อมเรศ ศิลาอ่อน นักธุรกิจผู้ขยันหาอาหารทางใจ

ในห้อง 'พุทธศาสนากับคนดัง' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 23 พฤศจิกายน 2007.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    อมเรศ ศิลาอ่อน นักธุรกิจผู้ขยันหาอาหารทางใจ <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">20 พฤศจิกายน 2550 10:16 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr> <td align="left" height="12" valign="bottom">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td bgcolor="#cccccc"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="1" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#ffffff" valign="top"> <table cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top" width="160"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="4" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="body" align="center" valign="baseline">คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" height="1" valign="middle" width="165">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> </tbody></table></td> </tr> </tbody></table></td> <td background="/images/linedot_vert3.gif" width="4">[​IMG]</td> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellspacing="7" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> ชายวัย 74 ปี นามว่า ‘อมเรศ ศิลาอ่อน’ ผู้ผ่านการใช้ชีวิตมาแล้วทั้งในบทบาทของนักบริหารมืออาชีพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ 4 สมัย และประธานกรรมการองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ชุดที่ 2 ที่เข้ามาแบกรับภาระอันหนักหน่วงในการขายสินทรัพย์ของ 56 สถาบันการเงินที่ถูก สั่งปิดกิจการในยุควิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 รวมทั้งสนใจศึกษาปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังมาเป็นเวลาเกือบ 30 ปีแล้ว

    วันนี้เขาได้วางการงานธุรกิจทางโลก เหลือเพียงการเป็นที่ปรึกษาของบริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว หันมาทุ่มเทเวลาไปกับการเรียนพระอภิธรรม เพื่อให้รู้ และเข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้สอนไว้ให้มากยิ่งขึ้น

    • อะไรที่ทำให้ท่านหันมาสนใจธรรมะจนถึงขั้นปฏิบัติธรมอย่างจริงจังคะ

    ผมว่าเป็นเรื่องของบุญบันดาลนะ เดิมทีผมไม่เคยสนใจเรื่องการปฏิบัติธรรมเลย เพราะมองไม่ออกว่าการปฏิบัติธรรมจะให้อะไรกับชีวิต จะมีบ้างก็แบบอ่าน หนังสือพระ แต่ก็แค่อ่านสนุกๆ ไม่ได้อ่าน แบบเป็นเรื่องเป็นราว เพิ่งจะเริ่มสนใจจริงๆตอนอายุปาเข้าไป 45 แล้ว ตอนนั้นผมทำงานอยู่ที่เครือซิเมนต์ไทย มีอยู่วันหนึ่งคุณวรากรซึ่งเป็นน้องของคุณใหญ่ ภรรยาของผม (ภัทรา ศิลาอ่อน) เขาคุยกับพี่ๆน้องๆว่าจะไปใช้บ้านเก่าของคุณพ่อเขาเป็นที่จัดปฏิบัติธรรม ผมได้ยินเข้าก็หูผึ่ง เพราะรู้สึกว่าตัวเองสมาธิไม่ค่อยดี น่าจะฝึกตรงนี้ จะได้ทำงานได้ดีขึ้น เลยบอกน้องๆว่าขอไปด้วยได้ไหม เขาก็บอกปฏิบัติธรรม 7 วันเลยนะ ผมก็บอกได้ๆ เลยเริ่มปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่ตอนนั้น

    โชคดีที่ครั้งนั้นคุณแม่สิริ กรินชัย ท่านมาเป็นวิปัสสนาจารย์ให้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ท่านออกมาสอนวิปัสสนาข้างนอก เพราะปกติท่านจะสอนเฉพาะที่บ้านที่โคราชเท่านั้น คุณแม่สิริให้ทำอะไรผมก็ทำ ยุบหนอพองหนอ ท่านบอกให้มองให้เห็นรูปเห็นนาม ผมก็พยามดูตามไป ก็ไม่เห็นอะไร ทำไป 7 วัน รู้สึกว่า เอ....ไม่เห็นได้อะไรเลย อย่างว่าคนบาปหนาน่ะ (หัวเราะ)

    • แล้วเกิดความเปลี่ยน แปลงขึ้นตอนไหนคะ

    คือพอกลับมาบ้านแล้วรู้สึกว่ามันมีอะไรเปลี่ยนแปลงในตัวเรานะ ปกติผมจะดื่มเหล้า แต่ระหว่างที่ไปปฏิบัติธรรมเขาให้ถือศีลห้า ดื่มเหล้าไม่ได้ พอกลับมาบ้านก็รู้สึกว่าศีลห้าก็ดีนะเลยถือต่อมาเรื่อยๆ หลังจากนั้นเวลา ไปงานเลี้ยงงานค็อกเทลซึ่งเขาจะเสิร์ฟเหล้า ใครๆก็ต้องดื่มเพื่อให้เข้ากับคนอื่นเขาได้ ผมก็แอบไปกระซิบบ๋อยว่าให้เอาน้ำขิงใส่น้ำแข็งมาแทน สีมันเหมือนกัน เราก็ถือเดินทั่วงาน (หัวเราะร่วน) ไม่ได้ดื่มเหล้าเราก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร

    นอกจากนั้นยังรู้สึกว่าตัวเองมีเมตตามากขึ้น ก่อนไปปฏิบัติธรรมผมทะเลาะกับพ่อ เพราะโกรธที่พ่อมีภรรยาใหม่ ก็ไม่ ถูกกับแม่เลี้ยง ผมไม่ไปหาพ่อตั้งหลายปี แต่หลังจากกลับจากปฏิบัติธรรมเกิดนึกอยากจะไปขอโทษพ่อ มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาเอง แสดงว่าเวลาไปทำกรรมฐาน มันได้อะไรบางอย่างโดยที่เราไม่รู้ตัว แล้วก็รู้สึกใจเย็นขึ้น มีสติเร็วขึ้น ตั้งแต่นั้นมาเวลาเดินก็พยายามกำหนดซ้ายขวา ซ้ายขวา ตลอด

    • หลังจากนั้นก็เลยปฏิบัติธรรมมาตลอดจนถึงเดี๋ยวนี้

    ครับ.. ปกติจะไปปฏิบัติธรรมปีละ 1-2 ครั้ง ไปที่บ้านคุณแม่สิริบ้าง บ้านไรวาซึ่งเป็น บ้านที่น้องของคุณใหญ่เขาจัดปฏิบัติธรรมกันบ้าง บางทีก็ไปที่ยุวพุทธิกสมาคม ก็ไปหลายแห่งตามแต่สะดวก ตอนหลังๆผมไป ที่วัดท่ามะโอ จังหวัดลำปาง เป็นวัดที่พระอาจารย์สมรักษ์ซึ่งเป็นรองเจ้าอาวาสท่านเป็น ผู้สอนกรรมฐานแบบเดียวกับที่คุณแม่สิริสอน จนเดี๋ยวนี้ก็ยังไปอยู่ ตอนกลับจากปฏิบัติธรรมใหม่ๆก็พยายามฝึกปฏิบัติที่บ้าน ส่วนมากช่วงเช้าๆก่อนไปทำงานก็จะเดินจงกรมครึ่งชั่วโมง นั่งกรรมฐานครึ่งชั่วโมง แต่ถ้ามีนัดตอนเช้าก็จะเปลี่ยนทำตอนกลางคืน

    • คนรอบข้างรู้สึกไหมคะถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

    มีเพื่อนๆหลายคนที่เขาบอกทำไมเดี๋ยว นี้ใจเย็นลง แต่ก่อนผมเป็นคนใจร้อน ทำอะไรเร็วหมด เดินก็เร็ว แต่ตอนหลังเราช้าลง เขาก็สังเกตเห็น แล้วความจริงในครอบครัวผมเนี่ย ผมเป็นคนใจร้อน ส่วนภรรยาผมเป็นคนใจเย็น เวลาขัดใจอะไรขึ้นมา ทะเลาะกัน เถียงกันนี่ ผมจะเป็นคนเอะอะโวยวายปึงปังขึ้นมาก่อนเลย แต่พอทำ กรรมฐานหลายๆครั้งเข้า เวลาขัดใจกันปรากฏว่าภรรยาผมเป็นฝ่ายโกรธก่อน (ยิ้มอารมณ์ดี) พอเราใจเย็นขึ้นมันก็ดีสำหรับคนใกล้ตัว

    • พอเห็นคุณอมเรศเปลี่ยนแปลงไป ในทางที่ดี สมาชิกในครอบครัวสนใจ ไปปฏิบัติธรรมด้วยไหมคะ

    ก็มีครับ เวลาผมไปปฏิบัติธรรมบางครั้งลูกๆก็ไปด้วย บางคนก็ไปทีเดียวแล้วไม่ได้ไปอีกเลย บางคนก็ไปหลายครั้ง ผมก็แล้วแต่เขา เขาจะได้อะไรมากน้อยก็แล้ว แต่เขา คือแล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน ภรรยาผมเขาก็ให้การสนับสนุนนะ เพราะน้องชายของเขาก็เป็นคนที่ชอบปฏิบัติธรรม และเก่งเรื่องนี้มาก ออกเดินสายบรรยายธรรมอยู่ตลอดเวลา

    เวลาไปเจอเพื่อนๆ ก็มักจะถามผมว่าไปทำกรรมฐานนี่ดีไหม ผมก็บอกว่าดี ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น สบายใจ แล้วก็มีความสุขขึ้น เขาก็มีข้อโต้แย้งว่า เอ..ไปตั้ง 7 วัน เขาไม่มีเวลา ผมก็ถามเขาว่าก่อนคุณจะเริ่มชีวิตการทำงาน คุณต้องใช้เวลาเรียน กี่ปี อย่างน้อยก็ 16 ปี คุณเรียนไป 16 ปีคุณได้อะไร ได้วิชาหาข้าวกินเท่านั้นเอง ไม่ได้อะไรมากกว่านั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราไม่ได้ทำอะไรเพื่อเลี้ยงใจเลย ถ้าเราใช้เวลาถึง 16 ปีหาวิชามาเลี้ยงกาย แล้วเราจะไปหาวิธีหาเลี้ยงใจแค่ 7 วัน ทำไมจะทำไม่ได้ ผมใช้ประโยคนี้ประจำ แล้วก็ ได้ผลนะ อย่างมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นคนฉลาดมาก จบมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด แล้วไปต่อเอ็มไอที จบกลับมาได้ทำงานเป็นใหญ่เป็นโต พ่อแม่ก็รวยระดับมหาเศรษฐี ผมก็พูดแบบนี้ให้เขาฟัง รุ่งขึ้นเขาไปขอปฏิบัติกรรมฐานเลย ปรากฏว่าเดี๋ยวนี้เขาก้าวหน้าทางธรรมกว่าผมอีก เขาเลื่อมใสขนาดไปบวชอยู่พรรษาหนึ่ง เทคนิคนี้ผมไม่สงวนลิขสิทธิ์นะ ใครจะเอาไปใช้ก็ได้ (ยิ้มด้วยความปลาบปลื้มใจ)

    • ทราบว่าขณะนี้กำลังเรียนพระอภิธรรมด้วย เริ่มหันมาเรียนตอนไหนคะ

    คือผมทำกรรมฐานไปได้สักพักหนึ่งมันก็เกิดคำถาม อยากจะรู้นั่น อยากจะรู้นี่ เช่น เวลาเราฝึกกรรมฐานพระอาจารย์ท่าน ก็จะพูดให้ฟังว่าเมื่อจิตเกิด เจตสิกก็เกิดด้วย เราก็อยากรู้ว่า ‘เจตสิก’ คืออะไร ผมก็ไปหา หนังสือมาอ่าน แต่อ่านแล้วก็ยังไม่รู้เรื่อง

    พระอภิธรรม เป็นเรื่องของหลักคำสอน อันเป็นรากฐานของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งมาก ในพระไตรปิฎกซึ่งมี 84,000 พระธรรมขันธ์นั้น เป็นส่วนที่เป็นพระอภิธรรมถึง 42,000 พระธรรมขันธ์ คือครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว โดยเนื้อหาของ พระอภิธรรมจะสอนอยู่ 4 อย่าง ได้แก่ จิต เจตสิก รูป และนาม

    ผมทำกรรมฐานมา 20 ปี ก็ศึกษาเรื่อง เหล่านี้มาตลอดโดยใช้วิธีอ่านจากหนังสือ แต่มันก็รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แล้วก็รู้สึกว่ายังรู้ไม่พอ ก็มีความรู้สึกว่า เอ..ต้องไปเรียนให้รู้มากกว่านี้ ทีแรกก็มีเพื่อนมาชวน ไปฟังการอบรมธรรมะที่นั่นที่นี่ คนที่ช่วยผมมากคืออาจารย์ขนิษฐา เสนะกุล ท่านเป็นคนที่รู้เรื่องพระอภิธรรม ท่านก็แนะนำให้ไปฟังที่นั่นที่นี่ รู้บ้างไม่รู้บ้าง ไปฟังอยู่หลายปีก็คิดว่าต้องเรียนแล้วล่ะ ถามว่าที่ไหนดี อาจารย์ก็บอกว่าตอนนี้ที่สอนดีที่สุดคือที่วัดมหาธาตุ ผมก็ไปเข้าเป็นนักเรียนที่นั่น อันนี้เขาเรียกว่าเรียนปริยัติ ส่วนที่ทำมา ก่อนหน้านี้ 20 ปีคือการปฏิบัติ

    • เรียนมากี่ปีแล้วคะ

    ถึงตอนนี้ก็ 3 ปีครึ่งแล้ว คือหลักสูตรปริยัติธรรมนี่มี 9 ระดับ คือ จุลตรี จุลโท จุลเอก มัชชิมะตรี มัชชิมะโท มัชชิมะเอก มหาตรี มหาโท มหาเอก ซึ่งหากเรียนแล้ว ไม่สอบตกเลยจะใช้เวลา 7 ปีครึ่ง ตอนนี้ผมอยู่ชั้นมัชชิมะตรี

    • เรียนสัปดาห์ละกี่วัน

    แล้วแต่เรานะ ก็มีอยู่ 2 แบบคือ เรียนวันธรรมดา สัปดาห์ละ 5 วัน ถ้าเรียนช่วงบ่าย จะเรียนวันละ 3 ชั่วโมง หรือถ้าเรียน ช่วงเย็น เรียนวันละ 2 ชั่วโมง และอีกแบบ สำหรับคนทำงานคือเรียนวันเสาร์อาทิตย์ วันละ 3 ชั่วโมง

    • แล้วคุณอมเรศไปเรียนช่วงไหนคะ

    ผมเรียนทั้ง 2 แบบ วันธรรมดาจะไปเรียนที่วัดสามพระยา ส่วนวันเสาร์อาทิตย์จะไปเรียนที่วัดมหาธาตุ ที่ต้องเรียนเยอะเพราะผมรู้สึกว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็น วิชาที่ยากที่สุดในโลก ไม่มีวิชาไหนยากกว่า นี้แล้ว เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งมาก เพราะฉะนั้นเราไปทำเล่นๆไม่ได้ ต้องเอาจริง แล้วผมอายุ 74 แล้ว หัวมันช้า ความจำสู้เด็กๆเขาไม่ได้ ก็ต้องอาศัยความขยัน

    • คิดว่าคนวัยไหนคะที่น่าจะเรียนปริยัติธรรมมากที่สุด

    วัยทำงานอย่างคุณเนี่ยะน่าจะเรียน แล้วก็ควรจะปฏิบัติธรรมควบคู่กันไปด้วย เพราะเรื่องเหล่านี้สามารถนำมาปรับใช้กับการดำเนินชีวิตได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์มาก แล้วถ้าเรียนจบปริยัติธรรมก็จะได้อภิธรรม บัณฑิต แต่ตัวผมไม่ได้สนใจเรื่องปริญญานะ ที่สำคัญคืออยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร คือถ้าเรารู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรก็จะทำให้ตัวเรามีจิตใจดีขึ้น เข้าใจว่าทำไม สิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้น อย่างตอนนี้กำลังเรียน เรื่องกรรม เพราะฉะนั้นอะไรที่เกิดขึ้นกับผมเวลานี้ผมรับได้หมด

    • อย่างกรณีที่กำลังถูกฟ้องร้องเรื่อง ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ในการขายทรัพย์สินของบริษัทเงินทุนและบริษัทหลักทรัพย์ 56 แห่งที่ถูกสั่งปิด กิจการ ให้แก่บริษัท เลห์แมนบราเธอร์ส โฮลดิ้งส์อิ้งก์ จำกัด ในช่วงที่ท่านทำหน้าที่ประธานกรรมการ ปรส. ถือว่าแรงมาก ท่านทำใจอย่างไรคะ

    ก็ปล่อยวางครับ ไม่เดือดร้อน ใครจะว่าอะไร ใครจะทำอะไร มีการฟ้องร้องเราก็ต่อสู้กันไปตามกฎหมาย คือเรื่องทางโลก ก็เรื่องทางโลก แต่ในทางธรรมนี่ใจเรารับได้ ผมมองว่าเป็นเรื่องของวิบากกรรมนะ แต่ก่อนมีคนมาว่าเป็นประธาน ปรส. (องค์การเพื่อการปฎิรูประบบสถาบันการเงิน) ที่ใช้ไม่ได้ ทำให้ฝรั่งรวย ตอนแรกเราก็โกรธ นะ เอ...เราทำงานให้บ้านเมืองขนาดนี้ยังจะมาว่าเราอีก แต่หลังๆเรารู้สึกเฉยๆ ก็คิดว่าที่เขาว่าเราเพราะ 1.เขาไม่รู้ เขาโง่ ก็เป็นกรรมของเขา ไม่ใช่ของเรา 2.เขาไม่ชอบเรา เพราะ ปรส.ไปยึดทรัพย์เขามาขายทอดตลาด เพราะฉะนั้นคนที่เสียประโยชน์เขาก็โกรธ เขาก็ด่า เขาด่า ปรส. ไม่ใช่ด่าเรา เราจะไปรับทำไม พอทำใจได้ปุ๊บ มันก็ไม่เป็นทุกข์ ผมว่าธรรมะเป็นภูมิคุ้มกันทางใจ การปฏิบัติธรรมเป็นการฝึกสติ ถ้าเรามีสติดีขึ้นก็จะทำให้ทำบาปน้อยลง เพราะที่คน เราทำบาปก็เพราะขาดสติ

    • คิดว่าได้อะไรจากการศึกษาธรรม บ้างคะ


    ความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีมันเกิดขึ้นกับตัวเอง การศึกษาธรรมะทำให้เราเกิด พรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มันจะเกิดขึ้นเอง อย่างเวลาทำงาน แล้วลูกน้องทำอะไรไม่เข้าท่า จากเดิมที่เรา จะโมโห พอศึกษาธรรมะเราก็เมตตาต่อเขา ค่อยๆแนะนำไป อะไรไม่ดีที่เกิดขึ้นกับเรา ก็วางอุเบกขาได้ เพราะเรามองว่าอะไรที่เกิด ขึ้นมันเกิดจากกรรมทั้งนั้น เมื่อไรมันตามมา ทันมันก็ส่งผล ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุหรือการเจ็บป่วยเป็นผลของกรรมทั้งนั้น ที่เขาเรียก ว่าวิบาก เราทำอะไรไว้ในอดีต ก็มาเจอชาตินี้

    อย่างที่ผมเจอกรณี ปรส. ก็ถือว่าเป็นกรรม ตอนนี้ก็อยู่ในขั้นที่อัยการจะพิจารณา ว่าจะส่งฟ้องตามที่ดีเอสไอ(กรมสอบสวนคดีพิเศษ)ยื่นเรื่องมาหรือเปล่า ถ้าพิจารณา ว่าส่งฟ้องศาล ก็ต้องสู้กันถึง 3 ศาล กว่าคดีจะสิ้นสุดก็เป็น 10 ปีแหละ พอเราปล่อย วางได้มันก็ไม่ทุกข์ แล้วก็ไม่รู้สึกโกรธคนที่เขามาฟ้องเรา ก็อโหสิกรรมไป ชาติหน้าจะได้ไม่ต้องไปจองเวรกันอีก เพราะไม่อย่าง นั้นเราก็จะไปก่อกรรมใหม่ เราก็ถือว่าแม้แต่ คนที่เป็นพระอรหันต์อย่างพระโมกคัลลายังมีเศษกรรมที่ตามมา ยังต้องใช้กรรมเก่า เพราะฉะนั้นอย่างผมนี่เรื่องขี้ผง

    • ได้นำธรรมะมาถ่ายทอดให้ลูกๆ หลานๆด้วยไหม

    ครับ.. แต่ก่อนก็สอนลูกๆ ตอนนี้เขาโต กันหมดแล้ว เรามาก็สอนรุ่นหลานๆแทน ก็ มี 2 ครอบครัวที่ยังอยู่บ้านเดียวกัน คือครอบครัวของวิทูร (บุตรชายคนโต)กับกำธร (บุตรชายคนรอง) ตอนเย็นก็มากินข้าวพร้อมกัน หลานๆก็วิ่งกันสนุกสนาน (หัวเราะตาเป็นประกาย) ผมจะสอนให้เขาทำบุญตักบาตร เรียกหลานๆมาใส่บาตรตอนเช้า ทุกวัน ก็หวังว่าจะช่วยให้หลานๆเติบโตเป็นคนดี รู้จักธรรมะ พ่อแม่เขาก็สอนเรื่อง นี้ด้วยเหมือนกัน อย่างวิทูรเขาก็ส่งลูกๆไปเรียนโรงเรียนวิถีพุทธ ก็ดีนะ ธรรมะจะได้ ซึมซับเข้าไปในจิตใจของเด็กๆ เขาจะได้เป็น คนดี เวลาจะทำอะไรไม่ดีก็จะมีความยั้งคิด

    • ปัจจุบันนอกจากเป็นที่ปรึกษาของบริษัทเอสแอนด์พีแล้ว ยังทำงานอย่างอื่นอีกหรือเปล่าคะ

    สำหรับงานด้านธุรกิจนี่ปัจจุบันไม่มีแล้ว จะมีก็แต่งานด้านสังคม คือเป็นกรรมการ ของสภาการศึกษา มีหน้าที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายการศึกษาของประเทศ ทั้งในระดับประถม มัธยม และอุดมศึกษา เป็นงานที่ทำมา 10 กว่าปีแล้ว เราก็พยายามสอดแทรกธรรมะเข้าไปในหลักสูตร เดี๋ยวนี้ไม่มีวิชาศีลธรรมแล้วนะ มีแต่วิชาเพศศึกษา

    ผมว่าจริงๆแล้วถ้าเด็กๆมีธรรมะ ก็ไม่ ต้องเรียนวิชาเพศศึกษาหรอก เด็กเขาจะมีความยั้งคิดเรื่องพวกนี้เอง ถ้าเราให้ข้อมูล เรื่องเพศศึกษามากๆ แจกถุงยางแจกอะไรกัน มันก็จะไปกันใหญ่ คือคนคิดเขายังหาทางไม่เจอ เขาคิดว่านี่เป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว เขาก็ยัดเยียดให้ลูกหลาน ถ้าเรามีลูกหลาน และเรามีหนทางที่ดีกว่านั้นเราก็ชี้ทางให้เขาเห็น

    • ถ้าอย่างนั้นใครควรจะเป็นแกนนำ ในการบ่มเพาะศีลธรรมให้แก่เด็กคะ

    การปลูกฝังคุณธรรมเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน ทั้งบ้าน วัด และโรงเรียน
    อย่างเวลาดูข่าวสารบ้านเมือง ที่บ้านก็อาจจะชี้ให้เขาเห็นว่านี่เป็นผลประโยชน์ของบ้านเมือง นี่เป็นผลประโยชน์ส่วนตัว นี่เป็น ผลประโยชน์ทับซ้อน พอเด็กเขาโตขึ้น ได้เป็นใหญ่เป็นโต เขาก็รู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควร พอมีพื้นฐานด้านศีลธรรมแล้ว เวลาไปเจอเหตุการณ์อะไรก็สามารถนำมาใช้ได้ แต่ถ้าไม่สอนเลย พอไปเป็นรัฐมนตรีมันก็ไม่ทันแล้ว

    • ท่านมองว่าคนกลุ่มไหนบ้างคะที่จำเป็นต้องศึกษาธรรมะ

    ผมว่าทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย และทุก สาขาอาชีพนะ เราโชคดีมากที่เกิดมาบนผืนแผ่นดินไทย พุทธศาสนาเป็นมรดกที่สำคัญที่สุดของชาติไทย เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด เป็นสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง สังคมจะเป็นยังไง ฝรั่งจะทิ้งระเบิดปรมาณูที่ไหน จะมีแผ่นดินไหวเมื่อไร มันก็คือการเปลี่ยนแปลงของโลก แต่ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่เปลี่ยน ธรรมะของพระพุทธเจ้าพูดถึงธรรมชาติของคน พูดถึงแก่นของมนุษย์ ซึ่งก็มีแค่รัก โลภ โกรธ หลง มนุษย์ทุกคนมีหมด และถ้าลดกิเลสทั้ง 3 ตัวนี้ได้ก็จะเรามีความสุขมากขึ้น ผมว่าแค่คนไทยทุกคนมีศีล 5 ปัญหาทุกอย่างก็ลดลงหมดนะ ไม่มีการเมาเหล้าแล้วขับรถชน ไม่มีการทุจริตคอร์รัปชั่น สังคมและประเทศชาติก็สงบสุข

    .........

    นักธุรกิจผู้ขยันหาอาหารใจ มาหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณให้เติบโตอย่าง ‘อมเรศ ศิลาอ่อน’ คนนี้ กำไรที่เขาได้รับก็คือความรู้จักปล่อยวาง มีสติตั้งมั่น มีความรู้สึกสงบเย็นและเป็นสุข ซึ่งเป็นกำไรมหาศาลในชีวิตที่นักธุรกิจน้อยคนนักจะได้รับ

    (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 84 พ.ย. 50 โดย จินตปาฏิ)
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     

แชร์หน้านี้

Loading...