อยากประสบความสำเร็จในชีวิตต้องมีเมตตา(รวมบทแผ่เมตตามากมาย)

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย john2518, 14 พฤศจิกายน 2010.

  1. john2518

    john2518 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +561
    เมตตาเป็นเครื่องค้ำจุนโลก ทำให้โลกสงบสุขและรักกัน..กรรมฐานกองหนึ่งใน40กองที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้คือพรหมวิหาร4คือการมีความเมตตา กรุณา มิทิตา และอุเบกขา..นั่นเอง..แม้แต่สัตว์ที่ดุร้ายเราให้อาหารมันและพูดจาดีๆก็เปลี่ยนสัตว์เหล่านั้นให้เชื่องได้ บ้านไหนคนเกลียดกันก็เจริญเมตตานี่แหละ บ้านไหนมีศัตรูก็เจริญเมตตานี่แหละ ยิ่งแผ่เมตตาหลวงยิ่งดีเลย หรือแผ่เมตตาให้ไม่มีที่สิ้นสุดที่ประมาณยิ่งดีครับ.การมีเมตตานอกจากทำให้ใจเย็นแล้วยังเกิดสง่าราศีที่งดงามด้วยครับและยังเป็นที่รักของเจ้าที่เจ้าบ้าน เจ้าป่าเจ้าเขา ผีบ้านผีเรือน..อีกด้วยครับและข้อสำคัญวิบากรรมลดลงแน่นอน

    " เมตตา แผ่ให้ได้ผล "


    <HR align=center width="100%" color=white noShade SIZE=1>


    ข้อปฏิบัติประการหนึ่งที่จะขาดไม่ได้ของผู้ที่ปฏิบัติธรรมหลังจากการสวดมนต์ภาวนา และปฏิบัติกัมมัฏฐานแล้ว คือ "การสวดแผ่เมตตา"ซึ่งมีบทสวดเป็นภาษาบาลีที่อ่านเป็นไทยได้ว่า"สัพเพ สัตตา สุขิตาโหนตุ สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ สัพเพ สัตตา อัพยาปัชฌา โหนตุ สัพเพ สัตตา อะนีฆาโหนตุ สัพเพ สัตตา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ"แปลเป็นไทยได้ว่า "สัตว์โลกทั้งหลายที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้นจงอย่ามีเวรซึ่งกันและกันเลย จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด จงอย่าพยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย จงอย่ามีความลำบาก จงอย่ามีความเดือดร้อนจงอย่ามีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย"

    การสวดแผ่เมตตานี้เป็นบุญกิริยาอย่างหนึ่งจัดอยู่ในประเภท "การทำทาน"ดังที่ได้กล่าวไว้ในตอนที่ ๒และเป็นกิจกรรมที่มีส่วนช่วยให้เจตสิกของท่านผู้นั้นได้รับการฝึกและพัฒนาเกิดเป็น "อัปปมัญญาเจตสิก" ที่เฝ้าคอยกระตุ้นจิตให้ระลึกมีอารมณ์มีความสงสารเห็นใจผู้ที่กำลังได้รับทุกข์เวทนามีความอยากที่จะช่วยเหลือให้เขาพ้นจากทุกข์ที่กำลังได้รับอยู่ หรือ กำลังจะได้รับไม่นิ่งดูดายต่อทุกข์ของผู้อื่น ไม่เบียดเบียนผู้อื่นให้เขาได้รับทุกข์กาย ทุกข์ใจอยู่เป็นประจำ "อัปปมัญญาเจตสิก" นี้เป็นเจตสิกหนึ่งในกลุ่ม "โสภณเจตสิก"ซึ่งเป็นเจตสิกฝ่ายกุศลที่คอยกระตุ้นให้จิตเป็นกุศลระลึกแนบแน่นอยู่กับความดีงามปราศจากความเร่าร้อน ตั้งอยู่ในศีลธรรม เว้นจากการกระทำบาป ทุจริตต่างๆอยู่ตลอดเวลา สามารถประหาร "โลภเจตสิก"ที่คอยกระตุ้นให้จิตมีตัณหาอารมณ์มีความกระหายทะเยอทะยาน อยากได้อยากเป็นได้เป็นอย่างดี จึงส่งผลให้เกิดกุศลเจตนาขึ้นตั้งใจประกอบแต่กุศลกรรมแต่เพียงฝ่ายเดียว

    คำว่า "เมตตา"หมายถึง ไมตรี ความรัก ความปรารถนาดี ความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจดีต่อกันความใส่ใจ หรือต้องการสร้างเสริมประโยชน์สุขให้แก่เพื่อนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายเมตตาจัดเป็นธรรมพื้นฐานของใจขั้นแรก ในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลซึ่งทำให้มองกันในแง่ดี หวังดีต่อกัน พร้อมที่จะรับฟัง และเจรจากันด้วยเหตุด้วยผลไม่ยึดเอาความเห็นแก่ตัว มีอคติ คือ ความโกรธ ความเกลียด เป็นที่ตั้ง

    การแสดงความเมตตา หรือ การแผ่เมตตานี้ เป็นธรรมชาติหรือคุณสมบัติพื้นฐานของจิตมนุษย์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสัตว์ที่ประเสริฐอยู่แล้วในชีวิตประจำวันของแต่ละคนที่เป็นโรคทางจิตคลุ้มคลั่งจนไม่สามารถควบคุมสติสัมปชัญญะของตนได้ หรือมีจิตโหดเหี้ยมที่สุดจนไม่อาจจะสมมุตินามของผู้นั้นได้ว่า เป็นมนุษย์จะต้องมีการแสดงความเมตตาออกทางจิตอยู่เป็นประจำ มากบ้าง น้อยบ้างตามกิเลสสันดานที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เพียงแต่เจ้าตัวมิได้สังเกตจดจำไว้เท่านั้นอาทิ วันไหนที่มีอารมณ์ดี เจ้าตัวจะยินดีพอใจที่จะกล่าวทักทายปราศรัยกับเพื่อนบ้านหยอกล้อกับสัตว์เลี้ยงมากเป็นพิเศษ หรือ บางครั้ง ขับรถจะไปทำงานเปิดวิทยุในรถรับฟังสถานีวิทยุกระจายเสียง จส.๑๐๐ หรือ สวพ.๙๑ ได้ทราบข่าวรถบัสแสวงบุญประสบอุบัติเหตุตกเหวระหว่างเดินทาง มีผู้โดยสารบาดเจ็บล้มตายเป็นเรือนร้อย "อัปปมัญญาเจตสิก" ก็จะกระตุ้นให้จิตเกิดความรู้สึกสลดใจ สมเพชสงสารในทุกข์เวทนาของบุคคลเหล่านั้นขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

    ธรรมชาติของจิตในเรื่องความเมตตานี้ หากกล่าวในเชิงอุปมาก็เปรียบได้กับต้นไม้ผล หรือต้นไม้ดอก ซึ่งต่อไปจะเรียกวา "ต้นเมตตา"ที่ได้เจริญเติบโตขึ้นมาโดยธรรมชาติ ปราศจากเจ้าของที่หมั่นเฝ้าดูแลพรวนดิน ให้ปุ๋ยรดน้ำ เมื่อถึงฤดูกาล ต้นเมตตาก็จะให้ผล หรือให้ดอก ผลิบานสุกงอมแล้วก็ร่วงหล่นลงดินเป็นอาหารของนก กา กระรอก หรือสัตว์อื่นๆ โดยที่มิได้บังเกิดประโยชน์แก่เจ้าของต้นเมตตานั้นแต่อย่างใด เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งอย่างไรก็ตาม ผลผลิตจากต้นเมตตาไม่ว่าจะเป็นดอก หรือผลนี้ย่อมจะไม่สมบูรณ์ได้ทัดเทียมกับต้นเมตตาที่เจ้าของเอาใจใส่ หมั่นดูแลพรวนดินให้ปุ๋ย รดน้ำ อยู่เป็นประจำ เมื่อใดก็ตาม ที่เจ้าของได้เอาใจใส่รดน้ำ พรวนดินให้ปุ๋ย ต้นเมตตานั้นย่อมจะเจริญเติบใหญ่ มีลำต้นอวบใหญ่แข็งแรงมีรากแก้วงอกยาวฝังลึกลงไปในดิน ยึดแน่นจนยากที่จะโค่นล้มได้ ดอกหรือผลของต้นเมตตาก็จะมีขนาดใหญ่ มีคุณภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นกลิ่น สี หรือ รสจัดเป็นผลผลิตที่อำนวยประโยชน์ให้แก่เจ้าของได้อย่างแท้จริง

    จึงกล่าวได้ว่า "เมตตา" นี้เป็นหลักธรรมประจำใจของแต่ละบุคคลและเป็นหลักธรรมพื้นฐานสำหรับสร้างความสามัคคีและเอกภาพของหมู่ชน หรือ ที่เรียกว่า "สารณียธรรม" ซึ่งสามารถแสดงออกได้ทั้งทางกาย คือ "เมตตากายกรรม" ได้แก่การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เช่น เมื่อเห็นคนยืนตากแดดรอจะข้ามถนนเราหยุดรถให้เขาข้ามถนน การแสดงกิริยาสุภาพเคารพนับถือกัน เช่นเมื่อมีคนหยุดรถให้เราข้ามถนน เราแสดงกิริยาขอบคุณเคารพในน้ำใจดีของเขาด้วยการน้อมศีรษะ ส่งยิ้มให้ เป็นต้น ทางวาจา คือ "เมตตาวจีกรรม" ได้แก่ การมีวาจาที่อ่อนหวานสุภาพ สอบถามสารทุกข์สุกดิบบอกแจ้งแนะนำ กล่าวคำตักเตือนด้วยความหวังดี และจริงใจ และทางความคิดต่อกัน คือ "เมตตามโนกรรม" ได้แก่ การมองกันในแง่ดี มีความปรารถนาดี มีความหวังดี มีความสงสารมีความเห็นใจ อยากช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ คิดทำประโยชน์ให้มีความสุข

    เท่าที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ย่อมเป็นการยืนยันว่าการแสดงความเมตตาไม่ว่าจะโดยทางกาย วาจา หรือ ทางใจนั้นมิใช่เป็นข้อปฏิบัติที่ยุ่งยากลำบากเลยแม้แต่น้อยเพราะเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นพร้อมกับจิตของมนุษย์อยู่แล้วเพียงแต่เราให้ความสนใจหมั่นทำนุบำรุง ฝึกฝน บริหาร เฝ้ากระตุ้นให้เกิดจิตสำนึกว่าจะต้องถือปฏิบัติเป็นกิจประจำวันเพื่อให้เป็นนิสัยที่จะขาดไม่ได้ เช่นเดียวกับการตื่นนอนในตอนเช้า จะต้องเข้าห้องน้ำ ถ่ายปัสสาวะ อุจจาระ แปรงฟัน ล้างหน้า อาบน้ำฯลฯ "อัปปมัญญาเจตสิก" ก็จะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ยากที่จะลบล้างให้หมดสิ้นไปเช่นเดียวกับการตอกตะปูลงไปในเนื้อไม้ ตอกวันแรกตะปูจะฝังลงไปในเนื้อไม้เพียงเล็กน้อย จึงไม่เป็นการยากที่จะถอนดึงตะปูนั้นออกต่อมาในวันรุ่งขึ้น และวันถัดไป เมื่อเราตอกซ้ำเป็นประจำทุกๆ วันตะปูจะฝังลึกลงไปในเนื้อไม้ทุกที จนกระทั่งไม่สามารถถอนดึงเอาออกได้โดยกรรมวิธีธรรมดา

    "เมตตา"เป็นส่วนหนึ่งของ "พรหมวิหาร ๔" ซึ่งประกอบด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาผู้ที่มีจิตใจเต็มเปี่ยมยึดมั่นถือปฏิบัติอยู่ในหลัก "พรหมวิหาร ๔" เป็นประจำจึงถือได้ว่า จิตของผู้นั้นได้รับการพัฒนาให้เป็นที่อยู่อาศัยของพรหม เพราะคำว่า "วิหาร" แปลว่า "ที่อยู่อาศัย" คำว่า "พรหม"ตามหลักของพระพุทธศาสนานั้นมิได้หมายความถึงพระพรหมซึ่งเป็นเทพเจ้าชั้นสูงที่สำคัญยิ่งพระองค์หนึ่งตามหลักศาสนาฮินดูพราหมณ์เพราะเป็นผู้ที่สร้างโลก จึงได้มีการนิยมสร้างรูปปั้น รูปหล่อแทนพระองค์ของท่านแล้วอัญเชิญไปประดิษฐานอยู่ตามสถานที่สำคัญต่างๆเพื่อเคารพสักการะบูชาเป็นที่พึ่งทางใจ แต่มีความหมายว่า "ท่านผู้เป็นใหญ่"ท่านผู้เป็นใหญ่ในที่นี้ หมายถึง ผู้ประเสริฐ คือ ผู้ที่มีจิตใจกว้างขวางยิ่งใหญ่หรือ ยิ่งใหญ่ด้วยคุณธรรมความดีงาม

    ความหมายของคำว่า "พรหมวิหาร ๔" นี้ตรงกับคำศัพท์บาลีว่า "อัปปมัญญา ๔" และคำว่า "อัปปมัญญาเจตสิก"ที่ปรากฏอยู่ในพระอภิธรรม ซึ่งผมได้กล่าวถึงข้างต้น ก็คือ"ธรรมชาติที่กระตุ้นให้จิตมีความรู้สึกเมตตา สงสาร เห็นใจอยากจะช่วยเหลือมนุษย์สัตว์ที่กำลังได้รับทุกข์อยู่หรือที่จะได้รับทุกข์ในภายภาคหน้า ให้มีความสุขโดยทั่วถ้วนหน้าความรู้สึกนี้สามารถแผ่กระจายไปถึงมนุษย์สัตว์ทั้งหลายทุกหนทุกแห่งอย่างสม่ำเสมอทั่วกันไม่มีประมาณ ไม่จำกัดขอบเขต"การที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสมมุติบัญญัติคำว่า "พรหม"ขึ้นเพื่อใช้ในการสื่อความหมายของสัจจธรรมที่เกี่ยวข้องไว้หลายประการ อาทิพรหมจรรย์ พรหมกาย รูปพรหม อรูปพรหม นั้นแสดงให้เห็นถึงพระปัญญาคุณของพระพุทธองค์ที่จะทรง หลีกเลี่ยงความขัดแย้งหรือสวนกระแสความเลื่อมใส เชื่อมั่นในลัทธิศาสนาดั้งเดิมที่มีอยู่ในท้องถิ่นการเสด็จจาริกไปตามสถานที่ต่างๆในประเทศอินเดียเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนาจึงเป็นไปได้ด้วยดี

    การสวดแผ่เมตตาจึงเป็นการปฏิบัติในลักษณะ "เมตตามโนกรรม"ซึ่งจะบังเกิดเป็นอานิสงส์แก่ผู้ปฏิบัติดังที่ได้แสดงไว้ใน อังคุตตรนิกาย นวกนิบาตดังนี้

    การมีจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ มีผลมากกว่าสร้างวิหารทานถวายสงฆ์

    การที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานศีล ๕มีผลมากกว่าการมีจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัย

    การที่มีจิตเจริญด้วยเมตตาแม้เพียงเวลาชั่วสูดของหอมมีผลมากกว่าการมีจิตเลื่อมใสสมาทานศีล

    อย่างไรก็ตาม หากการสวดแผ่เมตตา รวมทั้งการสวดมนต์ ไม่ว่าจะเป็นบทสวดมนต์ "อิติปิโส ภควา...."ซึ่งเป็นบทสวดมนต์ที่พุทธศาสนิกชนทุกท่านรู้จักดีเพราะต้องสวดบทนี้กันมาตั้งแต่เริ่มเรียนหนังสือหรือจะเป็นบทสวดพระคาถา "ชินปัญชร" ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)และการสวดพระคาถาของพระเกจิอาจารย์ต่างๆเป็นการสวดในลักษณะท่องจำเหมือนนกแก้วนกขุนทอง ย่อมจะไม่บังเกิดประโยชน์ไม่บังเกิดความขลังตามที่ผู้สวดได้ตั้งจิตปรารถนาไว้ เว้นแต่ว่าในระหว่างที่ทำการสวดภาวนานั้น ผู้สวดได้ตั้งสติกระตุ้นให้จิตเกาะติดหรือน้อมดิ่งอยู่ในอารมณ์เดียว คือ มีความเมตตาระลึกไปถึงผู้หนึ่งผู้ใดก็ได้โดยไม่เลือกที่รัก มักที่ชัง แม้แต่ผู้ที่เคยเป็นศัตรู ผู้ที่เคยอิจฉาริษยาหรือมีเจตนาร้ายอื่นๆ แก่เรา ที่กำลังประสบความทุกข์เวทนาอยู่เช่นผู้ที่ต้องมีส่วนร่วมได้รับเคราะห์กรรมจากวิกฤติปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศต้องแปรสภาพจากจากผู้ที่เคยมีตำแหน่งหน้าที่การงานสูง มีเงินเดือน มีรายได้ฐานะดีมาเป็นแม่ค้าขายข้าวแกง คนขายของข้างถนนแล้วตั้งอธิษฐานจิตขอให้เขาเหล่านั้นพ้นทุกข์ หรือผ่อนบรรเทาทุกข์กลับมามีฐานะดีกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้

    การบริกรรมภาวนานี้จึงน้อมนำให้จิตเข้าไปสู่ภาวะให้พุ่งดิ่งเข้าสู่สิ่งที่ศรัทธาเลื่อมใส เชื่อถือนิยมชื่นชอบและด้วยแรงศรัทธานี้เองจะเพิ่มพลังให้จิตพุ่งแล่นไปในทางเดียวด้วยความกล้าหาญเข้มแข็งมั่นคงและมั่นใจ เปี่ยมล้นด้วยความเพียร มีความปิติปราโมทย์แล้วตามมาด้วยความสงบนิ่งบังเกิดเป็นสมาธิขึ้นอานิสงส์ที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นจึงจะเกิดขึ้นและเมื่อได้ถือปฏิบัติในลักษณะนี้เป็นประจำ จนเป็นนิสัยเจตสิกของผู้ปฏิบัติย่อมได้รับการบริหารได้รับการพัฒนาเป็นโสภณเจตสิกที่คอยเฝ้ากระตุ้นเตือนจิตให้ใฝ่แต่กุศลอยู่อย่างสม่ำเสมอมีความมั่นคง ไม่เสื่อมถอยให้อกุศลเจตสิกฉวยโอกาสเข้ามาแทรกแซงได้ดังเช่นข้ออุปมาเรื่องการตอกตะปูลงในเนื้อไม้ที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นและบังเกิดผลเป็นบารมีที่เรียกว่าซึ่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงปฏิบัติเมื่อครั้งยังเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ก่อนที่จะได้ทรงปฏิสนธิมาเสวยพระชาติเป็นเจ้าชายสิทธิทัตถะ แล้วได้ตรัสรู้ในที่สุด
    ทีนี้มาดูว่าท่านจะชอบใช้บทไหนครับลองศึกษาดูครับ


    • บทแผ่เมตตา ฉบับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี<O:p></O:p>
    บทแผ่เมตตาให้กับตัวเอง ฉบับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี

    ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความ ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากทุกข์
    ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากเวร ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากความลำบาก
    ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากอุปสรรค รักษาตนให้มีความสุข ตลอดกาลนานเทอญ
    บทแผ่เมตตาไม่มีขอบเขต ฉบับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี

    พรหมโลก 20 ชั้น เทวะโลก 6 ชั้น มนุษย์โลก มารโลก ยมโลก
    อบายภูมิทั้ง 4 มี นรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน
    ขอให้ทุกดวงจิตและวิญญาณ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย
    อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
    ขอให้ทุกดวงจิตและวิญญาณ จงมีความสุขกายสุขใจ ปราศจากทุกข์โศกโรคภัย
    ขอให้ทุกดวงจิตและวิญญาณ จงมีความสบายจิตสบายใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยพิบัติทั้งสิ้นเทอญ

    คำกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล ฉบับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี

    สิบนิ้วของข้าพเจ้า ขอกราบไหว้พระพุทธองค์ พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า
    ผลบุญของข้าพเจ้าที่ได้ทำในวันนี้ มีการบริจาคทาน รักษาศีล การเจริญภาวนา
    ขออุทิศส่วนกุศลนี้ ไปให้ทุกดวงจิตทุกวิญญาณทั่วทั้ง 20 ชั้นพรหมโลก
    6 ชั้นเทวะโลก มนุษย์โลก มารโลก ยมโลก อบายภูมิทั้ง 4 มี นรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน
    และในหมื่นโลกธาตุกับอีกแสนจักรวาลพิภพทั้งที่เป็น มนุษย์ อมนุษย์ รูปวิญญาณ อรูปวิญญาณ และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นมิตรและศัตรู ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้า ขอให้ดวงจิตและวิญญาณ จงโมทนาในส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยช์ความสุขเช่นเดียวกับข้าพเจ้า พึงได้ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด
    ..................................................................................................<O:p></O:p>

    <?xml:namespace prefix = v ns = "urn:schemas-microsoft-com:vml" /><v:rect id=_x0000_s1029 style="MARGIN-TOP: -21.4pt; Z-INDEX: -1; MARGIN-LEFT: -9.25pt; WIDTH: 522pt; POSITION: absolute; HEIGHT: 819pt"></v:rect>
    คำแผ่เมตตาและขออโหสิกรรมแบบสายอริยะ(พระปฎิบัติดีปฏิบัติชอบ ในป่า)


    คำขออโหสิกรรม...อธิษฐานบารมี
    กายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ มโนกรรม ๓ กรรมดีอันใดเป็นบุญกุศล ที่ข้าพเจ้าได้
    สร้างสม อบรมมา ด้วย กาย วาจา ใจ ณ ปัจจุบันชาตินี้ก็ดี ในอดีตชาติก็ดี ขอแผ่ให้แก่
    สรรพสัตว์ทั้งหลายที่มีชีวิต มีจิตมีวิญญาณ มีขันธสันดาร มีการกระทำ มีวิบากแห่งกรรม
    มีเจ้ากรรมนาย<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]เวร เจ้าการบัญชี</st1:personName> จตุโลกบาลทั้ง ๔ ท่านยมบาล มนุษย์ ๑ สวรรค์ ๖ ชั้น พรหม ๒๐ ชั้น อบายภูมิ ๔
    บัดนี้ข้าพเจ้าได้สร้างกองการกุศล ผลทาน ผลศีล ผลภาวนา ผลแผ่เมตตา
    ขอแผ่ให้แก่ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าได้ กระทำกรรมไว้ ต่อหน้าก็ดี ลับหลังก็ดี
    รู้ก็ดี ไม่รู้ดี เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
    จงโปรดอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    เกิดชาติหนึ่งภพใด ขอให้ได้สร้างแต่กรรมดี สร้างบารมีแห่งตน
    ขอให้พ้น ภัยพาล ลุล่วงบ่วงมาร ได้ถึงซึ่ง มรรค ๔ ผล ๔ พระนิพพาน ๑
    ในปัจจุบันชาตินี้.........ด้วยเทอญ

    คำแผ่เมตตาแบบอริยะ
    พุทธังอาราธนานัง ธัมมังอาราธนานัง สังฆังอาราธนานัง
    ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้า
    ที่สำเร็จไปแล้วมากกว่า เม็ดทรายในท้องพระมหาสมุทรทั้ง ๔
    ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมี ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่สำเร็จไปแล้ว ทั่วอนันตจักรวาล
    ด้วย พุทธบารมี ธรรมบารมี สังฆบารมี ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีของ
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมเด็จพระพุทธกุกกุสันโธ สมเด็จพระพุทธโกนาคม
    สมเด็จพระพุทธกัสสปะ สมเด็จพระพุทธมหาสมณโคดม สมเด็จพระศรีอริยะเมตตรัย
    ด้วยพุทธบารมี ธรรมบารมี สังฆบารมี ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมี
    พระปัจเจกโพธิ์ พระอรหันตเจ้า พระอิติโพธิสัตว์ พระอริยะสงฆ์ พระอริยะสาวก พระสุปฏิปันโน ทุก ๆ พระองค์
    อันมี.........หลวงพ่อพระสีวลี หลวงปู่เทพโลกอุดร หลวงปู่ทวด สมเด็จพุฒาจารย์โต หลวงปู่ศุขวัดมะขามเฒ่า
    ท่านเจ้าคุณนรฯ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่ปานวัดบางนมโค หลวงพ่อสดวัดปากน้ำ
    หลวงปู่โต๊ะวัดประดู่ฉิมพลี หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงพ่อเกษม เขมโก เป็นต้น
    อีกทั้ง พระแม่กวนอิม และ มหาโพธิสัตว์ทั้งหลาย..........
    จงมาช่วย เปิดทิศ เปิดทาง เปิดแสงสว่าง เปิดบารมี
    ที่ข้าพเจ้าได้สร้างสม อบรมมาตั้งแต่อดีตชาติ...........จนถึงปัจจุบันชาตินี้
    เพื่อตั้งจิตอุทิศถวายแก่เทพ แก่พรหม มหาเทพมหาพรหม อริยะเทพ อริยะพรหม
    ทุกชั้น ทุกสวรรค์ ทุกตำแหน่ง ทุกวิมาน ที่ได้มา ร่วมอนุโมทนา ฟังธรรมสาธยายมนต์ บำเพ็ญกุศลจิต
    ขอให้พุทธบารมี ธรรมบารมี สังฆบารมี ที่ข้าพเจ้าได้ อาราธนามานี้
    จงมีผลสำเร็จแก่ท่านทั้งหลาย........ ด้วยเทอญ

    ด้วย พุทธบารมี ธรรมบารมี สังฆบารมี ที่ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา
    เพื่อให้ รู้แจ้ง เห็นจริง ในพระไตรลักษณ์ ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีทั้งหลาย เพื่อตั้งจิตอุทิศถวายให้แก่
    คุณมารดาบิดา ครูบาอาจารย์ ญาติสนิทมิตรสหายสายบุญทั้งหลาย และบุตรบริวารในสายเลือดสายโลหิตของข้าพเจ้า
    จงมีส่วนร่วมใน พุทธบารมี ธรรมบารมี สังฆบารมี ในบุญบารมี
    ที่ข้าพเจ้าได้อาราธนามานี้.........ด้วยเทอญ
    ด้วย พุทธบารมี ธรรมบารมี สังฆบารมี ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีที่ข้าพเจ้าได้สร้างบุญ
    สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างทานบารมี ตั้งแต่อดีตชาติ.................จนถึง ปัจจุบันชาตินี้
    ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีทั้งหลาย เพื่อตั้งจิตอุทิศถวายให้แก่ เจ้าบุญและนายคุณ
    เจ้ากรรมและนาย<st1:personName ProductID="เวร สรรพสัตว์ทั้งหลาย">เวร สรรพสัตว์ทั้งหลาย</st1:personName> ทุก ๆ ดวงวิญญาณ
    ไม่ว่าจะเป็น เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน สัมภเวสี โอปาติกะ สังเสธะชะ
    อัณฑะชะ ทุก ๆ ดวงจิต ทุก ๆ เจตสิก ที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารแห่งนี้
    ขอให้ท่านทั้งหลาย จงมารับเอาบุญ เอากุศลผลสำเร็จ ที่ข้าพเจ้าตั้งจิตอุทิศให้แล้วนี้........ด้วยเทอญ

    เมื่อท่านทั้งหลายได้รับ บุญบารมีของข้าพเจ้าไปแล้วนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายจงโปรดอโหสิกรรม
    เลิกเบียดเบียน เลิกจองเวรจองกรรมที่ข้าพเจ้าได้ประมาทพลาดพลั้ง
    ด้วยรู้ก็ดี ไม่รู้ก็ดี ตั้งใจก็ดี มิได้ตั้งใจก็ดี ที่ได้กระทำลงไปแล้วนั้น
    ขอให้ท่านทั้งหลาย จงงดเว้นโทษที่ข้าพเจ้าได้ล่วงเกินนั้น........ด้วยเ ทอญ
    เมื่อท่านทั้งหลายได้รับบุญบารมีของข้าพเจ้าไปแล้วนั ้น
    ขอให้ท่านทั้งหลาย จงไปผุดไปเกิดในภพภูมิ ที่สามารถสร้างบุญ สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร
    สร้างทานบารมี สร้างมหาเทวสถาน จนกว่าจะได้เข้าสู่โลกุตระ พระธรรมเจ้าทั้ง 9 ประการ
    ได้เข้าสู่กระแสแห่งพระนิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน ้น........เทอญ
    เมื่อท่านทั้งหลายได้ รับบุญบารมีของข้าพเจ้าไปแล้วนั้น
    “ ขอให้ท่านทั้งหลาย จงมาช่วยอุดหนุน ค้ำจุน เปิดทิศ เปิดทาง
    เปิดแสงสว่าง เปิดบารมี ให้เป็นอริยะทรัพย์ภายนอก อริยะทรัพย์ภายใน
    ที่หลั่งไหลมา เทมา สู่ตำหนัก เคหะ บ้านเรือน และตัวข้าพเจ้านี้....ด้วยเทอญ “
    อิติสุคะโต อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ
    ปัฐวีคงคา พระภุมมะเทวา ขะมามิหัง
    อิทัง เม ญาตินังโหตุ สุขิตาโหนตุ ญาตะโย
    อิทัง เม เปตะวิญญาโนโหตุ สุขิตาโหนตุ ญาตะโย
    อิทัง เม สรรพสัตว์ตานังโหตุ สุขิตาโหนตุ ญาตะโย
    ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอุทิศผล ส่วนกุศลนี้ แผ่ไปให้ ไพศาล…ถึงมารดา บิดาและอาจารย์
    ทั้งลูกหลาน ญาติมิตรสนิทกัน คนเคยร่วมทำงาน การทั้งหลาย
    จงได้รับส่วนกุศลผลของฉัน ทั้งเจ้ากรรมนายเวรและเทวัญ ขอให้ท่านได้กุศลผล.........นี้เทอญ

    สัมมา สัมพุทโธ พระศรีอริยะเมตตรัยโย นะโมพุทธายะ
    พุทธะประสิทธิ์ ธรรมะประสิทธิ์ สังฆะประสิทธิ์
    ขอประสิทธิ์ด้วย นะ โม พุท ธา ยะ
    พุทธังสว่างโลก ธัมมังสว่างโลก สังฆังสว่างโลก
    ขอให้สว่างโลกด้วย นะโมพุทธายะ พุทธะชนะมาร ธรรมะชนะมาร สังฆะชนะมาร
    ขอให้ชนะหมู่มารด้วย นะโมพุทธายะ
    โอม ชัยยะ มหาเทวะ ประสิทธิ เม
    ขอประสิทธิ์ด้วย นะ โม พุท ธา ยะ นะ มะ พะ ธะ ฯลฯ


    ....................................................................................


    บทแผ่เมตตาให้ตนเอง<O:p></O:p>

    อะหัง สุขิโต โหมิ ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข<O:p></O:p>
    อะหัง นิททุกโข โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากทุกข์<O:p></O:p>
    อะหัง อะเวโร โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากเวร<O:p></O:p>

    อะหัง อัพยาปัชโฌ โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากอุปสรรคอันตรายทั้งปวง<O:p></O:p>
    อะหัง อะนีโฆ โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากความทุกข์ยากลำบากกายลำบากใจ<O:p></O:p>
    สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุขกายสุขใจรักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยอันตรายทั้งสิ้นเทอญ.<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>

    ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอุทิศผล<O:p></O:p>

    บุญกุศลนี้ไปให้ไพศาล<O:p></O:p>

    ถึงมารดาบิดาและอาจารย์<O:p></O:p>

    ทั้งลูกหลานญาติมิตรสนิทกัน<O:p></O:p>
    คนเคยร่วมทำงานการทั้งหลาย<O:p></O:p>
    มีส่วนได้ในกุศลผลของฉัน<O:p></O:p>
    ทั้งเจ้ากรรมนายเวรและเทวัญ<O:p></O:p>
    ขอให้ท่านได้กุศลผลนี้ เทอญ.<O:p></O:p>
    บทแผ่เมตตา <O:p></O:p>
    สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกันหมดทั้งสิ้น
    อะเวรา (โหนตุ) จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
    อัพยาปัชฌา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
    อนีฆา (โหนตุ) จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
    สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ<O:p></O:p>

    บทกรวดน้ำ (อุทิศส่วนกุศล)<O:p></O:p>
    อิทัง เม มาตาปิตูนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ มาตาปิตะโร
    ขอส่วนบุญนี้ จงสำเร็จ แด่มารดาบิดาของข้าพเจ้า ขอให้มารดาบิดาของข้าพเจ้า จงมีความสุข<O:p></O:p>
    อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย
    ขอส่วนบุญนี้ จงสำเร็จ แด่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอให้ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า จงมีความสุข<O:p></O:p>
    อิทัง เม ครุปัชฌายาจะริยานังโหตุ สุขิตา โหนตุ ครุปัชฌายาจะริยา
    ขอส่วนบุญนี้ จงสำเร็จ แด่ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้า ขอให้ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้า จงมีความสุข<O:p></O:p>
    อิทัง สัพพะ เทวะตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เทวะตาโย
    ขอส่วนบุญนี้ จงสำเร็จ แด่เทวดาทั้งหลาย ขอให้เทวดาทั้งหลาย จงมีความสุข<O:p></O:p>
    อิทัง สัพพะ เปตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เปตะโย
    ขอส่วนบุญนี้ จงสำเร็จ แก่เปรตทั้งหลาย ขอให้เปรตทั้งหลาย จงมีความสุข<O:p></O:p>
    อิทัง สัพพะ เวรีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เวรี
    ขอส่วนบุญนี้ จงสำเร็จ แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงมีความสุข<O:p></O:p>
    อิทัง สัพพะ สัตตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ สัตตา
    ขอส่วนบุญนี้ จงสำเร็จ แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุขทั่วหน้ากันเทอญ<O:p></O:p>

    ..........................................


    บทนี้สวดแล้วเทวดาเจ้าที่ผีจะรักมีอนานิสงส์ดีมาก​



    กะระณียะมัตถะกุสะเลนะ ยันตัง สันตัง ปะทัง อะภิสะเมจจะ
    กิจอันใด อันพระอริยเจ้าบรรลุบทอันกระทำแล้ว กิจอันนั้นกุลบุตรผู้ฉลาดในประโยชน์พึงกระทำ

    สักโก อุชู จะ สุหุชู จะ
    กุลบุตรนั้นพึงเป็นผู้อาจหาญ และซื่อตรงดี
    สุวะโจ จัสสะ มุทุ อะนะติมานี
    เป็นผู้ว่าง่าย อ่อนโยน ไม่มีอติมานะ

    สันตุสสะโก จะ สุภะโร จะ
    เป็นผู้สันโดษ เลี้ยงง่าย
    อัปปะกิจโจ จะ สัลละหุกะวุตติ
    เป็นผู้มีธุรกิจน้อย ประพฤติเบากายจิต

    สันตินทริโย จะ นิปะโก จะ
    มีอินทรีย์อันระงับแล้ว มีปัญญา
    อัปปะคัพโภ กุเลสุ อะนะนุคิทโธ
    เป็นผู้ไม่คะนอง ไม่พัวพันในสกุลทั้งหลาย

    นะ จะ ขุททัง สะมาจะเร กิญจิ เยนะ วิญญู ปะเร อุปะวะเทยยุง
    วิญญูชนติเตียนชนทั้งหลายอื่นด้วยกรรมอันใด ไม่พึงประพฤติกรรมอันนั้นเลย

    สุขิโน วา เขมิโน โหนตุ สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สุขิตัตตา
    ขอสัตว์ทั้งปวง จงเป็นผู้มีสุข มีความเกษม มีตนถึงความสุขเถิด

    เย เกจิ ปาณะภูตัตถิ
    สัตว์มีชีวิตทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่งมีอยู่
    ตะสา วา ถาวะรา วา อะนะวะเสสา
    ยังเป็นผู้สะดุ้ง ( คือมีตัณหา ) หรือเป็นผู้มั่นคง ( ไม่มีตัณหา ) ทั้งหมดไม่เหลือ

    ทีฆา วา เย มะหันตา วา มัชฌิมา รัสสะกา อะณุกะถูลา
    เหล่าใดยาวหรือใหญ่ หรือปานกลางหรือสั้นหรือผอมพี

    ทิฏฐา วา เย จะ อะทิฏฐา
    เหล่าใดที่เราเห็นแล้ว หรือมิได้เห็น
    เย จะ ทูเร วะสันติ อะวิทูเร
    เหล่าใดอยู่ในที่ไกลหรือที่ไม่ไกล

    ภูตา วา สัมภะเวสี วา
    ที่เกิดแล้ว หรือแสวงหาภพก็ดี
    สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สุขิตัตตา
    ขอสัตว์ทั้งปวงเหล่านั้น จงเป็นผู้มีตนถึงความสุขเถิด

    นะ ปะโร ปะรัง นิกุพเพถะ
    สัตว์อื่นอย่างพึงข่มเหงสัตว์อื่น
    นาติมัญเญถะ กัตถะจิ นัง กิญจิ
    อย่าพึงดูหมิ่นอะไรๆ เขา ในที่ไรๆ เลย

    พยาโรสะนา ปะฏิฆะสัญญา นาญญะมัญญัสสะ ทุกขะมิจเฉยยะ
    ไม่ควรปรารถนาทุกข์แก่กันและกัน เพราะความกริ้วโกรธด้วยความคับแค้นใจ

    มาตา ยะถา นิยัง ปุตตัง อายุสา เอกะปุตตะมะนุรักเข
    มารดาถนอลูกคนเดียว ผู้เกดในตนด้วยยอมพร่าชีวิตได้ฉันใด

    เอวัมปิ สัพพะภูเตสุ มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง
    ุพึงเจริญเมตตา มีในใจ ไม่มีประมาณในสัตว์ฉันนั้น<O:p></O:p>




    <O:p></O:p>



    เมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิง มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง
    บุคคลพึงเจริญเมตตา มีในใจไม่มีประมาณไปในโลกทั้งสิ้น

    อุทธัง อะโธ จะ ติริยัญจะ
    ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องเฉียง
    อะสัมพาธัง อะเวรัง อะสะปัตตัง
    เป็นธรรมอันไม่คับแคบ ไม่มีเวร ไม่มีศัตรู

    ติฎฐัญจะรัง นิสินโน วา
    ผู้เจริญเมตตาจิตนั้น ยืนอยู่ก็ดี เดินไปก็ดี นั่งแล้วก็ดี
    สะยาโน วา ยาวะตัสสะ วิคะตะมิทโธ
    นอนแล้วก็ดี เป็นผู้ปราศจากความง่วงนอนเพียงใด

    เอตัง สะติง อะธิฏเฐยยะ
    ก็ตั้งสติอันนั้นไว้เพียงนั้น
    พรัหมะเมตัง วิหารัง อิธะมาหุ
    ับัณฑิตทั้งหลาย กล่าวกิริยาอันนี้ว่า เป็นพรหมวิหาร ในพระศาสนานี้

    ทิฏฐิญจะ อะนุปะคัมมะ สีสะวา
    บุคคลที่มีเมตตา ไม่เข้าถึงทิฏฐิ เป็นผู้มีศีล
    ทัสสะเนนะ สัมปันโน
    ถึงพร้อมแล้วด้วยทัศนะ ( คือโสดาปัตติมรรค)

    กาเมสุ วิเนยยะ เคธัง
    นำความหมกมุ่นในกามทั้งหลายออก
    นะ หิ ชาตุ คัพภะเสยยัง ปุนะเรตีติฯ
    ย่อมไม่ถึงความนอน ( เกิด) ในครรภ์อีก โดยแท้ทีเดียว<O:p></O:p>



    *************************<O:p></O:p>

    <O:p></O:p>

    บทเมตตาหลวง..


    สัพเพ สัตตา สัพเพ ปาณา สัพเพ ภูตา สัพเพ ปุคคะลา สัพเพ อัตตะภาวะ ปะริยา ปันนา สัพพา อิตถิโย สัพเพ ปุริสา สัพเพ อะริยา สัพเพ อะนะริยา สัพเพ เทวา สัพเพ มนุสสา สัพเพ วินิปาติกา อะเวรา อัพพะยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ
    สัพเพ สัตตา สัพเพ ปาณา สัพเพ ภูตา สัพเพ ปุคคะลา สัพเพ อัตตะภาวะ ปะริยา ปันนา สัพพา อิตถิโย สัพเพ ปุริสา สัพเพ อะริยา สัพเพ อะนะริยา สัพเพ เทวา สัพเพ มนุสสา สัพเพ วินิ ปาติกา สัพพะทุกขา ปะมุญจันตุ
    สัพเพ สัตตา สัพเพ ปาณา สัพเพ ภูตา สัพเพ ปุคคะลา สัพเพ อัตตะภาวะ ปะริยา ปันนา สัพพา อิตถิโย สัพเพ ปุริสา สัพเพ อะริยา สัพเพ อะนะริยา สัพเพ เทวา สัพเพ มนุสสา สัพเพ วินิ ปาติกา ลัทธะสัมปัตติโต มา วิคัจฉันตุ
    สัพเพ สัตตา สัพเพ ปาณา สัพเพ ภูตา สัพเพ ปุคคะลา สัพเพ อัตตะภาวะ ปะริยา ปันนา สัพพา อิตถิโย สัพเพ ปุริสา สัพเพ อะริยา สัพเพ อะนะริยา สัพเพ เทวา สัพเพ มนุสสา สัพเพ วินิปาติกา กัมมัสสะกา กัมมะทายาทา กัมมะโยนี กัมมะพันธู กัมมะปะฏิสะระณา ยัง กัมมัง กะริสสันติ กัลละยาณัง วา ปาปะกัง วา ตัสสะ ทายาทา ภะวิสสันติ ​



    .................................................



    บทกรวดน้ำนี้ ข้าพเจ้าได้มาตามสายใยแห่งธรรม ข้าพเจ้าเคยอ่านแต่หนังสือเกิดแต่กรรมเล่ม 1-3 ของแม่ชี
    แต่ยังไม่เคยได้ไปกราบแม่ชีทศพรเพราะยังไม่มีโอกาส ปกติข้าพเจ้ามักจะชอบทำบุญอยู่แล้ว
    พอได้บทกรวดน้ำนี้มาก็คิดว่า น่าจะสร้างความดีเพิ่มขึ้นโดยการนำมาเผยแผ่ในเวบเมตตาแห่งนี้
    ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นบทกรวดน้ำที่ครอบจักรวาลพอสมควร หากท่านผู้ใดสนใจ
    ก็ลองเอาบทกรวดน้ำนี้ไปแผ่เมตตา กรวดน้ำดูนะครับ

    หลังจากสวดมนต์ไหว้พระหรือเจริญภาวนาแล้ว ท่านก็กรวดน้ำ ตามบทดังนี้ครับ

    พระจัตตุโลก พระยมกทั้งสี่ ขอส่งน้ำอุทิศนี้ เข้าไปในลังกาทวีป ในห้องพระสมาธิเป็นที่ประชุมการใหญ่ของแม่พระธรณี ขอให้แม่พระธรณี จงมาเป็นทิพย์พยาน เป็นผู้ว่าการในโลกอุดร ขอให้แม่พระธรณีจงนำเอากุศลผลบุญของข้าพเจ้าที่ได้กระทำในวันนี้ นำส่งให้แก่ข้าพเจ้า ในกาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ พุทธังอนันตัง ธัมมังจักรวาลัง สังฆังนิพพานัง ข้าพเจ้าขอแผ่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ให้แก่สรรพสัตว์ที่มีดิน น้ำ ลม ไฟ และขอถวายเป็นปฏิบัติบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยเจ้า พระอริยสงฆ์ พระปัจเจกโพธิเจ้า พระอรหันตเจ้า

    ข้าพเจ้าขอนำส่งให้บิดา มารดา ตระลพ่อ ตระลแม่ ตระลพี่ ตระลน้อง ตระลปู่ ตระลย่า ตระลตา ตระลยาย ญาติพี่น้องทั้งหลาย เพื่อนสนิทมิตรสหายทั้งหลาย จงนำและได้รับส่วนบุญส่วนกุศล ที่ข้าพเจ้าพึงกระทำในครั้งนี้ ขอให้เจ้ากรรรมในเวรในอดีตชาติ และชาติปัจจุบัน จงได้รับส่วนบุญส่วนกุศลที่ข้าพเจ้าพึงได้กระทำ เมื่อได้รับอานิสงส์แล้ว จงปลดปล่อยกรรม ปลดปล่อยกรรม ปลดปล่อยกรรม ด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ให้แก่ข้าพเจ้าพร้อมทั้งครอบครัวของข้าพเจ้า ทั้งตระลพ่อ ตระลแม่ ตระลพี่ ตระลน้อง ตระลปู่ ตระลย่า ตระลตา ตระลยาย

    ข้าพเจ้าขอนำส่งให้พระราชามหากษัตริย์ เศรษฐีมหาเศรษฐี ที่สืบสานพระศาสนาตั้งแต่พุทธกาลจนถึงปัจจุบัน มีพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าอโศกมหาราช พระราชามหากษัตริย์ไทย มีสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระปรเมนทรมหาอนันทมหิดล สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช วีระกษัตรีย์ทุกๆ พระองค์

    ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ จตุสดมภ์ทั้ง 4 ขุนเวียง ขุนวัง ขุนคลัง ขุนนา ท่านแม่ทัพนายกอง หัวหมู่ ขุนพล ทหารหาญทั้งหลาย ข้าทาสบริพาร ครูหมัด ครูมวย ครูหอก ครูดาบ ครูศาสตราวุธ ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ทุกกรมกอง

    ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ แม่พระธรณี แม่พระคงคามหาสมุทร แม่พระโพสพ แม่พระเพลิง แม่พระพาย เจ้าทะเล เจ้าบาดาล เจ้าพิภพ

    ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ สุริยจักรวาล มีพระอาทิตย์ พระจันทร์

    ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ สัตตะโลหะ นวโลหะ รัตนชาติ แร่ธาตุทั้งหลาย ช้างศึก ม้าศึกทั้งหลาย ช้างเสบียง ม้าเสบียงทั้งหลาย วัว ควายทั้งหลาย หมู เห็ด เป็ด ไก่ กุ้ง หอย ปู ปลา ทั้งสัตว์น้ำจืด น้ำเค็ม และสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำทั้งหลาย สัตว์ปีกทั้งหลาย สัตว์ปีนป่ายทั้งหลาย สัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย สัตว์ในไข่ทั้งหลาย สัตว์ในครรภ์ทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าเข่นฆ่าก็ดี บริโภคก็ดี อยู่ในเนื้อ อยู่ในหนัง อยู่ในเลือด อยู่ในกระดูก อยู่ในตับไตไส้พุง อยู่ในทั้งหมดในอาการ 32 ของตัวข้าพเจ้า

    ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ สัมมาอาชีพของข้าพเจ้า ที่ได้มีกินมีใช้ ขอให้สัมมาอาชีพจงได้รับอานิสงส์ผลบุญนี้

    ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ ทรัพย์ของแผ่นดิน

    ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ ดวงจิต ดวงวิญญาณ ทั้งหลายที่เคยจะเกิดมาเป็นลูกหลานแล้วไม่ได้เกิด จงได้รับในบุญกุศล และจงเว้นจากการจองเวร

    ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ ดวงจิตของข้าพเจ้าที่เคยตกหล่นเป็นกรรม อยู่ในนรกภูมิที่อยู่ทุกๆ ขุมนรก จงหลุดพ้นด้วยกุศลในครั้งนี้

    ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ เชื้อโรค เชื้อรา เชื้อมะเร็งทั้งหลาย เชื้อไวรัสทั้งหลาย เชื้อโรคทั้งหลาย จงมีส่วนได้รับในบุญกุศลนี้ และโรคร้ายทั้งหลายขออย่าพึงมี อย่าพึงเกิดกับข้าพเจ้า

    ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ ตั้งแต่นรกภูมิ อบายภูมิ สัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย เปรตทั้งหลาย อสูรกายทั้งหลาย ทั้ง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน นรกทุกชั้น นรกทุกขุม ทุกภูมิ สัมภเวสีทั้งหลาย ทั้งที่เป็นญาติและไม่ใช่ญาติ ที่อยู่ใกล้และอยู่ไกล ที่รู้จักก็ดี ไม่รู้จักก็ดี ที่เอ่ยถึงก็ดี ไม่เอ่ยถึงก็ดี ที่ล่วงลับดับขันธ์ไปแล้ว ทั้งที่มีกายและไม่มีกาย ทั้งที่มีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และไม่มีธาตุ จงมารับเอาส่วนกุศลที่ได้กระทำในครั้งนี้

    ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ พระอินทร์ พระพรหม พระยายม พระยายักษ์ พระสยามเทวาธิราช พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระกาฬชัยศรี เจ้าพ่อเจตคุป เจ้าพ่อหอกลอง ท้าวกุเวรมหาราช ท้าวทศรถ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรุฬปักษ์

    ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ พญาครุฑ พญานาค พญาอนันตนาคราช พญางู พญานางเงือก พญาหนุมาน พญาเสือ พญาสิงห์ พญาเต่า พญาจระเข้ พญาปลาไหล พญาตะขาบ พญาแมงป่อง ปู่ฤาษีทั้ง 108 พระองค์ ปู่อินตา ครูยา หมอยา เจ้าป่า เจ้าเขา เจ้าทุ่ง เจ้าท่า เจ้าที่ที่บ้าน เจ้าที่ที่ทำงาน รุกขเทวดา นางไม้ทั้งหลาย

    ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ ทุกพยัญชนะ ทุกตัวอักษร ทุกภาษาที่เป็นภาษาสื่อในโลกนี้ ภาษามือ ภาษาเขียน ภาษาอ่าน ภาษาฟัง เครื่องมือสื่อสารทั้งหลาย

    ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ ธนบัตร ทุกสกุลเงินตราของโลกนี้ ที่เป็นทรัพย์ภายนอก จงได้รับในกุศลผลบุญของข้าพเจ้า

    กรรมใดก็ดี ที่ข้าพเจ้าเคยมีกรรมต่อทรัพย์ของแผ่นดิน คนของแผ่นดิน ทำผิดเป็นถูก ทำถูกเป็นผิด และกรรมใดที่ข้าพเจ้าเคยสร้างกรรมกับผู้ใดไว้ ไม่ว่าอดีตชาติ หรือปัจจุบันชาติ ไม่ว่ามนุษย์และสัตว์ ข้าพเจ้าขอให้ท่านทั้งหลายที่ข้าพเจ้าเคยสร้างเวรสร้างกรรมต่อท่าน จงได้รับในอานิสงส์ผลบุญของข้าพเจ้า เมื่อได้รับแล้วจงปลดปล่อยกรรม ปลดเปลื้องกรรม งดเว้นการจองเวร และขอดวงจิตที่เกิดในภพนี้ ชาตินี้ ได้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ด้วยกุศลในคราวครั้งนี้ด้วยเทอญ


    ...................
    ขอให้ทุกคนโชคดีนะครับ
    หลังจากทำความดีทุกครั้งต้องแผ่บุญนะครับ<O:p




    <O:p></O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2010
  2. makigochan

    makigochan ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    6,247
    ค่าพลัง:
    +68,061
    "เมตตา" นี้เป็นหลักธรรมประจำใจของแต่ละบุคคลและเป็นหลักธรรมพื้นฐานสำหรับสร้างความสามัคคีและเอกภาพของหมู่ชน หรือ ที่เรียกว่า "สารณียธรรม" ซึ่งสามารถแสดงออกได้ทั้งทางกาย คือ "เมตตากายกรรม" ได้แก่การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เช่น เมื่อเห็นคนยืนตากแดดรอจะข้ามถนนเราหยุดรถให้เขาข้ามถนน การแสดงกิริยาสุภาพเคารพนับถือกัน เช่นเมื่อมีคนหยุดรถให้เราข้ามถนน เราแสดงกิริยาขอบคุณเคารพในน้ำใจดีของเขาด้วยการน้อมศีรษะ ส่งยิ้มให้ เป็นต้น ทางวาจา คือ "เมตตาวจีกรรม" ได้แก่ การมีวาจาที่อ่อนหวานสุภาพ สอบถามสารทุกข์สุกดิบบอกแจ้งแนะนำ กล่าวคำตักเตือนด้วยความหวังดี และจริงใจ และทางความคิดต่อกัน คือ "เมตตามโนกรรม" ได้แก่ การมองกันในแง่ดี มีความปรารถนาดี มีความหวังดี มีความสงสารมีความเห็นใจ อยากช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ คิดทำประโยชน์ให้มีความสุข

    อนุโมทนาด้วยค๋ะ เพิ่งทราบว่า สิ่งที่เราได้กระทำมา คือเมตตา ซึ่งมีอยู่ใน
    เมตตาธรรม 3 ประการ คือ เมตตาวจีกรรม เมตตากายกรรม เมตตามโนกรรม
     
  3. ทัสชา 567

    ทัสชา 567 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +1,008
    เป็นบทความที่ดีมาก ขอบคุณเจ้าของกระทู้ค่ะและได้นำมาปฎบัติเพื่อก่อให้เกิดสิริมงคลแก่ตนเองและผู้อื่นค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...