เมื่อพระศาสดาสอนภิกษุ ให้ทำจิตอย่างนั้น ทำจิตอย่างนี้ เพื่อน้อมไป ใน ทิพจักษุญาณ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นะโม12, 19 กันยายน 2011.

  1. นะโม12

    นะโม12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +245
    <CENTER> พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓
    ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค
    </CENTER><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" background="" align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TR><TD bgColor=darkblue width="100%" vspace="0" hspace="0">[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [๒๕๗] ปัญญาในความเห็นรูปเป็นนิมิตหลายอย่าง หรืออย่างเดียวด้วยสามารถแสงสว่าง เป็นทิพจักษุญาณอย่างไร ฯ ภิกษุในศาสนานี้ เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยสมาธิยิ่งด้วยฉันทะและสังขารอันเป็นประธาน ฯลฯ ครั้นแล้วย่อมมนสิการถึงอาโลกสัญญา ตั้งสัญญาว่าเป็นกลางวัน มีใจเปิดเผย ไม่มีอะไรหุ้มห่อ เจริญจิตให้มีแสงสว่างว่ากลางวันฉันใด กลางคืนฉันนั้น กลางคืนฉันใด กลางวันฉันนั้น ภิกษุนั้นมีจิตอันอบรมแล้วอย่างนั้น บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อญาณในจุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์กำลังจุติ กำลังอุบัติ เลวประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพจักษุอันบริสุทธิล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้หนอประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฐิยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฐิ เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาตนรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฐิ เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์กำลังจุติ กำลังอุบัติ เลวประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ ฯ ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัดเพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในความเห็นรูป เป็นนิมิตหลายอย่างหรืออย่างเดียว ด้วยสามารถแสงสว่าง เป็นทิพจักษุญาณ ฯ<CENTER></CENTER>
     
  2. นะโม12

    นะโม12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +245
    <CENTER><BIG>อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๑. ญาณกถา</BIG> <CENTER class=D>ทิพจักขุญาณนิทเทส</CENTER></CENTER>
    <CENTER> อรรถกถาทิพจักขุญาณนิทเทส </CENTER> [๒๕๗] พึงทราบวินิจฉัยในทิพจักขุญาณนิทเทสดังต่อไปนี้.
    บทว่า อาโลกสญฺญํ มนสิ กโรติ - มนสิการอาโลกสัญญา คือ มนสิการแสงพระอาทิตย์ พระจันทร์และแก้วมณี ทั้งกลางวัน กลางคืนว่า อาโลโก - แสงสว่าง.
    อนึ่ง เมื่อมนสิการอย่างนี้ ท่านกล่าวว่า มนสิการอาโลกสัญญา เพราะยังสัญญาให้เป็นไปในใจว่า อาโลโก.
    บทว่า ทิวาสญฺญํ อธิฏฺฐาติ - ตั้งสัญญาว่าเป็นกลางวัน คือมนสิการอาโลกสัญญาอย่างนี้แล้ว ตั้งสัญญาว่ากลางวัน.
    บทว่า ยถา ทิวา ตถา รตฺตึ - กลางวันฉันใด กลางคืนฉันนั้น คือมนสิการแม้กลางคืนเหมือนเห็นแสงสว่างในกลางวันฉะนั้น.
    บทว่า ยถา รตฺตึ ตถา ทิวา - กลางคืนฉันใด กลางวันฉันนั้น คือมนสิการแม้กลางวันเหมือนเห็นแสงสว่างในกลางคืนฉะนั้น.
    บทว่า อิติ วิวฏฺเฏน เจตสา - มีใจเปิดเผยแล้ว คือมีใจมิได้ปกปิดอย่างนี้.
    บทว่า อปริโยนทฺเธน - ไม่มีอะไรหุ้มห่อ คือไม่หุ้มโดยรอบ.
    บทว่า สปฺปภาสํ จิตฺตํ ภาเวติ คือ เจริญจิตให้มีแสงสว่าง.
    ด้วยบทนี้ ท่านกล่าวถึงจิตมีแสงสว่างด้วยการบริกรรมเป็นอารมณ์ของทิพจักษุ. หรือ<WBR>ท่าน<WBR>กล่าว<WBR>หมาย<WBR>ถึง<WBR>จตุตถ<WBR>ฌานมีอาโลกกสิณเป็นอารมณ์.
    เมื่อภิกษุนั้นเจริญอย่างนี้ จิตมีแสงสว่างปราศจากความมืดปิดกั้น.
    กุลบุตรผู้เป็นอาทิกรรมิกะใคร่เพื่อยังทิพจักษุให้เกิด ทำ<WBR>อภิญญา<WBR>มีฌานเป็นบาท มีกสิณเป็นอารมณ์โดยทำนองเดียวกันกับบาลีนี้นั่นแหละ ให้เป็นการควรแก่อภินิหารโดยอาการทั้งปวง. แล้วพึงทำกสิณอย่างใดอย่างหนึ่งในกสิณ ๓ อย่างเหล่านี้ คือ เตโชกสิณ ๑ โอทาตกสิณ ๑ อาโลก<WBR>กสิณ ๑ ให้ใกล้ไว้. พึงทำอุปจารฌานให้เป็นอารมณ์แล้วกำหนดให้เจริญไว้.
    อธิบายว่า ไม่ควรให้อัปปนาเกิดในอุปจารฌานนั้น.
    เพราะหากว่าให้อัปปนาเกิด ย่อมเป็นนิสัยแห่งฌานเป็นบาทมิใช่นิสัยแห่งบริกรรม.
    ในกสิณ ๓ อย่างเหล่านี้ อาโลกกสิณนั่นแหละประเสริฐกว่า.
    ท่านกล่าวกสิณ ๒ อย่างนอกนั้นด้วยอนุโลมอาโลกกสิณนั่นเอง. เพราะฉะนั้น ควรทำ<WBR>อาโลก<WBR>กสิณ<WBR>ให้เป็นอารมณ์<WBR>อย่าง<WBR>ใด<WBR>อย่าง<WBR>หนึ่ง<WBR>ของ<WBR>กสิณ นอกนั้นแล้วยังฌาน ๔ ให้เกิด ตั้งอยู่ในอุปจารภูมิอีกแล้วพึงเจริญกสิณ. พึงเห็นรูปภายในของที่ที่เจริญแล้วๆ. เมื่อภิกษุนั้นเห็นรูปไม่ทำการแผ่ไปแห่งแสงสว่างด้วยจิตบริกรรม ด้วยความขวนขวายนั้น วาระแห่ง<WBR>บริ<WBR>กรรม<WBR>ย่อมพ้นไป. แต่นั้นแสงสว่างก็หายไป. เมื่อแสงสว่างหายไปแม้รูปก็ไม่ปรากฏ.
    เมื่อเป็นเช่นนั้น ภิกษุนั้นควรเข้าฌานเป็นบาทบ่อยๆ ครั้นออกจากฌานนั้นควรแผ่แสงสว่างไปตามลำดับอย่างนี้ แสงสว่างย่อมมีกำลังมากด้วยประการฉะนี้. แสงสว่างจะตั้งอยู่ใน<WBR>ฐานะ<WBR>ที่<WBR>กำหนด<WBR>ไว้ว่าแสงสว่างจงมีในที่นี้ดังนี้. การเห็นรูปย่อมมีแก่ภิกษุผู้นั่งดูแม้ตลอดวัน.
    เมื่อใดรูปนี้ คือรูปที่ไม่ไปสู่คลองแห่งจักษุ รูปอยู่ภายในท้อง รูปอาศัยหทยวัตถุ รูปอาศัยภายใต้พื้นดิน รูปที่อยู่นอกฝา ภูเขาและกำแพง รูปที่อยู่ใน<WBR>จักร<WBR>วาล<WBR>อื่นย่อมมาสู่คลองแห่ง<WBR>ญาณ<WBR>จักษุ<WBR>ของ<WBR>ภิกษุนั้น ดุจเห็นด้วยมังส<WBR>จักษุ. เมื่อนั้นทิพจักษุย่อมเกิด. ทิพจักษุนั้นสามารถเห็นรูปในที่นี้ได้. มิใช่จิตส่วนเบื้องต้น.
    ในบทมีอธิบายดังต่อไปนี้
    ลำดับการเกิดของทิพจักษุทำรูปมีประการดังกล่าวแล้วให้เป็นอารมณ์เกิดในมโนทวาราวัชชนะ เมื่อมโนทวาราวัชชนะดับ ทำรูปนั้นนั่นแหละให้เป็นอารมณ์ พึงทราบตามนัยดังกล่าวแล้วว่า ชวนจิต ๔ หรือ ๕ ครั้ง ย่อมเกิด.
    อนึ่ง ญาณนี้ท่านกล่าวว่า จุตูปปาตญาณของสัตว์ทั้งหลายบ้าง ทิพจักขุญาณบ้าง.
    ญาณนั้นเป็นอันตรายแก่ปุถุชน. เพราะปุถุชนนั้นอธิฏฐานว่าแสงสว่างจงมีในทุกที่. ญาณนั้นๆ ก็จะทะลุไปในแผ่นดิน สมุทรและภูเขา เกิดเป็นแสงสว่างเป็นอันเดียวกัน. เมื่อเป็นดังนั้น ภิกษุนั้นเห็นรูป<WBR>มี<WBR>ยักษ์<WBR>ราก<WBR>ษส<WBR>เป็นต้น ที่น่ากลัวในที่นั้นก็จะเกิดความกลัวขึ้น. ด้วยเหตุนั้น ภิกษุจะถึงความฟุ้งซ่านแห่งจิต เป็นผู้พลาดไปจากญาณ. เพราะฉะนั้น ไม่ควรประมาทในการเห็นรูป.
    บทว่า สตฺตานํ จุตูปปาตญาณาย คือ เพื่อญาณในจุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย.
    ความว่า เพื่อญาณที่รู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย. อธิบายว่า เพื่อทิพจักขุญาณ.
    บทว่า ทิพฺเพน จกฺขุนา นี้มีความดังได้กล่าวแล้ว.
    บทว่า วิสุทฺเธน - บริสุทธิ์ ชื่อว่าบริสุทธิ์ เพราะเหตุที่ความเห็นบริสุทธิ์ด้วยการเห็นจุติและอุปบัติ.
    จริงอยู่ ผู้ใดเห็นเพียงจุติเท่านั้น ไม่เห็นอุบัติ ผู้นั้นย่อมยึดถืออุจเฉททิฏฐิ ผู้ใดเห็นอุบัติเท่านั้น ไม่เห็นจุติ ผู้นั้นย่อมยึดถือทิฏฐิ คือความปรากฏแห่งสัตว์ใหม่.
    ส่วนผู้ใดเห็นทั้งสองอย่างนั้น. ผู้นั้นย่อมละเลยทิฏฐิแม้สองนั้นได้. เพราะฉะนั้น การเห็นของผู้นั้น ชื่อว่าเป็นเหตุแห่งความเห็นบริสุทธิ์. พุทธบุตรทั้งหลายย่อมเห็นทั้งสองอย่างนั้น.
    ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงกล่าวว่า ชื่อว่า วิสุทฺธํ เพราะเหตุแห่งความเห็นบริสุทธิ์ด้วยการเห็นจุติและอุปบัติ.
    ชื่อว่า อติกฺกนฺตมานุสกํ เพราะเห็นรูปล่วงอุปจาระของมนุษย์.
    ชื่อว่า อติกฺกนฺตมานุสกํ เพราะล่วงมังสจักษุของมนุษย์ด้วยจักษุอันเป็นทิพย์ บริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์.
    บทว่า สตฺเต ปสฺสติ - เห็นสัตว์ทั้งหลาย คือแลดูสัตว์ทั้งหลาย ดุจด้วยมังสจักษุของมนุษย์.
    ในบทนี้ว่า จวมาเน อุปปชฺชมาเน มีอธิบายว่า ไม่สามารถเห็นด้วยทิพจักษุในขณะจุติหรือในขณะอุปบัติ.
    อนึ่ง สัตว์เหล่าใดใกล้จุติจักเคลื่อนในบัดนี้ ฉะนั้น สัตว์เหล่านั้นชื่อว่ากำลังจุติ.
    ส่วนสัตว์เหล่าใดถือปฏิสนธิแล้วหรือเกิดแล้วเดี๋ยวนี้ สัตว์เหล่านั้นท่านประสงค์ว่ากำลังอุปบัติ. ท่านแสดงว่า ย่อมเห็นสัตว์เหล่านั้นเห็นปานนี้กำลังจุติและกำลังอุปบัติ.
    บทว่า หีเน - เลว คือน่าเกลียด น่าเหยียดหยาม น่าดูหมิ่น น่าดูแคลนด้วยสามารถแห่งชาติตระกูล และโภคะเป็นต้นอันเลว เพราะประกอบด้วยผลของโมหะ.
    บทว่า ปณีเต - ประณีต คือตรงกันข้ามกับเลว เพราะประกอบด้วยผลของอโมหะ.
    บทว่า สุวณฺเณ - มีผิวพรรณดี คือมีผิวพรรณน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เพราะประกอบด้วยผลของอโทสะ.
    บทว่า ทุพฺพณฺเณ - มีผิวพรรณทราม คือมีผิวพรรณไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ เพราะประกอบด้วยผลของ โทสะ. อธิบายว่า ไม่สวย มีรูปผิดปกติ.
    บทว่า สุคเต - ได้ดี คือไปดีหรือมั่งคั่งมีทรัพย์มาก เพราะประกอบด้วยผลของอโลภะ.
    บทว่า ทุคฺคเต - ตกยาก คือถึงความลำบาก หรือยากจนมีข้าวน้ำน้อย เพราะประกอบด้วยผลของโลภะ.
    บทว่า ยถากมฺมูปเค - เป็นไปตามกรรม คือเป็นไปตามกรรมที่สะสมไว้.
    ท่านกล่าวถึงกิจของทิพจักษุด้วยมีอาทิ<WBR>ว่า จวมาเน บทก่อน. แต่ด้วยบทนี้ ท่าน<WBR>กล่าว<WBR>ถึงหน้าที่ของยถากัมมูปคญาณ - ญาณกำหนดรู้ว่าสัตว์เป็นไปตามกรรม.
    อนึ่ง ลำดับแห่งการเกิดของฌานนั้นมีดังนี้
    ภิกษุในศาสนานี้เจริญอาโลกกสิณมุ่งไปสู่นรกเบื้องต่ำ ย่อมเห็นสัตว์นรกทั้งหลายเสวยทุกข์ยิ่งใหญ่. การเห็นนั้นนั่นแหละเป็นกิจของทิพจักษุ. ภิกษุนั้นมนสิการอย่างนี้ว่า สัตว์เหล่านี้ทำกรรมอะไรไว้หนอ จึงต้องเสวยทุกข์นั้น. ครั้นแล้วญาณมีกรรมนั้นๆ เป็นอารมณ์เกิดแก่ภิกษุนั้นว่า เพราะทำกรรมนี้.
    อนึ่ง ภิกษุเจริญอาโลกกสิณมุ่งไปสู่เทวโลกเบื้องบน เห็นสัตว์ทั้งหลายเสวยมหาสมบัติในสวนนันทนวัน มิสสกวันและปารุสกวัน เป็นต้น. การเห็นแม้นั้นก็เป็นกิจของทิพจักษุนั้นเอง.
    ภิกษุนั้นมนสิการอย่างนี้ว่า สัตว์เหล่านี้ทำกรรมอะไรไว้หนอจึงต้องเสวยสมบัตินี้ ครั้นแล้วญาณมีกรรมนั้นเป็นอารมณ์เกิดแก่ภิกษุนั้นว่า เพราะทำกรรมนี้ นี้ชื่อว่ายถากัมมูปคญาณ. การบริกรรมต่างออกไปจากนี้ไม่มีแก่ภิกษุนี้. แม้อนาคตังสญาณก็เหมือนญาณนี้.
    จริงอยู่ ญาณเหล่านี้มีทิพจักขุญาณเป็นบาท ย่อมสำเร็จพร้อมด้วยทิพจักษุนั่นเอง.
    บทว่า อิเม ในบทมีอาทิว่า อิเม วต โภนฺโต เป็นบทขยายความของผู้เห็นด้วยทิพจักษุ.
    บทว่า วต เป็นนิบาตลงในอรรถแห่งความรำพึงถึง.
    บทว่า โภนฺโต คือ ผู้เจริญทั้งหลาย.
    ชื่อว่าทุจริต เพราะประพฤติด้วยความชั่ว. หรือประพฤติความชั่ว เพราะเน่าด้วยกิเลส. ชื่อว่ากายทุจริต เพราะประพฤติชั่วทางกาย. หรือความประพฤติชั่วเกิดขึ้นทางกาย.
    แม้ในบทนอกนั้นก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
    บทว่า สมนฺนาคตา - ประกอบแล้ว คือมีความพร้อมแล้ว.
    บทว่า อริยานํ อุปวาทกา - ติเตียนพระอริยเจ้า คือเป็นผู้ใคร่ความพินาศแก่พระอริยเจ้า ผู้เป็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระสาวกโดยที่สุดแม้แก่คฤหัสถ์ผู้เป็นโสดาบัน ติเตียน<WBR>ด้วยอันติม<WBR>วัตถุ หรือด้วยการกำจัดคุณ. อธิบายว่า ด่า ติเตียน.
    กล่าวว่าสมณธรรมไม่มีแก่ท่านเหล่านี้ ท่านเหล่านี้มิใช่สมณะ พึงทราบว่า ชื่อว่าติเตียนด้วยอันติมวัตถุ.
    กล่าวคำมีอาทิว่า ฌาน วิโมกข์ มรรคหรือผล ไม่มีแก่ท่านเหล่านี้ พึงทราบว่า ชื่อว่าติเตียนด้วยการกำจัดคุณ. แต่ผู้นั้นรู้หรือไม่รู้ พึงติเตียน.
    แม้ทั้งสองอย่าง ชื่อว่าเป็นอันติเตียนพระอริยเจ้า. กรรมหนักห้ามสวรรค์และห้ามมรรคเช่นเดียวกับอนันตริยกรรม แต่เป็นสเตกิจฉา คือพอเยียวยาได้. เพราะฉะนั้น ผู้ใดติเตียนพระอริยเจ้า. หากพระอริยเจ้าเป็นผู้ใหญ่กว่าตน ควรไปหาพระอริยเจ้านั้นนั่งกระโหย่งขอขมาว่า กระผมได้กล่าวคำนี้ๆ กะท่านขอท่านได้โปรดอดโทษให้แก่กระผมเถิด.
    หากพระอริยเจ้าอ่อนกว่า ควรนั่งกระโหย่งประคองอัญชลี ขอให้ยกโทษว่า ท่านขอรับกระผมได้กล่าวคำนี้ๆ กะท่าน ขอท่านได้โปรดอดโทษให้แก่ผมเถิด.
    หากพระอริยเจ้าหลีกไปในทิศ. ควรไปเองหรือส่งสัทธิวิหาริกเป็นต้นไปขอให้ท่านอดโทษ.
    หากไม่สามารถไปได้หรือไม่สามารถส่งไปได้ ควรไปหาภิกษุทั้งหลายที่อยู่ในวิหารนั้น.
    หากภิกษุทั้งหลายอ่อนกว่า ควรนั่งกระโหย่ง. หากแก่กว่า ควรปฏิบัติโดยนัยดังกล่าวแล้วในพระอริยเจ้าผู้ใหญ่นั่นแหละ แล้ว<WBR>กล่าว<WBR>ว่า ท่าน<WBR>ขอรับกระผมได้กล่าวคำนี้ๆ กะพระคุณเจ้าชื่อโน้น. ขอพระคุณเจ้าโน้นจงอดโทษให้แก่กระผมเถิด. แม้เมื่อไม่ขอขมาต่อหน้าก็ควรทำเช่นนี้แหละ.
    หากภิกษุเที่ยวไปรูปเดียว ที่นั้นมิใช่ที่อยู่ของภิกษุนั้น. ที่ไปก็ไม่ปรากฏ. ควรไปหาภิกษุผู้ฉลาดรูปหนึ่งแล้วกล่าวว่า ท่านขอรับ กระผมได้กล่าวคำนี้ๆ กะพระคุณเจ้าชื่อโน้น. เมื่อกระผมนึกถึงคำนั้นจึงมีความร้อนใจ กระผมจะทำอย่างไรดี. ภิกษุรูปนั้นจักกล่าวว่า อย่าคิดมากไปเลยคุณ. พระเถระอดโทษให้คุณแล้ว จงสงบใจเสียเถิด.
    แม้ด้วยเหตุนั้น ก็ควรประคองอัญชลีไปทางทิศที่พระอริยเจ้าไป แล้วกล่าวว่า ขอได้โปรดอดโทษเถิด.
    ผิว่า พระอริยเจ้านั้นปรินิพพานเสียแล้ว. ควรไปยังเตียงที่ปรินิพพาน แล้วไปยังป่าช้าขอให้อดโทษให้.
    เมื่อทำอย่างนี้ไม่ห้ามสวรรค์. ไม่ห้ามมรรค. เป็นไปตามปกติ.
    บทว่า มิจฺฉาทิฏฺฐิกา ได้แก่ มีความเห็นวิปริต.
    บทว่า มิจฺฉาทิฏฺฐิกมฺมสมาทานา - ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ คือผู้ที่ชักชวนแม้ผู้อื่นในกายกรรมเป็นต้น มีมิจฉาทิฏฐิเป็นมูล ชื่อว่าเป็นอันยึดถือกรรมมีอย่างต่างๆ ด้วยอำนาจแห่งมิจฉาทิฏฐิ.
    อนึ่ง การกล่าวบททั้งสองนี้ ในการติเตียนพระอริยเจ้าด้วยศัพท์ว่า วจีทุจริต และในมิจฉาทิฏฐิ แม้ที่ท่านสงเคราะห์ด้วยศัพท์ว่า มโนทุจริต พึงทราบว่า เพื่อแสดงถึงความมีโทษมาก.
    จริงอยู่ การติเตียนพระอริยเจ้ามีโทษมาก เพราะเช่นกับอนันตริยกรรม.
    แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ตรัสไว้ว่า<SUP>๑-</SUP>
    ดูก่อนสารีบุตร เปรียบเหมือนภิกษุถึงพร้อมด้วย
    ศีล สมาธิ ปัญญา พึงยังอรหัตผลให้สำเร็จในปัจจุบัน
    ทีเดียว ฉันใด. ดูก่อนสารีบุตร เรากล่าวข้ออุปไมยนี้
    ก็ฉันนั้น. ผู้นั้นไม่ละวาจาเสีย ไม่ละความคิดนั้นเสีย
    ไม่สละคืนทิฏฐินั้นเสีย ก็เที่ยงแท้ที่จะไปสู่นรก.

    อนึ่ง โทษอื่นมีโทษมากกว่ามิจฉาทิฏฐิไม่มี.
    สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่เห็นธรรมอื่นแม้
    สักอย่างเดียวที่มีโทษมากเหมือนมิจฉาทิฏฐินี้เลย.
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โทษทั้งหลายมีมิจฉาทิฏฐิเป็น
    อย่างยิ่ง.

    ____________________________
    <SUP>๑-</SUP> ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๑๖๗ <SUP>๒-</SUP> องฺ. เอก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๑๙๓

    บทว่า กายสฺส เภทา - เพราะกายแตก คือเพราะสละขันธ์มีใจครอง.
    บทว่า ปรมฺมรณา - เมื่อตายไป คือในการถือเอาขันธ์ที่เกิดในลำดับนั้น.
    อีกอย่างหนึ่ง บทว่า กายสฺส เภทา คือ เพราะตัดชีวิตินทรีย์.
    บทว่า ปรมฺมรณา คือ ก่อนจุติจิต.
    บททั้งปวงมีอาทิอย่างนี้ว่า อปายํ เป็นไวพจน์ของนรก. ชื่อว่านิริยะ เพราะปราศจากความเจริญอันสมมติว่าเป็นบุญอันเป็นเหตุแห่งสวรรค์และนิพพาน. ชื่อว่าอบาย เพราะไม่มีความสุขหรือความเจริญ. ชื่อว่าทุคติ เพราะเป็นทาง เป็นที่อาศัยของทุกข์.
    อีกอย่างหนึ่ง คติเกิดด้วยกรรมชั่ว เพราะมีโทษมาก ชื่อว่าทุคติ. ชื่อว่าวินิบาต เพราะเป็นที่ตกไปแห่งความหมดอำนาจของคนทำชั่ว.
    อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าวินิบาต เพราะเป็นที่ตกไปแห่งความพินาศ คืออวัยวะน้อยใหญ่ทำลายพินาศไป. ชื่อว่านิรยะ เพราะไม่มีความเจริญ ที่รู้กันว่าเป็นความชื่นใจ.
    อีกอย่างหนึ่ง ท่านแสดงถึงกำเนิดเดียรัจฉานด้วยอปายศัพท์. กำเนิดเดียรัจฉาน ชื่อว่าอบาย เพราะปราศจากสุคติ. ทุคติมิใช่อบาย เพราะนาคราชเป็นต้นผู้มีศักดิ์ใหญ่ก็เกิด. ท่าน<WBR>แสดง<WBR>ปิตติ<WBR>วิสัยคือที่อยู่ของเปรต ด้วย ทุคฺคติ ศัพท์.
    จริงอยู่ ปิตติวิสัยเป็นทั้งอบายและทุคติ เพราะปราศจากสุคติและเพราะเป็นทางไปแห่งทุกข์. ส่วนวินิบาตไม่ใช่ปิตติวิสัย เพราะไม่ตกไปเช่นอสูร.
    ท่านแสดงอสุรกายด้วยวินิปาตศัพท์. เพราะอสุรกายนั้นเป็นทั้งอบาย และทุคติด้วยอรรถดังกล่าวแล้ว. ท่านเรียกว่าวินิบาต เพราะร่างกายทั้งหมดตกไป. ท่านแสดงนรกเท่านั้นมีประการไม่น้อยมีอเวจีเป็นต้น ด้วยนิรยศัพท์.
    บทว่า อุปปนฺนา คือ เข้าถึงแล้ว ได้แก่เกิดแล้ว.
    พึงทราบธรรมฝ่ายขาวโดยตรงกันข้ามกับที่กล่าวแล้ว.
    ต่อไปนี้เป็นความพิเศษ.
    ท่านสงเคราะห์คติของมนุษย์ด้วยสุคติศัพท์. สงเคราะห์คติของเทวดา ด้วยสัคคศัพท์.
    ในบทว่า สุคตึ สคฺคํ โลกํ นั้นมีความดังนี้
    ชื่อว่าสุคติ เพราะไปดี. ชื่อว่าสัคคะ เพราะเลิศดีด้วยวิสัยมีรูปเป็นต้น. แม้ทั้งหมดนั้นชื่อว่าโลก เพราะอรรถว่าทำลาย. นี้เป็นการอธิบายคำ.
    บททั้งหมดมีอาทิว่า ทิพฺเพน จกฺขุนา - ด้วยทิพจักษุ เป็นคำสรุป ด้วยประการฉะนี้.
    ความสังเขปในบทนี้มีอย่างนี้ว่า ทิพฺเพน จกฺขุนา ปสฺสติ - ย่อมเห็นด้วยทิพจักษุ.
    <CENTER>
    จบอรรถกถาทิพจักขุญาณนิทเทส
    ----------------------------------------------------- </CENTER>
    ในญาณ ๕ เหล่านี้ อิทธิวิธญาณย่อมเป็นไปในอารมณ์ ๗ ด้วยสามารถแห่งปริตตารมณ์ ๑ มหัคคตารมณ์ ๑ อตีตารมณ์ ๑ อนาคตารมณ์ ๑ ปัจจุปันนารมณ์ ๑ อัชฌัตตารมณ์ ๑ พหิทธารมณ์ ๑.
    โสตธาตุวิสุทธิญาณย่อมเป็นไปในอารมณ์ ๔ ด้วยสามารถแห่งปริตตารมณ์ ๑ ปัจจุปันนารมณ์ ๑ อัชฌัตตารมณ์ ๑ พหิทธารมณ์ ๑.
    เจโตปริยญาณย่อมเป็นไปในอารมณ์ ๘ ด้วยสามารถแห่งปริตตารมณ์ ๑ มหัคคตารมณ์ ๑ อัปปมาณารมณ์ ๑ มัคคารมณ์ ๑ อตีตารมณ์ ๑ อนาคตารมณ์ ๑ ปัจจุปันนารมณ์ ๑ พหิทธารมณ์ ๑.
    บุพเพนิวาสานุสติญาณย่อมเป็นไปในอารมณ์ ๘ ด้วยสามารถแห่งปริตตารมณ์ ๑ มหัคคตารมณ์ ๑ อัปปมาณารมณ์ ๑ มัคคารมณ์ ๑ อตีตารมณ์ ๑ อัชฌัตตารมณ์ ๑ พหิทธารมณ์ ๑ นวัตตัพพารมณ์ ๑.
    ทิพจักขุญาณย่อมเป็นไปในอารมณ์ ๔ ด้วยสามารถแห่งปริตตารมณ์ ๑ ปัจจุปันนารมณ์ ๑ อัชฌัตตารมณ์ ๑ พหิทธารมณ์ ๑.
    ยถากัมมูปคญาณย่อมเป็นไปในอารมณ์ ๕ ด้วยสามารถแห่งปริตตารมณ์ ๑ มหัคคตารมณ์ ๑ อตีตารมณ์ ๑ อัชฌัตตารมณ์ ๑ พหิทธารมณ์ ๑.
    อนาคตังสญาณย่อมเป็นไปในอารมณ์ ๘ ด้วยสามารถแห่งปริตตารมณ์ ๑ มหัคคตารมณ์ ๑ อัปปมาณารมณ์ ๑ มัคคารมณ์ ๑ อนาคตารมณ์ ๑ อัชฌัตตารมณ์ ๑ พหิทธารมณ์ ๑ นวัตตัพพารมณ์ ๑.
    <CENTER>
    จบปัญจญาณปกิณกะ
    ----------------------------------------------------- </CENTER>
     

แชร์หน้านี้

Loading...