มีทั้งดีและไม่ดี มีทั้งระเบียบเข้มเต็มร้อย หรือไม่ก็อาจจะมีหย่อนบ้าง เคยได้ยินหลายคนที่เคยบวชพูดว่า หมดศรัทธาในพระพุทธศาสนา แต่เอิร์ธว่าจริงๆแล้วมันอยู่ที่การประพฤติตัวของเรามากกว่า ซึ่งมีหลักธรรมข้อหนึ่งบอกว่า เวลาเราเจอข้อไม่ดีของคนอื่น อย่าติ แต่ให้หยิบตรงนั้นมาเป็นตัวอย่าง สำหรับตัวเราว่า ถ้าไม่ดีก็อย่าทำ ถ้าดีก็ให้ทำ”

    มีธรรมะหลายข้อมากที่เขานำมาปรับใช้กับชีวิตอยู่บ่อยๆ ซึ่งธรรมะที่เขาคิดว่าเป็นจริงที่สุดก็คือ ความไม่แน่นอนของชีวิต

    “ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้หรือว่าชั่วโมงข้างหน้า อะไรจะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเราต้องทำเวลา ณ ขณะปัจจุบัน ให้มีคุณภาพที่สุด ดีที่สุด”

    ในทางโลกเขายังมีความฝันที่จะทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จกว่าที่เป็นอยู่ ขณะที่งานในวงการบันเทิงก็มีความมุ่งมั่นอยู่ตลอดเวลาว่า จะทำออกมาให้ดีที่สุด และเมื่อไหร่ที่มีอะไรทำให้ต้องกดดันตัวเอง เขาก็จะพยายามบอกตัวเองเสมอว่า โลกนี้ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบ

    “เป็นการทำงานที่หลายคนบอกว่าอิจฉา เหมือนไม่เครียด แต่จริงๆแล้วมันก็เครียดนะ ต้องอาศัยสมาธิ อาศัยการทำการบ้าน ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่า วงการบันเทิง มันคือการสร้างความบันเทิงให้คนอื่น มีความสุขกับการทำงานตรงที่มันเป็นอาชีพที่ได้เจอคนเยอะมากกว่า

    เมื่อก่อนเวลาอะไรไม่ได้ดั่งใจ จะเป็นคนที่หงุดหงิดง่าย เพราะเป็นมิสเตอร์ Perfectionist อยากทำให้ทุกสิ่งออกมาดีและสมบูรณ์แบบ หลังๆก็ปล่อยให้มันเป็นไป ถ้าผิดพลาดเราก็ค่อยพยายามแก้ไข เก็บไว้เป็นบทเรียน ครั้งต่อไปเราจะได้ปรับปรุงให้มันดีขึ้น”

    เวลาจำนวน 24 ชั่วโมง ที่มีในแต่ละวัน เขาบอกว่ามันน้อยเกินไป เพราะยังมีอะไรอีกหลายอย่างในชีวิตที่ปรารถนาอยากทำ แล้วยังไม่ได้ทำ
    “ปัจจัยในชีวิตเอิร์ธมีครบแล้ว ที่เหลือก็เป็นการเติมให้มันมีสีสันมากขึ้นมากกว่า ค่อนข้างพอใจ และแฮปปี้กับชีวิต เพราะงานดี เพื่อนดี ครอบครัวดี สุขภาพดี โอเค ทุกอย่างดีครบ”

    รอยยิ้มที่ไม่เคยหายไปจากใบหน้ายามที่เราได้เห็นผ่านสื่อแขนงต่างๆ น่าจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยยืนยันได้ว่า ผู้ชายคนนี้ยังมีพลังกายและพลังใจเหลือเฟือที่จะทำในสิ่งต่างๆ ที่เปิดโอกาสให้เขาแสดงศักยภาพ

    (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 107 ตุลาคม 2552 โดยพรพิมล)


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. ลุงชาลี

    ลุงชาลี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,958
    ค่าพลัง:
    +4,763
    าธุ สาธุ ขอโมทนา
    อิทัง ปุญญพลัง อิมินา ปุญญะกัมเมนะ

    ด้วยเดชะบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาแล้วด้วยดี ตั้งแต่ปฐมชาติ อดีตชาติ ปัจจุบันวันนี้ ข้าพเจ้าขอตั้งจิตกุศลนี้เป็น มหาธรรมทาน เพื่ออบรมหนทางความดับ ไม่มีเหลือเชื้อแห่งอาวสะกิเลสตน แด่ผู้ใฝ่ในธรรม และผู้เคารพเลื่อมใสองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    <O:p</O:p
    ขอส่งผลบุญกุศล อันเกิดจากการนี้ อุทิศให้ ครูอุปัชฌาย์อาจารย์สืบๆ ต่อกันมา พ่อเกิดแม่เกิด ผู้มีคุณผู้สูงชาติ ผู้สงเคราะห์โลกพิทักษ์ธรรม ตลอดจน เจ้าบุญนายคุณ เจ้าบ่าวนายใช้ เจ้ากรรมนายเวร เจ้าเกณฑ์ชะตา เจ้าการบัญชี ทั้งหลายในทุกภพทุกชาติ ที่ข้าพเจ้าได้เคยสบประมาทล่วงเกิน และมีสัมพันธ์เกี่ยวข้อง ขอจงได้รับขมากรรม และอโหสิกรรมอนุโมทนาบุญให้แก่ข้าพเจ้า และกรรมอันใดที่ท่านทั้งหลายได้ทำไว้กับข้าพเจ้าทุกภพทุกชาตินั้น ข้าพเจ้าขอปวารณาให้เป็นอโหสิกรรมเช่นกัน พร้อมนี้ขอให้ท่านทั้งหลายพึงปราศจากทุกข์และมีสุข เกิดปัญญาญาณยิ่งๆ ขึ้นไป เช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าได้รับ กาลบัดเดี่ยวนี้ด้วยเทอญ
    <O:p</O:p
    สาธุ สาธุ สาธุ นะ โม พุท ธา ยะ นิพพานัง ปะระมัง สุขขัง
     

แชร์หน้านี้

Loading...