อยากสอบถามเรื่องนิพพานคะ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย DuchessFidgette, 3 กรกฎาคม 2013.

  1. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ดิฉันอยากทราบว่าถ้าลำพังจิตเราไม่อยากเกิดอีก ถ้าตายลงจะสามารถไปนิพพานได้ไหม
     
  2. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    กรณีที่ถามนี้ เหมือนกับ เวลาคนมีความทุกข์ใจแล้วบอกว่า ฉันไม่อยากจะทุกข์ใจอีก ฉันจะไม่ทุกข์อีก แบบนี้ถามว่าจะช่วยทำให้จิตใจปราศจากทุกข์ได้หรือไม่ครับ
    อันที่จริง มนุษย์เรารู้จัก สภาพทุกข์ในจิตใจตนเองน้อยมาก ไม่รู้ว่ามันทำงานเมื่อไร ไม่รู้ว่ามันหายไปเมื่อไร หยาบละเอียดอย่างไร รู้แต่เวลาที่ มันเริ่มเผาใจ ให้ร้อนแล้วเท่านั้น
    จึงไม่สามารถดับร้อนนั้นได้เลย อย่างมากก็รอคอยเวลาให้มันทุเลาลงไป เมื่อจิตใจร้อนแล้ว สัตว์โลกต่างก็ปราถนาให้ทุกข์นั้นดับไปทั้งสิ้น แต่ความจริงคือ มันก็ยังทุกข์อยู่อย่างนั้น
    เนื่องจากมีเชื้ออวิชชาอยู่ จิตนี้เมื่อไปประสบพบเจอสิ่งที่ถูกใจ ก็ชอบใจ เจอสิ่งไม่ถูกใจก็ผลักดันออกจากตัว ถามว่า มันจะไปนิพพานอย่างไร ในเมื่อจิตใจยังกระเพื่อมไปตามสิ่งที่เราพบเจอ

    คำถามที่ว่า ถ้าจิตเราไม่อยากเกิดอีกจะไปนิิพพานได้ไหมนั้น จึงไม่สามารถทำให้ไปพบนิพพานได้ เพราะเป็นเพียงความปราถนา แต่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงครับ
     
  3. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ไม่ได้ เพราะนั่นคือ วิภวตัณหา (ความไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเอา)

    เมื่อมีตัณหา อวิชชา ตัวใดก็ตาม มันจะเป็นพลังแห่งจิต เป็นจิตที่มีจุดมุ่งหมาย ในการกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง จิตลักษณะนี้ จะมีที่ไปแน่นอนเสมอ ถ้ามีตัณหาว่า ไม่อยากเกิดอีก มันจะได้ไปเกิดใหม่ในภพที่ไม่ใช่มนุษย์ จะเป็นภพใดก็เป็นตามอารมณ์ของจิตในขณะตาย

    กำลังความรุนแรงของจิตขณะนั้น คือตัวกำหนด ว่าจะไปอยู่ภพใหม่นานขนาดไหน ถ้ามีกำลังรุนแรงมาก ก็จะไปอยู่ภพใหม่นานหน่อย ถ้ากำลังน้อย ก็ไปอยู่ไม่นาน พอหมดกำลัง หมดเหตุปัจจัยของมัน มันก็จะกลับลงมาเป็นมนุษย์เหมือนเดิม

    การหยุดเกิด มีทางเดียว คือ หากลไกของการเกิดให้เจอ ว่าเป็นอย่างไร เกี่ยวข้องกับความอยาก ไม่อยาก (ตัณหา วิภวตัณหา) อย่างไร

    เมื่อจิตพ้นจากความอยาก และ ไม่อยากทั้งปวง ได้อย่างแท้จริง จิตนั้นจะเป็นจิตที่อิสระ และไม่มีสภาวะแห่งการกำหนดที่ไปแอบแฝงอยู่ จิตนั้นจึงจะเป็นจิตที่ไม่กลับมาเกิด

    ให้นึกถึงว่า จิตของเรานี้ มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาทุกวินาที เดี๋ยวก็คิดนั่นคิดนี่ อยากได้นั่นอยากได้นี่ ไม่อยากได้นั่นไม่อยากได้นี่ นั่นแหละ คือจิตมันเลือกที่ไป เปลี่ยนที่ไป ตลอดเวลา หากตายลงในวินาทีไหน จิตมันกำลังจับอะไรอยู่ มันเลือกที่ไปเป็นที่ไหน มันก็ไปที่นั่นตอนนั้น นั่นแหละ

    ดังนั้นแล้ว หน้าที่ของ DuchessFidgette คือ ฝึกสติไปเรื่อยๆ จนจิตเห็นการทำงานของจิตละเอียดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อใดเจอเห็นแห่งการนำไปเกิด และ สามารถหยุดกระบวนการนั้นได้ เมื่อนั้น ก็ไม่ต้องมีการเกิดใหม่อีก
     
  4. โมทนาman

    โมทนาman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,665
    ค่าพลัง:
    +6,165
    เดินตามมรรคแปด
    ตัดสังโยชน์สิบ
    ตอบตามตำรานี่แหละ เพราะผมทำไม่ถึง
     
  5. Janthakorn

    Janthakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +141
    ขออนุญาตแนะนำให้ลองหาอ่านธรรมะคำสอนที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเขียนไว้สิคะมีเยอะมากมาก อ่านง่าย เข้าใจง่าย ทั้งเรื่องนิพพานด้วย
     
  6. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ปัจจุบันตอนเป็นๆมีชีวิตอยู่นี่ ต้องทำต้องปฏิบัติให้อาสวกิเลสหมดก่อนจึงจะนิพพาน ก็นิพพานกันตอนเป็นๆนี่แหละ
     
  7. nai_Prathom

    nai_Prathom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +694
    ตอบง่ายๆว่า ต้องสร้างเหตุก่อนจึงจะได้ผล

    ดังที่ท่านทั้งหลายได้ตอบมา อนุโมทนาสาธุครับ

    แล้วนิพพานเป็นอย่างไร?

    มีเพื่อนรุ่นพี่อาวุโสท่านนึง เคยกราบเรียนถาม หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
    แกถามหลวงปู่ว่า "นิพพานเป็นอย่างไรครับหลงปู่?"
    หลวงปู่ตอบด้วยการถามกลับว่า "โยมเคยกินเกลือไหม?"
    โยมตอมว่า "ไม่เคยครับ"
    หลวงปู่ท่านก็พูดให้ฟังต่อว่า "ก็ถ้าโยม ไม่เคยกินเกลือ แล้วโยมจะรู้ได้อย่างไรว่า รสเกลือมันเป็นอย่างไร ไม่ต้องสงสัยให้มาก ให้ตั้งใจปฏิบัติไป ถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น"
     
  8. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    ถ้ายังมีอวิชชา กิเลส ตัณหาอยู่ ก็ยังไปไม่ได้ครับ
    แต่มีแนวโน้มว่าจะไปได้ คืออย่างน้อยก็หันหัวไปถูกทิศ จะเดินไปหรือเปล่าเท่านั้นเอง
     
  9. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ไม่มีใครบอกได้หรอกครับถึงรายละเอียดว่าต้องทำยังไงจะถึงนิพพาน ถึงคนที่หลุดพ้นแล้วก็บอกได้แค่คร่าวๆ เท่านั้น ที่เหลือมันอยู่ที่เราต้องปฎิบัติเอง ที่สำคัญเราเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง ทางที่พระพุทธเจ้าได้แสดงไว้ว่าเดินตามทางนี้หวังความหลุดพ้นได้ เพียงถ้าเราไม่หลุดจากทางซะก่อนซักวันมันก็จะถึงเอง
     
  10. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    คนเราก็มีสิทธิ์สงสัยได้ ศาสนาทุกศาสนาต่างเอาไคลแมกค์มาล่อ หรือเป็นตัวดึคนเข้าศาสนา ถ้าถามแบบคนที่ยังไม่ได้โสดาบัน ยัไม่ได้เชื่อทุกอย่างในพระไตรปิฏก คนมีทุกข์ มา ศาสนามีให้เลือกมากมาย ก็เหมือนโทรศัพท์มือถือ เราจะเอายี้ห้อไหนก็ต้องศึกษาเงื่นไขกติกา ดุก่อนว่ามันเหมาะกับเราไหม ทำไมบางคนใช้ แบบนั้น บางคนใช้แบบนี้ ดังนั้นการจะให้เชื่อ ก็ต้องเรียนรู้ แก่นของศาสนาดูก่อนว่า เราชอบแนวทาง สูงสุดที่ ศาสนาวางไว้ให้ไหม ควรจะอธิบายให้เป็นวิทยาศาสตร์หน่อยคะ ถ้าประเภทให้ลองปฏิบัติเอง ก็ในเมื่อชาตินี้ยังไม่สำเร็จเราจะรู้แก่นไล์แมกได้ไง ในเมื่อ ขนาดพระบางองค์ อย่าง มิซซูโอะยังบวชเกือบค่อนชีวิตยังหาแก่นไม่เจอ และสึกออกมาเอาเมียดีกว่า ง่ายกว่า นั่งหลับตาภวานาบางคนทำเป็นร้อยปี ก็ยังไม่เห็นอะไร......ด้วยเหตุนีไงศาสนาควรจะบอกที่มาที่ไปให้ชัดเจน คนจะได้เข้าใจแจ่มแจ้ง ถ้าเขาชัวร์รู้นิพพานเป็นไงยอมรับ อยากไปก็ปฏิบัตต่อ ถ้าไม่ชอบ เห็นแล้วว่าไม่ได้ทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์อย่างแท้จริง ก็จะได้ไปเลือกลองศาสนาใหม่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2013
  11. อภิมาร

    อภิมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    711
    ค่าพลัง:
    +2,154


    น้องหญิง..ไม่อยากเกิดเหมือนเหมือนแรงขับดันจ้ะ.

    สมมุติ+เดาน๊ะ..เปรียบเสมือนเราส่งยานอวกาศ

    ไปดวงอาทิตย์น๊ะจ๊ะ..ความไม่อยากเกิด = เชื้อเพลิง

    เมื่อจุดระเบิดส่งยานขึ้นไปถ้าพ้นระยะแรงดึงดุดของโลก

    แต่ทิศทางยังอยู่ในแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์..ถ้าเชื้อเพลิงหมด

    ก็ยังอยู่ในกระแส..รอเวลาแหละจ้า..แต่ถ้าเชื้อเพลิงพอ

    ก็จะพุ่งเข้าหาดวงอาทิตย์..ทุกอย่างก็จะดับหมดจ้ะ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      3.7 KB
      เปิดดู:
      312
  12. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ให้ทำความเข้าใจเสียใหม่ พุทธศาสนา ไม่ได้เอาอะไรมาล่อ

    ศาสนาอื่นนั้น อาจจะมีสวรรค์ มีความสุขตลอดกาล ให้

    แต่ศาสนาพุทธ คือ การหมดสิ้นไปจากทุกสิ่งทุกอย่าง
     
  13. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,188
    ค่าพลัง:
    +20,860

    ด้วยเหตุผลที่ดัชเชสโพสต์มา

    บอกได้เลยว่าชาตินี้ไม่มีทางได้มรรคผลใดๆทั้งสิ้น
    เพราะยังไม่เข้าใจใน "มรรค" โดยเฉพาะวรรคสุดท้าย
    ที่กล่าวว่าต้องลองเลือกศาสนาใหม่

    ในโลกเรานี้มีเพียงพุทธศาสนาเพียงศาสนาเดียว
    ที่พ้นทุกข์ได้จริง ศาสนาอื่นสอนยังไม่ถึงครึ่งทางของพระนิพพาน
    บางศาสนาออกไปทางมิจฉาทิฐิด้วยซ้ำไป

    ส่วนท่านมิตซูโอะ ไม่ได้เป็นจุดบ่งบอกอะไรถึงพระนิพพาน
    เพียงแต่ท่านเดินมาไม่ถึงฝั่งเท่านั้น

    แล้วทำไมไม่มองถึงพระอริยะเจ้าองค์อื่นๆ
    อย่างหลวงตามหาบัว หลวงปู่แหวน หลวงพ่อพุธ บ้างล่ะ

    อย่างที่เคยบอกมาก่อนแล้วว่า อยากได้มรรคผลนิพพาน
    ก็ต้องพิจารณาแล้วปฏิบัติด้วยมรรค๘
    ซึ่งต้องเริ่มด้วย "สัมมาทิฐิ" ก่อน

    นอกเหนือจากนี้..........
    ไม่มีทาง
     
  14. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา... อย่าไปว่าเขาเลย

    ผู้ใดยังเป็นผู้ไม่รู้ เราจะไม่หันหลังให้ เราจะไม่ปิดกั้น เราจะต้อนรับเขาเหล่านั้น เพราะเขาเป็นญาติของเราทั้งหมดทั้งสิ้น เราจะทำอย่างดีที่สุด เพื่อชี้ทางที่พระพุทธองค์ได้สอนไว้ ให้เขาเหล่านั้นได้เห็นด้วย และได้พิสูจน์ด้วยตนเอง
     
  15. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ไม่ได้ครับ
     
  16. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ศาสนาทุกศาสนาไม่ได้กลัวว่าชาตินี้จะเป็นอย่างไร แต่กลัวโลกหน้ามากกว่า "ตายแล้วไปไหน" บางศาสนาบอกว่าตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้าเป็นชีวิตนิรันดร์ แต่ศาสนาพุทธตอบว่าคนเราตายแล้วเกิด จะเกิดในภพไหนก็เพราะกรรม แล้วทำอย่างไรจึงไม่เกิด ศาสนาพุทธตอบว่า "นิพพาน" อันเป็นทางไม่เกิด ไม่ตาย แล้วทำอย่างไรจึงจะไปนิพพาน อย่าพึ่งพูดไปไกลถึงนิพพานเลยครับ เอาแค่มีสติรู้เท่าทันตาหูจมูกลิ้นกายใจยังเป็นเรื่องอยาก ผมยกตัวอย่างเหมือนโทรศัพท์มือถือตราบใดที่เรายังเติมเชื้อไฟยังชาร์ตไฟอยู่โทรศัพท์มือถือก็ยังใช้งานได้ แต่ถ้าเราหยุดชาร์ตไฟไม่เติมเชื้อ มือถือก็ใช้งานไม่ได้เหมือนท่อนไม้ การชาร์ตไฟเปรียบได้กับกิเสลตัณหาของมนุษย์ทั่วไปที่ยังอยากมีอยากเป็น ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ตราบใดที่เรายังมีความอยากยังหลงไปกับความอยาก หนทางไปนิพพานยังอีกไกลครับ

    คนเราทั่วๆ ไปไม่ต้องนั่งภาวนาเป็นร้อยปีเอาแค่รู้เท่าทันจิต รู้เท่าทันกิเสลตัณหายังเป็นเรื่องอยากเลยครับ ยังหลงไปกับสิ่งล่อตาล่อใจ การภาวนาคือการเจริญสมาธิพิจารณากายกับใจ เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ทำให้มากเจริญให้มาก เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแนะนำมากก็แสดงว่ามีประโยชน์มาก การเรียนรู้พระไตรปิฏกให้มากเป็นสิ่งดี แต่สำหรับผู้ที่มีเวลาศึกษาน้อย ไม่อยากเรียนมาก การทำสมาธิพิจารณากายใจเป็นปฏิปทาที่ง่ายไม่ต้องการอะไร นั่งภาวนาพิจารณากายใจอย่างเดียว การนั่งสมาธิเป็นเรื่องอยากสำหรับคนส่วนใหญ่แต่สำหรับพระอริยะเป็นเรื่องง่าย เช่นเดียวกับนิพพาน คนส่วนใหญ่มองไม่เห็นอยากมองแค่ไหนก็ไม่เห็น คนส่วนใหญ่เหมือนลอยคออยู่กลางมหาสมุทรมองไม่เห็นฝั่งไม่รู้ว่าจะว่ายน้ำเข้าหาฝั่งทางทิศไหน แต่สำหรับพระอริยะบางท่านเห็นฝั่งแล้วบางท่านยืนอยู่บนฝั่งแล้ว พระมิซซูโอะท่านว่ายน้ำพาตัวท่านออกจากฝั่ง ท่านยอมก้มหัวให้กับกิเสลตัณหาเหมือนกับปุถุชนทั่วไป กิเสลตัณหาใช่ว่าใครจะเอาชนะได้โดยง่าย พระอริยะไม่ได้เป็นกันได้แค่ข้ามคืนครับ
     
  17. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องวัตถุนิยม หลักการทางวิทยาศาสตร์มีอยู่ว่า ประโยคคำพูดใดจะมีความหมายก็ต่อเมื่อประโยคคำพูดนั้นสามารถจะพิสูจน์จนทดสอบได้ด้วยประสบการณ์จากประสาทสัมผัสทั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวกาย ประโยคคำพูดใดๆ ในทางวิทยาศาสตร์จะมีความหมายต่อเมื่อท่านบอกว่า สามารถจะพิสูจน์ได้ด้วยประสาทสัมผัส ในหลักการนี้ ถ้าท่านกล่าวว่ามีอะตอม หรือปรมาณูซึ่งตาเรามองไม่เห็นและท่านมีวิธีพิสูทธิ์อย่างไร นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ท่านพิสูจน์ด้วยกล้องจุลทัศน์ที่ช่วยให้ท่านสามารถมองเห็นอะตอม โดยหลักการนี้ สิ่งใดก็ตามท่านสามารถจะพิสูจน์ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ นักวิทยาศาสตร์จะยอมรับว่ามีจริง

    วิทยาศาสตร์สนใจเรื่องพิสูจน์ได้ เปรียบเหมือนการขึงตาข่ายใหญ่ ซึ่งจับอะไรได้มากก็จริง แต่จะมีสิ่งเล็กๆ ที่หลุดรอดไปได้ วิทยาศาสรต์จะไม่สามารถบอกท่านว่า ทำไมเมื่อท่านขึ้นไปอยู่บนยอดภูกระดึง ท่านจึงซาบซึ้งกับความงามของพระอาทิตย์ตกดิน วิทยาศาตร์ไม่สามารถพิสูจน์เรื่องสุนทรียภาพและความดีใจในจิตใจที่เป็นคุณค่าของชีวิต นี้คือ ข้อจำกัดของวิทยาศาสตร์...

    ความรู้ทางวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า คือ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวกาย บางครั้งวิทยาศาสตร์ต้องอาศัยอุปกรณ์เทคโนโลยีเช่นเครื่องจุลทัศน์หรืออุลตร้าซาวนด์เข้าช่วยพิสูจน์ นั่นก็เป็นการขยายวิสัยสามารถของประสาทสัมผัสเท่านั้น

    ความรู้ทางศาสนาเช่นเรื่องสวรรค์นิพพานเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการพิสูจน์ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า จึงต้องอาศัยสัมผัสที่หก คือใจรับรู้โดยตรง ท่านผู้ที่ได้ฌานสมาบัติหรืออภิญญาจะสัมผัสโดยตรงกับความรู้ทางศาสนา เกิดความรู้ที่เรียกว่า intuition หรือความรู้ที่เกิดโพลงขึ้นจากภายใน สำหรับผู้ยังไม่ได้ฌานสมาบัติ หรืออภิญญาย่อมไม่มีประสบการณ์ตรงในทางศาสนา เช่นในเรื่องความมีอยู่ของจิตวิญญาณอย่างเป็นอิสระจากระบบสมอง บางคนด่วนสรุปว่าจิตวิญญาณไม่มีจริง

    คัดลอกมาจาก หลักกรรมและการเกิดใหม่ โดย พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต)
     
  18. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301


    ดิฉันไม่ได้หมายความว่าตัวเองไม่เชื่อศาสนาพุทธหรือพระพุทธเจ้าคะ เช่นเรื่อง ผีนี้ดิฉันเชื่อ เพราะเคยเห็น ตาเป็นๆ มาแล้ว เป็นคนที่ไม่เคยสวดมนตร์เพราะถ้าสวด จะเจอผีทันที......แต่ที่พูดนี้ในฐานะ พูดแทนคนอื่นๆที่ไม่เชื่อศาสนาพุทธ ผู้ตอบควรจะอธิบายหลักการห้เป็นวิทยาศาสตร์หน่อย คนที่เขามาอ่านจะได้เข้าใจ ไม่ใช่พูดแบบ ไม่มีมูลทำนองว่า อยากรู้นั่งเอง นิพพานเป็นไงเดี๋ยวก็รู้ อย่างนี้มันตอบๆโง่ๆไม่ตรงคำถามนะคะ ถ้ายิ่งไปอธิบายแบบนี้ให้คนต่างชาติฟัง ยิ่งไปกันใหญ่ แค่ตอบตามหลักการเท่าที่จะหามาได้ก็พอ ดิฉันก็ไม่ได้อ่านพระไตรฯ จบเล่ม แค่อยากรู้ว่าพระไตรฯได้มีการอธิบาย เรื่องนิพพานว่าเป็นสภาวะ หรือ อย่างไรบ้าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2013
  19. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    สิ่งที่อธิบายเป็นคำพูด เป็นตัวอักษร เป็นวิทยาศาสตร์ไม่ได้ จะให้อธิบายว่าอย่างไร?
     
  20. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ในพระไตรปิฏกไม่ได้อธิบายไว้หรือคะ ถ้ามี ใครพอยกมาให้อ่านก็ขอบคุณ
     

แชร์หน้านี้

Loading...