'อุ้ม-สิริยากร'อยาก..หลุดพ้น"เวียนว่ายตายเกิด"

ในห้อง 'พุทธศาสนากับคนดัง' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 19 กุมภาพันธ์ 2006.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,173
    [​IMG]

    ทุกวันนี้สังคมไทยมีการตื่นตัวในเรื่องของการปฏิบัติธรรมกันมากขึ้น โดยเฉพาะนักแสดงหลายคนที่ได้ผ่านการอบรมวิปัสสนากรรมฐานมาแล้ว อาทิ "ลูกศร" ธนาภรณ์ รัตนเสน, "แนน" ชลิตา เฟื่องอารมย์, "แอน" สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์, "กิ๊ก" มยุริญ ผ่องผุดพันธ์

    [​IMG]

    อุ้ม-สิริยากร พุกกะเวส นักแสดงและพิธีกรชื่อดัง เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้เข้าปฏิบัติธรรม ที่ศูนย์พัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติ วัดผาณิตาราม จ.ฉะเชิงเทรา มาแล้ว ถึงสองครั้ง ขณะเดียวกันได้ไปวิปัสสนากรรมฐานกับชมรมคนรู้ใจของ ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ณ สำนักสงฆ์เขาดินหนองแสง จ.จันทบุรี


    สิริยากร ยอมรับว่า "ก่อนหน้านี้ไม่เคยเข้าใจเรื่องการมีสติว่าเป็นอย่างไร ปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามอารมณ์ที่เกิดขึ้น เราไม่เคยรู้ใจของเราในทุกขณะจิต"
    อย่างไรก็ตาม ได้เข้าปฏิบัติธรรมครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม ๗ วัน ๖ คืน และวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๘ อีก ๓ วัน ทำให้มีความรู้สึกว่าชีวิตเปลี่ยนแปลงไป เพราะเป็นหลักสูตรเจริญสติเพื่อพัฒนาปัญญา ทำให้รู้ว่าจริงๆ มนุษย์ควรมีสติกำกับ แล้วต้องระลึกรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงทุกอย่าง ไม่ว่าเราจะทำอะไรอยู่ก็ตาม


    [​IMG]


    อุ้ม บอกว่า การปฏิบัติธรรมที่ผ่านมา ทำให้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว ตัวเราไม่มีอะไรเลย มันเป็นเพียง ทาส ๔ ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่มารวมกันอยู่เท่านั้นเอง สิ่งที่เกิดขึ้นเราปรุงแต่งขึ้นมาเองทั้งหมด จริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรที่เที่ยงเลย แล้วเราจะไปยึดติดกับมันทำไม วันนี้เราพูดได้ การปฏิบัติ ก็ยังทำไม่ได้ทั้งหมด แต่เราก็ปล่อยได้เร็วขึ้น แทนที่มีอะไรมากระทบ จะหวั่นไหวไปกับมัน เราก็จะนิ่งขึ้น

    แม้ว่าสิ่งที่ได้เราอาจไม่ได้ทุกขณะจิต เนื่องจากจิตเรายังไม่เข้มแข็ง มากขนาดนั้น แต่มีแนวทางว่าชีวิตเราควรจะดำเนินไปทางไหน ก่อนหน้านี้ จะเป็นคนสงสัยอะไรมากมาย ไม่ว่าจะมีเรื่องกลุ้มใจ ปรึกษาใครดี เราไม่รู้ว่าคำตอบจะอยู่ที่ไหน

    ในที่สุดก็เข้าใจด้วยตัวเองว่า ธรรมะตอบเราได้ทุกอย่าง ถึงวันนี้จิตใจก็ยังอ่อนไหว อยู่บ้าง ถ้ามีอะไรมากระทบ แต่จะพยายามปฏิบัติในสิ่งเหล่านี้ให้ได้ เพราะเรารู้ว่าเป้าหมายของหลักธรรมอยู่ตรงไหน

    นักแสดงชื่อดังกล่าวต่อว่า ทุกวันนี้พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อเกิดขึ้นก็ต้องดับไป ไม่ว่าเป็นสุขหรือทุกข์ หลายคน ที่เกิดปาฏิหาริย์กับชีวิต ตรงนี้อยากบอกว่า จริงๆ ไม่ได้เป็นปาฏิหาริย์อะไร มองว่าเป็นธรรมะจัดสรรให้มากกว่า เพราะสิ่งต่างๆ จะเกิดขึ้นอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดี และไม่ดี ตรงนี้เกิดจากผลที่เราได้กระทำกันมาตั้งแต่อดีต หรือการกระทำในปัจจุบัน จึงกลายเป็นผลถึงอนาคต สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความบังเอิญ แต่เป็นการเกิดขึ้นจากเหตุ

    ชีวิตที่ผ่านมาจะอธิษฐานขอพร แล้วก็เชื่อว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น สิ่งเหล่านั้นเป็นเพราะยังไม่รู้ว่าการขอพรนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร มาวันนี้รู้แล้วว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เชื่อในเรื่องกรรมและผลของกรรม

    ดังนั้นเราต้องทำปัจจุบันให้ดีที่สุด หลังจากนั้นชีวิตเราจะดีเอง กรรมที่ว่านี้เกิดจาก การกระทำของเราเอง ไม่ว่าจะเป็นกุศลกรรม หรืออกุศลกรรมที่เราเคยทำไว้ แต่เราไม่เคยรู้ ตรงนี้อยากบอกว่ากรรมทุกอย่างจะมีผลของมัน เมื่อทุกอย่างมาถึง วันหนึ่งก็ต้องจากไป เราจึงไม่ต้องทุกข์ร้อนใดๆ

    [​IMG]

    นอกจากจะสวดมนต์คาถาชินบัญชรทุกคืนแล้ว ทุกวันนี้อุ้มยังเพิ่ม การสวดพุทธบูชา บทสวดอื่นๆ อีกหลายบท รวมทั้งมีการแผ่เมตตาให้กับเจ้ากรรมนายเวร ขณะเดียวกันหากมีเวลามากพอก่อนนอนยังต้องเดินจงกรม นั่งสมาธิเป็นประจำ

    และเมื่อวันนี้เรายังต้องรับผิดชอบต่อสังคม มีหน้าที่อยู่ในโลก เราก็ควรให้เจริญทั้งทางโลกและทางธรรม คือโลกไม่ช้ำ ธรรมไม่ขุ่น ไม่เสีย เอาธรรมะมาอยู่กับงาน ทำทุกอย่างก็ต้องทำอย่างมีสติ "การมีสติรู้ในสิ่งที่ทำจึงเป็นเป้าหมายที่จะทำให้ได้ เพราะเป้าหมายสูงสุด วันหนึ่งเราจะได้หลุดจากกิเลสตัณหาลงทั้งหมด ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ คือการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดจากวัฏสงสาร

    แต่ถ้าเรายังไม่หลุดพ้นกับมัน มีชาติต่อไป ของชีวิต อุ้มก็ตั้งใจปฏิบัติว่าถ้าเรายังไม่หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เป้าหมายของจิต ขอเพียงให้เราบำเพ็ญเพียรสนใจในธรรมะ จนท้ายที่สุดจะหลุดพ้นได้จริงๆ" สิริยากร กล่าวทิ้งท้าย

    เรื่อง สุทธิคุณ กองทอง

    --------
    ที่มา: คมชัดลึก

    ----------
    http://www.oknation.net/blog/sutku/2007/09/12/entry-1
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 กันยายน 2009
  2. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,489
    [​IMG]



    เมื่อวันนี้เรายังต้องรับผิดชอบต่อสังคม มีหน้าที่อยู่ในโลก เราก็ควรให้เจริญทั้งทางโลกและทางธรรม คือโลกไม่ช้ำ ธรรมไม่ขุ่น ไม่เสีย เอาธรรมะมาอยู่กับงาน ทำทุกอย่างก็ต้องทำอย่างมีสติ "การมีสติรู้ในสิ่งที่ทำจึงเป็นเป้าหมายที่จะทำให้ได้ เพราะเป้าหมายสูงสุด วันหนึ่งเราจะได้หลุดจากกิเลสตัณหาลงทั้งหมด ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ คือการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดจากวัฏสงสาร แต่ถ้าเรายังไม่หลุดพ้นกับมัน มีชาติต่อไป ของชีวิต อุ้มก็ตั้งใจปฏิบัติว่าถ้าเรายังไม่หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เป้าหมายของจิต ขอเพียงให้เราบำเพ็ญเพียรสนใจในธรรมะ จนท้ายที่สุดจะหลุดพ้นได้จริงๆ" สิริยากร กล่าวทิ้งท้าย
    --------------------


    อนุโมทนาสาธุด้วยค่ะ..^_^<!-- google_ad_section_end -->
     
  3. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ลูกอมมหาลาภ หลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุญนาค<!-- google_ad_section_end -->



    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>
    <!-- google_ad_section_start -->ปาฎิหาริย์หลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุญนาค

    คราวหนึ่งมีชาวบ้านตาคลีเดินทางไปกราบนมัสการหลวงปู่แหวนที่วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ พอหลวงปู่แหวนรู้ว่ามาจากตาคลี ท่านก็ไล่ให้กลับ บอกว่า “มีเพชรอยู่ในบ้าน ยังไม่รู้จักอีก หลวงปู่สีน่ะ เป็นอาจารย์ของฉันเอง ฉันจะเก่งกว่าท่านได้อย่างไร” ชาวบ้านกลุ่มนั้นก็เดินทางกลับตาคลี มากราบหลวงปู่สีถามถึงเรื่องนี้ว่า จริงเท็จประการใด หลวงปู่ฯเล่าว่าหลวงปู่แหวนมาฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านนานแล้ว ก่อนที่จะเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์มั่น โดยท่านพบกับหลวงปู่แหวนที่จังหวัดเลย ขณะนั้นหลวงปู่แหวนยังเป็นพระหนุ่มๆ อยู่





    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1>ย่นระยะทางไปพบสหายธรรม


    ในสมัยที่หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ยังมีชีวิตอยู่ หลวงปู่สีมักจะเดินทางไปสนทนาธรรมกันอยู่บ่อยครั้ง ในบางครั้งหลวงปู่ศุขก็เดินทางไปพบหลวงปู่สี และบางครั้งก็ไปพบกับหลวงปู่สี และบางครั้งก็ไปพบกับหลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ ทั้งสามท่านมีความผูกพันกันมาก มักจะผลัดเปลี่ยนเวียนกันไปพบซึ่งกันและกัน และในบางครั้งก็ออกธุดงค์ไปตามป่าดงพงเขาด้วยกันในบางครั้งบางคราว
    พระสหธรรมทั้งสาม หลวงปู่กลั่น หลวงปู่ศุข หลวงปู่สี ทั้งสามเกิดปี พ.ศ.ใกล้เคียงกัน หลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ เกิดปี พ.ศ.๒๓๙๐ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า พระอาจารย์ของกรมหลวงชุมพรฯ เกิดปี พ.ศ. ๒๓๙๐ ส่วนหลวงปู่สี ฉนฺทสิริ เกิดปี พ.ศ. ๒๓๙๒ ซึ่งอ่อนกว่าทั้งสองท่านเพียง ๒ ปี แต่พระอาจารย์ทั้งสามท่านก็มีความผูกพันกัน ธุดงค์และศึกษาปฏิบัติธรรมด้วยกัน มีอะไรก็แลกเปลี่ยนกัน
    ในครั้งที่หลวงปู่ศุขเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงปู่สีได้เดินทางไปเยี่ยมและอยู่สนทนาธรรมกัน หลังจากที่ออกพรรษาแล้วหลายวัน หลวงปู่สีก็คิดว่าจะออกเดินธุดงค์ต่อไป แต่หลวงปู่ศุขก็ขอร้องให้หลวงปู่สีรออยู่ที่วัดก่อน
    เช้าวันนั้นหลวงปู่ศุขท่านก็ออกบิณฑบาต ฝ่ายหลวงปู่ลี พอเห็นหลวงปู่ศุขไปแล้วท่านก็เก็บของของท่านที่จำเป็นแล้วออกเดินทางไป
    เมื่อหลวงปู่ศุขกลับจากบิณฑบาต ทราบจากพระในวัดว่าหลวงปู่สีท่านไปแล้ว หลวงปู่ศุขจึงให้พระเณรฉันข้าวก่อน เดี๋ยวจะกลับมาฉันด้วย ต่อจากนั้นท่านก็เข้ากุฏิ นำพระคัมภีร์ ๓ เล่ม ตามไปให้หลวงปู่สี
    ปรากฏว่าพระอาจารย์ทั้งสองรูปมาพบกันที่ตาคลี จากนั้นหลวงปู่ศุขท่านก็เดินทางกลับวัดที่ชัยนาท ไปฉันอาหารร่วมรับพระเณรจนเสร็จ
    พระอาจารย์ทั้งสามรูปนี้ท่านสำเร็จอภิญญาชั้นสูง จึงสามารถย่นระยะทางไปไหนมาไหนได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งระยะทางจากชัยนาทมาถึงตาคลี ระยะทางประมาณ ๔๐-๕๐ กิโลเมตร ถ้านั่งรถก็ต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมงเห็นจะได้
    ในเรื่องฤทธิ์เดชต่างๆ นี้ เวลาที่ลูกศิษย์ถามหลวงปู่ท่านจะแกล้งล้มตัวลงนอน ไม่ตอบคำถามของลูกศิษย์ แต่หากถามเรื่องธรรมะต่างๆ ท่านก็จะขยายข้อธรรมให้อย่างชัดเจน เพราะท่านไม่ต้องการให้ลูกศิษย์โดยเฉพาะพระภิกษุไปติดในเรื่องเดชฤทธิ์อำนาจ ท่านต้องการให้ใฝ่ใจในเรื่องการปฏิบัติธรรม





    ปาฏิหาริย์ แยกกายโปรดโยม

    เมื่อราวต้นปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ทางวัดเขาถ้ำบุญนาค ตาคลี ได้จัดให้มีงานประจำปีขึ้น ซึ่งไปตรงกับงานอีกวัดหนึ่งในจังหวัดชลบุรี ซึ่งทางวัดก็ได้นิมนต์หลวงปู่สี ไปโปรดญาติโยมชาวจังหวัดชลบุรี ในงานที่วัด หลวงปู่สี ท่านก็รับปากว่าจะไป ในวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๑๙
    งานวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๑๙ ที่วัดในจังหวัดชลบุรีที่ได้นิมนต์หลวงปู่ไว้ หลวงปู่ท่านก็ไปประพรมน้ำมนต์ให้ญาติโยมในงานที่วัดชลบุรี ตามคำนิมนต์
    ต่อมาวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๑๙ ชาวจังหวัดชลบุรี ก็เหมารถมาเที่ยวที่วัดเขาถ้ำบุญนาค ตั้งใจมากราบหลวงปู่สี เพราะติดใจหลวงปู่สี ที่ได้กราบรับพรจากหลวงปู่เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๑๙ ที่วัดในจังหวัดชลบุรี
    ข่าวหลวงปู่เดินทางไปจังหวัดชลบุรี ในวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๑๙ แพร่ออกไป เหล่าลูกศิษย์หลวงปู่ที่วัดเขาถ้ำบุญนาค ต่างก็แปลกใจและงงไปตามๆ กัน เพราะว่าทุกคนก็เห็นว่าวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๑๙ นั้นหลวงปู่ท่านไม่ได้ไปไหน ท่านอยู่ที่วัดเขาถ้ำบุญนาคตลอดเวลา เพราะว่าทางวัดมีงาน มีคนมากราบไหว้หลวงปู่อยู่ตลอดเวลา
    พระและลูกศิษย์ที่วัดเขาถ้ำบุญนาคจึงไปกราบถามหลวงปู่ว่า
    “หลวงปู่ครับ เมื่อวานหลวงปู่ไปเมืองชลบุรีมาหรือครับ”
    หลวงปู่ท่านไม่ตอบ พอมีคนมาถามนัก ท่านก็เลยล้มตัวลงนอน เลยไม่มีใครกล้าถามอะไรท่านอีก






    รถทับไก่




    มีอยู่คราวหนึ่ง มีนายทหารท่านหนึ่งได้ยินกิตติศัพท์ของท่านจึงขับรถเบนซ์ของตนเดินทางไปเพื่อกราบพบหลวงปู่ท่าน ครั้นเมื่อไปถึงได้เห็นหลวงปู่นั่งยองๆ อยู่ในกุฏิ เปลือยกายท่อนบน กุฏิของท่านมีแต่สุนัข แมว แถมเป็นขี้เรื้อนด้วย ก็เกิดความรังเกียจไม่เลื่อมใส ก็เลยไม่ยอมเข้าไปกราบ เดินมาขึ้นรถกลับ แต่ในขณะนั้นมีไก่ซึ่งหลวงปู่เลี้ยงไว้ ได้เดินเข้าไปอยู่ใต้ท้องรถพอดี
    นายทหารผู้นั้นไม่ทันเห็นจึงขับรถออกไป ทำให้ล้อรถทับไก่เข้าเต็มที่ ผู้คนที่อยู่ในวัดต่างร้องขึ้นด้วยความตกใจ ทำให้นายทหารผู้นั้นต้องหยุดรถลงมาดู คิดว่าคงเละแน่ แต่ผลกลับปรากฏว่าไอ้ตัวนั้นไม่เป็นอะไรเลย หลังจากถูกทับแล้ว มันขยับปีกไปมาสักชั่วอึดใจ แล้วก็เดินจากไปคุ้ยเขี่ยหากาหารกินของมันตามปกติ เท่านั้นแหละ นายทหารผู้นั้นถึงกับตะถึงงัน รีบถอยรถกลับไปกราบนมัสการหลวงปู่ทันที พร้อมทั้งขอของดีไว้ใช้ติดตัว ทราบว่าได้ไปหลายอย่างทีเดียว





    ไก่กับระเบิด

    ภายหลังนายทหารผู้นั้นกลับไป ได้มีผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคน เดินทางมากราบหลวงปู่อีก เพื่อขอวัตถุมงคล ในระยะนั้นหลวงปู่ท่านยังไม่อนุญาตให้สร้างวัตถุมงคล ท่านจึงคายชานหมากให้ไปกันทุกคน มีทหารผู้หนึ่งซึ่งได้ชานหมากไปด้วย ก็คิดลองดีว่าจะแน่สักแค่ไหน เลยเอาไปแขวนคอไก่ พอไก่เดินออกไปได้ระยะพอสมควร ก็สั่งเพื่อนๆ หมอบ พร้อมทั้งโยนระเบิดสังหารเข้าใส่ไก่ตัวนั้นทันที
    ตูม...เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ไก่มันตกใจก็บินขึ้นและตัวมันก็เจอระเบิดเข้าเต็มที่ ขนหลุดปลิวว่อนไปหมด แต่พอมันหล่นลงพื้น ก็มีอาการซวนเซเล็กน้อย ชั่วครู่ก็ออกหากินได้ต่อไป ไม่เป็นอะไรเลย ไม่มีแม้แต่บาดแผล
    นายทหารผู้เป็นนายได้ทราบเรื่องเข้า มีความเชื่อมั่นในองค์หลวงปู่ยิ่งขึ้น แต่ก็โกรธมากเช่นกัน ที่ผู้ใต้บังคับบัญชาไปทำการทดลองในลักษณะนั้น ผลที่สุดก็สั่งกักบริเวณทหารผู้นั้นไปเสีย ๑๕ วันสบาย ๆ
    หลวงปู่นั้นอันที่จริงแม้ว่าท่านจะหยิบจะจับอะไรล้วนแล้วแต่กลับกลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ไปทั้งสิ้น.แม้แต่ผ้าที่ท่านใช้เช็ดปากเช็ดน้ำหมากก็ตามที ท่านมักฉีกเอาไปผูกคอสุนัขบ้าง แมวบ้าง ด้วยเมตตามันที่มันถูกรังแกบ่อยๆ
    ครั้งหนึ่งมีสุนัขบ้านใกล้ๆ วัด หลงเข้ามาคลุกคลีกับท่าน จึงเอาผ้าเช็ดน้ำหมากฉีกผูกคอมันไป ต่อมาสุนัขตัวนั้นไปรบกวนสัตว์อื่น เช่น เป็ด ไก่ จนกระทั่งเจ้าของสัตว์ปีกเหล่านั้นเหลือจะทน จึงใช้ปืนลูกซองยิงมัน แต่ปรากฏว่าด้วยอานุภาพผ้าเช็ดน้ำหมาก ยิงถูกแต่ไม่เข้า สุนัขตัวนั้นวิ่งกลับไปยังบ้านเจ้าของของมัน ผู้เห็นเหตุการณ์นำเรื่องไปบอกเล่าให้เจ้าของฟัง ก็เลยเกิดการถอดผ้าผืนนั้นเก็บไว้บูชาเสียเอง ภายหลังเมื่อสุนัขตัวนั้นเข้าไปในวัดอีก หลวงปู่ท่านก็เมตตาผูกให้มันใหม่ และจากเหตุนี้เอง ทำให้ผ้าเช็ดน้าหมากของท่านอันตรธานไปบ่อยๆ แต่ใช่ว่าหลวงปู่ท่านจะหลงลืม เปล่าเลย ท่านจำของท่านได้ว่าท่านมีของท่านกี่ผืน จนกระทั่งท่านบ่นว่า.เอาไปทำไมกัน แต่ก็ห้ามศรัทธาของชาวบ้านไม่ได้
    หลังจากเหตุการณ์ต่างๆ ได้ร่ำลือกันไปสู่สาธารณชนทั่วไป ดังนั้นผู้ที่ได้รับทราบกิตติคุณของหลวงปู่ ต่างก็เดินทางไปกราบไปนมัสการ ทั้งจากที่ใกล้และที่ไกล ต่างก็อยากได้แต่ขี้หมากชานหมากของท่าน จนท่านเคี้ยวหมาก ฉันหมากแจกให้ไม่ทัน และไม่พอแจก นี่เองจึงเป็นเหตุให้ท่านต้องอนุญาตให้บรรดาศิษย์ผู้ที่เคารพในองค์ท่านสร้างวัตถุมงคลขึ้น แม้ท่านไม่อยากให้สร้าง
    เพราะไม่ต้องการชื่อเสียงก็ตาม แต่ในที่สุดก็ทนต่อคำอ้อนวอนขอร้องของบรรดาศิษย์ไม่ได้
    ก่อนที่จะกล่าวถึงการสร้างวัตถุมงคลของท่าน ขอกล่าวถึงชานหมากของท่านสักเล็กน้อย หลวงปู่ท่านเมื่อคายชานหมากแล้ว ก่อนมอบให้ผู้ใด ท่านจะจำมาแบ่งเป็นก้อนๆ ซึ่งคำหนึ่งได้เพียง ๓-๔ ก้อนเท่านั้น แล้วท่านจะฉีกผ้าเช็ดหมาก
    บ้าง ผ้าจีวร สบง ผ้าอาบน้ำฝน สีส้มๆ ห่อแล้วผูกไว้อย่างดี จึงมอบให้ผู้ต้องการรับเอาไปติดตัวใช้ หากท่านสาธุชนท่านใดได้พบเห็นห่อผ้าเหลืองกลม ๆ มีขี้หมากอยู่ข้างใน เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑ เซนติเมตรละก็ ให้ทราบได้เลยว่า ท่านได้พบสุดยอดวัตถุมงคลแล้ว หรือหากท่านใดมีไว้ในครอบครองอยู่แล้ว ก็พึงเก็บรักษาไว้ให้ดี นั่นเพราะเป็นสุดยอดวัตถุมงคลจริงๆ และหาได้ยากยิ่งในปัจจุบัน เนื่องจากจนถึงวันนี้เวลานี้ ไม่มีใครมาเคี้ยวมาฉันให้เราอีกแล้ว เพราะหลวงปู่ได้มรณภาพไปตั้งแต่ปี ๒๕๒๐ เป็นเวลาถึง ๒๐ ปีแล้ว ผู้ใดมีไว้ในครอบครองพึงหวงแหนอย่างยิ่ง
    ในยุคสมัยโบราณนั้นครูบาอาจารย์ส่วนใหญ่ไม่นิยมสร้างพระเครื่อง หรือสร้างรูปหล่อรูปท่านเอง ถ้าจะสร้างก็เป็นการสร้างเพื่อเป็นการสืบอายุพระพุทธศาสนา ในการบรรจุลงในพระเจดีย์ต่างๆ ที่สำคัญ หรือบรรจุไว้ในองค์พระประธาน ใต้ฐานพระประฐาน จะไม่ทำซื้อขายจ่ายแจกกันอย่างมากมายเช่นในยุคปัจจุบัน
    วัตถุมงคลที่นิยมสร้างขึ้นแจกให้ลูกศิษย์ลูกหาหรือคนที่สนิท ก็จะเป็นพวกผ้ายันต์มงคล แหวนพิรอด เสื้อยันต์ ตะกรุด เบี้ยแก้ เบี้ยกัน ลูกอม ลูกอมที่แจกก็มีลูกอมที่ทำมาจากเนื้อดิน เนื้อผง และจากชานหมาก
    นอกจากหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน พิจิตร หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ อยุธยา หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ชัยนาท ที่มีชานหมากอันวิเศษที่นักสะสมวัตถุมงคลต้องการแสวงหากันแล้ว ก็มีชานหมากของ หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ที่มีคุณวิเศษนับว่าเป็นหนึ่งเช่นกัน
    หลวงปู่สี ท่านเป็นนักกินหมากมาตั้งแต่วัยรุ่น ไม่ว่าท่านจะไปไหนมาไหนท่านจะต้องมีหมากห่อพกติดตัวท่านไว้ตลอดเวลา และเมื่อท่านบวชเรียนเป็นครูบาอาจารย์มีผู้คนกราบไหว้ท่าน บ้างก็ขอของดีจากท่าน ท่านเป็นพระโบราณรูปหนึ่งที่ไม่นิยมสร้างวัตถุมงคลเป็นรูปพระจ่ายแจก ท่านมายอมให้สร้างก็ตอนปลายๆ อายุท่าน คือเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๒ เป็นต้นมา จนถึงกาลมรณะของท่านเท่านั้น
    ก่อนหน้านั้นไม่มีประวัติการสร้างวัตถุมงคลเป็นรูปองค์พระหรือเป็นรูปองค์ท่าน นอกจากแจกตะกรุด ผ้ายันต์และคำหมาก “ชานหมาก” เท่านั้น
    คำหมาก หรือ ชานหมาก ที่ได้รับจากมือหลวงปู่สี ส่วนใหญ่ท่านจะฉีกเศษจีวรเก่าที่อยู่ข้างกายของท่านผูกห่อเป็นคำ มอบให้กับศิษย์ และหลวงปู่ก็จะกำชับว่า “อย่าแกะ อย่าลอง”
    ในเรื่องการทดลองของวัตถุมงคลหลวงปู่ มีเรื่องเล่ากันว่า
    นายทหารเคยเอาไปลองแขวนคอไก่แล้วลองยิงด้วยปืน แต่ปรากฏว่าไม่ออก และบางครั้งก็เอานักแม่นปืนเหรียญทองมาลองยิงถึงออกก็ไม่ถูก จนเป็นที่เลื่องลือ และแสวงหากันอย่างมากมาย แต่
    พอนายทหารคนที่นำวัตถุมงคลของหลวงปู่ไปทดลองยิง มากราบหลวงปู่ที่กุฏิ หลวงปู่ก็จะพูดขึ้นว่า วันนี้พวกเอ็งสนุกกัน แต่ข้าเจ็บปาก ก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่หลวงปู่ห้ามทดลอง เพราะของของท่าน ท่านจะต้องคุ้มครองความปลอดภัยให้กับผู้มีติดตัวให้พ้นเคราะห์กรรม แต่ท่านต้องรับกรรม
    ชานหมากของหลวงปู่ พระอาจารย์บางองค์ แม้แต่ที่วัดเขาถ้ำเองก็เอาชานหมาก น้ำหมากของหลวงปู่ไปผสมทำเป็นพระเครื่องในรุ่นต่าง ๆ ทราบว่ามีหลายรุ่นที่ผสมชานหมาก น้ำหมาก
    ของหลวงปู่สี บ้างก็เอาไปผสมทำเป็นลูกอม (ลูกอมเนื้อผงผสมชานหมาก)
    เคยพบชานหมากรุ่นเก่าๆ ของหลวงปู่สี แต่ปรากฏว่าผ้าจีวรที่ห่อไว้ขาดไปหมดแล้วเหลือแต่ชานหมาก ภายหลังที่จีวรชำรุดแล้ว จึงนำมาใส่กรอบไว้ แต่รุ่นที่ออกมาจากวัดเขาถ้ำบุญนาค ส่วนใหญ่จะมีผ้าจีวรผูกมัดไว้อยู่เป็นส่วนใหญ่
    ในเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ เดชฤทธิ์ ความมหัศจรรย์ ในคุณวิเศษของหลวงปู่สี ฉนฺทสิริ นั้น มีมากมาย โดยเฉพาะในเรื่อง “ชานหมาก” ของหลวงปู่ มีเรื่องเล่าขานถึงคุณวิเศษ มากมาย ดังจะขอยกเอาบันทึกข้อเขียนของ พ.ต.ท.อรรณพ กอวัฒนา มาสอดแทรกไว้เพราะเป็นบันทึกข้อเขียนที่ดีมาก กล่าวอ้างถึงบุคคลและสถานที่ไว้อย่างละเอียด จึงขออนุญาตนำมาลงไว้เพื่อความชัดเจนในเรื่องประวัติของหลวงปู่สี ฉนฺทสิริ

    มีลูกเดียวครับ 1500 บาทครับ พร้อมส่ง
    ------------------------------------------------------------------------------
    081-9272486
    เกรียงศักดิ์ เสรีสุชาติ ธ.กสิกรไทย ถนนเทพารักษ์
    ออมทรัพย์ 259-2-53432-5
    ------------------------------------------------------------------------------
    <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2009
  4. anusorn_t

    anusorn_t สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2009
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +12
    คุณอุ้มพูดได้ดีมากครับแสดงถึงภาวะจิตที่เปี่ยมไปด้วยธรรมจริงๆ อยากให้ดาราคนอื่นๆได้ดูเป็นแบบอย่างบ้าง ประเทศชาตเราจะได้เจริญมากกว่านี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...