อัจฉริยะยอดกตัญญู..แทนคุณ จิตต์อิสระ

ในห้อง 'พุทธศาสนากับคนดัง' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 22 มีนาคม 2007.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,489
    [​IMG]

    แทนคุณ จิตต์อิสระ ...อัจฉริยะยอดกตัญญู

    คงคุ้นหน้ากันมาบ้าง สำหรับชายหนุ่มผู้มากความสามารถคนนี้ "อี้-แทนคุณ จิตต์อิสระ"

    ในมุมแวดวงบันเทิงที่คนทั่วไปรู้จัก ชื่อในอดีตของเขาคือ "อี้-เอกชัย บุรณผานิต"

    นักแสดงวัยรุ่นคนหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันเลื่อนชั้นเป็นพิธีกรมืออาชีพ ไม่ว่าจะเป็นรายการธรรมะ รายการยอดนิยมอย่างอัจฉริยะข้ามคืน แฟนพันธุ์แท้ และเขายังคงถูกทาบทามจากเจ้าพ่อเกมโชว์ ปัญญา นิรันดร์กุล ให้เป็นพิธีกรอีกหลายรายการ ซึ่งหากจะพูดว่า เขาเป็นดาวรุ่งอีกดวงในอาณาจักรเวิร์คพ้อยท์ ก็คงไม่เกินความจริงนัก

    ในเวลาเดียวกัน บางคนรู้จักเขาในบทบาทของครูผู้สอนภาษาจีน ที่แม้จะเป็นถึงผู้อำนวยการโรงเรียนสอนภาษาจีนกลางฮั่น จื้อ กง ก็ยังอาสาไปสอนฟรีให้กับเยาวชนในโครงการทูบีนัมเบอร์วัน พร้อมกันนั้น น้อยคนที่จะรู้ว่าเขาเป็นคอลัมนิสต์เจ้าของคอลัมน์ "เจาะใจจีน" ในหน้าการศึกษาของหนังสือพิมพ์มติชน รวมทั้งยังเป็นนักจิตวิทยาจัดรายการอวสานความทุกข์ ทางคลื่น FM 92.25 และรายการกระแสสังคม ทางคลื่น FM 92.5

    ท้ายสุด เชื่อว่าคงมีไม่กี่คนที่รู้ว่าเขาเป็นอนุกรรมาธิการกิจการด้านเด็กและเยาวชน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ควบด้วยตำแหน่งประธานโครงการเผยแผ่พุทธธรรมเพื่อเยาวชน ซึ่งล่าสุด เขาก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงริเริ่มการ์ตูนธรรมะเรื่องประวัติพระพุทธเจ้าอีกด้วย

    ...อะไรทำให้คนหนุ่มเลือดใหม่อนาคตไกลคนนี้ เลือกเดินอยู่บนเส้นทางเหล่านี้ น่าสนใจที่พื้นฐานความคิดและจิตใจอันเข้มแข็งเฉียบคมของเขานั้น ล้วนมาจากรากฐานเรื่องความกตัญญูต่อครอบครัวตั้งแต่วัยเด็ก..

    "ชีวิตวัยเด็กเหมือนกับโลกแห่งความสุขของผมเลย ที่อำเภอนาบอน จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นบ้านเก่าๆ อยู่ติดกันหมด คนทั้งหมู่บ้านรู้จักกันหมดเลย ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อ รุ่นแม่ รุ่นปู่ รุ่นย่า ด้วยความที่เป็นลูกคนจีน เลยได้รับรู้เรื่องราวของปู่ย่าตายายผ่านพ่อแม่และญาติ ตรงนี้เป็นการสืบสานความรู้สึกเรื่องความกตัญญูด้วย มันทำให้เราไม่โดดเดี่ยว และมีเป้าหมายว่าอยากเป็นลูกที่ดี เรารู้สึกว่าการทำอะไรบางอย่างให้พ่อแม่ชื่นใจ มันคือความสุข"

    ...พ่อแม่บอกเสมอว่า เราไม่ได้เกิดมาร่ำรวย สิ่งที่ต้องทำคือ ขยัน ประหยัด ทำมาหากิน ซึ่งรากเหง้าของความคิดคือ การที่เราได้เห็นแบบอย่างที่ดีจากพ่อและแม่...

    ตั้งแต่ ป.4-ป.5 เขาก็เริ่มหยิบจับและช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ในบ้าน จนกระทั่ง อายุ 16 ปีจึงได้มีโอกาสทำงานในวงการบันเทิง ถ่ายละครเรื่องแรก "ทอฝันกับมาวิน"

    "ผมไม่ได้มีความฝันในวงการบันเทิงเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ก็ได้มาเป็นนักแสดงมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่ก็ถูกด่าสารพัด เป้าหมายไม่ได้คิดถึงชื่อเสียง แต่อยากได้เงินเพื่อเอาไปให้พ่อแม่"

    โหมทำงานบันเทิงมาเรื่อยตลอด 5 ปี จนกระทั่งเกิดเรื่องไม่คาดคิด คือ คุณพ่อเสียโดย ฉับพลัน ...นั่นเป็นจุดหักเหที่ทำให้ชีวิตของหนุ่มอี้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่

    "ผมกลับมาทบทวนอย่างหนักว่า จะทำงานบันเทิงต่อไปทำไม แน่ละ เป้าหมายทำเพื่อพ่อแม่ แต่ตอนนี้เขาไม่อยู่แล้ว อะไรคือสิ่งที่เราจะทำต่อไป นี่คือคำถามที่อยู่ในใจ คำตอบคือการกลับมาดูแลเขาให้ดีที่สุด เริ่มต้นในสิ่งที่เขาชอบ"

    ...เมื่อการหาเงินทองในวงการบันเทิงอย่างสมัยก่อนไม่ใช่เป้าหมายแล้ว เขาจึงกลับมาอยู่ร่วมกับครอบครัว ตามภาพในใจ ภาพวัยเด็กที่ได้อยู่กับครอบครัวที่อบอุ่น...

    "ผมกลับมาเป็นตัวตั้งตัวตี ทำทุกอย่างที่พ่อเคยทำ ที่เคยอยากให้พ่อหยุด อยากให้แม่เลิก ก็กลับมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง นอกจากจะเยียวยารักษาใจแม่แล้วก็ต้องเยียวยาตัวเองด้วย และไม่ใช่ความเสียใจอย่างเดียว แต่เป็นความรู้สึกเสียดายด้วยว่าทำไมเราไม่ทำตอนที่เขาอยู่"

    ด้วยความรู้สึกผิดตรงนี้ ทำให้เขาเริ่มค้นหาสิ่งเยียวยารักษาใจ ซึ่งก็คือธรรมะ...

    "ธรรมะคือหัวใจสำคัญในการเยียวยาให้จิตใจผมฟื้นขึ้นมาใหม่ งานเขียนท่านพุทธทาสเป็นงานเริ่มแรกที่อ่าน พวกจิตว่าง คู่มือมนุษย์ ฯลฯ อ่านแล้วรู้สึกสบายใจ ก็เลยไปบวชเกือบ 2 เดือนที่วัดชลประทานฯ ซึ่งนั่นทำให้เราได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง แล้วก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น แทนคุณ จิตต์อิสระ"

    ...เพื่อชดเชย ชดใช้ความรู้สึก เขาอยากสร้างอนุสาวรีย์แห่งความปรารถนาดีต่อพ่อ เอาความรู้สึกดีๆ คืนให้กับพ่อ จึงตั้งชื่อตัวเองใหม่ว่า "แทนคุณ" ส่วนนามสกุลเดิม เขาเองก็ไม่ได้ผูกพันอยู่แล้วเพราะเพิ่งเปลี่ยนตามพี่สาวตอนก่อนเข้าวงการ...

    "ในที่สุด ชื่อสกุลก็เปลี่ยนเป็น จิตต์อิสระ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจว่าในอดีตเราไม่รู้จัก สิ่งมีค่า นั่นก็คือไม่มีอิสระ เพราะงั้น จิตต์อิสระก็หมายถึงอิสระในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง"

    นอกจากเปลี่ยนชื่อ-สกุล แล้วเขาก็ยังไปรื้อฟื้นภาษาจีน อย่างที่พ่อเขาอยากให้เรียน...

    "ภาษาจีนผมเคยเรียนมาตั้งแต่เด็กๆ ตอนหลังเพิ่งมาฟื้นตอนคุณพ่อเสีย เพราะทุกอย่างมัน โหยหาหวนกลับไปที่พ่อหมดเลย ตอนเด็กๆ เรียนมาไม่ได้เรื่องเลย พูดยังไม่ได้ กลับมาตั้งใจเรียนอย่างจริงจังประมาณ 1 ปีเต็มจนตอนนี้มาสอนได้ 6 ปีแล้ว"

    "ช่วงนั้นเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญ พ่ออยากให้ทำอะไรก็ได้ทำ พ่ออยากให้เขียนหนังสือ ก็มีคนติดต่อมาให้เขียนหนังสือเกี่ยวกับครอบครัว ในที่สุดเขียนหนังสือเรื่องแรกในชีวิต ชื่อเรื่องอ้อมกอดยังกรุ่น อีกเรื่องคือ พอดีมีคนมาติดต่อให้ผมไปเป็นพรีเซ็นเตอร์โรงเรียนสอนภาษาจีน ซึ่งผมขอเรียนอย่างเข้ม คัดจนกว่าจะจำได้ พยายามฝึกใช้กับตัวเองทุกวัน และเรียนอย่างก้าวกระโดดโดยการข้ามไปสอน ซึ่งไม่ใช่แค่ฟัง เอาเข้าใจเท่านั้น แต่เราต้องถ่ายทอดด้วย"

    ผมพยายามต่อสู้และเรียนรู้ทุกอย่าง ผมรักพ่อ ดังนั้น สิ่งที่พ่ออยากให้ผมเป็น... ผมจะเป็น

    "ตอนนั้นไม่ได้เป็นนักแสดงแล้ว ผมมุ่งเรียนภาษาจีน เรียนจนจบโทจิตวิทยา ทำกิจกรรมกับสังคมมามากมาย เริ่มอยากหาชีวิตตัวเอง ตั้งแต่ปี 3 ฝึกงานที่มูลนิธิศุภนิมิต ตอนแรกเราคิดว่าจะไปเป็นผู้ให้แต่กลับกลายเป็นว่า เราเป็นฝ่ายได้รับ ได้รับรู้ว่ายังมีคนที่มีความทุกข์มากกว่าเรามาก"

    การได้ไปทำงานเพื่อสังคมทำให้จิตใจเขาเติบโต พร้อมกับมีมิติทางความคิดเปลี่ยนแปลงไป จนกระทั่งวันหนึ่งในปี"48 โอกาสก็มาถึง...

    "ทางเวิร์คพ้อยท์โทร.มาชวนไปแข่งแฟนพันธุ์แท้ ตอนความสัมพันธ์ไทย-จีน โดยให้เราเขียนเรื่องโดดเด่นที่สุดของจีนมาส่ง 20 เรื่อง ตอนแรกท้อแท้มาก แต่ก็บอกตัวเองว่าลองดู อยากพิสูจน์ตัวเองว่ารู้มากแค่ไหน และสุดท้ายผมก็ชนะ ได้เป็นสุดยอดแฟนพันธุ์แท้ในเรื่องความสัมพันธ์ ไทย-จีน นั่นเป็นครั้งแรกเลยที่ได้กลับเข้ามาในวงการบันเทิง ไม่ใช่ในฐานะนักแสดง แต่มาอย่างคนที่ให้ความสำคัญกับความรู้และเรียนรู้ได้"

    จากนั้นผ่านไปเกือบปี ในที่สุดก็ได้มาทำอัจฉริยะข้ามคืน จากเหตุการณ์ที่พ่อเสีย ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยน ผมอยากเรียกมันว่ามรณะข้ามคืน ซึ่งนั่นคือคอนเซ็ปต์ชีวิต

    "เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราเป็น สิ่งที่เราคิดและทำทุกวันนี้ มันมีที่มาที่ไป อย่างงานสังคมที่ทำก็ไม่คิดจะสร้างภาพให้ตัวเอง เกิดจากการอยากทำ ซึ่งมันเป็นของมันเอง โดยสิ่งที่เราทำได้คือการเลือกสรรสิ่งที่เราทำได้ และพยายามใช้มันให้เป็นประโยชน์"

    ...ชีวิตที่ผ่านมาคือการเรียนรู้ว่าอะไรคือแก่นแท้ อะไรคือสิ่งที่เรากำลังดำเนินไป ทุกวันนี้ก็พยายามจัดสรรเวลา ทำรายการหลักๆ คือ อัจฉริยะข้ามคืน กับแฟนพันธุ์แท้ที่สลับกับพี่ตา (ปัญญา นิรันดร์กุล) เวลาส่วนใหญ่ที่เหลือก็อยู่กับแม่ อยู่กับครอบครัว เพราะท่านก็อายุมากแล้ว...

    "งานที่ผมทำแบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ งานเสียสละที่ไม่หวังอะไร คือกับคนที่ด้อยโอกาส เขาแย่กว่าเรา เราจะไปเอาอะไรกับเขาทำไม อีกส่วนคือ งานที่จะเลี้ยงตัวเองให้ฉลาดขึ้น ให้เห็นแก่ตัวน้อยลง ให้ครอบครัวมีความสุขมากขึ้น อย่างภาษาจีนก็มีมุมที่น่าเรียนรู้ เราพยายามสร้างความใฝ่รู้ ผมคิดว่า อัจฉริยะข้ามคืนก็ช่วยเหลือผม เพราะเราใฝ่รู้เราจึงได้มาทำ และพอเราได้ทำเราจึงต้องใฝ่รู้เข้าไปใหญ่"

    จากมรณะข้ามคืน สู่อัจฉริยะข้ามคืน แน่ละ ความเป็นมาและเป็นไปที่เคลื่อนเข้าใกล้ความสำเร็จของผู้ชายคนใหม่ที่ชื่อ "แทนคุณ จิตต์อิสระ" คนนี้ อาจจะเป็นบทเรียน ให้เราๆ ได้รู้กตัญญูผู้มีพระคุณก่อนที่จะสาย ที่สำคัญคือ ไม่ลืมค้นหาตัวตนและความต้องการทางจิตใจที่แท้จริง ซึ่งถ้าใครค้นเจอ สิ่งนั้นก็จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ผลักดันให้ชีวิตดำเนินต่อไปอย่างมีจุดหมายพร้อมกับความสุขในทุกๆ ย่างก้าวของชีวิต

    ---------------------

    ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ
    http://www.matichon.co.th/prachacha...g=02lif01220350&day=2007/03/22&sectionid=0213
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...