เมื่อพระศาสดาสอนภิกษุ ให้ทำจิตอย่างนั้น-นี้ เพื่อน้อมไป ใน ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นะโม12, 19 กันยายน 2011.

  1. นะโม12

    นะโม12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +245
    <CENTER> พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓
    ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค</CENTER><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" background="" align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TR><TD bgColor=darkblue width="100%" vspace="0" hspace="0">[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    [๒๕๖] ปัญญาในการกำหนดธรรมทั้งหลาย อันเป็นไปตามปัจจัยด้วยสามารถความแผ่ไปแห่งกรรมหลายอย่างหรืออย่างเดียว เป็นปุพเพนิวาสา-*นุสสติญาณอย่างไร ฯ ภิกษุในศาสนานี้ ย่อมเจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยสมาธิยิ่งด้วยฉันทะและสังขารอันเป็นประธาน ฯลฯ ครั้นแล้วย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า เมื่อสิ่งนี้มีสิ่งนี้ก็ย่อมมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น คือ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหาเพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะทุกข์ โทมนัสและอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ภิกษุนั้นมีจิตอบรมแล้วอย่างนั้น บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อปุพเพนิวาสานุสสติญาณ เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้างสิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้างร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้างตลอดวิวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ว่าในชาติโน้นเราได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้นได้เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้น ๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากชาตินั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้นเราก็ได้มีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้มีผิวพรรณอย่างนี้ มีอาหารอย่างนี้ ได้เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนี้ ๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านี้ ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ ฯ ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัดเพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการกำหนดธรรมอันเป็นไปตามปัจจัยด้วยสามารถการแผ่ไปแห่งกรรมหลายอย่างหรืออย่างเดียว เป็นปุพเพนิวาสา-*นุสสติญาณ ฯ


    </PRE>

    �����ûԮ�������� �� - ����ص�ѹ��Ԯ�������� ��
     
  2. นะโม12

    นะโม12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +245
    <CENTER><BIG>อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๑. ญาณกถา</BIG> <CENTER class=D>บุพเพนิวาสานุสติญาณนิทเทส</CENTER></CENTER>
    <CENTER> ๕๓. อรรถกถาบุพเพนิวาสานุสติญาณนิทเทส </CENTER> [๒๕๖] พึงทราบวินิจฉัยในบุพเพนิวาสานุสติญาณนิทเทสดังต่อไปนี้.
    บทมีอาทิว่า เอวํ ปชานาติ - ภิกษุรู้ชัดอย่างนี้ พระสารีบุตรเถระกล่าวเพื่อแสดงวิธีให้เกิดอิทธิบาทนั้น แก่ผู้ใคร่เพื่อยังบุพเพนิวาสานุสติญาณให้เกิดแก่จิตที่อบรมแล้วในอิทธิบาท ๔.
    จริงอยู่ ภิกษุครั้นเห็นปฏิจจสมุปบาทโดยลำดับแล้ว ย่อมเห็นความสังเขปแห่งผลอันเกิดขึ้นแล้ว กล่าวคือ วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะและเวทนา.
    ย่อมเห็นความสังเขปแห่งเหตุ กล่าวคือ กรรม กิเลสในภพก่อนอันเป็นปัจจัยแห่งความสังเขปของผลนั้น.
    ย่อมเห็นความสังเขปแห่งผลในภพก่อนอันเป็นปัจจัยแห่งความสังเขปแห่งเหตุนั้น.
    ย่อมเห็นความสังเขปแห่งเหตุในภพที่ ๓ อันเป็นปัจจัยแห่งความสังเขปแห่งผลนั้น.
    ย่อมเห็นเบื้องหน้าของชาติ ด้วยการเห็นปฏิจจสมุปบาทอย่างนี้. การมนสิการปฏิจจสมุปบาท มีอุปการะมากแก่บุพเพนิวาสานุสติญาณ ด้วยประการฉะนี้.
    ในบทเหล่านั้น บทนี้ว่า อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ, อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ - เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เป็นคำยกขึ้นขยายความของปฏิจ<WBR>จ<WBR>สมุป<WBR>บาท.
    หากถามว่า เมื่อสำเร็จความด้วยคำอย่างใดอย่างหนึ่งแห่งบทเหล่านั้น เพราะเหตุไรจึงกล่าวเป็น ๒ อย่าง.
    ตอบว่า เพราะมีความต่างกันโดยอรรถ.
    บทว่า อิมสฺมึ สติ - เมื่อสิ่งนี้มี คือ เมื่อปัจจัยนี้มีอยู่.
    บทนี้กล่าวทั่วไปของปัจจัยทั้งหมด.
    บทนี้ว่า อิทํ โหติ - สิ่งนี้ย่อมมี คือ สิ่งนี้ย่อมเกิดขึ้นเพราะปัจจัย.
    บทนี้กล่าวทั่วไปของสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยทั้งหมด.
    ด้วยคำทั้งสิ้นนี้ อเหตุกวาทะเป็นอันท่านปฏิเสธแล้ว เพราะธรรมเหล่าใดเกิดเพราะปัจจัย ไม่เกิดเพราะไม่มีปัจจัย ธรรมเหล่านั้นไม่ชื่อว่าอเหตุกะ.
    บทว่า อิมสฺสุปฺปาทา - เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น คือเพราะเหตุปัจจัยนี้เกิดขึ้น.
    บทนี้เป็นคำกล่าวแสดงความต่างแห่งความเกิดขึ้นของปัจจัยทั้งหมด.
    บทนี้ว่า อิทํ อุปฺปชฺชติ - สิ่งนี้ย่อมเกิดขึ้น คือ สิ่งนี้มีปัจจัยเกิดขึ้นจึงเกิด.
    บทนี้กล่าวแสดงถึงความที่ปัจจัยทั้งหมดเกิดขึ้น จึงเกิดขึ้นต่อแต่นั้นไป.
    ด้วยคำทั้งสิ้นนี้ สัสสตวาทะและอเหตุกวาทะเป็นอันท่านปฏิเสธแล้ว เพราะธรรมเหล่าใดมีเกิดขึ้น ธรรมเหล่านั้นไม่เที่ยง เพราะฉะนั้น ท่านจึงอธิบายไว้ว่า เมื่อความที่ธรรมทั้งหลายมีเหตุมีอยู่ ธรรมเหล่านั้นมีความไม่เที่ยงเป็นเหตุ มิใช่มีบุรุษเป็นปกติเป็นต้นซึ่งสมมติว่าเที่ยงในโลกเป็นเหตุ.
    บทว่า ยทิทํ เป็นคำชี้แจงอรรถที่ควรชี้แจง.
    ในบทนี้ว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา - เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร มีอธิบายดังต่อไปนี้
    ผลเกิดขึ้นเพราะอาศัยสิ่งใด สิ่งนั้นก็เป็นปัจจัย.
    บทว่า ปฏิจฺจ - อาศัย คือไม่พราก. อธิบายว่า ไม่บอกคืน.
    บทว่า เอติ คือ ย่อมเกิดขึ้นและย่อมเป็นไป.
    อีกอย่างหนึ่ง มีอรรถว่าเป็นอุปการะ เป็นปัจจัย.
    อวิชชานั้นด้วยเป็นปัจจัยด้วย เพราะเหตุนั้น ชื่อว่าอวิชชาเป็นปัจจัย. เพราะฉะนั้น ควรประกอบว่า อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา สมฺภวนฺติ - เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร.
    พึงทำการประกอบ สมฺภวนฺติ ศัพท์ แม้ด้วยบทที่เหลือ.
    อนึ่ง ในบทว่าโสกะเป็นต้น มีความดังต่อไปนี้.
    ความแห้งใจ ชื่อว่าโสกะ. ความคร่ำครวญ ชื่อว่าปริเทวะ. สิ่งที่สิ้นไปได้ยาก ชื่อว่าทุกขะ หรือสิ่งน่ากลัว ๒ อย่าง คือด้วยสามารถแห่งความเกิดและความตั้งอยู่ ชื่อว่าทุกข์. ความเสียใจ ชื่อว่าโทมนัส. ความแค้นใจยิ่ง ชื่อว่าอุปายาส.
    ในบทนี้ว่า สมฺภวนฺติ - ย่อมมี คือย่อมเกิด.
    บทว่า เอวํ เป็นบทแสดงนัยที่แสดงแล้ว.
    ด้วยบทนั้น พระสารีบุตรเถระแสดงว่า ด้วยเหตุมีอวิชชาเป็นต้น. มิใช่ด้วยลัทธิทั้งหลายมีพระเจ้าสร้างขึ้นเป็นต้น.
    บทว่า เอตสฺส คือ ตามที่กล่าวแล้ว.
    บทว่า เกวลสฺส - ทั้งสิ้น คือไม่มีปน หรือสิ้นเชิง.
    บทว่า ทุกฺขกฺขนฺธสฺส คือ กองทุกข์. มิใช่แห่งสัตว์ มิใช่แห่งสุข และความงามเป็นต้น.
    บทว่า สมุทโย คือ เกิด.
    บทว่า โหติ คือ มี.
    ในบทเหล่านั้น อวิชชาเป็นอย่างไร?
    คือ ความไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้ทุกขสมุทัย ไม่รู้ทุกขนิโรธ ไม่รู้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ไม่รู้ที่สุดเบื้องต้น ไม่รู้ที่สุดเบื้องปลาย ไม่รู้ทั้งที่สุดเบื้องต้นทั้งที่สุดเบื้องปลาย ไม่รู้ในธรรมอันอาศัยกันเกิดขึ้น คือ อิทัปปัจจยตา - สิ่งนี้เป็นปัจจัยของสิ่งนี้.
    สังขารเป็นอย่างไร?
    คือ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อาเนญชาภิสังขาร, กายสังขาร วจี<WBR>สัง<WBR>ขาร จิตต<WBR>สัง<WBR>ขาร, กามา<WBR>วจร<WBR>กุศล<WBR>เจตนา ๘ รูปา<WBR>วจร<WBR>กุศล<WBR>เจตนา ๕ ชื่อว่า<WBR>ปุญ<WBR>ญา<WBR>ภิ<WBR>สังขาร, อกุศลเจตนา ๑๒ ชื่อว่าอปุญญาภิสังขาร, อรูปาวจรกุศลเจตนา ๔ ชื่อว่าอาเนญชาภิ<WBR>สัง<WBR>ขาร.
    กายสัญเจตนาชื่อว่ากายสังขาร. วจีสัญเจตนาชื่อว่าวจีสังขาร. มโนสัญเจตนาชื่อว่าจิตตสังขาร.
    ในข้อนั้นพึงมีคำถามว่า จะพึงรู้ข้อนั้นได้อย่างไรว่า สังขารเหล่านี้ย่อมมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย.
    รู้ได้ เพราะความมีอวิชชา.
    จริงอยู่ ความไม่รู้กล่าวคืออวิชชาในทุกข์เป็นต้น อันภิกษุใดละไม่ได้แล้ว ภิกษุนั้นยึดถือสังขารทุกข์ด้วยสำคัญว่าเป็นสุขด้วยไม่รู้ในทุกข์ และในที่สุดเบื้องต้นเป็นต้นมาก่อน แล้วปรารภสังขาร ๓ อย่างอันเป็นเหตุแห่งทุกข์นั้น. ภิกษุสำคัญโดยเป็นเหตุแห่งสุขปรารภสังขารทั้งหลายอันเป็นบริขารของตัณหา แม้เป็นเหตุแห่งทุกข์ด้วยไม่รู้ในสมุทัย.
    อนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีความสำคัญในการดับทุกข์ อันเป็นคติวิเศษ แม้มิใช่เป็นความดับทุกข์ด้วยไม่รู้ในนิโรธและมรรค และเป็นผู้มีความสำคัญในนิโรธและมรรคในยัญและตบะเพื่อความไม่ตายเป็นต้น แม้มิใช่เป็นมรรคแห่งนิโรธ ปรารถนาความดับทุกข์ ย่อมปรารภสังขารทั้งหลาย แม้ ๓ อย่าง โดยมียัญและตบะเพื่อความไม่ตายเป็นต้นเป็นประธาน.
    อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุนั้นไม่รู้ทุกข์ กล่าวคือผลบุญแม้เกลือกกลั้วด้วยโทษไม่น้อยมีชาติ ชรา โรค มรณะเป็นต้น โดยวิเศษเพราะไม่รู้การไม่ละในสัจจะ ๔ ด้วยอวิชชานั้น โดยความเป็นทุกข์ย่อมปรารภปุญญาภิสังขารอันมีประเภทเป็นกายสังขาร วจีสังขารและจิตตสังขาร เพื่อบรรลุทุกข์นั้น ดุจผู้ใคร่นางเทพอัปสรปรารภการเกิดเป็นเทวดา ฉะนั้น.
    แม้ไม่เห็นความเป็นทุกข์ คือความแปรปรวนและความเป็นสิ่งมีความชื่นชมน้อย อันเกิดจากความเร่าร้อนใหญ่หลวงในที่สุด<WBR>แห่ง<WBR>ผล<WBR>บุญ<WBR>นั้น แม้สมมติว่าเป็นความสุข ย่อมปรารภ<WBR>ปุญ<WBR>ญา<WBR>ภิ<WBR>สัง<WBR>ขาร<WBR>มีประการดังกล่าวแล้วอันมีทุกข์นั้นเป็นปัจจัย ดุจตั๊กแตนปรารภถึงการตกไปในเปลวไฟฉะนั้น.
    และดุจบุคคลอยากหยาดน้ำผึ้ง ปรารภการเลียคมศัสตราอันฉาบไว้ด้วยน้ำผึ้ง ฉะนั้น. ไม่เห็นโทษในทุกข์พร้อมวิบาก มีการเสพกามเป็นต้น ปรารภอปุญญาภิสังขารแม้เป็นไปในทวาร ๓ ด้วยความสำคัญว่าเป็นสุข และเพราะถูกกิเลสครอบงำ ดุจเด็กอ่อนปรารภการเล่นคูถฉะนั้น.
    และดุจคนอยากตายปรารภการกินยาพิษ ฉะนั้น.
    ไม่รู้ความที่สังขารเป็นทุกข์ เพราะความแปรปรวนในวิบากอันไม่มีรูป ปรารภอาเนญชาภิสังขารอันเป็นจิตตสังขารด้วยความเห็นผิดว่าเที่ยงเป็นต้น ดุจคนหลงทิศปรารภการเดินทางมุ่งหน้าไปเมืองปีศาจฉะนั้น. เพราะความเป็นสังขารโดยมีอวิชชา มิใช่เพราะความไม่มี.
    ฉะนั้น ควรรู้บทนี้ว่า อิเม สงฺขารา อวิชฺชาปจฺจยา โหนฺติ - สังขารเหล่านี้มีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ด้วยประการฉะนี้.
    ในบทนี้ พระสารีบุตรเถระกล่าวไว้ว่า เราจะถือเอาบทนี้ก่อนว่า อวิชฺชา สงฺขารานํ ปจฺ<WBR>จโย - อวิชชาเป็นปัจจัยแห่งสังขารทั้งหลาย.
    ก็อวิชชานี้อย่างเดียวเท่านั้นหรือเป็นปัจจัยแห่งสังขาร หรือว่า แม้อย่างอื่นเป็นปัจจัยก็มี.
    อนึ่ง ผิว่า ในบทนี้ อวิชชาอย่างเดียวเท่านั้นเป็นปัจจัย วาทะอันเป็นเหตุอย่างเดียว ย่อมมีหรือ.
    เมื่อเป็นเช่นนั้น แม้อย่างอื่นก็ย่อมมี.
    การชี้แจงเหตุเดียวว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารดังนี้จะไม่เกิดขึ้นได้.
    ไม่เกิด เพราะเหตุไร? เพราะ
    <TABLE class=D border=0 cellSpacing=0><TBODY><TR vAlign=top><TD> <TD>เอกํ น เอกโต อิธ <TD>นาเนกมเนกโตปิ โน เอกํ <TR vAlign=top><TD> <TD>ผลมตฺถิ อตฺถิ ปน <TD>เอกเหตุผลทีปเน อตฺโถ. <TR vAlign=top><TD> <TD class=B colSpan=2>ในโลกนี้ ผลอย่างเดียว ย่อมมีเพราะเหตุอย่างเดียวก็หาไม่ <TR vAlign=top><TD> <TD class=B colSpan=2>ผลหลายอย่าง ย่อมมีเพราะเหตุอย่างเดียวก็หาไม่ <TR vAlign=top><TD> <TD class=B colSpan=2>ผลอย่างเดียว ย่อมมีเหตุหลายอย่างก็หาไม่ <TR vAlign=top><TD> <TD class=B colSpan=2>แต่ประโยชน์ในการแสดงเหตุและผลแต่ละอย่างมีอยู่.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเหตุและผลอย่างเดียวเท่านั้น โดยความสมควรแก่ความเหมาะสมแห่งเทศนา และแก่เวไนยสัตว์ เพราะเป็นประธานในที่ทุกแห่ง เพราะปรากฏในที่ทุกแห่ง. เพราะทั่วไปในที่ทุกแห่ง.
    ฉะนั้น พึงทราบว่า อวิชชาในที่นี้ แม้เมื่อเป็นเหตุแห่งสังขารอันมีวัตถุเป็นอารมณ์ และธรรมเกิดร่วมกันเป็นต้นเหล่าอื่น ท่านก็แสดงโดยความเป็นเหตุแห่งสังขารทั้งหลาย เพราะความเป็นประธานในบทว่า อวิชชาเป็นเหตุแห่งเหตุของสังขารมีตัณหาเป็นต้น แม้เหล่าอื่นเพราะบาลีว่า<SUP>๑-</SUP> อสฺสาทานุปสฺสิโน ตณฺหา ปวฑฺฒติ - ตัณหาย่อมเจริญแก่ผู้เห็นความชื่นชม.
    และว่า<SUP>๒-</SUP> อวิชฺชา สมุทยา อาสวสมุทโย - เพราะอวิชชาเป็นสมุทัย อาสวะจึงเกิด. เพราะปรากฏในพระบาลีว่า อวิทฺวา ภิกฺขเว อวิชฺชาคโต ปุญฺญาภิสงฺขารมฺปิ อภิสงฺขโรติ - ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ไม่รู้ไปสู่อวิชชา ย่อมปรุงแต่งแม้<WBR>ปุญ<WBR>ญา<WBR>ภิสังขาร และเพราะความไม่ทั่วไป.
    ____________________________
    <SUP>๑-</SUP> สํ. นิ. เล่ม ๑๖/ข้อ ๑๙๗ <SUP>๒-</SUP> ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๑๓๐

    อนึ่ง พึงทราบประโยชน์ในการแสดงเหตุผลอย่างหนึ่งๆ ในที่ทั้งปวง ด้วยการปกป้องการแสดงเหตุผลอย่างหนึ่งๆ นั้นนั่นแหละ.
    ในบทนี้ พระสารีบุตรเถระกล่าวว่า แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น ความที่อวิชชามีโทษเป็นผลไม่น่าปรารถนาโดยส่วนเดียวเป็นปัจจัยแห่ง<WBR>ปุญ<WBR>ญา<WBR>ภิ<WBR>สังขารและอาเนญ<WBR>ชา<WBR>ภิสังขารจะถูกต้องได้อย่างไร. เพราะอ้อยย่อมไม่เกิดขึ้นจากพืชสะเดาได้. จักไม่ถูกต้องได้อย่างไร? เพราะในโลก
    <TABLE class=D border=0 cellSpacing=0><TBODY><TR vAlign=top><TD> <TD>วิรุทฺโธ จาวิรุทฺโธ จ <TD>สทิสาสทิโส ตถา <TR vAlign=top><TD> <TD>ธมฺมานํ ปจฺจโย สิทฺโธ <TD>วิปากา เอว เต จ น. <TR vAlign=top><TD> <TD class=B colSpan=2>ธรรมทั้งหลายที่สำเร็จเป็นปัจจัยแล้ว ผิดฐานะกันก็มี <TR vAlign=top><TD> <TD class=B colSpan=2>เหมือนกันก็มี อนึ่ง เป็นเช่นเดียวกันและไม่เป็นเช่น <TR vAlign=top><TD> <TD class=B colSpan=2>เดียวกันก็มี ธรรมเหล่านั้นหาใช่วิบากอย่างเดียวไม่.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ด้วยประการฉะนี้ พึงทราบว่า อวิชชานี้จึงเป็นผลไม่น่าปรารถนาโดยส่วนเดียวด้วยสามารถวิบาก. อวิชชาแม้มีโทษด้วยสามารถสภาวะก็ยังเป็นปัจจัยด้วยสามารถเป็นปัจจัยแห่งความผิดและไม่ผิดโดยฐานะ กิจและสภาวะตามสมควรแก่<WBR>ปุญ<WBR>ญา<WBR>ภิ<WBR>สังขารเป็นต้นเหล่านั้นทั้งหมด และด้วยสามารถเป็นปัจจัยเหมือนกันและไม่เหมือนกัน.
    อีกอย่างหนึ่ง
    บุคคลใดหลงไปในสงสารอันมีจุติ และอุปบัติ
    ในลักษณะแห่งสังขารทั้งหลาย และในธรรมอันอาศัย
    กันเกิดขึ้น.
    บุคคลนั้นย่อมตกแต่งสังขาร ๓ อย่างเหล่านั้น
    เพราะอวิชชานี้เป็นปัจจัยแห่งสังขาร ๓ เหล่านั้น.
    เหมือนคนตาบอดแต่กำเนิดไม่มีผู้นำไป บาง
    ครั้งก็ไปถูกทาง บางครั้งก็ไปนอกทางฉันใด.
    คนพาล เมื่อท่องเที่ยวไปในสงสารไม่มีผู้แนะ-
    นำ ก็ฉันนั้น. บางครั้งก็ทำบุญ บางครั้งก็ทำบาป.
    เมื่อใดคนนั้นรู้ธรรมแล้วตรัสรู้อริยสัจ เมื่อนั้น
    จักเที่ยวไปอย่างผู้สงบ เพราะอวิชชาสงบ.

    บทว่า สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ - เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ.
    ความว่า กองวิญญาณมี ๖ คือ จักขุวิญญาณ ๑ โสตวิญญาณ ๑ ฆานวิญญาณ ๑ ชิวหาวิญญาณ ๑ กายวิญญาณ ๑ มโนวิญญาณ ๑.
    ในวิญญาณเหล่านั้น จักขุวิญญาณมี ๒ อย่าง คือ กุศลวิบาก ๑ อกุศลวิบาก ๑. โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณก็เหมือนกัน. มโนวิญญาณมี ๒๒ คือ วิบากมโนธาตุ ๒. อเหตุกมโนวิญญาณธาตุ ๓. สเหตุกวิบากจิต ๘. รูปาวจรวิบากจิต ๕. อรูปาวจรวิบากจิต ๔. วิญญาณทั้งหมดเป็นโลกิยวิบากวิญญาณ ๓๒ ด้วยประการฉะนี้.
    ในข้อนั้นพึงมีคำถามว่า จะพึงรู้ได้อย่างไรว่าวิญญาณมีประการดังกล่าวนี้ มีเพราะสังขารเป็นปัจจัย. เพราะไม่มีวิบากในความที่ไม่ได้สะสมกรรมไว้.
    จริงอยู่ วิบากนี้ย่อมไม่เกิดในเพราะความไม่มีกรรมที่สะสมไว้. ผิว่า พึงเกิด. วิบากทั้งหมดของกรรมทั้งปวงพึงเกิด. แต่วิบาก ทั้งปวงไม่เกิด เพราะฉะนั้น พึงรู้ข้อนี้ว่า เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี.
    จริงอยู่ วิญญาณนี้ทั้งหมดย่อมเป็นไป ๒ ส่วนด้วยสามารถปฏิสนธิที่เป็นไป.
    ในวิญญาณนั้น วิญญาณ ๑๓ เหล่านี้ คือวิญญาณ ๕ อย่างละ ๒ มโนธาตุ ๒ อเหตุ<WBR>ก<WBR>มโน<WBR>วิญ<WBR>ญาณ<WBR>ธาตุ สหรคตด้วยโสมนัส ๑. ย่อมเป็นไปในความเป็นไปในปัญจโวการภพ. วิญญาณ ๑๙ ที่เหลือย่อมเป็นไปในปวัตติกาลบ้าง ในปฏิสนธิบ้างตามสมควรในภพ ๓.
    <TABLE class=D border=0 cellSpacing=0><TBODY><TR vAlign=top><TD> <TD>ลทฺธปฺปจฺจยมิติ ธมฺม- <TD>มตฺตเมตํ ภวนฺตรมุเปติ <TR vAlign=top><TD> <TD>นาสฺส ตโต สงฺกนฺติ <TD>น ตโต เหตํ วินา โหติ. <TR vAlign=top><TD> <TD class=B colSpan=2>วิญญาณนี้เป็นเพียงธรรมได้ปัจจัยแล้ว ย่อมเข้าถึงภพอื่น <TR vAlign=top><TD> <TD class=B colSpan=2>ด้วยประการฉะนี้ ความเคลื่อนไปจากภพ ย่อมไม่มีแก่ <TR vAlign=top><TD> <TD class=B colSpan=2>วิญญาณนั้น วิญญาณเว้นเหตุจากภพนั้นก็มีไม่ได้.</TD></TR></TBODY></TABLE> ท่านอธิบายว่า วิญญาณนี้เกิดขึ้นเพียงอาศัยรูปธรรมและอรูปธรรมเป็นปัจจัยอันได้แล้ว ย่อมเข้าถึงภพอื่น มิใช่สัตว์ มิใช่ชีวะ ด้วยประการฉะนี้.
    อนึ่ง ความเคลื่อนจากภพในอดีตมาในภพนี้ของวิญญาณนั้นก็ไม่มี ความปรากฏของวิญญาณในโลกนี้ เว้นเหตุจากภพอดีตก็มี ไม่ได้.
    อนึ่ง ในบทนี้ ท่านกล่าวว่า การจุติโดยการเคลื่อนไป มีก่อน. การปฏิสนธิโดยการสืบต่อระหว่างภพเป็นต้น มีภายหลัง.
    ในบทนี้ พระสารีบุตรเถระกล่าวไว้ว่า เมื่อมีความไม่เคลื่อนไป ปรากฏอย่างนี้ จะพึงมีผลของสิ่งอื่นโดยความเป็นอื่น. เพราะขันธ์ในอัตภาพมนุษย์นี้ดับไป เพราะกรรมอันเป็นปัจจัยของผลไม่ไปในวิญญาณนั้น มิใช่หรือ.
    อนึ่ง เมื่อไม่มีผู้เสพ ผลจะพึงมีแก่ใครเล่า.
    เพราะฉะนั้น วิธีนี้จึงไม่งาม.
    ท่านกล่าวไว้ในบทนี้ว่า
    <TABLE class=D border=0 cellSpacing=0><TBODY><TR vAlign=top><TD> <TD>สนฺตาเน ยํ ผลํ เอตํ <TD>นาญฺญสฺส น จ อญฺญโต <TR vAlign=top><TD> <TD>พีชานํ อภิสงฺขาโร <TD>เอตสฺสตฺถสฺส สาธโก. <TR vAlign=top><TD> <TD class=B colSpan=2>ผลใดในสันดาน ผลนี้มิใช่ของกรรมอื่น และ <TR vAlign=top><TD> <TD class=B colSpan=2>ไม่มีแต่กรรมอื่น การปรุงแต่งพืชทั้งหลายเป็น <TR vAlign=top><TD> <TD class=B colSpan=2>ข้อพิสูจน์เนื้อความนี้. <TR vAlign=top><TD> <TD>ผลสฺสุปฺปติยา เอว <TD>สิทฺธา ภุญฺชกสมฺมติ <TR vAlign=top><TD> <TD>ผลุปฺปาเทน รุกฺขสฺส <TD>ยถา ผลติสมฺมติ. <TR vAlign=top><TD> <TD class=B colSpan=2>สมมติว่า บุคคลผู้เสวยสำเร็จ เพราะความเกิดขึ้น <TR vAlign=top><TD> <TD class=B colSpan=2>แห่งผล ก็เหมือนกับสมมติว่า ต้นไม้ย่อมผลิผล <TR vAlign=top><TD> <TD class=B colSpan=2>เพราะความเกิดขึ้นแห่งผล.</TD></TR></TBODY></TABLE> แม้ผู้ใดพึงกล่าวว่า เมื่อเป็นอย่างนี้ สังขารเหล่านี้มีอยู่ก็ตาม ไม่มีอยู่ก็ตาม พึงเป็นปัจจัยแก่ผล.
    อนึ่ง ผิว่า มีอยู่ในขณะเป็นไปนั่นแหละ ก็พึงเป็นวิบากแห่งสังขารเหล่านั้น. ครั้นไม่มีอยู่ สังขารทั้งหลายพึงนำมาซึ่งผลเป็นนิจทั้งก่อนและหลังจากความเป็นไป.
    ปัญหากรรมนั้นพึงตอบกะผู้นั้นอย่างนี้ว่า
    <TABLE class=D border=0 cellSpacing=0><TBODY><TR vAlign=top><TD> <TD>กฏตฺตา ปจฺจยา เอเต <TD>น จ นิจฺจผลาวหา <TR vAlign=top><TD> <TD>ปาฏิโภคาทิกํ ตตฺถ <TD>เวทิตพฺพํ นิทสฺสนํ. <TR vAlign=top><TD> <TD class=B colSpan=2>สังขารเหล่านี้เป็นปัจจัยเพราะกระทำ มิใช่นำมาซึ่ง <TR vAlign=top><TD> <TD class=B colSpan=2>ผลเป็นนิจเลย ในเรื่องนั้น พึงทราบเรื่องนายประกัน <TR vAlign=top><TD> <TD class=B colSpan=2>เป็นต้น เป็นตัวอย่าง.</TD></TR></TBODY></TABLE> บทว่า วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ - เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป.
    ความว่า เวทนา สัญญา สังขาร เป็นนาม. มหาภูตรูป ๔ และรูปอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นรูป. ธรรม ๒๓ เหล่านี้ได้รูป ๒๐ คือ วัตถุทสกะ กายทสกะ ในขณะแห่งปฏิสนธิของสัตว์ผู้เกิดในครรภ์ ผู้ไม่มีภาวะ กับสัตว์ผู้เกิดในไข่ และอรูปขันธ์ ๓<SUP>#-</SUP> พึงทราบว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป. เพิ่มภาวทสกะแห่งสัตว์ผู้มีภาวรูป จึงเป็นธรรม ๓๓.
    ____________________________
    <SUP>#-</SUP> อรูปขันธ์ ๓ ได้แก่ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์.

    ธรรม ๔๒ เหล่านี้ คือ รูป ๓๙ คือ จักขุทสกะ โสตทสกะ วัตถุทสกะและชีวิตินทริยนวกะ ในขณะแห่งปฏิสนธิของพรหมกายิกา คือเทพผู้นับเนื่องในหมู่พรหมเป็นต้น ในบรรดาสัตว์ผู้เป็นโอปปาติกะทั้งหลาย และอรูปขันธ์ ๓. พึงทราบว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป.
    อนึ่ง ในกามภพธรรม ๗๓ เหล่านี้ คือ รูป ๗๐ ได้แก่ จักขุทสกะ โสตทสกะ ฆานทสกะ ชิวหาทสกะ กายทสกะ วัตถุทสกะ ภาวทสกะ ในขณะปฏิสนธิของ<WBR>โอป<WBR>ปา<WBR>ติ<WBR>กะ<WBR>ก็ดี สังเสทชะก็ดี ซึ่งมีอายตนะบริบูรณ์ตามสภาพ. และอรูปขันธ์ ๓. ชื่อว่าเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป. นี้เป็นความยอดเยี่ยม. แต่โดยความย่อหย่อน พึงทราบการกำหนดนามรูป เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยในปฏิสนธิ เพราะลดลงๆ ด้วยสามารถแห่งความไม่ปกติของทสกะนั้นๆ แห่งนามรูปนั้นๆ. อรูปขันธ์ ๓ ของธรรมไม่มีรูป. ชีวิติน<WBR>ทริย<WBR>นวกะ<WBR>นั่นแหละโดยเป็นรูปของธรรมไม่มีสัญญา. ในปฏิสนธิก็มีนัยนี้.
    ในบทนั้น พึงมีคำถามว่า ข้อนั้นจะพึงรู้ได้อย่างไร? ปฏิสนธินามรูป มีวิญญาณเป็นปัจจัยหรือ.
    ตอบว่า รู้ได้โดยสูตรและโดยยุกติความชอบด้วยเหตุผล. เพราะในสูตร ความที่เวทนาเป็นต้น มีวิญญาณเป็นปัจจัย เป็นที่รับรองกันโดยส่วนมากตามนัยมีอาทิว่า ธรรมทั้งหลายหมุนเวียนไปตามจิต<SUP>๓-</SUP>
    ____________________________
    <SUP>๓-</SUP> อภิ. สํ. เล่ม ๓๔/ข้อ ๙๔๙

    แต่โดยยุกติว่า
    <TABLE class=D border=0 cellSpacing=0><TBODY><TR vAlign=top><TD> <TD>จิตฺตเชน หิ รูเปน <TD>อิธ ทิฏฺเฐน สิชฺฌติ <TR vAlign=top><TD> <TD>อทิฏฺฐสฺสาปิ รูปสฺส <TD>วิญฺญาณํ ปจฺจโย อิติ. <TR vAlign=top><TD> <TD class=B colSpan=2>ความจริง วิญญาณย่อมสำเร็จด้วยรูป อันเกิดแต่ <TR vAlign=top><TD> <TD class=B colSpan=2>จิตเห็นแล้ว ในที่นี้ วิญญาณเป็นปัจจัยแก่รูปแม้ <TR vAlign=top><TD> <TD class=B colSpan=2>ที่ไม่เห็น.</TD></TR></TBODY></TABLE> บทว่า นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ - เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ นามได้กล่าวแล้ว. แต่รูปในที่นี้ โดยนิยมมี ๑๑ อย่าง คือ มหาภูตรูป ๔ วัตถุ ๖ ชีวิตินทรีย์ ๑. อายตนะ ๖ คือ จักขายตนะ ๑ โสตายตนะ ๑ ฆานายตนะ ๑ ชิวหายตนะ ๑ กายายตนะ ๑ มนายตนะ ๑.
    ในบทนั้น พึงมีคำถามว่า ข้อนั้นจะพึงรู้ได้อย่างไรว่า นามรูปเป็นปัจจัยแก่สฬายตนะ.
    ตอบว่า รู้ได้เพราะมีในความเป็นนามรูป.
    จริงอยู่ อายตนะนั้นๆ ย่อมมีในความเป็นแห่งนามและรูปนั้นๆ. มิใช่มีในที่อื่น.
    บทว่า สฬายตนปจฺจยา ผสฺโส - เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ.
    ความว่า
    ผัสสะอย่างสังเขปมี ๖ อย่าง มีจักขุสัมผัส
    เป็นต้น. โดยพิสดารมี ๓๒ อย่าง ดุจวิญญาณ.

    บทว่า ผสฺสปจฺจยา เวทนา - เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา.
    ความว่า
    ท่านกล่าวเวทนา มีจักขุสัมผัสสชาเวทนา
    เป็นต้นโดยทวาร เวทนาเหล่านั้นโดยประเภท
    มี ๖ แต่ในที่นี้เวทนา มี ๓๒.

    บทว่า เวทนาปจฺจยา ตณฺหา - เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา.
    ความว่า
    ในที่นี้ ท่านแสดงตัณหา ๖ อย่าง โดย
    ประเภทมีรูปตัณหาเป็นต้น ตัณหาอย่างหนึ่งๆ
    รู้กันว่ามี ๓ อย่าง โดยอาการที่เป็นไปในเวทนา
    นั้น.
    ผู้มีทุกข์ย่อมปรารถนาสุข ผู้มีสุขย่อม
    ปรารถนาให้ยิ่ง ๆ ไป แต่อุเบกขาเป็นสุขอย่าง
    เดียว เพราะสงบ.
    เพราะฉะนั้น เวทนา ๓ อย่าง เป็นปัจจัย
    แก่ตัณหา พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงแสวงคุณใหญ่
    จึงตรัสว่า เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา.

    บทว่า ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ - เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน.
    ความว่า อุปาทาน ๔ คือ กามุปาทาน ๑ ทิฏฐุปาทาน ๑ สีลัพพตุปาทาน ๑ อัตต<WBR>วา<WBR>ทุ<WBR>ปา<WBR>ทาน ๑.
    บทว่า อุปาทานปจฺจยา ภโว - เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ. ในที่นี้ ท่านประสงค์เอากรรมภพ. แต่ท่าน<WBR>กล่าว<WBR>อุปปัต<WBR>ติ<WBR>ภพด้วยการมุ่งถึงศัพท์.
    บทว่า ภวปจฺจยา ชาติ - เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ คือความปรากฏแห่งปฏิสนธิขันธ์ เพราะมีกรรมภพเป็นปัจจัย.
    ในบทนั้น หากจะพึงมีคำถามว่า ข้อนั้นจะพึงรู้ได้อย่างไรเล่าว่า ภพเป็นปัจจัยแก่ชาติ.
    ตอบว่า รู้ได้ เพราะแสดงถึงความต่างกันมีเลวและประณีตเป็นต้น. แม้ในความเสมอกันโดยปัจจัยภายนอก ท่านก็แสดงความต่างกันมีเลวและประณีตเป็นต้นของสัตว์ทั้งหลายตั้ง ๑๐๐ คู่ แม้ในความเสมอกันแห่งปัจจัยภายนอกมีบิดามารดา เลือดขาวและอาหารเป็นต้น. ความต่างกันนั้นมิใช่เป็นอเหตุกะ เพราะไม่มีในกาลทั้งปวงและแก่สัตว์ทั้งปวง. มิใช่เหตุอื่นจากกรรมภพ เพราะไม่มีเหตุอื่นในสันดานภายในของสัตว์ผู้เกิดในกรรมภพนั้น เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่ามีกรรมภพเป็นเหตุ.
    จริงอยู่ กรรมเป็นเหตุแห่งความแปลกกันมีความเลวและประณีตเป็นต้นของสัตว์ทั้งหลาย.
    ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า<SUP>๔-</SUP> กมฺมํ สตฺเต วิภชติ ยทิทํ หีนปฺ<WBR>ปณี<WBR>ต<WBR>ตาย - กรรมย่อมจำแนกสัตว์ทั้งหลาย คือเพราะความเลวและประณีต.
    ____________________________
    <SUP>๔-</SUP> ม. อุ. เล่ม ๑๔/ข้อ ๕๙๖

    ในบทมีอาทิว่า ชาติปจฺจยา ชรามรณํ - เพราะมีชาติเป็นปัจจัยจึงมีชราและมรณะ มีอธิบายดังต่อไปนี้.
    พึงทราบว่า เพราะเมื่อไม่มีชาติ ชรามรณะ หรือว่าธรรมมีโสกะเป็นต้น ก็ไม่มี. แต่เมื่อมีชาติชรามรณะและธรรมทั้งหลายมีโสกะเป็นต้น อันเกี่ยวเนื่องกับชรามรณะของคนพาลผู้ถูกทุกขธรรม กล่าวคือชรามรณะถูกต้องแล้ว หรือไม่เกี่ยวเนื่องของคนพาลผู้ถูกทุกขธรรมนั้นๆ ถูกต้องแล้ว ก็มี. ฉะนั้น ชาตินี้จึงเป็นปัจจัยแห่งชรามรณะและแห่งโสกะเป็นต้น.
    ในบทมีอาทิว่า โส ตถา ภาวิเตน จิตฺเตน - ภิกษุนั้นมีจิตอบรมแล้วอย่างนั้น พึงทราบอธิบายดังต่อไปนี้.
    บทว่า ปุพฺเพนิวาสานุสฺสติญาณาย ท่านอธิบายว่า เพื่อบรรลุญาณนั้น คือถึง.
    บทว่า อเนกวิหิตํ คือ หลายอย่าง. หลายประการ. หรือเป็นไปแล้ว พรรณ<WBR>นา<WBR>แล้วโดยประการไม่น้อย.
    บทว่า ปุพฺพนิวาสํ - ชาติก่อน คือสันดานที่อยู่ในชาตินั้นๆ ทำภพในอดีตที่ใกล้ที่สุดให้เป็นเบื้องต้น.
    บทว่า อนุสฺสรติ - ย่อมระลึกตามไปๆ ด้วยสามารถลำดับขันธ์ หรือด้วยสามารถจุติ<WBR>ปฏิ<WBR>สนธิ.
    จริงอยู่ ชนทั้ง ๖ คือ เดียรถีย์ ๑ สาวกธรรมดา ๑ มหาสาวก ๑ อัครสาวก ๑ พระปัจเจก<WBR>พุทธ<WBR>เจ้า ๑ พระพุทธเจ้า ๑ ย่อมระลึกถึงชาติก่อนนี้ได้.
    ในชนเหล่านั้น เดียรถีย์ทั้งหลายย่อมระลึกได้ ๔๐ กัป. ไม่ยิ่งไปกว่านั้น. เพราะเหตุไร เพราะเดียรถีย์มีปัญญาอ่อน.
    จริงอยู่ ปัญญาของเดียรถีย์เหล่านั้น อ่อนเพราะไม่มีการกำหนดนามรูป.
    สาวกธรรมดาย่อมระลึกได้ ๑๐๐ กัปบ้าง ๑,๐๐๐ กัปบ้าง เพราะมีปัญญาแก่กล้า. มหา<WBR>สาวก ๘๐ รูประลึกได้แสนกัป. อัครสาวกทั้งสองระลึกได้อสงไขยหนึ่งกับแสนกัป. พระปัจเจก<WBR>พุทธ<WBR>เจ้า<WBR>ระลึกได้สองอสงไขยกับแสนกัป. เพราะอภินิหารของพระ<WBR>ปัจเจก<WBR>พุทธ<WBR>เจ้า<WBR>เหล่านั้นมีประมาณเพียงนี้. แต่พระพุทธเจ้าทั้งหลายระลึกได้ไม่มีกำหนด.
    อนึ่ง เดียรถีย์ทั้งหลายระลึกได้ลำดับขันธ์เท่านั้น พ้นลำดับไปแล้วไม่สามารถระลึกถึงจุติและปฏิสนธิได้. เดียรถีย์เหล่านั้นระลึกได้ไม่พ้นลำดับขันธ์ เหมือนคนตาบอดไม่ปล่อยไม้เท้าเดินไปฉะนั้น.
    สาวกธรรมดาระลึกได้แม้ตามลำดับขันธ์ ย่อมก้าวไปถึงจุติปฏิสนธิ. มหาสาวก ๘๐ รูป ก็อย่างนั้น. ส่วนอัครสาวกทั้งสองไม่มีกิจต้องระลึกตามลำดับขันธ์คือเห็นจุติของอัตภาพหนึ่งแล้ว แล้วย่อมเห็นปฏิสนธิด้วย ย่อมก้าวเลยไปถึงจุติและปฏิสนธิอย่างนี้ คือครั้นเห็นจุติของคนอื่นอีก ก็ย่อมเห็นปฏิสนธิด้วย. พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เหมือนกัน.
    ส่วนพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มีกิจต้องระลึกตามลำดับขันธ์ ไม่มีกิจต้องระลึกก้าวไปถึงจุติปฏิสนธิ เพราะว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงปรารถนาฐานะใดๆ ข้างล่าง คือ ล่วงแล้วก็ดี ข้างบนคืออนาคตก็ดี ในโกฏิกัปไม่น้อยฐานะนั้นๆ ย่อมปรากฏได้ทีเดียว. เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงย่อโกฏิกัปแม้ไม่น้อย แล้วปรารถนาฐานะใดๆ ทรงก้าวเข้าไปในฐานะนั้นๆ ด้วยสามารถ<WBR>แห่ง<WBR>การ<WBR>ก้าวไปของพระพุทธเจ้าผู้สีหะ. ญาณของพระพุทธเจ้าเหล่านั้นไปอยู่อย่างนี้ ไม่ติดขัดในชาติในระหว่างๆ ย่อมถือเอาฐานะที่ปรารถนาแล้วๆ .
    ก็บรรดาชนทั้ง ๖ เหล่านี้ระลึกถึงชาติก่อนอยู่ การเห็นชาติก่อนของพวก<WBR>เดียร<WBR>ถีย์ ย่อมปรากฏเช่นกับแสงหิ่งห้อย. ของสาวกธรรมดาเช่นกับแสงประทีป. ของมหาสาวกเช่นกับแสงคบเพลิง. ของพระอัครสาวกเช่นกับรัศมีดาวประกายพรึก. ของพระปัจเจก<WBR>พุทธ<WBR>เจ้า<WBR>เช่นกับรัศมีพระจันทร์. ของพระ<WBR>พุทธ<WBR>เจ้าย่อมปรากฏเช่นกับมณฑลพระอาทิตย์ในสรทกาล<SUP>๕-</SUP> ประดับด้วยรัศมีพันดวง.
    ____________________________
    <SUP>๕-</SUP> ฤดูใบไม้ร่วง หรือฤดูสารท คือเทศกาลทำบุญเดือนสิบ.

    การระลึกถึงชาติก่อนของเดียรถีย์ ดุจคนตาบอดเดินไปด้วยปลายไม้เท้า. ของสาวกธรรมดา ดุจเดินไปตาม<WBR>สะพาน<WBR>ด้วยไม้เท้า. ของพระมหาสาวก ดุจเดินไปตามสะพานด้วยลำแข้ง. ของพระอัครสาวก ดุจเดินไปตามสะพานเกวียน. ของพระ<WBR>ปัจเจก<WBR>พุทธ<WBR>เจ้า ดุจเดินไปตามทางด้วยกำลังแข้ง. ของพระ<WBR>พุทธ<WBR>เจ้า ดุจเดินไปตามทางเกวียนใหญ่.
    ก็ในอธิการนี้ ท่านประสงค์เอาการระลึกถึงชาติก่อนของพระสาวกทั้งหลาย.
    เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้เป็นอาทิกรรมิกะประสงค์ระลึกถึงอย่างนี้ กลับจาก<WBR>บิณฑ<WBR>บาต<WBR>ฉัน<WBR>อาหาร<WBR>แล้ว ไปในที่<WBR>ลับ<WBR>หลีก<WBR>เร้น<WBR>อยู่ เข้าฌาน ๔ ตามลำดับ ครั้น<WBR>ออก<WBR>จาก<WBR>จตุตถ<WBR>ฌาน<WBR>อันเป็น<WBR>บาท<WBR>แห่ง<WBR>อภิญญา พิจารณา<WBR>ปฏิจ<WBR>จ<WBR>สมุป<WBR>บาทโดยนัยดังกล่าวแล้ว ควรนั่งพิจารณาข้างหลังภิกษุทั้งหมด.
    จากนั้นควรคำนึงถึงกิจที่ทำตลอดคืนวันทั้งสิ้นตามลำดับ โดยทบทวนอย่างนี้ คือปู<WBR>อาสนะ<WBR>เข้าไปยังเสนาสนะ เก็บบาตรจีวร เวลาฉัน เวลามาจากบ้าน เวลาเที่ยวไป<WBR>บิณฑ<WBR>บาต<WBR>ในบ้าน เวลาเข้าไปสู่บ้านเพื่อ<WBR>บิณฑ<WBR>บาต เวลาออกจากวัด เวลาไหว้พระเจดีย์และต้นโพธิ เวลาล้างบาตร เวลารับบาตร กระทำกิจตั้งแต่รับบาตรจนถึงล้างบาตร ทำกิจในเวลาใกล้รุ่ง ทำกิจใน<WBR>มัชฌิม<WBR>ยาม ในปฐม<WBR>ยาม.
    กิจประมาณเท่านี้ย่อมปรากฏแม้แก่จิตปกติ.
    ส่วนจิตในบริกรรมสมาธิ ย่อมปรากฏยิ่งขึ้นไป หากไม่มีอะไรๆ ปรากฏในจิตนี้ ควรเข้าฌานเป็นบาทอีก ครั้นออกแล้วจึงควรคำนึงถึง ด้วยเหตุนี้ จิตจะปรากฏดุจใน<WBR>ประทีป<WBR>ที่<WBR>สว่าง<WBR>ไสว. ควรคำนึงถึงกิจที่ทำในวันที่สองบ้าง ในวันที่สาม ที่สี่ ที่ห้าบ้าง ในสิบวันบ้าง ในกึ่งเดือนบ้าง ในเดือนหนึ่งบ้าง ในปีหนึ่งบ้าง ตามลำดับ การทบทวนอย่างนี้นั่นแหละ. โดยอุบายนี้ คำนึงถึงตลอดปฏิสนธิของตนในภพนี้ คือสิบปี ยี่สิบปี พึงคำนึงถึงนามรูปอันเป็นไปในขณะจุติในภพก่อน
    จริงอยู่ ภิกษุผู้ฉลาด ครั้นเพิกถอนปฏิสนธิในวาระที่หนึ่งได้แล้วย่อมพอที่จะทำนามรูปให้เป็นอารมณ์. เพราะนามรูปในภพก่อนดับไม่เหลือ. ในภพนี้นามรูปอื่นเกิด. ฉะนั้น ฐานะนั้นจึงเป็นดุจทางปิดมืดสนิท ที่คนปัญญาทรามเห็นได้ยาก. แม้ด้วยเหตุนั้นก็ไม่ควรทอดธุระว่า เราไม่อาจจะเพิกถอนปฏิสนธิ แล้วทำนามรูปให้เป็นอารมณ์ในขณะจุติได้. ควรเข้าฌานอันเป็นบาทนั้นแหละบ่อยๆ ครั้นออกจากฌานแล้ว ควรคำนึงถึงฐานะนั้นๆ.
    เพราะเมื่อภิกษุทำอยู่อย่างนี้ ครั้นออกจากฌานอันเป็นบาทแล้ว ไม่คำนึงถึงฐานะที่คำนึงถึงในกาลก่อน คำนึงถึงปฏิสนธิเท่านั้น เพิกถอนปฏิสนธิโดยไม่ชักช้าเพื่อทำนามรูป ในขณะจุติให้เป็นอารมณ์.
    เหมือนอย่างบุรุษผู้มีกำลังตัดต้นไม้ใหญ่ เพื่อประโยชน์แก่ช่อฟ้าเรือนยอด แม้ไม่สามารถจะตัดต้นไม้ใหญ่ด้วยคมขวานอันทื่อ โดยเพียงตัดกิ่งและใบเท่านั้น อย่าทอดธุระควรไปโรงช่างเหล็กให้ลับขวานให้คมแล้วกลับมาตัดใหม่. เมื่อขวานไม่คมอีก ก็ควรให้ช่างเหล็กลับอีกแล้วพึงตัด. บุรุษนั้นเมื่อตัดอยู่อย่างนี้ ในไม่ช้าก็จะโค่นต้นไม้ใหญ่ลงได้ เพราะเมื่อตัดได้แล้วๆ ก็ไม่มีต้นไม้ควรตัดอีก และเพราะต้นไม้ที่จะตัดไม่มีแล้ว ฉะนั้น.
    ญาณที่เป็นไปเพราะทำนามรูปให้เป็นอารมณ์ ตั้งแต่การนั่งลงครั้งสุดท้ายจนถึงปฏิสนธิ ไม่ชื่อว่าบุพเพนิวาสญาณ แต่ญาณนั้นชื่อว่าบริกรรมสมาธิญาณ.
    อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า ญาณนี้เป็นอตีตังสญาณบ้าง. คำนั้นหมายถึงรูปาวจร เพราะอตีตังสญาณเป็นรูปาวจร จึงไม่ถูก.
    ก็ในกาลใด มโนทวาราวัชชนะก้าวล่วงปฏิสนธิของภิกษุนั้นแล้ว ทำนามรูปอันเป็นไปแล้วในขณะจุติให้เป็นอารมณ์เกิดขึ้นแล้ว อัปปนาจิตย่อมเกิดขึ้นโดยนัยดังกล่าวแล้ว ในตอนก่อน. ในกาลนั้น ญาณอันสัมปยุตด้วยจิตนั้นของภิกษุนั้น ชื่อว่าบุพเพนิวาสานุสติญาณ. ภิกษุย่อมระลึกถึงชาติก่อนด้วยสติอันสัมปยุตด้วยญาณนั้น.
    ในบทเหล่านั้น บทว่า เสยฺยถีทํ เป็นนิบาตลงในอรรถแสดงถึงชนิดที่ปรารภแล้ว.
    พระสารีบุตรเถระ เมื่อจะแสดงประเภทแห่งชนิดของบุพเพนิวาสนั้น จึงกล่าวบทมีอาทิว่า เอกมฺปิ ชาตึ - ชาติหนึ่งบ้าง คือขันธสันดานอันเนื่องในภพหนึ่ง มีปฏิสนธิเป็นมูล มีจุติเป็นปริโยสาน.
    ในบทมีอาทิว่า เทฺวปิ ชาติโย - สองชาติบ้าง มีนัยนี้.
    ในบทมีอาทิว่า อเนเกปิ สํวฏฺฏกปฺเป - ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมาก มีอธิบายดังต่อไปนี้.
    กัปเสื่อม ชื่อว่าสังวัฏฏกัป เพราะในครั้งนั้นสัตว์ทั้งปวงประชุมกันในพรหมโลก. กัปเจริญ ชื่อว่าวิวัฏฏกัป เพราะในครั้งนั้นสัตว์ทั้งหลายออกจากพรหมโลก เป็นอันท่านถือเอาการตั้งอยู่ในสังวัฏฏะด้วยสังวัฏฏะ และการตั้งอยู่ในวิวัฏฏะด้วยวิวัฏฏะ ในพรหมโลกนั้น เพราะมีพรหมโลกนั้นเป็นมูล.
    จริงอยู่ เมื่อเป็นอย่างนี้ ย่อมเป็นอันท่านกำหนดอสงไขย ๔
    ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า<SUP>๖-</SUP>
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กัปหนึ่งมี ๔ อสงไขย
    ๔ อสงไขย เป็นไฉน? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใน
    กาลใด กัปเสื่อม. ตลอดกาลนั้นไม่ง่ายเพื่อจะนับ.
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลใด สังวัฏฏกัปตั้งอยู่
    ฯลฯ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลใด กัปเจริญ
    ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลใด วิวัฏฏกัป
    ตั้งอยู่. ตลอดกาลนั้น ไม่ง่ายนักที่จะนับ.

    ____________________________
    <SUP>๖-</SUP> องฺ. จตุกก. เล่ม ๒๑/ข้อ ๑๕๖

    ในกัปเหล่านั้น สังวัฏฏกัปมี ๓ คือ เตโชสังวัฏฏะ ๑ อาโปสังวัฏฏะ ๑ วาโยสังวัฏฏะ ๑.
    สังวัฏฏสีมา - เขตของสังวัฏฏะมี ๓ คือ อาภัสสรา ๑ สุภกิณหา ๑ เวหัปผลา ๑.
    เมื่อใดกัปเสื่อมเพราะไฟ ถูกไฟไหม้ถึงในเบื้องล่างแห่งอาภัสสรา. เมื่อใดกัปเสื่อมเพราะน้ำ ถูกน้ำท่วมละลายไปถึงเบื้องล่างแห่งสุภกิณหา. เมื่อใดกัปเสื่อม เพราะลม ถูกลมพัดกระหน่ำถึงในเบื้องล่างแห่งเวหัปผลา.
    ก็โดยส่วนกว้างในกาลนั้น พุทธเขตหนึ่งก็ย่อมพินาศไปด้วย.
    พุทธเขตมี ๓ คือ
    ชาติเขต ๑.
    อาณาเขต ๑.
    วิสัยเขต ๑.
    ในเขต ๓ เหล่านั้น เขตที่หวั่นไหวในการถือปฏิสนธิเป็นต้นของพระตถาคตมีหมื่น<WBR>จักร<WBR>วาล<WBR>เป็นที่สุด ชื่อว่าชาติเขต.
    อานุภาพของพระปริตรเหล่านี้ คือ รตนปริตร ขันธปริตร ธชัคคปริตร อาฏานาฏิยปริตร โมรปริตร ย่อมเป็นไปในเขตที่มีแสนโกฏิ<WBR>จักร<WBR>วาล<WBR>เป็น<WBR>ที่<WBR>สุด ชื่อว่าอาณาเขต.
    เขตที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า<SUP>๗-</SUP> ยาวตา วา ปน อากงฺเขยฺย หรือว่า พระตถาคตพึงหวังโดยประมาณเพียงใด อันหาประมาณที่สุดมิได้ ชื่อว่าวิสัยเขต.
    พระตถาคตย่อมทรงทราบเขตที่ทรงหวัง.
    ____________________________
    <SUP>๗-</SUP> องฺ. ติก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๕๒๐

    ในพุทธเขต ๓ อย่างเหล่านี้ อาณาเขตหนึ่งย่อมพินาศไป. เมื่ออาณาเขตนั้นพินาศไป ชาติเขตก็พินาศไปด้วย. เมื่อเขตนั้นพินาศ ย่อมพินาศไปด้วยกัน. เมื่อตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ด้วยกัน.
    ความพินาศและการตั้งอยู่ของเขตนั้น พึงทราบอย่างนี้.
    สมัยใดกัปพินาศเพราะไฟ. มหาเมฆที่ยังกัปให้พินาศแต่ต้นตั้งขึ้น ยังฝนห่าใหญ่อย่างหนึ่งให้ตกในแสนโกฏิ<WBR>จักร<WBR>วาล. มนุษย์ทั้งหลายพากันยินดี นำพืชทั้งปวงออกหว่าน. ก็เมื่อข้าวกล้าเกิดพอโคเคี้ยวกินได้ มหาเมฆร้องเหมือนลาร้อง ฝนแม้หยาดหนึ่งก็ไม่ตก. เมื่อนั้นเป็นอันว่า ฝนขาดเม็ดเลยทีเดียว. สัตว์ผู้อาศัยฝนเลี้ยงชีพย่อมเกิดในพรหมโลกตามลำดับ. และเทวดาผู้อาศัยผลบุญเลี้ยงชีพก็ไปเกิดในพรหมโลกด้วย. เมื่อกาลผ่านไปนานอย่างนี้ น้ำในแม่น้ำนั้นๆ ก็แห้งไป. แม้ปลาและเต่าก็ตายไปตามลำดับ แล้วเกิดในพรหมโลก. แม้สัตว์นรกก็ไปเกิดด้วย.
    ในข้อนี้ อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า สัตว์นรกย่อมพินาศไปในความปรากฏแห่งพระอาทิตย์ดวงที่ ๗. บุคคลไม่เว้นจากฌานย่อมเกิดในพรหมโลก. บางพวกถูก<WBR>ทุพ<WBR>ภิกข<WBR>ภัย<WBR>บีบคั้น. บางพวกไม่ควรเพื่อบรรลุฌาน. สัตว์เหล่านั้นเกิดในพรหมโลกได้อย่างไร?
    ตอบว่า ด้วยอำนาจฌานที่ได้ในเทวโลก.
    จริงอยู่ ในกาลนั้น โดยล่วงไปแสนปีจักสิ้นกัป. ฉะนั้น กามาวจรเทพทั้งหลาย ชื่อว่าโลกพยูหะ เป็นชาวโลก ปล่อยศีรษะ ผมเผ้ารุงรัง ร้องไห้ เอามือเช็ดน้ำตา นุ่งผ้าแดง มีเพศผิดรูปยิ่งนัก เที่ยวไปในทางของมนุษย์ พากันบอกกล่าวอย่างนี้ว่า
    ผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ล่วงไปแสนปีจากนี้จักสิ้นกัป.
    โลกนี้จักพินาศ. แม้มหาสมุทรก็จักเหือดแห้ง. และมหา
    ปฐพีพระยาภูเขาสิเนรุจักถล่มทลายพังพินาศไป. โลกจัก
    พินาศตลอดถึงพรหมโลก. ผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย พวกท่าน
    จงเจริญ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขากันเถิด. จงบำรุง
    มารดาบิดา จงเป็นผู้อ่อนน้อมต่อผู้เจริญในตระกูล ดังนี้.
    พวกมนุษย์และภุมมเทวดาโดยมาก ครั้นสดับคำของกามาวจรเทพเหล่านั้น แล้วพากันเกิดสังเวช มีจิตอ่อนต่อกันและกัน ทำบุญมีเมตตาเป็นต้น แล้วไปบังเกิดในเทวโลก. ณ เทวโลกนั้น ทวยเทพบริโภคอาหารทิพย์ ทำบริกรรมในวาโยกสิณแล้วได้ฌาน. ส่วนมนุษย์พวกอื่นบังเกิดในเทวโลก ด้วยอปราปริยเวทนียกรรม-กรรมให้ผลในภพต่อๆ ไป.
    สัตว์ชื่อว่าท่องเที่ยวไปในสงสาร เว้นอปราปริยเวทนียกรรมไม่มี. แม้สัตว์เหล่านั้นก็ย่อมได้ฌานอย่างนั้นในภพนั้น. สัตว์ทั้งปวงย่อมบังเกิดในพรหมโลก ด้วยอำนาจฌานที่ได้แล้วในเทวโลกอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้.
    โดยกาลยาวนานขึ้นไปโดยการกำหนดปี พระอาทิตย์ดวงที่สองย่อมปรากฏ. เมื่อพระอาทิตย์นั้นปรากฏการกำหนดคืนวันไม่ปรากฏ. พระอาทิตย์ดวงหนึ่งขึ้น. ดวงหนึ่งตก. โลกไม่ขาดความร้อนจากดวงอาทิตย์. ในพระอาทิตย์ที่ยังกัปให้พินาศไม่มี<WBR>สุริย<WBR>เทพ<WBR>บุตร. เหมือนในพระอาทิตย์ปกติ เมื่อพระอาทิตย์ปกติยังเป็นไปอยู่วลาหกบ้าง เปลวไฟบ้าง ย่อมไปในอากาศ.
    เมื่อพระอาทิตย์ยังกัปให้พินาศกำลังเป็นไป ท้องฟ้าปราศจากควันและวลาหก ดุจบาน<WBR>กระจก<WBR>ไม่มีฝ้า ฉะนั้น. น้ำในลำธารเป็นต้นแห้ง เว้นมหานทีทั้ง ๕ จากนั้นโดยล่วงกาลยาวนาน พระอาทิตย์ดวงที่ ๓ ปรากฏ. เพราะอาทิตย์ดวงที่ ๓ นั้นปรากฏ แม้มหานทีก็แห้ง.
    จากนั้นโดยล่วงกาลยาวนาน พระอาทิตย์ดวงที่ ๔ ปรากฏ. เพราะพระอาทิตย์ดวงที่ ๔ ปรากฏ มหาสระ ๗ เหล่านี้ คือสีหปาตนะ ๑ หังสปาตนะ ๑ กัณณมุณฑกะ ๑ รถการทหะ ๑ อโนตัตตทหะ ๑ ฉัททันตทหะ ๑ กุณาลวาหะ ๑ แห้ง เพราะเป็นแหล่งเกิดมหานทีในป่าหิมพานต์.
    จากนั้นโดยล่วงกาลยาวนาน พระอาทิตย์ดวงที่ ๕ ปรากฏ. เพราะพระอาทิตย์ดวงที่ ๕ นั้นปรากฏ น้ำแม้เพียงเปียกข้อนิ้วมือ ก็ไม่เหลืออยู่ในมหาสมุทรโดยลำดับ.
    จากนั้นโดยล่วงกาลยาวนาน พระอาทิตย์ดวงที่ ๖ ปรากฏ. เพราะพระอาทิตย์ดวงที่ ๖ นั้นปรากฏ จักรวาลทั้งสิ้นมีควันพวยพุ่งเป็นอันเดียวกัน ติดแน่นไปด้วยควัน. แม้แสนโกฏิจักรวาลก็เหมือนอย่างจักรวาลนั้น.
    จากนั้นโดยล่วงกาลยาวนาน พระอาทิตย์ดวงที่ ๗ ปรากฏ. เพราะพระอาทิตย์ดวงที่ ๗ นั้นปรากฏ จักรวาลทั้งสิ้นพร้อมด้วยแสนโกฏิจักรวาล ก็มีเปลวไฟโชติช่วงเป็นอันเดียวกัน. แม้ยอดภูเขาสิเนรุสูงประมาณ ๑๐๐ โยชน์ ก็ทำลายหายไปในอากาศนั่นเอง. เปลวไฟนั้นลุกโพลงจดสวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชิกา. เปลวไฟเผากนกวิมาน รัตนวิมานและมณีวิมาน จดดาวดึงสพิภพ.
    โดยอุบายนี้แหละ เปลวไฟจดจนถึงปฐมฌานภูมิ. ไหม้พรหมโลกทั้ง ๓ จดอาภัสสรพรหมตั้งอยู่. เปลวไฟนั้นยังไม่ดับ ตราบเท่าสังขารแม้เพียงอณูหนึ่งยังมีอยู่. แต่เพราะสิ้นสังขารทั้งปวงแม้เถ้าก็ไม่ให้เหลือเปลวไฟจึงดับ ดุจเปลวไฟเผาเนยใสและน้ำมันฉะนั้น. อากาศเบื้องบนพร้อมด้วยอากาศเบื้องล่าง มืดตื้อเป็นอันเดียวกัน.
    ครั้นแล้ว โดยกาลล่วงยาวนาน มหาเมฆตั้งขึ้นยังฝนละเอียดๆ ให้ตกเป็นครั้งแรก. มหาเมฆยังสายฝนประมาณเท่าก้านบัว ไม้เท้า สากและต้นตาลเป็นต้นให้ตกโดยลำดับ ทำที่ที่ถูกไหม้ทั้งหมดให้เต็มแล้วหายไป. ตั้งขึ้นทำน้ำนั้นทั้งเบื้องล่างและเบื้องขวางให้เป็นก้อน เป็นทางโดยรอบเช่นกับหยาดน้ำในใบบัว.
    หากถามว่า ทำห้วงน้ำใหญ่ถึงเพียงนั้นให้เป็นก้อนได้อย่างไร?
    ตอบว่า เพราะเปิดเป็นช่องไว้. ให้ช่องในที่นั้นๆ แก่ห้วงน้ำนั้น. น้ำนั้นถูกลมพัดรวมทำให้เป็นก้อนสิ้นไป ย่อมไหลลงเบื้องล่างตามลำดับ. เมื่อน้ำไหลลงๆ พรหมโลกย่อมปรากฏในที่ของพรหมโลก.
    อนึ่ง เทวโลกย่อมปรากฏในที่แห่งกามาวจรเทวโลกในเบื้องบน. เมื่อน้ำไหลลงสู่พื้นดินดังก่อน ลมแรงย่อมเกิดขึ้น. ลมแรงเหล่านั้นปิดกั้น ทำให้น้ำไม่ไหลออก ดุจน้ำที่ขังอยู่ในธมกรกที่ปิดปากไว้. <WBR>เมื่อน้ำหวานหมดไปยังง้วนดิน (รสปฐวึ) ให้ตั้งขึ้นเบื้องบน. ง้วนดินนั้นมีสี มีกลิ่นและรสดุจลาดไว้เบื้องบนข้าวปายาสที่ไม่มีน้ำ. ในกาลนั้น สัตว์ทั้งหลายที่เกิดก่อนในอาภัสสร<WBR>พรหม<WBR>โลก เคลื่อนจากนั้นเพราะสิ้นอายุก็ดี เพราะหมดบุญก็ดี ย่อมเกิด ณ ที่นี้. สัตว์เหล่านั้นมีรัศมีที่ตัว เหาะไปในอากาศได้. สัตว์เหล่านั้น ครั้นลิ้มแผ่นดินมีรสนั้นตามนัยดังกล่าวแล้วในอัคคัญญสูตร<SUP>๘-</SUP> ถูกตัณหาครอบงำ พยายามจะบริโภคสิ่งที่ทำให้เกิดความโลภ.
    ____________________________
    <SUP>๘-</SUP> ที. ปา. เล่ม ๑๑/ข้อ ๕๖

    ครั้งนั้น รัศมีที่ตัวของสัตว์เหล่านั้นก็หายไป. มีความมืด. สัตว์เหล่านั้นเห็นความมืดก็กลัว. แต่นั้นสุริยมณฑลเต็ม ๕๐ โยชน์ ปรากฏขึ้นยังความกลัวของสัตว์เหล่านั้นให้หายไป ให้เกิดความกล้า. สัตว์เหล่านั้น ครั้นเห็นสุริยมณฑลนั้น ต่างร่าเริงยินดีว่า เราได้แสงสว่างแล้ว จึงตั้งชื่อสุริยมณฑลนั้นว่าสุริยะ เพราะตั้งขึ้นทำให้พวกเราหายกลัวเกิดความกล้าขึ้น เพราะฉะนั้น ขอจงเป็นสุริยะเถิด.
    ครั้นเมื่อพระสุริยะทำแสงสว่างตลอดวันแล้วดับไป สัตว์ทั้งหลายมีความกลัวอีกว่า แสงสว่างที่เราได้ หายไปเสียแล้ว. สัตว์เหล่านั้นจึงคิดอย่างนี้ว่า จะเป็นการดีหากพวกเราได้แสงสว่างอื่น. จันทมณฑลประมาณ ๔๙ โยชน์ ปรากฏขึ้นเหมือนรู้จิตของสัตว์เหล่านั้น. สัตว์เหล่านั้นครั้นเห็นจันทมณฑลนั้น พากันร่าเริงยินดีอย่างยิ่ง จึงตั้งชื่อจันทมณฑลนั้นว่าจันทะ เพราะตั้งขึ้นคล้ายรู้ความพอใจของพวกเรา เพราะฉะนั้น ขอจงเป็นจันทะเถิด.
    เมื่อพระจันทร์ พระอาทิตย์ปรากฏอย่างนี้ นักษัตรทั้งหลายก็ปรากฏเป็นรูปดาว. จำเดิมแต่นั้น กลางคืน กลางวันและกึ่งเดือน เดือนหนึ่ง ฤดู ปี ก็ปรากฏ ตามลำดับ. ในวันปรากฏพระจันทร์พระอาทิตย์นั่นเอง ภูเขาสิเนรุ จักรวาล ป่าหิมพานต์และภูเขาก็ปรากฏ.
    ทั้งหมดนั้นปรากฏในวันเพ็ญเดือน ๔ ไม่ก่อน ไม่หลัง.
    ปรากฏอย่างไร?
    เหมือนอย่างว่า เมื่อข้าวฟ่างเดือดเกิดฟอง ด้วยการคนครั้งเดียวเท่านั้น. บางฟองก็เป็นเนินๆ คล้ายสถูป. บางฟองก็เป็นลุ่มๆ. บางฟองก็เสมอๆ ฉันใด. ในที่เป็นเนินๆ คล้ายสถูปก็เป็นภูเขา. ในที่ลุ่มๆ ก็เป็นมหาสมุทร. ในที่เสมอๆ ก็เป็นเกาะ.
    ครั้นเมื่อสัตว์เหล่านั้นบริโภคง้วนดิน บางพวกก็มีผิวงาม บางพวกก็มีผิวไม่งามตามลำดับ.
    ในสองพวกนั้น พวกที่มีผิวงามก็ดูหมิ่นพวกมีผิวไม่งาม เพราะการดูหมิ่นของสัตว์เหล่านั้นเป็นปัจจัย ง้วนดินก็หายไป. ปรากฏเป็นกะปิดิน.
    ครั้นแล้วกะปิดินของสัตว์ทั้งหลายนั้นหายไป โดยนัยนั้นก็ปรากฏเป็นเครือดิน. แม้เครือดินนั้นก็หายไปโดยนัยนั้น. ก็ปรากฏ เป็นข้าวสาลี ไม่ใช้ฟืนหุง ไม่มีรำ ไม่มีแกลบ บริสุทธิ์ มีกลิ่นหอม มีผลเป็นข้าวสาร. แต่นั้น ภาชนะย่อมเกิดแก่สัตว์เหล่านั้น. สัตว์เหล่านั้น<WBR>วาง<WBR>ข้าว<WBR>สาลี<WBR>บน<WBR>ภาชนะ แล้วตั้งไว้บนแผ่นหิน. เปลวไฟเกิดขึ้นเองหุงข้าวสาลีนั้น. ข้าวสุกนั้นเหมือนดอกมะลิตูม. ไม่ต้องทำแกงหรือผักแห่งข้าวสาลีนั้น. ปรารถนาจะบริโภครสใดๆ ก็มีรสนั้นๆ ให้บริโภค. เมื่อสัตว์เหล่านั้นบริโภคอาหารหยาบ ตั้งแต่นั้นมูตรและกรีสก็เกิด.
    ครั้นสัตว์เหล่านั้นต้องการให้มูตรและกรีสออก ก็แยกเป็นปากแผล. ความเป็นชายก็ปรากฏแก่ชาย. ความเป็นหญิงก็ปรากฏแก่หญิง.
    เล่ากันว่าในครั้งนั้น หญิงเพ่งชาย และชายเพ่งหญิงเกินเวลา. เพราะสัตว์เหล่านั้นเพ่งกันเกินเวลาเป็นปัจจัย จึงเกิดความเร่าร้อนทางกาม. แต่นั้นก็เสพเมถุนกัน. สัตว์เหล่านั้นถูก<WBR>วิญญู<WBR>ชน<WBR>ติเตียนทำให้ลำบาก เพราะการเสพอสัทธรรม จึงสร้างเรือนเพื่อปกปิดอสัทธรรมนั้น. สัตว์ เหล่านั้น เมื่อครองเรือนก็ดำเนินตามทิฏฐานุคติของสัตว์ผู้ไม่เกียจคร้านคนใดคนหนึ่งตามลำดับ ทำการสะสม.
    จำเดิมแต่นั้น รำบ้าง แกลบบ้าง ก็หุ้มห่อข้าวสาร. แม้ที่เกี่ยวแล้วก็ไม่งอก. สัตว์เหล่านั้นประชุมกัน ทอดถอนใจว่า ผู้เจริญทั้งหลาย ธรรมลามกปรากฏแล้วในสัตว์ทั้งหลาย เพราะพวกเราเมื่อก่อนได้เป็นผู้สำเร็จแล้วแต่ใจ ดังนี้ พึงให้พิสดารโดยนัยดังกล่าวแล้วในอัคคัญญสูตร.<SUP>๙-</SUP>
    ____________________________
    <SUP>๙-</SUP> ที. ปา. เล่ม ๑๑/ข้อ ๖๑

    แต่นั้นสัตว์ทั้งหลายจึงได้ตั้งระเบียบปฏิบัติขึ้นไว้ดังต่อไปนี้.
    หากสัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งถือเอาส่วนของคนอื่นที่เขาไม่ให้. ว่ากล่าวสองครั้ง ในครั้งที่สามประหารด้วยฝ่ามือ ก้อนดินและท่อนไม้. สัตว์เหล่านั้น เมื่อเกิดมีการลักทรัพย์ พูดติเตียน พูดเท็จ ทำร้ายร่างกายขึ้น จึงประชุมกันคิดว่า ถ้ากระไรพวกเราควรยกย่องสัตว์ผู้หนึ่ง. เราจักเพิ่มส่วนแห่งข้าวสาลีให้แก่ผู้ที่พึงข่มผู้ที่ควรข่ม พึงติเตียนผู้ที่ควรติเตียน พึงขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่ โดยชอบของพวกเรา.
    ก็เมื่อสัตว์ทั้งหลายทำความตกลงกันอย่างนี้แล้ว ในกัปนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้านี้แหละยังเป็นพระโพธิ<WBR>สัตว์ มีรูปงามกว่า น่าดูกว่า มีศักดิ์ใหญ่กว่า สัตว์เหล่านั้นในสมัยนั้นสมบูรณ์ด้วยปัญญา มีกำลังสามารถเพื่อจะทำการข่มและยกย่องได้. สัตว์เหล่านั้นจึงพากันเข้าไปหาพระ<WBR>โพธิ<WBR>สัตว์<WBR>นั้น วิงวอนยกย่อง.
    พระโพธิสัตว์นั้นปรากฏด้วยนาม ๓ คือชื่อว่ามหาสมมต เพราะมหาชนสมมต ๑. ชื่อว่าขัตติยะ เพราะเป็นอธิบดีแห่งเขตทั้งหลาย ๑. ชื่อว่าราชา เพราะให้สัตว์ทั้งหลายเหล่าอื่นยินดีโดยธรรมเสมอ ๑.
    พระโพธิสัตว์เป็นบุรุษคนแรกในฐานะเป็นอัจฉริยบุรุษในโลก. เมื่อทำพระโพธิสัตว์ให้เป็นอาทิบุรุษ ดำรงในขัตติยมณฑล แล้ววรรณะทั้งหลายมีพราหมณ์เป็นต้น ก็ตั้งขึ้นตามลำดับ.
    การทำลายด้วยเปลวไฟ ตั้งแต่มหาเมฆยังกัปให้พินาศ อสงไขยหนึ่งนี้ ท่านเรียกว่า สังวัฏฏะ.
    มหาเมฆสมบูรณ์ยังแสนโกฏิจักรวาลให้เต็มเปี่ยม ตั้งแต่การทำลายด้วยเปลวไฟอันยังกัปให้พินาศ อสงไขยที่สองนี้ ท่าน<WBR>เรียก<WBR>ว่าสังวัฏฏัฏฐายี.
    ความปรากฏแห่งพระจันทร์ พระอาทิตย์ ตั้งแต่มหาเมฆสมบูรณ์ อสงไขยที่ ๓ นี้ ท่านเรียกว่า วิวัฏฏะ.
    มหาเมฆยังกัปให้พินาศอีก ตั้งแต่ความปรากฏแห่งพระจันทร์ พระอาทิตย์ อสงไขยที่ ๔ นี้ ท่านเรียกว่า วิวัฏฏัฏฐายี.
    อสงไขย ๔ เหล่านี้เป็นมหากัปหนึ่ง. พึงทราบความพินาศด้วยไฟและความตั้งอยู่ ด้วยประการฉะนี้.
    อนึ่ง สมัยใดกัปพินาศไปด้วยน้ำ มหาเมฆยังกัปให้พินาศแต่ต้น ตั้งขึ้น พึงให้พิสดารโดยนัยดังกล่าวแล้วในตอนก่อนนั่นแหละ. แต่ความแปลกกันมีดังต่อไปนี้.
    มหาเมฆมีน้ำกรดยังกัปให้พินาศ ตั้งขึ้นในที่นี้. เหมือนพระอาทิตย์ดวงที่สองตั้งขึ้นในอากาศนั้น ฉะนั้น. มหาเมฆนั้น เมื่อยังฝนละเอียดให้ตกแต่ต้น ย่อมให้ตกเต็ม<WBR>แสน<WBR>โกฏิ<WBR>จักร<WBR>วาล<WBR>ด้วย<WBR>สาย<WBR>ฝน<WBR>ใหญ่<WBR>ตาม<WBR>ลำดับ แผ่นดินและภูเขาเป็นต้นถูกน้ำกรด ถูกต้องแล้วๆ ย่อม<WBR>ละลาย น้ำ<WBR>ถูก<WBR>ลม<WBR>พัด<WBR>ไป<WBR>โดย<WBR>รอบ น้ำท่วม<WBR>ตั้งแต่<WBR>แผ่น<WBR>ดิน<WBR>ถึง<WBR>ทุติย<WBR>ฌาน<WBR>ภูมิ น้ำนั้นยังพรหม<WBR>โลก<WBR>แม้ ๓ ให้ย่อยยับไปในที่นั้น แล้วจดถึงสุภกิณหาตั้งอยู่.
    น้ำนั้นยังไม่สงบตราบเท่าสังขารประมาณอณูยังมีอยู่.
    อนึ่ง น้ำนั้นครอบงำสังขารทั้งปวงที่ไปตามน้ำแล้ว สงบทันทีหายไป อากาศเบื้องบนมืดมิดเป็นอันเดียว พร้อมกับอากาศเบื้องล่าง.
    บททั้งปวงคล้ายกับที่กล่าวแล้ว แต่ในที่นี้ โลกทำ (สร้าง) อาภัสสร<WBR>พรหม<WBR>โลก<WBR>ทั้งสิ้นให้ปรากฏเป็นเบื้องต้น. สัตว์ทั้งหลายเคลื่อนจากสุภกิณหาแล้ว ย่อมเกิดใน<WBR>อาภัส<WBR>สร<WBR>พรหมเป็นต้น. การทำลายด้วยน้ำกรดอันยังกัปให้พินาศ ตั้งแต่มหาเมฆยังกัปให้พินาศ นี้เป็นอสงไขยหนึ่ง.
    มหาเมฆสมบูรณ์ ตั้งแต่การทำลายด้วยน้ำ นี้เป็นอสงไขยที่สอง ... ๔ อสงไขยเหล่านี้ตั้งแต่มหาเมฆสมบูรณ์ ฯลฯ เป็นมหากัปหนึ่ง พึงทราบความพินาศด้วยน้ำและการตั้งอยู่ ด้วยประการฉะนี้.
    อนึ่ง สมัยใดกัปพินาศไปด้วยลมนั้น. มหาเมฆยังกัปให้พินาศไปแต่ต้นตั้งขึ้นแล้ว พึงให้พิสดารตามนัยดังกล่าวแล้วในตอนก่อนนั่นแหละ. แต่ความต่างกันมีดังต่อไปนี้.
    ลมตั้งขึ้นเพื่อยังกัปให้พินาศในโลกนี้ เหมือนพระอาทิตย์ดวงที่สองในอากาศนั้นฉะนั้น. ลมนั้นยังธุลีหยาบให้ตั้งขึ้นก่อน. แต่นั้นยังธุลีละเอียด ทรายละเอียด ทรายหยาบ ก้อน<WBR>กรวด<WBR>และ<WBR>หินเป็นต้น ให้ตั้งขึ้นที่แผ่นหินประมาณเรือนยอดและที่ต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งขึ้นในที่ไม่เสมอ. ธุลีเหล่านั้นไม่ตกจากแผ่นดินอีก เพราะจมอยู่ในท้องฟ้า. ธุลีเหล่านั้นแหลกละเอียดไปในที่นั้น ถึงความไม่มี.
    ครั้นแล้ว ลมตั้งขึ้นที่ภายใต้แผ่นดินใหญ่ตามลำดับ แล้วพลิกแผ่นดินทำรากดินไว้เบื้องบน แล้วซัดไปในอากาศ. ผืนแผ่นดินมี ๑๐๐ โยชน์เป็นประมาณ แตกไปประมาณสองโยชน์ สามโยชน์ สี่โยชน์ ห้าโยชน์ ถูกกำลังลมซัดไป แหลกละเอียดบนอากาศนั่นเอง ถึงความไม่มี. ลมยกภูเขาจักรวาลบ้าง ภูเขาสิเนรุบ้าง ขึ้นแล้วซัดไปในอากาศ. ผืนแผ่นดินเหล่านั้นกระทบกันและกัน แล้วแหลกละเอียดพินาศไป.
    ด้วยอุบายนี้แหละ ลมยังภุมมัฏฐกวิมานและอากาสัฏฐกวิมาน<WBR>ให้พินาศ ยังกามา<WBR>วจร<WBR>เทว<WBR>โลก ๖ ให้พินาศ แล้วยังจักร<WBR>วาล<WBR>แสน<WBR>โกฏิ<WBR>ให้พินาศ.
    จักรวาลกระทบกับจักรวาล. หิมวันตะกระทบกับหิมวันตะ. สิเนรุกระทบกับสิเนรุ แล้วแหลกละเอียดพินาศไป. ลมพัดตั้งแต่แผ่นดินจนถึงตติยฌานภูมิ. ลมยังพรหมโลก ๓ ให้พินาศ จดถึงเวหัปผลาตั้งอยู่. ครั้นยังสังขารทั้งปวงให้พินาศไปอย่างนี้ แม้ตนเองก็พินาศไปด้วย.
    อากาศเบื้องบนกับอากาศเบื้องล่างมืดมิดเป็นอันเดียวกัน ทั้งหมดคล้ายกับที่กล่าวแล้ว. แต่ในที่นี้ โลกทำคือสร้างสุภกิณหพรหมโลกให้เบื้องต้นให้ปรากฏ.
    อนึ่ง สัตว์ทั้งหลายเคลื่อนจากเวหัปผลาแล้ว ย่อมเกิดในสุภกิณหพรหมโลกเป็นต้น. การทำลายด้วยลมยังกัปให้พินาศตั้งแต่มหาเมฆ ยังกัปให้พินาศ นี้เป็นอสงไขยหนึ่ง. มหาเมฆสมบูรณ์ ตั้งแต่การทำลายด้วยลม นี้เป็นอสงไขยที่สอง ฯลฯ อสงไขย ๔ เหล่านี้ เป็นมหากัปหนึ่ง. พึงทราบความพินาศด้วยลมและการตั้งอยู่ ด้วยประการฉะนี้.
    เพราะเหตุไร โลกจึงพินาศไปอย่างนี้.
    เพราะอกุศลมูลเป็นเหตุ. เพราะเมื่ออกุศลมูลหนาขึ้นแล้ว โลกจึงพินาศไปอย่างนี้.
    อนึ่ง โลกนั้นแล เมื่อราคะหนาขึ้นในลำดับ ย่อมพินาศไปด้วยไฟ. เมื่อโทสะหนา ย่อมพินาศไปด้วยน้ำ.
    แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เมื่อโทสะหนา โลกพินาศไปด้วยไฟ. เมื่อราคะหนาพินาศไปด้วยน้ำ. เมื่อโมหะหนาพินาศไปด้วยลม.
    แม้เมื่อพินาศไปอย่างนี้ ย่อมพินาศไปด้วยไฟ ๗ ครั้งเป็นลำดับ. ในครั้งที่ ๘ พินาศไปด้วยน้ำ. พินาศไปด้วยไฟ ๗ ครั้งอีก. ในครั้งที่ ๘ พินาศไปด้วยน้ำ. เพราะเหตุนั้น เมื่อพินาศไป ๘ ครั้งๆ อย่างนี้ พินาศไปด้วยน้ำ ๗ ครั้ง แล้วพินาศไปด้วยไฟอีก ๗ ครั้ง.
    ด้วยเหตุประมาณเท่านี้ ๖๓ กัป เป็นอันล่วงไปแล้ว. ในระหว่างนี้ ลมได้โอกาสห้ามวาระอันพินาศไปด้วยน้ำ แม้ถึงพร้อมแล้วกำจัดสุภกิณหพรหมโลกซึ่งมีอายุ ๖๔ กัปบริบูรณ์ ยังโลกให้พินาศ.
    ภิกษุผู้ระลึกถึงกัป แม้ระลึกถึงชาติก่อน ย่อมระลึกถึงสังวัฏฏกัป วิวัฏฏกัป สังวัฏฏวิวัฏฏ<WBR>กัป ไม่น้อยในกัปเหล่านั้น.
    บทว่า สํวฏฺฏกปฺเป วิวฏฺฏกปฺเป ท่านกล่าวกำหนดครึ่งหนึ่งของกัป.
    บทว่า สํวฏฺฏวิวฏฺฏกปฺเป ท่านกล่าวกำหนดเอากัปทั้งสิ้น.
    หากถามว่า ระลึกถึงอย่างไร.
    ตอบว่า ระลึกถึงโดยนัยมีอาทิว่า อมุตฺราสึ - ในชาติโน้นเราได้เป็นแล้ว.
    ในบทเหล่านั้น บทว่า อมุตฺราสึ คือ เราได้เป็นแล้วในสัง<WBR>วัฏฏ<WBR>กัปโน้น.
    ความว่า เราได้เป็นแล้ว ในภพ ในกำเนิด ในคติ ในวิญญาณฐิติ ใน<WBR>สัตตา<WBR>วาส<WBR>หรือ<WBR>ใน<WBR>สัตต<WBR>นิกาย.
    บทว่า เอวํนาโม มีชื่ออย่างนี้ คือ ชื่อติสสะหรือปุสสะ.
    บทว่า เอวํโคตฺโต มีโคตรอย่างนี้ คือ กัจจานโคตรหรือกัสสป<WBR>โคตร.
    บทนี้ ท่านกล่าวด้วยสามารถการระลึกถึงชื่อและโคตรของตน ในอดีตภพของภิกษุนั้น.
    ก็หากว่า ในกาลนั้น ภิกษุนั้นประสงค์จะระลึกถึงวรรณสมบัติ ความเป็นอยู่ประณีตและเศร้าหมอง ความเป็นผู้มากด้วยสุขและทุกข์ หรือความมีอายุน้อย อายุยืนของตน. ก็ระลึกถึงได้.
    ด้วยเหตุนั้น พระสารีบุตรเถระจึงกล่าวว่า เอวํวณฺโณ ฯลฯ เอวมายุปริยนฺโต.
    ในบทเหล่านั้น บทว่า เอวํวณฺโณ มีผิวพรรณอย่างนี้ คือผิวขาวหรือผิวดำ.
    บทว่า เอวมาหาโร - มีอาหารอย่างนี้ คือมีข้าวสาลี เนื้อ ข้าวสุก เป็นอาหาร หรือมีผลไม้สดเป็นอาหาร.
    บทว่า เอวํสุขทุกฺขปฏิสํเวที - ได้เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนี้ คือเสวยสุขและทุกข์อันเป็นไปทางกาย ทางใจ หรือมีประเภทเป็นต้นว่า มีอามิสหรือไม่มีอามิส.
    บทว่า เอวมายุปริยนฺโต - มีกำหนดอายุเพียงเท่านี้ คือ มีกำหนดอายุ ๑๐๐ ปี หรือ ๘ โกฏิ ๔ แสนกัป.
    บทว่า โส ตโต จุโต อมุตฺร อุทปาทึ - ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ คือ เราครั้นจุติจากภพ กำเนิด คติ วิญญาณฐิติ สัตตาวาส หรือสัตตนิกายนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพ กำเนิด คติ วิญญาณฐิติ สัตตาวาส หรือ<WBR>สัตต<WBR>นิ<WBR>กาย<WBR>โน้น.
    บทว่า ตตฺราปาสึ - ได้มีแล้วในภพนั้น คือได้มีแล้วอีกในภพ กำเนิด คติ วิญญาณฐิติ สัตตาวาส หรือ<WBR>สัตต<WBR>นิกายแม้นั้น.
    บทมีอาทิว่า เอวํนาโม มีนัยดังได้กล่าวแล้ว.
    อีกอย่างหนึ่ง เพราะบทว่า อมุตฺราสึ นี้ เป็นการระลึกถึงของผู้ปรารถนาขึ้นไปตามลำดับ.
    บทว่า โส ตโต จุโต เป็นการพิจารณาของผู้กลับ. ฉะนั้น บทว่า อิธูปปนฺโน พึงทราบว่า ท่าน<WBR>กล่าว<WBR>บท<WBR>นี้ว่า อมุตฺรอุทปาทึ หมายถึงที่เกิดของภิกษุนั้น ในลำดับแห่งการเกิดในโลกนี้.
    บทมีอาทิอย่างนี้ว่า ตตฺราปาสึ ท่านกล่าวเพื่อแสดงการระลึกถึงชื่อและโคตรเป็นต้น ในที่เกิด ในลำดับแห่งการเกิดนี้ ในภพนั้นของภิกษุนั้น.
    บทว่า โส ตโต จุโต อิธูปปนฺโน ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วมาเกิดในภพนี้.
    ความว่า เราครั้นจุติจากที่เกิดในลำดับนั้นแล้ว มาเกิดในตระกูลกษัตริย์ หรือในตระกูลพราหมณ์โน้น ในภพนี้.
    บทว่า อิติ คือ ด้วยประการฉะนี้.
    บทว่า สาการํ สอุทฺเทสํ - พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุทเทส คือ พร้อมทั้งอุทเทส ด้วยชื่อและโคตร. พร้อมทั้งอาการด้วยผิวเป็นต้น. เพราะท่านแสดงถึงสัตว์โดยชื่อและโคตรว่า ติสสะ ผุสสะ กัสสปโคตร. ปรากฏโดยความต่างด้วยผิวพรรณเป็นต้นว่าขาวดำ. เพราะฉะนั้น ชื่อและโคตรเป็นอุทเทส นอกนั้นเป็นอาการ ด้วยประการฉะนี้.
    <CENTER>
    จบอรรถกถาบุพเพนิวาสานุสติญาณนิทเทส
    ----------------------------------------------------- </CENTER>
     

แชร์หน้านี้

Loading...