เขาว่าผมบ้าเพราะปฏิบัติธรรมแด๊ก-ลิขิต เอกมงคล

ในห้อง 'พุทธศาสนากับคนดัง' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 19 พฤศจิกายน 2006.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,489
    'เขาว่าผมบ้าเพราะปฏิบัติธรรม'แด๊ก-ลิขิต เอกมงคล

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width=567 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>"เขาว่าผมบ้าเพราะ... ปฏิบัติธรรม" แด๊ก-ลิขิต เอกมงคล


    </TD></TR><TR><TD class=Text_Story vAlign=top><!-- [​IMG][/IMG] [​IMG] "แด็ก-ลิขิต เอกมงคล" อดีตพระเอกชื่อดัง ถือว่าอยู่ในทำเนียบรายชื่อพระเอกดังตลอดกาลของวงการบันเทิงไทย โดยฝากผลงานไว้ทั้งในจอแก้วและจอเงิน นับเรื่องไม่ถ้วน อาทิ ก่อนจะสิ้นแสงตะวัน ก้อนหินในดินทราย

    ข้ามากับปืน ดอกฟ้าในมือมาร ฉันผู้ชายนะยะ ฉันรักผัวเขา ฟ้าสีทอง ฯลฯ
    วันนี้ ลิขิตใช้ชีวิตอยู่อย่างคนธรรมดา ที่ไม่หลงวนเวียนยึดติดกับความเพ้อฝันของวงการมายาอีก
    "เพราะอาชีพนักแสดงทำให้ติดยึดอยู่บนวิมาน กินข้าวแกงใช้ของถูกไม่ได้ เป็นเรื่องที่แย่มาก" นี่เป็นเหตุผลหนึ่งทำให้อดีตพระเอกชื่อดังหันหลังให้วงการบันเทิง
    "ผมไม่ได้หายไปไหน ก็ยังใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ อยู่ในเมืองหลวงเหมือนเดิม เพียงแต่เบนเข็มชีวิตหันมาทำธุรกิจเล็กๆ เป็นของตัวเอง คงถึงจุดของมันแล้ว เมื่อถึงจุดสูงสุดเลยคืนสู่สามัญชนคนธรรมดา ชีวิตตอนนี้ก็เลยเป็นปกติ ราบเรียบ ไม่หวือหวา แต่หลายคนมองว่า การศึกษาพระพุทธศาสนาจนถูกวิจารณ์ว่าทำให้หลุดโลก" ลิขิต กล่าว
    ทั้งนี้เขาได้อธิบายถึงผลของการปฏิบัติธรรมให้ฟังว่า ชีวิตที่ได้เข้าไปศึกษาพระพุทธศาสนา ปฏิบัติธรรมแบบเต็มตัว เป็นการศึกษาที่ต้องการอยากเรียนรู้โดยไม่ได้มีเรื่องทุกข์ใจอะไรแล้วต้องเข้าวัด ด้วยเหตุนี้ทำให้เพื่อนๆ ในวงการบันเทิงต่างมองว่า หลุดโลก บ้า
    เพื่อนๆ ว่ากันขนาดนี้ แต่เขาก็ไม่เคยคิดโกรธ เพราะทุกวันนี้คิดไม่ดังแล้วมีสติมีความสงบนิ่งมากขึ้น แต่ถ้าเป็นสมัยก่อนจะคิดดังไม่ยอมคนเหมือนกัน แม้สิ่งที่เรานำเสนอเกี่ยวกับหลักธรรมะไม่มีใครสนใจจึงขอหยุดไม่พบใครเป็นดีที่สุด แต่ก็ยังปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันนักแสดงหลายคนที่เคยวิจารณ์ว่าเราหลุดโลก ในที่สุดเขาต่างก็เข้ามาปฏิบัติธรรมศึกษาธรรมะแบบเราเช่นกัน
    ชีวิตในวันนี้เข้าใจคำว่า พอ แล้วว่า สิ่งนี้คือ สัจธรรมชีวิตที่คนเรารู้จักพอจะเป็นการสอนให้เราไม่ต้องไปยึดติดกับชื่อเสียงเงินทอง เนื่องจากวงการบันเทิงต่างสร้างชื่อเสียงสร้างคนให้กอบโกยในเรื่องของกิเลส ชื่อเสียงตรงนี้เป็นเรื่องอุปโลกน์กันขึ้นมา ใครที่ไม่มีสติ ชื่อเสียงตรงนั้นก็ทำให้หลงตัวเอง หลงกับกระแสนิยมได้
    วันนี้เขาคิดว่า ชีวิตในวงการบันเทิงพอแล้ว จึงขอดำเนินชีวิตแบบคนปกติธรรมดา ไม่มีหัวโขนใดมาผูกมัด แต่กว่าจะรู้จักคำว่าพอ ชีวิตก็เกือบตายไปแล้วเหมือนกัน ประกอบกับได้เรียนรู้ธรรมะมาตั้งแต่อายุ ๘ ขวบ จึงได้นำธรรมะเหล่านี้มาใช้ในการดับกิเลส
    "ชีวิตผมได้เข้าไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี และธรรมะที่ผมได้มากน่าไปปฏิบัติธรรมที่วัดตามะไฟ จ.ปราจีนบุรี ซึ่งจะอยู่ในป่า จึงมีเวลาสนทนาธรรมกับพระอาจารย์ในเรื่องที่เราอยากรู้ ท้ายที่สุด วันนี้ผมเห็นดาราบางคนเข้าวัด บวชชีกันมากมาย ผมคิดว่าคนเราคิดมาก มันก็มีทุกข์มาก ไม่ยึดเลยน่าจะเบาใจมากกว่า เพราะในวงการบันเทิงมันคือกิเลส มีชื่อเสียงมากมันก็มีทุกข์มาก ทำอะไรไม่ค่อยจะได้ ไม่ยึดเลย แสดงเสร็จแล้วทิ้ง ไม่ต้องไปยึดติดกับมัน" นี่เป็นเรื่องของการใช้ธรรมะดับกิเลสชื่อเสียง
    นอกจากนี้ อดีตพระเอกชื่อดัง ยังเป็นคนศึกษาในเรื่องของ เทพ หลังจากก่อนหน้านี้มีปัญหาคาใจมานานว่า เทพ คืออะไร ? ทำไมถึงมีคนทรงเจ้า แล้วคนเราถึงเชื่อคลั่งไคล้กันมากขนาดนี้
    พอได้ศึกษาก็พบว่า คนที่นับถือเทพยดาเทวดามีเป็นแสนๆ คน มีหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้มากมาย พอเราศึกษาแล้วรู้มากขึ้น ก็จะเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ ในที่สุดเราก็เข้าใจว่า เทพเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมที่ต้องใช้เงินมากมาย
    ส่วนความเป็นศาสนาพุทธ เป็นเรื่องของการปฏิบัติ แต่คนในยุคนี้ใช้ปนกันหมด ทำให้เข้าใจว่า เทพสูงกว่าพระ แท้จริงแล้ว พระต้องสูงกว่าเทพ ซึ่งเทพเป็นเรื่องเกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ เป็นเรื่องจิตของคนที่เข้ามาปรุงแต่งเท่านั้นเอง
    ด้วยความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของเทพว่ามีจริง ตลอดการศึกษาอยู่ประมาณ ๘ ปี ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง พระพิฆเนศ พระศิวะ พระพรหม ดังนั้น จึงตัดสินใจสักยันต์คำว่า โอม ไว้ที่ฝ่ามือ โดยคำว่า โอม ท่านว่า รวมมาจาก อะ อุ และมะ หมายถึง พระศิวะ
    หลังจากสักมาแล้ว มือที่สักก็ไม่เคยหยิบอะไรที่สกปรกใดๆ เลย ที่ทำแบบนี้เป็นการให้สัจจะ เพื่อไม่ให้ผิดกับข้อห้ามของการสักยันต์ เพราะผู้สักยันต์จะมีข้อห้ามให้รักษาศีล ๕ เป็นเรื่องที่ผู้สักจะต้องรักษาเอาไว้ให้ได้นั่นเอง
    "ผมคิดว่า ใครจะมีความเชื่อกันอย่างไร ทำไปก็เพื่อความสบายใจ แต่ผมเชื่อในเรื่องบุญหรือบาป ใครทำอะไรสุดท้ายเขาก็จะได้สิ่งนั้น ทุกวันนี้ผมก็ทำบุญตามปกติ เหมือนชาวพุทธทั่วไป ผมคิดว่า บุญก็คือความสบายใจ ทำบุญแล้วเห็นคนอื่นมีความสุข เราก็สบายใจ แต่ถ้าคิดลึกๆ ไปถึงชาติหน้า ผมคิดว่า มันรอนานไปหน่อย เอาเป็นว่าทำบุญวันนี้ให้เราสบายใจ เรามีความสุข ผมคิดว่า น่าจะพอแล้วกับชีวิตเราที่เกิดมาครั้งนี้" ลิขิต กล่าวทิ้งท้าย 0 เรื่อง สุทธิคุณ กองทอง / ภาพ ชาญณรงค์ พรดิลกรัตน์ 0

    -->
    [​IMG]

    "แด็ก-ลิขิต เอกมงคล" อดีตพระเอกชื่อดัง ถือว่าอยู่ในทำเนียบรายชื่อพระเอกดังตลอดกาลของวงการบันเทิงไทย โดยฝากผลงานไว้ทั้งในจอแก้วและจอเงิน นับเรื่องไม่ถ้วน อาทิ ก่อนจะสิ้นแสงตะวัน ก้อนหินในดินทราย
    ข้ามากับปืน ดอกฟ้าในมือมาร ฉันผู้ชายนะยะ ฉันรักผัวเขา ฟ้าสีทอง ฯลฯ
    วันนี้ ลิขิตใช้ชีวิตอยู่อย่างคนธรรมดา ที่ไม่หลงวนเวียนยึดติดกับความเพ้อฝันของวงการมายาอีก
    "เพราะอาชีพนักแสดงทำให้ติดยึดอยู่บนวิมาน กินข้าวแกงใช้ของถูกไม่ได้ เป็นเรื่องที่แย่มาก" นี่เป็นเหตุผลหนึ่งทำให้อดีตพระเอกชื่อดังหันหลังให้วงการบันเทิง
    "ผมไม่ได้หายไปไหน ก็ยังใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ อยู่ในเมืองหลวงเหมือนเดิม เพียงแต่เบนเข็มชีวิตหันมาทำธุรกิจเล็กๆ เป็นของตัวเอง คงถึงจุดของมันแล้ว เมื่อถึงจุดสูงสุดเลยคืนสู่สามัญชนคนธรรมดา ชีวิตตอนนี้ก็เลยเป็นปกติ ราบเรียบ ไม่หวือหวา แต่หลายคนมองว่า การศึกษาพระพุทธศาสนาจนถูกวิจารณ์ว่าทำให้หลุดโลก" ลิขิต กล่าว
    ทั้งนี้เขาได้อธิบายถึงผลของการปฏิบัติธรรมให้ฟังว่า ชีวิตที่ได้เข้าไปศึกษาพระพุทธศาสนา ปฏิบัติธรรมแบบเต็มตัว เป็นการศึกษาที่ต้องการอยากเรียนรู้โดยไม่ได้มีเรื่องทุกข์ใจอะไรแล้วต้องเข้าวัด ด้วยเหตุนี้ทำให้เพื่อนๆ ในวงการบันเทิงต่างมองว่า หลุดโลก บ้า
    เพื่อนๆ ว่ากันขนาดนี้ แต่เขาก็ไม่เคยคิดโกรธ เพราะทุกวันนี้คิดไม่ดังแล้วมีสติมีความสงบนิ่งมากขึ้น แต่ถ้าเป็นสมัยก่อนจะคิดดังไม่ยอมคนเหมือนกัน แม้สิ่งที่เรานำเสนอเกี่ยวกับหลักธรรมะไม่มีใครสนใจจึงขอหยุดไม่พบใครเป็นดีที่สุด แต่ก็ยังปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันนักแสดงหลายคนที่เคยวิจารณ์ว่าเราหลุดโลก ในที่สุดเขาต่างก็เข้ามาปฏิบัติธรรมศึกษาธรรมะแบบเราเช่นกัน
    ชีวิตในวันนี้เข้าใจคำว่า พอ แล้วว่า สิ่งนี้คือ สัจธรรมชีวิตที่คนเรารู้จักพอจะเป็นการสอนให้เราไม่ต้องไปยึดติดกับชื่อเสียงเงินทอง เนื่องจากวงการบันเทิงต่างสร้างชื่อเสียงสร้างคนให้กอบโกยในเรื่องของกิเลส ชื่อเสียงตรงนี้เป็นเรื่องอุปโลกน์กันขึ้นมา ใครที่ไม่มีสติ ชื่อเสียงตรงนั้นก็ทำให้หลงตัวเอง หลงกับกระแสนิยมได้
    วันนี้เขาคิดว่า ชีวิตในวงการบันเทิงพอแล้ว จึงขอดำเนินชีวิตแบบคนปกติธรรมดา ไม่มีหัวโขนใดมาผูกมัด แต่กว่าจะรู้จักคำว่าพอ ชีวิตก็เกือบตายไปแล้วเหมือนกัน ประกอบกับได้เรียนรู้ธรรมะมาตั้งแต่อายุ ๘ ขวบ จึงได้นำธรรมะเหล่านี้มาใช้ในการดับกิเลส
    "ชีวิตผมได้เข้าไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี และธรรมะที่ผมได้มากน่าไปปฏิบัติธรรมที่วัดตามะไฟ จ.ปราจีนบุรี ซึ่งจะอยู่ในป่า จึงมีเวลาสนทนาธรรมกับพระอาจารย์ในเรื่องที่เราอยากรู้ ท้ายที่สุด วันนี้ผมเห็นดาราบางคนเข้าวัด บวชชีกันมากมาย ผมคิดว่าคนเราคิดมาก มันก็มีทุกข์มาก ไม่ยึดเลยน่าจะเบาใจมากกว่า เพราะในวงการบันเทิงมันคือกิเลส มีชื่อเสียงมากมันก็มีทุกข์มาก ทำอะไรไม่ค่อยจะได้ ไม่ยึดเลย แสดงเสร็จแล้วทิ้ง ไม่ต้องไปยึดติดกับมัน" นี่เป็นเรื่องของการใช้ธรรมะดับกิเลสชื่อเสียง
    นอกจากนี้ อดีตพระเอกชื่อดัง ยังเป็นคนศึกษาในเรื่องของ เทพ หลังจากก่อนหน้านี้มีปัญหาคาใจมานานว่า เทพ คืออะไร ? ทำไมถึงมีคนทรงเจ้า แล้วคนเราถึงเชื่อคลั่งไคล้กันมากขนาดนี้
    พอได้ศึกษาก็พบว่า คนที่นับถือเทพยดาเทวดามีเป็นแสนๆ คน มีหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้มากมาย พอเราศึกษาแล้วรู้มากขึ้น ก็จะเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ ในที่สุดเราก็เข้าใจว่า เทพเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมที่ต้องใช้เงินมากมาย
    ส่วนความเป็นศาสนาพุทธ เป็นเรื่องของการปฏิบัติ แต่คนในยุคนี้ใช้ปนกันหมด ทำให้เข้าใจว่า เทพสูงกว่าพระ แท้จริงแล้ว พระต้องสูงกว่าเทพ ซึ่งเทพเป็นเรื่องเกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ เป็นเรื่องจิตของคนที่เข้ามาปรุงแต่งเท่านั้นเอง
    ด้วยความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของเทพว่ามีจริง ตลอดการศึกษาอยู่ประมาณ ๘ ปี ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง พระพิฆเนศ พระศิวะ พระพรหม ดังนั้น จึงตัดสินใจสักยันต์คำว่า โอม ไว้ที่ฝ่ามือ โดยคำว่า โอม ท่านว่า รวมมาจาก อะ อุ และมะ หมายถึง พระศิวะ
    หลังจากสักมาแล้ว มือที่สักก็ไม่เคยหยิบอะไรที่สกปรกใดๆ เลย ที่ทำแบบนี้เป็นการให้สัจจะ เพื่อไม่ให้ผิดกับข้อห้ามของการสักยันต์ เพราะผู้สักยันต์จะมีข้อห้ามให้รักษาศีล ๕ เป็นเรื่องที่ผู้สักจะต้องรักษาเอาไว้ให้ได้นั่นเอง

    "ผมคิดว่า ใครจะมีความเชื่อกันอย่างไร ทำไปก็เพื่อความสบายใจ แต่ผมเชื่อในเรื่องบุญหรือบาป ใครทำอะไรสุดท้ายเขาก็จะได้สิ่งนั้น ทุกวันนี้ผมก็ทำบุญตามปกติ เหมือนชาวพุทธทั่วไป ผมคิดว่า บุญก็คือความสบายใจ ทำบุญแล้วเห็นคนอื่นมีความสุข เราก็สบายใจ แต่ถ้าคิดลึกๆ ไปถึงชาติหน้า ผมคิดว่า มันรอนานไปหน่อย เอาเป็นว่าทำบุญวันนี้ให้เราสบายใจ เรามีความสุข ผมคิดว่า น่าจะพอแล้วกับชีวิตเราที่เกิดมาครั้งนี้" ลิขิต กล่าวทิ้งท้าย

    0 เรื่อง สุทธิคุณ กองทอง / ภาพ ชาญณรงค์ พรดิลกรัตน์ 0


    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    ที่มา: คมชัดลึก
    http://www.komchadluek.net/2006/11/19/j001_66398.php?news_id=66398
     
  2. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    พี่เค้าเป็นคนหน้ารักเมื่อก่อนฝึกร้องเพลงที่ms ด้วยกันตอนนั้นยังหล่ออยู่ยังไม่ไปทำตา แต่หลังจากแกไปทำตาแกก็"ตก".....อนิจัง ทุกขัง อนัตตา...
     

แชร์หน้านี้

Loading...