เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 15 มิถุนายน 2024 at 19:49.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,416
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,334
    ค่าพลัง:
    +26,088
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,416
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,334
    ค่าพลัง:
    +26,088
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ ช่วงเช้ากระผม/อาตมภาพมาลาเรียลงกระเพาะ ถ่ายจนแทบจะไม่มีแรงเดินบิณฑบาต ฉันเช้าเสร็จก็นอนไปยันเพล ฉันเพลเสร็จแล้วนอนไปยันเย็น..! ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย นอกจากภาวนารอเวลาตาย..!

    ในเรื่องของการภาวนาเป็นเรื่องที่เราขาดไม่ได้ สมัยที่ยังเป็นพระใหม่อยู่ที่วัดท่าซุง เมื่ออาการมาลาเรียกำเริบ ไปถ่ายอยู่ในห้องน้ำ สภาพจิตไปโอดครวญอยู่กับอาการปวดท้องอยู่นานมาก กว่าที่จะได้สติว่า "ถ้าเราตายตอนนี้แล้วจะไปไหน ?" ก็คือใจไม่ได้เกาะความดีเลย มัวแต่ไปกังวลอยู่กับอาการปวดท้องเท่านั้น..!

    ยังโชคดีที่ว่าเมื่อรู้ตัวแล้ว หลังจากนั้นเมื่อถึงเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยอะไร ก็ต้องเอาจิตเกาะพระไว้ก่อนเสมอ สภาพร่างกายเป็นอย่างไรช่างมัน รักษาได้ก็รักษา รักษาไม่ได้จะตายก็เรื่องของมัน..!

    เรื่องพวกนี้ท่านทั้งหลายที่เป็นพระ สมควรที่จะต้องฝึกซ้อมเอาไว้ กระผม/อาตมภาพเองป่วยหนักมาตั้งแต่เด็ก ๆ สมัยเด็กนี่อาทิตย์หนึ่งป่วย ๒ ครั้ง ๓ ครั้งเป็นประจำ แล้วก็มีหมอคนเดียวเท่านั้นในหมู่บ้าน ท่านเป็นหมอเสนารักษ์ ก็คือเกณฑ์ทหารแล้ว เรียนหมอมาแบบงู ๆ ปลา ๆ พอออกจากทหารก็มารักษาคนไปเรื่อยเปื่อย

    ฉีดยามือหนักแบบฉีดให้ทหาร ก็คือถึงเวลาจะฉีดยาเข้าสะโพก จะกดปื้ดเดียวหมดหลอดเลย..! แล้วกระผม/อาตมภาพก็ต้องเดินตูดปัดไปเป็นอาทิตย์ เพราะว่าบวมระบมอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเกลียดการฉีดยาเป็นชีวิตจิตใจ พอเห็นเข็มเมื่อไร ร่างกายจะตัดระบบ เป็นลมไปทันที..!

    จนกระทั่งไปเป็นทหารก็มีความรู้สึกว่า "เราเป็นทหาร ถ้าเห็นเข็มแล้วยังเป็นลม ก็ขายหน้าเขา" จึงได้ตั้งระบบร่างกายเสียใหม่ว่า "ห้ามเป็นลม" เรื่องพวกนี้กระผม/อาตมภาพขอยืนยันกับท่านทั้งหลายว่า ระบบร่างกายของเรานี้ตั้งได้..!

    ถึงจะเป็นเช่นนั้น ใหม่ ๆ ก็ยังต้องระมัดระวังอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นการฉีดยากันบาดทะยัก หรือการโดนตรวจเลือด พอถึงเวลาก็ต้องนั่งดูอาการตัวเองพักหนึ่ง จะไม่ลุกพรวดพราด แต่พอสั่งร่างกายตั้งระบบใหม่ ก็ปรากฏว่าไม่เป็นลมจริง ๆ จนกระทั่งหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงท่านมาเปิดเผยว่า
    กระผม/อาตมภาพนั้นเป็นทหารมาทุกชาติ ฆ่าเขาเอาไว้เยอะ เศษกรรมจะทำให้ป่วยบ่อย ให้ไปปล่อยชีวิตสัตว์ อย่างเช่น ปลาที่เขาที่ขายเพื่อให้คนเอาไปฆ่ากิน สักเดือนละ ๑ ตัว ๒ ตัว จะช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,416
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,334
    ค่าพลัง:
    +26,088
    กระผม/อาตมภาพเริ่มปล่อยปลาตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๙ มาทุกเดือน จนถึงป่านนี้ แล้วก็ไม่เคยปล่อยแค่ตัวสองตัว เพราะว่าพอไปถึงเห็นปลาตาปริบ ๆ อยู่ ก็มักจะเหมาหมดตลาด จนกระทั่งเกิดวังมัจฉาขึ้นที่หน้าวัดท่าซุง ก็เพราะการปล่อยปลาของกระผม/อาตมภาพนั่นเอง..!

    คราวนี้ความดีของการป่วยหนักมาตั้งแต่เด็ก ก็คือเห็นทุกข์เห็นโทษของร่างกายนี้จริง ๆ ปล่อยปลาอยู่ ๓๐ ปี กว่าที่จะได้หมอได้ยาที่พอบรรเทาอาการลงได้ ไม่เช่นนั้นแล้วถ้าพักไม่พอเมื่อไร มาลาเรียก็จะกำเริบทันที แล้วกระผม/อาตมภาพก็โดนเชื้อทั้งขึ้นสมองและลงกระเพาะ ถ้าขึ้นสมองก่อน อีกไม่นานก็จะไปลงกระเพาะ ถ้าลงกระเพาะก่อน อีกไม่นานก็จะขึ้นสมอง สลับกันไปอย่างนี้ แต่วันนี้นอนไป ๗-๘ ชั่วโมง คาดว่าร่างกายดีขึ้น อาการที่จะขึ้นสมองคงจะไม่มี..!

    การเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นเครื่องวัดกำลังใจของนักปฏิบัติธรรมที่ดีมาก ว่าเรายังยึดมั่นถือมั่นกับร่างกายนี้หรือไม่ ? โดยเฉพาะการเป็นมาลาเรีย พอถึงเวลากำเริบมาก ๆ อาการเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากปลายประสาททุกส่วนอักเสบ กระดูกในตัวมีกี่ชิ้นก็รู้หมด
    กระผม/อาตมภาพถึงได้เข้าใจว่า ที่เขาเป็นมาลาเรียกันแล้วตายนั้น ก็เพราะว่าทนการอักเสบไม่ไหว

    สมัยที่มาลาเรียกำเริบมาก ๆ อยู่ที่เกาะพระฤๅษี หน้าหนาวแท้ ๆ แต่ว่า
    กระผม/อาตมภาพใส่แค่สบงอังสะ เอาผ้าชุบน้ำพันหัวเดินภาวนารอบกุฏิ ควันขึ้นโขมงอย่างกับเอาผ้าชุบน้ำร้อนพันหัว สติสุดท้ายกำหนดอยู่กับภาพพระที่บนพระนิพพาน แล้วก็เดินภาวนาไปเรื่อย รู้ว่าถ้าความร้อนขึ้นมากกว่านี้อีกนิดเดียว เราก็จะขาดสติ ทำอะไรไปก็จะไม่รู้ตัว แต่ปรากฏว่าไม่ถึงระดับนั้น ไม่ทราบว่าสติดีเกินไปหรืออย่างไร ?

    แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งไปที่เวชศาสตร์เขตร้อน หมอเขาให้อมปรอท พอเห็นว่าอุณหภูมิ ๔๒ องศาเซลเซียสก็ตกใจ บอกว่า "อาการหนักขนาดนี้แล้วท่านเดินมาได้อย่างไร ?" ก็บอกว่า "เดินมาตามปกตินี่แหละ" คือไม่ได้ตั้งใจกวนหมอ แต่ว่าเป็นเสียจนชินแล้ว
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,416
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,334
    ค่าพลัง:
    +26,088
    ดังนั้น..ในเรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้ากำลังใจท่านอยู่กับการภาวนาจนชิน แม้จะป่วยขนาดไหน กำลังใจก็ทรงตัวอยู่ได้ แต่ถ้าไม่ชินจะออกอาการเดียวกับหลวงปู่โคธิกะ ก็คือสมาธิหลุดหมด กำลังใจไม่พอที่จะกดกิเลส แต่หลวงปู่โคธิกะท่านไม่ได้หนักตรงกำลังใจที่จะกดกิเลส ท่านหนักใจตรงที่ถ้าทรงฌานไม่ได้ ทำให้กำลังใจไม่พอตัดกิเลส

    อันดับแรก การที่เราทำสมาธิ ก็คือการที่อาศัยกำลังใจกด รัก โลภ โกรธ หลง ให้สงบลงชั่วคราว แล้วถ้ากดอย่างเดียว ไม่พินิจพิจารณาเลย ถึงเวลากำลังใจนั้นดีดกลับ อาการ รัก โลภ โกรธ หลง จะมาแบบฟ้าถล่มดินทลายเลย..!

    ดังนั้น..ถ้าใครถนัดการภาวนาอย่างเดียวต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง เนื่องเพราะว่าถ้าเราภาวนาแล้วไม่เอากำลังไปพิจารณา ถึงเวลาจะโดน รัก โลภ โกรธ หลง ขโมยกำลังนั้นไปใช้แทน เพราะว่าสมาธิเข้มแข็งมาก ถึงเวลาโกรธก็โกรธมาก ถึงเวลาราคะมา ราคะก็แรงมาก เพราะว่าใจเราไปจดจ่ออยู่กับ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส นั้น ไม่ยอมไปไหน เนื่องจากสมาธิดีเกินไป

    ดังนั้น..นักภาวนาจึงต้องพิจารณาเอาไว้เสมอ เพื่อที่จะได้ใช้กำลังสมาธิของเราไปได้ถูก ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับเราเลี้ยงโจรไว้ปล้นตัวเอง..!

    คราวนี้เมื่อเรากดกิเลสให้สงบลงได้แล้ว สภาพจิตที่ผ่องใสขึ้น เราก็จะเอามาพิจารณา ให้เห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราในร่างกายนี้ ยิ่งเห็นชัดเท่าไร สภาพจิตก็จะถอนจากการยึดมั่นถือมั่นลงไปมากเท่านั้น

    ถ้าหากไม่ยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของเรา ก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นในร่างกายคนอื่น ก็แปลว่าเพศตรงข้ามไม่มีความหมาย ถ้าทำไปถึงตอนนี้ท่านทั้งหลายอาจมีประสบการณ์เช่นเดียวกับกระผม/อาตมภาพ ก็คือ
    มองคนสักแต่ว่าเป็นคน ไม่ได้เห็นเป็นผู้หญิงผู้ชาย มองคนเหมือนกับโต๊ะ เหมือนกับเก้าอี้ เหมือนกับพรมปูพื้น
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,416
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,334
    ค่าพลัง:
    +26,088
    ก็คือทุกอย่างเป็นเพียงธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบขึ้นมาชั่วคราวเหมือนกัน ในเมื่อมองในลักษณะนั้น รัก โลภ โกรธ หลง ก็ไม่เกิด เพราะว่าสภาพจิตไม่ปรุงแต่ง

    เราก็ประคับประคองรักษาอารมณ์นั้นเอาไว้ แล้วให้ซักซ้อมการพิจารณานั้นบ่อย ๆ เพื่อไม่ให้อารมณ์นั้นเคลื่อนคลายไปไหน จนกระทั่งท้ายสุด ตัวเราและสรรพสิ่งรอบข้างก็เหมือนกัน คือไม่มีอะไรเป็นสาระ เป็นแก่นสารเลย สภาพจิตของเราก็จะถอนจากเกาะยึดเกาะ ถ้าใครฝึกมโนมยิทธิมาถึงตอนนี้ มโนมยิทธิจะแจ่มใสเป็นพิเศษ เพราะว่าไปโดยไม่ยึดไม่เกาะอะไรเลย

    ดังนั้น..
    เรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วย สำหรับนักปฏิบัติแล้วถือว่าเป็นทุกขลาภอย่างหนึ่ง ก็คือเราสามารถที่จะพิจารณาเห็นอย่างชัดเจนว่า ร่างกายนี้ไม่มีความดีอะไรเลย เลี้ยงเอาไว้ก็เหมือนกับเลี้ยงเสือไว้กัดตัวเอง เผลอเมื่อไรก็โดนเสือกัด

    เดี๋ยวหิว เดี๋ยวกระหาย เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีวันสงบสุขแม้แต่วันเดียว หลายท่านที่เจ็บไข้ได้ป่วยแล้วมัวแต่ไปคร่ำครวญอยู่ เหมือนสมัยที่กระผม/อาตมภาพยังบวชใหม่ ๆ พิจารณามาถึงตรงนี้แล้วอาจจะรู้สึกว่าตัวเองโชคดี เพราะว่าเรื่องของร่างกายเป็นเรื่องที่เป็นไปตามกรรมที่เราทำมา

    จะขอร้องให้ป่วยก็ไม่ได้ ขณะเดียวกัน ป่วยอยู่จะไปขอร้องให้หายก็ไม่ได้ นั่นคือสภาวะของอนัตตา ก็คือบังคับบัญชาไม่ได้

    เมื่อถึงตรงนั้นแล้วเราจะเห็นว่าพระพุทธเจ้าของเรานั้นเลิศขนาดไหน เพราะว่าทุกสิ่งที่พระองค์ท่านสอนมานั้น เป็นเรื่องจริงแท้ทั้งหมด ความเคารพในพระรัตนตรัยของเราก็จะยิ่งมั่นคง

    ก็แค่ไปทบทวนศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ตั้งสติเอาไว้เสมอว่าเราจะต้องตาย ถ้าตายแล้วเราจะไปไหน แรก ๆ ก็ยังต้องเล็งเป้าหมายอยู่ พอไปถึงตอนท้าย ๆ แม้แต่เป้าหมายก็ไม่เอาแล้ว ทุกอย่างปล่อยหมด วางหมด เพราะถ้าไม่ปล่อย ไม่วาง ก็ไปไม่ได้ แต่หลายท่านวางตอนไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน เหมือนเราตั้งเป้าว่าจะขึ้นไปที่ห้องพักชั้นบน เดินเกาะราวบันไดขึ้นไป บางคนเข้าไปอยู่ในห้อง ยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าตนเองปล่อยราวบันไดตอนไหน ?

    เพียงแต่ให้รักษาอารมณ์ใจนั้นไว้ให้อยู่กับเราให้นานที่สุด ก็คืออารมณ์ใจที่ว่า ละชั่ว ทำดี โดยที่รู้ว่า "สิ่งนี้ชั่วเราก็ละ สิ่งนี้ดีเราก็ทำ สภาพจิตไม่ได้ไปยินดียินร้ายกับทั้งดีทั้งชั่วเหล่านั้น" ถ้าเราสามารถทำอย่างนี้ได้ โอกาสที่จะเข้าถึงความหลุดพ้นก็จะเกิดขึ้นกับเราเอง

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๑๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เถรี)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...