อีกเรื่องเล่าถึงความเกี่ยวข้องของหลวงปู่ดู่-หลวงพ่อเกษม เขมโก

ในห้อง 'หลวงปู่ดู่ และ หลวงตาม้า' ตั้งกระทู้โดย เพชรฉลูกัน, 24 เมษายน 2011.

  1. เพชรฉลูกัน

    เพชรฉลูกัน ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    18,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +23,180
    อีกเรื่องเล่าถึงความเกี่ยวข้องของหลวงปู่ดู่-หลวงพ่อเกษม เขมโก

    Posted on August 3, 2009. Filed under: สายเกจิทางเหนือ | Tags: พรหมปัญโญ, วัดสะแก, สุสานไตรลักษณ์, หลวงปู่ดู่, หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโ, หลวงพ่อเกษม, หลวงพ่อเกษม เขมโก |
    [​IMG] สองพระอริยะในดวงใจ

    ผมเองนั้นได้ยินถึงความเกี่ยวข้องของหลวงพ่อเกษม เขมโกและหลวงปู่ดู่ วัดสะแก มานานโดยที่ผมไม่เคยได้ยินว่าหลวงปู่หลวงพ่อท่านจะย่างกรายออกวัดเลย แต่ลูกศิษย์ของหลวงปู่ดู่ยืนยันว่าเห็นหลวงพ่อเกษมมาที่กุฎิหลวงปู่ดู่ตามกระทู้..เหรียญรุ่นมหามงคล(อย.)๒๕๓๒…ได้บันทึกไว้ อีกเรื่องเล่าจากปากลูกศิษย์หลวงปู่ดู่ซึ่งมีผู้ใจกุศลนำมาให้อ่านในสวนขลังดอทคอม ก็ยิ่งยืนยันความเกี่ยวข้องในหลวงปู่ดู่และหลวงพ่อเกษม เขมโก พอดีเรื่องยาวมาก ผมเห็นว่าไม่สมควรจะเขียนต่อในกระทู้เดียวกันจึงยกออกมาเขียนให้ได้อ่านกันในหมวดพระเครื่องหลวงพ่อเกษม..ดังเนื้อความตามนี้
    “…เรื่องนี้เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2531 วันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้าแต่งหน้ากำลังจะไปรับลูกที่โรงเรียน ก็สังเกตเห็นว่าคอของตนเองบวมจึงไปโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เพื่อทำการตรวจ แพทย์พบว่ามีก้อนเนื้อขนาด เท่าลูกมะปรางอยู่ในคอ แพทย์บอกว่าอาจจะเป็นเนื้อร้ายต้องผ่ามาพิสูจน์ เมื่อรู้ดังนั้นข้าพเจ้าก็รีบเดินทางไปหาหลวงพ่อดู่ที่วัดสะแก พอไปถึงก็กราบเรียนท่าน ท่านพูดด้วยเสียงอันดังว่า “ไม่ปงไม่เป็นหรอกมะเร็ง”
    แล้วท่านก็เล่าให้ฟังว่ามีชาวบ้านมาหาท่าน เขาเป็นมะเร็งในมดลูก ท่านทำมือให้ดูว่าก้อนเนื้อมีขนาดเท่าลูกส้มโอ หมอบอกว่าต้องผ่าตัด เขากลัวมากเลยมาหาท่าน ท่านก็เมตตาให้เขาดื่มน้ำมนต์และให้ภาวนาไปด้วย ชาวบ้านผู้นั้นก็ปฏิบัติตามคือดื่มน้ำมนต์และภาวนาพุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณังคัจฉามิ อย่างเคร่งครัดจนครบ 3เดือนก็ไปหาหมอตรวจดูปรากฏว่าก้อนเนื้อนั้นได้หายไปอย่างน่าอัศจรรย์
    หลังจากที่ท่านเล่าให้ฟังแล้วท่านก็เมตตาอธิษฐานจิตดอกบัวให้ข้าพเจ้านำกลับไปต้มกับ
    น้ำมนต์ ดื่มเป็นประจำทุกวันและให้ภาวนาไตรสรณคมน์ไปด้วย คืนหนึ่งข้าพเจ้านอนหลับฝันไปว่า ข้าพเจ้ากับสามีนั่งอยู่ในเรือลำหนึ่งโดยนั่งข้างหน้าและมีคนนั่งอยู่กัน เต็มลำ เรือลำนี้มุ่งหน้าข้ามไปยังเกาะกลางทะเล บนเกาะมีคุณตาคุณยายนั่งอยู่ในกระท่อม
    พอไปถึงคนทั้งหลายก็ขึ้นฝั่ง ไปให้ท่านทั้งสองรักษาโรคให้ด้วยการเป่า เมื่อท่านทั้งสองเป่ารักษาให้คนทั้งหลายก็หายจากโรคภัยไข้เจ็บในทันทีแล้วพา กันกลับล
    งเรือ ส่วนข้าพเจ้าเป็นคนสุดท้ายที่เข้าไปขอให้ท่านทั้งสองช่วยรักษา คุณตาคุณยายกลับบอกว่า “ข้าช่วยเอ็งไม่ได้” ได้ยินเพียงเท่านี้ข้าพเจ้าก็ร้องไห้อ้อนวอนขอให้ท่านทั้งสองช่วยด้วยเถิด และข้าพเจ้ายังตัดพ้อว่าคนอื่นเขามากันเต็มลำเรือท่านยังช่วยได้ทำไมเราคน เดียวท่านไ
    ม่ช่วย
    อ้อนวอนทั้งน้ำตาอยู่นานก็ไม่เป็นผล ข้าพเจ้าจึงเดินร้องไห้กลับมาเพื่อจะลงเรือ ทันทีนั้นก็ได้ยินเสียงท่านเรียกแล้วพูดว่า “เอาอย่างนี้มีคนเดียวที่ช่วยได้” ข้าพเจ้ารีบถามว่าเป็นใคร ท่านก็บอกว่า “หลวงพ่อเกษม เขมโก ที่ลำปาง” ข้าพเจ้าจึงพูดว่าหลวงพ่อเกษม เขมโกท่านพบยาก ไปก็ลำบากไม่รู้จักใครที่จะพาไป ท่านบอกว่าให้ไปอยุธยาแล้วจะมีคนพาไป
    เมื่อตื่นขึ้นมาข้าพเจ้าก็ รีบไปหาหลวงพ่อดู่ที่วัดสะแกทันที ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณบ่าย 3โมงแล้วข้าพเจ้ากราบเรียนท่านให้ฟังถึงความฝัน ท่านก็เลยพานั่งสมาธิ กำหนดพาข้าพเจ้าไปกราบหลวงพ่อเกษม เขมโก ที่สุสานไตรลักษณ์แล้วนิมนต์หลวงพ่อเกษม เขมโกมาวัดสะแก
    เป็นเรื่อง น่าอัศจรรย์ยิ่งนักที่ หลวงพ่อเกษม เขมโก ท่านมาให้เห็นเป็นกายเนื้อนั่งอยู่ด้านขวามือของหลวงพ่อดู่ แล้วข้าพเจ้าก็กราบเรียนท่าน หลวงพ่อเกษมท่านก็รักษาให้โดยการเป่า หลวงพ่อดู่ท่านยังเมตตาฝากข้าพเจ้ากับหลวงพ่อเกษมว่า วันข้างหน้าหากข้าพเจ้ามีอะไรติดขัดก็จะขอให้กราบเรียนหลวงพ่อเกษม เขมโก ซึ่งท่านก็พยักหน้ารับ ข้าพเจ้านึกรู้ทันทีว่าหลวงพ่อดู่จะต้องละสังขารก่อนหลวงพ่อเกษม แน่นอน
    พอกลับ มาบ้านอาการที่เป็นอยู่ก็ไม่ทรุดโทรมแต่ค่อย ๆ ดีขึ้น ทว่าหลังจากที่หลวงพ่อดู่ท่านละสังขาร ข้าพเจ้างานยุ่งมากทำให้จิตไม่ค่อยมั่น ภาวนาบ้างไม่ภาวนาบ้าง แล้วก็เชื่อผู้อื่นที่หวังดีแนะนำไปหาหมอหลายหมอ จิตจึงไม่นิ่งนั่งสมาธิไม่ค่อยดี ร่างกายจึงเริ่มทรุดโทรมต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัด เมื่อผ่าตัดเสร็จและฟื้นขึ้นมา ข้าพเจ้าได้เห็นวิญญาณของผู้ชายคนหนึ่งกลายเป็นไก่ตัวผู้ตัวใหญ่มากยืนอยู่ เห็นเหนียงที่คอยาวจนเกือบถึงพื้น เขาบอกว่าข้าพเจ้าเคยช่วยแม่จับขาเขาทำร้ายเขาถึงชีวิต ไปทำเขาไว้เขาโกรธก็เลยตามมาจะแก้แค้น รอโอกาสที่จะแก้แค้นข้าพเจ้ามานานจนกระทั่งตัวเขาแก่มากเหนียงยาวเกือบถึง พื้น
    หลังจากผ่าตัด 6เดือนหมอก็ให้กลืนน้ำแร่ฆ่าเชื้อและป้องกันมะเร็งที่คอ 7 วันวันแรกประมาณบ่าย 3 โมง กลืนน้ำแร่หยดเล็ก ๆ พอบ่าย 5โมงคอเริ่มบวมแดงไปหมดกลืนน้ำลายกลืนน้ำไม่ได้ ต้องนอนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม เตียงที่นอนล้อมรอบด้วยแผ่นตะกั่วกันรังสีอยู่คนเดียวห้ามเยี่ยม หมอและพยาบาลจะเข้ามาต้องใส่ชุดกันรังสี ข้าพเจ้าเกิดอาการแพ้มากจึงกดออดเรียกหมอบอกหมอถึงอาการ แต่หมอก็ไม่เชื่อคงเพราะกรรมมาบังไว้ ตอนทุ่มครึ่งพยาบาลนำยานอนหลับมาให้ทานก็แอบเอาไว้ไม่ยอมทาน
    ข้าพเจ้าสวด มนต์ไหว้พระ-รับศีลเพื่อเตรียมตัวตาย เพราะจำได้ว่าหลวงพ่อดู่ท่านสั่งแล้วสั่งอีกเป็นสิบ ๆ ครั้งก่อนที่ท่านจะละสังขารว่า.. “ก่อนตายสำคัญมากต้องมีสติภาวนารักษาศีล”
    และ เนื่องจากข้าพเจ้าเคยอ่านหนังสือของหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเขียนไว้ว่า ก่อนตายให้นึกถึงพระนิพพานและให้ภาวนาว่า “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” ข้าพเจ้าจึงได้ทำตามแล้วก็นอนทำสมาธิภาวนาไปเรื่อย ๆ จิตก็ดี พอภาวนาไปได้พักหนึ่งจิตก็หวนคิดถึงลูกคนเล็กซึ่งมีอายุเพียงขวบกว่า ๆ เกิดความคิดว่าเมื่อตายแล้วหากไปนิพพานก็จะไม่ได้กลับมาเห็นลูกอีก เลยเปลี่ยนคำภาวนาเป็น พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ จิตก็รวมดี
    ไม่นานนัก ข้าพเจ้าก็เห็นตัวเองสวมชุดขาวออกเดินไปในทุ่งอันกว้างใหญ่ มีต้นข้าวเขียวขจีอ่อนพลิ้วไปตามกระแสลม ทันใดนั้น ข้าพเจ้าก็เห็นดวงสว่างปรากฏขึ้นและเห็นหลวงพ่อดู่ท่านมา จึงรีบตรงเข้าไปกราบท่าน ท่านก็พาไปยังกุฎิที่ท่านอยู่ ซึ่งหน้ากุฎิท่านนั้นมีลำธารเป็นแก้วใส และมีต้นโพธิ์ทองแก้วเป็นแก้วใส 2 ต้นสูงประมาณ 2 เมตรอยู่ด้านหน้ากุฎิ
    ท่านนั่งห้อยขาอยู่บนกุฎิ ซึ่งเป็นทองสวยอร่ามมาก ข้าพเจ้าก็เข้าไปกราบท่านแล้วบอกว่าจะขออยู่กับท่านตลอดไปไม่กลับ ท่านก็บอกว่า “อยู่ไม่ได้บุญยังไม่พอ” ข้าพเจ้าร้องไห้ทวงสัญญาว่าหลวงพ่อเคยรับปากลูกว่าจะให้ลูกเกาะชายผ้าเหลือง ไปทุกภพท
    ุกชาติลูกจะไม่ขอกลับไปแล้ว ท่านจึงพูดว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกันลงไปทำความดีอีก 10 ปี…แล้วค่อยว่ากันใหม่” ก็เลยตกใจตื่นขึ้นมา ดูนาฬิกาเป็นเวลาเกือบตี 4 และเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เพราะอาการที่ป่วยอยู่ทุกอย่างได้เริ่มหายเป็นปกติ ข้าพเจ้าอยู่โรงพยาบาลครบ 7วัน ก็ได้กลับบ้าน และหายจากโรคร้ายอย่างเด็ดขาดไม่มีอาการเจ็บป่วยอีกเลย
    ข้าพเจ้าได้แต่กราบแทบเท้าหลวงพ่อทั้งสองเพื่อขอบพระคุณที่ท่านมีเมตตาอนุเคราะห์ให้
    ความช่วยเหลือข้าพเจ้าและครอบครัวในทุก ๆ เรื่องตลอดมากระทั่งทุกวันนี้…”
    หลวงปู่เกษม พระอริยเจ้าที่หลวงปู่ดู่ให้ความเคารพมาก กล่าวกับลูกศิษย์ว่า “อยากฟังธรรมะ ให้ไปหาท่านพุทธทาส อยากไหว้พระปฏิบัติดี ให้ไปไหว้หลวงพ่อดู่ วัดสะแก”

    จากลิ้งค์
    อีกเรื่องเล่าถึงความเกี่ยวข้องของหลวงปู่ดู่-หลวงพ่อเกษม เขมโก
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,044
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    กราบ กราบ กราบ หลวงปู่ดู่และหลวงพ่อเกษมค่ะ _/i\_
    อนุโมทนาสาธุๆ

    ขอบคุณ จขกทค่ะ


    เอกะจะรัง จิตตัง -จิตดวงเดียว ท่องเที่ยวไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 เมษายน 2011
  3. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    "จะเอาโลกหรือเอาธรรม" โลกเท่าแผ่นดิน ธรรมเท่าปลายเข็ม คติเตือนใจของหลวงปู่ครับ
     
  4. เพชรฉลูกัน

    เพชรฉลูกัน ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    18,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +23,180
    ในบรรดาพระสุปฏิปันโนหลาย ๆ ท่านนั้น
    "หลวงพ่อเกษม เขมโก" สุสานไตรลักษณ์ เป็นพระอันดับต้น ๆ ที่ "หลวงปู่ดู่" .... กล่าวยกย่องชมเชย


    จนอยู่มาวันหนึ่ง มีเรื่องราวที่ผู้คนกล่าวถึงหลวงพ่อเกษมในทางที่อาจเกิดการปรามาสท่านได้
    นั่นก็คือเรื่องที่ หลวงพ่อเกษมฉันอาหารในยามวิกาล...ในบางคราว

    หลวงปู่ดู่ ตั้งคำถามกับลูกศิษย์คนหนึ่งว่า
    แกเห็นว่ายังไง เข้าใจยังไง กับการที่หลวงพ่อเกษม ท่านฉันอาหารในยามวิกาลในบางคราว


    ลูกศิษย์ก็ไม่กล้าแสดงทัศนะ เพราะกลัวบาป

    หลวงปู่จึงเมตตาอธิบาย ให้ทราบถึงเหตุผลของเรื่องนี้ว่า
    หลวงพ่อเกษมท่านต้องการสงเคราะห์ดวงวิญญาณ ที่มาขอส่วนบุญในเวลานั้น ๆ
    โดยการนำอาหารที่ญาติของเขานำมาถวายไว้ (ตั้งแต่ตอนเช้า) มาฉันให้เขาได้บุญ
    แล้วจึงค่อยอุทิศส่วนบุญไปให้...ดวงวิญญาณนั้น


    จึงเป็นอันว่า หลวงพ่อเกษมท่านทำเพื่อ "สงเคราะห์ผู้อื่น"
    หาใช่ทำเพราะความมักมากในอาหาร


    หากเราได้ศึกษาข้อวัตรของท่านให้ดี ก็จะทราบว่า
    โดยปรกติแล้ว ท่านจะฉันเอกา (ฉันวันละครั้งเดียวเท่านั้น)
    รวมทั้งฉันสำรวม (คือเอาอาหารคาวหวานมารวมกันในบาตร)
    องค์ท่านเองก็ผอมเหลือเกิน จึงไม่น่ามีเหตุผลที่มาที่ไปว่า ท่านเป็นผู้มักมากในอาหารแต่อย่างใด

    เรื่องที่ "หลวงปู่ดู่" ท่านเล่าให้ลูกศิษย์ได้ฟัง จึงทำให้ศิษย์ทั้งหลาย ณ ที่นั้น ได้เรียนรู้ว่า
    เรามิพึงด่วนสรุปอะไร ๆ จากภาพที่เห็นภายนอก
    เพราะยังมีหลายสิ่งหลายอย่าง...ที่เกินสติปัญญาความรู้ของเรา


    แต่อย่างไรก็ดี จะสังเกตว่าเรื่องดังกล่าวนี้ (หมายถึง การฉันอาหารยามวิกาล)
    องค์หลวงพ่อเกษมเอง ก็มิได้ทำเป็นกิจวัตร
    หากแต่นาน (แสนนาน) จะทำสักหนหนึ่ง
    และก็มิได้กระทำอย่างผู้มีแผล คือ ต้องแอบ ๆ ทำ

    เพราะ "หลวงปู่ดู่" กล่าวยกย่องท่านว่า
    ...เป็นผู้ไม่มีแผลแล้ว เป็นผู้ที่ใคร ๆ จะปรับอาบัติท่านไม่ได้แล้ว
    เฉกเช่นเดียวกับ...พระผู้หลุดพ้นแล้วทั้งปวง


    ความเป็นอยู่ของท่านเหล่านั้น ล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลกโดยถ่ายเดียว
    ซึ่งหากเป็นผู้ที่ยังไม่หมดกิเลส ทำอย่างเดียวกันกับท่าน ย่อมไม่พ้นอาบัติ
    และย่อมเป็นความเศร้าหมองแก่ตนเองโดยถ่ายเดียว



    *** จากบทความของ คุณสิทธิ์
    http://www.luangpordu.com/
     

แชร์หน้านี้

Loading...