เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 19 พฤศจิกายน 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,511
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,511
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ เมื่อวานกระผม/อาตมภาพฟังรายการ "คุยคุ้ยคน" ของคุณหนุ่ม คงกระพัน เกี่ยวกับการติดตามเจ้ากรรมนายเวร ของคุณเมฆ (วินัย ไกรบุตร) หรือชื่อในปัจจุบันก็คือหัฒศนัย ไกรบุตร ว่าสิ่งที่ท่านอาจารย์ไพศาล แสนไชย บอกไปเกี่ยวกับเจ้ากรรมนายเวรนั้น เป็นความจริงหรือว่า "มโน" ไปเอง

    ซึ่งกระผม/อาตมภาพติดใจตรงคำว่า "มโน" เพราะว่าคำนี้มาจากคำว่า มโนมยิทธิ หรือมโนมย หรือว่ามโนมัย สำเร็จด้วยใจ กับ อิทธิ ก็คือความสำเร็จนั่นแหละ หรือถ้าแปลอีกศัพท์หนึ่งก็คือฤทธิ์ ก็คือฤทธิ์ที่สำเร็จด้วยใจ

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านศึกษาวิชานี้มาแล้ว เห็นประโยชน์สูงสุด ก็คือ
    ทำให้เรารู้จักพระนิพพานได้ ไปพระนิพพานตรงทั้ง ๆ ที่วิชานี้มีส่วนอันตรายมาก ก็คือถ้าเอาไปใช้ผิด จะเกิดโทษมากกว่าประโยชน์ แต่ว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านมั่นใจว่าลูกศิษย์ของท่านฉลาดพอ ที่จะเลือกเอาในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ละเว้นในสิ่งที่เป็นโทษ แต่ปรากฏว่าตั้งแต่กระผม/อาตมภาพฝึกวิชามโนมยิทธินี้มาตั้งแต่ปี ๒๕๒๑ ปรากฏว่าเห็นลูกศิษย์หลวงพ่อร้อยละ ๙๙.๙๙ เอาไปใช้ผิดหมด..!

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าวิชานี้ เมื่อฝึกได้แล้ว ถ้าเราสามารถที่จะซักซ้อมจนเกิดความคล่องตัว ก็จะรู้อดีต รู้ปัจจุบัน รู้อนาคต รู้ว่าคนและสัตว์ก่อนจะเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน ระลึกชาติได้ ถ้าหากว่าทำถูกทางจริง ๆ ก็ทำกิเลสให้สิ้นไปได้ และที่สำคัญ รู้ใจคนอื่นว่าคิดอะไรอยู่..!

    คราวนี้สิ่งที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านย้ำอยู่บ่อย แต่ลูกศิษย์มักจะปล่อยให้เลยไปเฉย ๆ เพราะไม่เห็นความสำคัญ ก็คือมโนมยิทธินั้น "ต้องซักซ้อมอยู่เสมอ" "ต้องเชื่ออารมณ์แรก" โดยเฉพาะเคล็ดลับสำคัญก็คือ "ขอรู้เห็นตามความเป็นจริง"

    ในเมื่อสิ่งสำคัญที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านย้ำหนักย้ำหนา แต่ว่าบรรดาลูกศิษย์ไม่ได้ใส่ใจ ไม่เห็นความสำคัญ ถึงเวลาเมื่อเพลิดเพลินเจริญใจ ก็ลืมไปด้วยว่าต้องขอรู้เห็นตามความเป็นจริง ในเมื่อขาดการซักซ้อม สงสัยในอารมณ์แรก ลืมไปว่าต้องขอการรู้เห็นตามความเป็นจริง จึงเข้าป่าเข้าดงไปนับไม่ถ้วนแล้ว ในเมื่อบอกผิดพลาด จนกระทั่งคนเขาเบื่อหน่าย ก็เลยเกิดวลีติดปากว่า "อย่ามามโน" ประมาณว่า "มึงคิดเอาเอง"..!

    เรื่องพวกนี้เป็นที่น่าเสียใจและน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ว่าวิชาการที่เลิศคุณค่าขนาดนี้ ก็คือทำให้เรารู้จักพระนิพพานได้ ไปพระนิพพานตรง ถ้าจดจำอารมณ์ที่ปราศจากกิเลสนั้นได้ แล้วเอามาประคับประคองรักษาเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ พอทำไปนาน ๆ สภาพจิตเกิดความเคยชินกับสภาวะหมดกิเลส สภาพจิตของเราก็จะพ้นจากกิเลสไปเองโดยอัตโนมัติ

    ถ้าจะว่าไปแล้วก็คือเป็นการหลุดพ้นด้วยเจโตวิมุติ ใช้กำลังใจข่มกิเลสเอาไว้ จนกระทั่งกิเลสเกิดไม่ได้ และหมดสภาพไปในที่สุด
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,511
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    แต่ขณะเดียวกันก็สามารถที่จะแปลงมาเป็นปัญญาวิมุติได้ เนื่องเพราะว่ามโนมยิทธินั้น เป็นการถอดกายในไปตามภพภูมิต่าง ๆ ตราบใดที่สภาพจิตของเรายังยึดเกาะร่างกายอยู่ ต่อให้กำลังสมาธิสูงแค่ไหนก็ไปไม่ได้ กำลังเพียงพอที่จะไป แต่จิตหน่วงเอาไว้เพราะความกลัว กลัวว่าไปแล้วจะตายไปเลยบ้าง ไปแล้วจะกลับไม่ได้บ้าง ไปแล้วเจอของที่น่ากลัวบ้าง ข้างในก็จะไป ข้างนอกก็รั้งไว้ ก็เกิดอาการดิ้นตึงตังโครมคราม จนกว่าจะทำใจได้ ตัดใจได้จริง ๆ ถึงจะไปได้

    ดังนั้น..คนที่จะฝึกมโนมยิทธิได้ดี ต้องหมั่นพิจารณาตัดร่างกายอยู่เสมอ ๆ หรือเวลาถอดจิตออกไปแล้วมองกลับมา ก็จะเห็นคราบร่างโทรม ๆ นี้ ที่หาความสวยความงามอะไรไม่ได้ สู้กายในของเราไม่ได้ เพราะว่ากายในที่ออกไปด้วยกำลังสมาธิ จะมีลักษณะเหมือนกับพรหม ต้องบอกว่าสวยงามกว่าร่างหยาบนี้จนประมาณไม่ได้ ในเมื่อเห็นชัดเจนขนาดนั้นแล้ว ถ้าสภาพจิตของเรายอมรับ และถอนจากการยึดเกาะ ก็สามารถที่จะหลุดพ้นด้วยปัญญาวิมุติได้เช่นกัน

    คราวนี้ในเมื่อบรรดาลูกศิษย์ไม่พิจารณาบ่อย ๆ ออกไปก็มืดตื๋อ..! เปะปะไปไหนไม่ถูกก็กลับ หรือว่าสามารถสัมผัสได้แต่ว่าไม่มีความชัดเจน เมื่อขาดความมั่นใจ ไม่เชื่ออารมณ์แรกก็ตอบมั่วเอา กลายเป็นผิดพลาด โดนคนเขาดูถูกดูแคลนว่า "มโน" เอาเอง..!

    ดังนั้น..เหตุที่เกิดอยู่ในปัจจุบันนี้ ไม่ใช่ว่าวิชาการนี้ไม่ดี เพียงแต่ว่าเหมือนกับมีดสองคมที่คมเป็นพิเศษ ใช้ถูกก็สามารถตัดกิเลส เข้าถึงมรรคถึงผลได้เร็วมาก ใช้ผิดนอกจากตัวเองเสียแล้ว ยังพาคนอื่นเสียไปหมด บุคคลที่จะเคารพในพระรัตนตรัย พอเจอบุคคลประเภทนี้เข้า ก็พลอยทำให้ลังเลสงสัย ว่า "ไอ้นี่ "มโน" เองขนาดนี้ แล้วครูบาอาจารย์จะสอนถูกหรือไม่ ?"

    กระผม/อาตมภาพเองนั้น ซักซ้อมมโนมยิทธิจนกระทั่งโดนครูฝึกไล่ออกมาจากการฝึก เพราะว่าทำคนอื่นเขาเสียหมด เนื่องจากว่าครูฝึกพอขยับปาก ก็รู้แล้วว่าจะถามอะไร จึงชิงตอบก่อนทุกที ขณะที่คนอื่นทั้งวงเขายังไม่รู้เรื่องอะไร ต้องนั่ง "เอ๋อ" ไปเฉย ๆ ในเมื่อคุณครูทนไม่ไหว ตอนนั้นก็คือ ป้าชอ (อัญชัน ศุทธรัตน์) ไล่ออกจากห้องฝึกไปเลย บอกว่า "จะมาลองดีกันหรืออย่างไร ?!"

    กระผม/อาตมภาพเดินหน้าเหี่ยวออกมา ในห้องที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านรับสังฆทานอยู่ รุ่นหลัง ๆ นี่ไม่รู้ว่าสมัยก่อนเขามีรหัสว่าห้องมรกต ห้องไพลิน ห้องทับทิม ต่อให้รุ่นที่ไม่หลังมากนัก ถ้าหากว่าไม่ทันยุคที่แม่อ๋อย (คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์) ก็คงจะไม่รู้เหมือนกัน หรือถ้าไม่ใส่ใจก็ไม่รู้ เมื่อเดินหน้าเหี่ยวออกมา พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านก็บอกว่า "คล่องตัวขนาดนั้นไปเป็นครูเขาได้แล้วลูก"
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,511
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    แม้ว่าหลวงพ่อท่านจะอนุญาต แต่กระผม/อาตมภาพก็ยังไม่เชื่อใจตัวเอง จึงโดนท่านใช้ให้ไปนั่งอยู่ริมถนนหน้าวัด หลับตาทำใจสบาย ๆ วางกำลังใจตามที่เราซักซ้อมมา พอเสียงรถวิ่งมาให้ถามตัวเองว่ารถที่วิ่งมาสีอะไร ? เราสามารถลืมตาพิสูจน์ทราบได้ในระยะสั้น ๆ ถ้าถูกก็ให้จำไว้ว่าวางอารมณ์อย่างไร ? ถ้าผิดไม่ต้องจำ

    เมื่อถูกประมาณ ๘ คันใน ๑๐ คัน ก็เพิ่มรายละเอียดเข้าไปว่า รถที่วิ่งมาสีอะไร ? คนนั่งมากี่คน ?

    ถูกประมาณ ๘ ใน ๑๐ ก็เพิ่มรายละเอียดเข้าไปอีกว่า รถที่วิ่งมาสีอะไร ? คนนั่งมากี่คน ? ผู้หญิงกี่คน ? ผู้ชายกี่คน ?

    ถ้าถูก ๘ ใน ๑๐ ก็เพิ่มรายละเอียดเข้าไปอีกว่า รถที่วิ่งมาสีอะไร ? คนนั่งมากี่คน ? ผู้หญิงกี่คน ? ผู้ชายกี่คน ? แต่ละคนแต่งตัวแบบใดบ้าง ?

    อย่าคิดว่าเราจะได้คำตอบไม่ครบถ้วน เพราะถ้าท่านวางกำลังใจถูกต้องจริง ๆ ความรู้จะชัดเจนมาก เหมือนกับตาเห็นแต่ไม่ใช่ตา เราท่านลองนึกดูว่าเรานึกถึงที่พักของเรา นึกถึงคนที่เรารู้จัก จะเห็นชัดเจนมาก แต่ไม่ใช่การเห็นด้วยสายตา เป็นการเห็นด้วยใจ เห็นในห้วงนึก ที่เรียกว่า "มโน"..!

    เพียงแต่ว่าหลายต่อหลายท่านเมื่อฝึกไปได้แล้ว ขาดการซักซ้อมไม่พอ ยังชอบหาความเดือดร้อนใส่ตัวอีก พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านสอนเราฝึกมโนมยิทธิเพื่อให้ละ โดยเฉพาะเห็นชัดเจนแล้วก็ละร่างกายนี้ ละโลกนี้ ละความชั่ว เพียรทำความดี แต่ท่านทั้งหลายเหล่านี้เมื่อฝึกได้แล้วก็ไปยึด คนโน้นก็เมียกู คนนี้ก็ลูกกู นั่นก็พ่อกู นี่ก็แม่กู แทนที่จะรู้แล้วละ กลับไปยึด..!

    ในเมื่อไปยึด ก็กลายเป็นขบวนใหญ่ บุคคลที่ยังแหวกว่ายอยู่ในห้วงวัฏสงสาร แทนที่จะรีบว่ายขึ้นฝั่ง กลับไปกอดคอกันเป็นพรวน ก็หาเรื่องจมน้ำตาย..! แล้วในเมื่อผิดพลาดมากเข้า ๆ ขาดความมั่นใจ ก็ยิ่งเละเทะไม่เป็นท่า จึงกลายเป็นสิ่งที่คนเขาพูดในปัจจุบันว่า "มโนหรือเปล่า" "อย่ามามโน" เหล่านี้เป็นต้น
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,511
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    ดังนั้น..ท่านทั้งหลายที่เคยฝึกปรือมาแล้ว อันดับแรก ต้องซักซ้อมบ่อย ๆ จนกระทั่งสามารถที่จะใช้ได้ทุกที่ทุกเวลาที่ต้องการ

    ประการที่สอง พิจารณาตัดร่างกายไว้เสมอ ๆ เพื่อที่จะได้รู้เห็นชัดเจน ออกไปภพภูมิต่าง ๆ ได้ง่าย

    ประการที่สาม อย่าลืมเป็นอันขาดว่า ขอรู้เห็นตามความเป็นจริง ถ้าถามว่าขอใคร ? ขอพระพุทธเจ้า..!

    และข้อสุดท้าย ซักซ้อมอารมณ์พระโสดาบันไว้เสมอ ๆ คือ
    ต้องมีความเคารพในพระพุทธเจ้าจริง ๆ มีความเคารพในพระธรรมจริง ๆ มีความเคารพในพระสงฆ์จริง ๆ ตั้งใจรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ รู้ตัวอยู่เสมอว่าเราต้องตาย ถ้าตายแล้วเราจะไปพระนิพพาน

    ถ้าสามารถทำใจแบบนี้ได้จนชิน จะใช้มโนมยิทธิเมื่อไรก็ได้ โดยเฉพาะใช้เพื่อไปกราบพระบนพระนิพพาน เนื่องเพราะว่าผู้ที่จะเข้าถึงกระแสพระนิพพาน อย่างน้อยต้องเป็นพระโสดาบัน ถึงเราไม่เป็น แต่ซักซ้อมความเป็นพระโสดาบันเอาไว้เสมอ ต่อให้ไปได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราว ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม เพราะจะทำให้เรามั่นใจในสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนมาว่า ทุกอย่างที่พระองค์ท่านตรัสไว้ เป็นจริงทั้งสิ้น

    ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จึงอยู่ที่ท่านทั้งหลายว่า
    ทำได้ถูกวิธีหรือเปล่า ? และมีความขยัน หมั่นฝึกซ้อมแค่ไหน ? แม้แต่กระผม/อาตมภาพเอง ฝึกมาตั้งแต่อายุ ๑๙ ปีนี้ ๖๔ เต็ม ขึ้น ๖๕ ปีมาจะครึ่งปีแล้ว ก็ยังคงซักซ้อมอยู่ทุกวัน แล้วท่านทั้งหลายได้ซักซ้อมแบบนี้บ้างหรือไม่ ?

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...