เรื่องเด่น อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๖๘ : พระพุทธบาทขุนห้วยแห้ง

ในห้อง 'อดีตที่ผ่านพ้น' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 28 กันยายน 2019.

  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    68.jpg
    อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๖๘ : พระพุทธบาทขุนห้วยแห้ง

    รอยพระพุทธบาทนั้น ตามตำราบันทึกไว้ว่ามีอยู่ ๕ แห่ง คือ

    ๑. ภูเขาสุวรรณมาลิก
    ๒. ภูเขาสุวรรณบรรพต
    ๓. ภูเขาสุมนกูฎ
    ๔. โยนกมหานคร
    ๕. แม่น้ำนัมทานที


    ท่านผู้อ่านต้องทำใจก่อนว่า นั่นเป็นชื่อสถานที่ซึ่งเรียกกันในสมัยโบราณ มาถึงสมัยนี้ไม่ทราบว่าเปลี่ยนเป็นอะไรไปบ้าง อาจจะเป็นนามสกุลดัง ๆ ของผู้มีอำนาจในแผ่นดินบางคนไปแล้วก็เป็นได้...

    ที่ขึ้นชื่อลือชาที่สุดก็คือ รอยพระพุทธบาทที่จังหวัดสระบุรี มีประวัติว่าค้นพบในสมัยอยุธยา เนื่องจากพระสงฆ์ไทยเดินทางไปนมัสการรอยพระพุทธบาท ณ ลังกาทวีป...

    พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ เจ้าผู้ครองลังกาทวีป ทรงกราบเรียนคณะสงฆ์ไทยว่า “ทำไมพระคุณเจ้าต้องลำบากตรากตรำมาถึงเมืองลังกา ในเมื่ออยุธยามหานครก็มีรอยพระพุทธบาทอยู่แล้ว...?”

    คณะสงฆ์ไทยได้สอบถามจนทราบชัดว่า รอยพระพุทธบาทนั้น องค์สมเด็จพระภควันต์ทรงประดิษฐานไว้เหนือสุวรรณบรรพต ทางทิศอุดรของกรุงศรีอยุธยา...

    พอข่าวแพร่กระจายไปทั่วกรุงศรีอยุธยา ก็มีการค้นหาเป็นการใหญ่ ในที่สุดก็พบโดยพรานบุญ ที่ขึ้นไปล่าสัตว์บนเขาขุนโขลน เมืองปากเพรียว ซึ่งก็คือสระบุรีในปัจจุบันนี้...

    พรานบุญยิงเนื้อด้วยหน้าไม้ ถูกเข้าที่สำคัญจึงไล่ตามไปเอาตัว เห็นเนื้อนั้นดื่มน้ำในแอ่งเล็ก ๆ ลูกศรก็หลุดออกมา บาดแผลหายเป็นปกติ...

    เห็นเข้าดังนั้น พรานบุญซึ่งเป็นกลากเกลื้อนไปทั้งตัว (คงเกามันดีพิลึก) จึงลองใช้น้ำนั้นชำระกายดู ปรากฏว่ากลากเกลื้อนทั้งหลายหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อพิจารณาแอ่งน้ำนั้นแล้ว พรานบุญก็แทบช็อก...!

    ขุนสัตตภัณฑ์คิรินทคูหาพนมโขลน (ยศภายหลัง) หรือพรานบุญนั้น ตัวแกเกือบเท่าตึก ถ้าเอาหัวกะโหลกแกมาได้ คงใช้ทำบาตรพระได้สบาย ๆ หัวเท่าบาตรจริง ๆ ...!

    แต่ตัวขนาดนั้นของพรานบุญ พอพบเห็นว่าแอ่งน้ำนั้นเป็นรอยเท้าขนาดมหึมา ยาวเป็นวา พี่แกก็ขนหัวตั้งเด่เหมือนกัน เพียงแต่ไม่ถึงกับวิ่งป่าราบไปเท่านั้นเอง...!

    สอบสวนทวนความจนแน่ใจแล้ว ก็มีการสร้างมณฑปครอบเอาไว้ให้ชาวบ้านได้สักการบูชา กล่าวกันว่าใครได้ไปไหว้รอยพระพุทธบาทครบเจ็ดครั้ง จะไม่มีวันตกนรกแน่นอน...

    เราต้องนึกถึงว่าหนทางสมัยก่อนนั้นยากลำบากขนาดไหน การบุกป่าฝ่าดงที่เปี่ยมด้วยอันตรายร้อยแปดนั้น ถ้าปราศจากศรัทธาที่มั่นคงจริง ๆ แล้ว ครั้งเดียวยังยากที่จะไปเลย...

    การบากบั่นไปตั้งเจ็ดครั้ง ศรัทธาที่มั่นคง กำลังใจที่เข้มแข็ง ยึดมั่นในพุทธานุสติขนาดนั้น นรกเขารังเกียจมาก จึงไม่ยอมให้ลงอย่างเด็ดขาด ขืนลงก็นรกพังกันเท่านั้น...!

    ถ้าเป็นสมัยนี้ก็หวานเลย อาตมาไปกลับได้ไม่ต่ำกว่าวันละสองเที่ยว และไปอธิษฐานยกช้างเป็นที่สนุกสนาน กราบไหว้ทำบุญให้ชื่นใจ และไปได้ทุกปีซิน่า...

    “หลวงพ่อ” เล่าให้ฟังว่า สมัยนั้นใครออกธุดงค์ก็ตาม มักจะมุ่งไปนมัสการรอยพระพุทธบาท และพระพุทธฉายที่สระบุรีกันทั้งนั้น...

    หลวงปู่ปานนำคณะที่ประกอบด้วย “หลวงพ่อ” และเพื่อนพระผู้ “เอาจริง” ในการปฏิบัติธรรม ไปนมัสการรอยพระพุทธบาท พบพระบรมสารีริกธาตุเสด็จ เป็นที่ปีติชื่นใจโดยทั่วกัน…

    อาตมาเองถ้าผ่านไปทางนั้น หรือไปธุระที่ใกล้ ๆ นั้น ก็จะแวะไปนมัสการทุกครั้ง สมัยก่อนบุกป่าฝ่าดงแทบตายกว่าจะไปถึง สมัยเราไปได้ง่าย ๆ ถ้ายังไม่แวะก็ไม่ทราบว่าจะพูดอย่างไรแล้ว...

    ดังที่กล่าวแล้วว่า ตามตำราบันทึกไว้ว่ารอยพระพุทธบาทมีถึง ๕ รอยด้วยกัน จนป่านนี้ก็ยังบอกไม่ได้ว่าอยู่ที่ใดกันบ้าง แต่อาตมาไปพบเข้ารอยหนึ่ง ในป่าดงดิบรอยต่อระหว่างสุโขทัยกับลำปาง เรื่องมันเป็นอย่างนี้ขอรับท่านสารวัตร...

    อาตมาบุกไปเมืองลับแลแม่สาน ด้วยปรารถนาที่จะพิสูจน์เรื่องลึกลับหลายประการ เช่น แร่ธาตุที่ผสมกันเป็นทอง ช้างน้ำที่เป็นจ้าวแห่งสัตว์ป่าทั้งมวล ถ้ำลับที่สมัยเชียงแสนใช้ซ่องสุมผู้คนเพื่อกู้ชาติจากขอมดำ เหล่านี้เป็นต้น

    ความเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย บวกกับบารมีของครูบาอาจารย์คุ้มเศียรคุ้มเกล้าอยู่ ทำให้อาตมากล้าทำในสิ่งที่ชาวกะเหรี่ยงทั้งหลายไม่กล้า คือบุกเข้าไปพิสูจน์มันซะทุกเรื่อง จนเป็นที่ยอมรับของพวกเขาว่า อาตมา “บ้า” เข้าขั้นจริง ๆ...!

    พวกเขาจึงเล่านิทานปรัมปราของเขาว่า บนเทือกเขาที่สลับซับซ้อนในดงดิบข้างหน้า บนภูเขาที่มีนามว่าขุนห้วยแห้ง มีคนเฒ่าคนแก่ไปล่าสัตว์พบรอยพระพุทธบาทอยู่บนนั้น แน่ล่ะ...ไม่ต้องรอเขาแนะนำซ้ำ อาตมาก็พร้อมจะไปเองทันทีอยู่แล้ว...

    ทั้งที่ได้รับบาดเจ็บจากการเดินทาง เดินขาลากไปข้างหนึ่ง แตะพื้นแต่ละทีปวดแทบน้ำตาเล็ด แต่ก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนความตั้งใจของอาตมาได้ บุกบั่นไปทั้งเจ็บ ๆ นั่นแหละ ให้มันรู้ไปว่าจะตายก่อนพบรอยพระพุทธบาท...!

    หนทางที่ดูเหมือนยาวไกลไม่สิ้นสุด ฝ่าดงทากที่รุมดูดเลือดจนแดงไปทั้งสองเท้า ในที่สุด...อาตมาก็ได้พบได้นมัสการสมดังใจ รอยพระพุทธบาทนั้นอยู่บนหินใหญ่กลางห้วย เป็นรอยพระบาทขวาลักษณะมุ่งไปทางทิศเหนือ...

    พบครั้งแรกอาตมาคิดว่าไม่ใช่ เพราะแม้ว่าจะปรากฏชัดบนหินอัคนี เหมือนเราเหยียบบนดินเหนียวก็ตาม แต่ดูด้วยตาแล้ว ใหญ่กว่ารอยเท้าคนทั่วไปนิดเดียว พออาตมาทดลองวัดด้วยด้ามกลด ก็เกิดความพิศวงยิ่งขึ้น...?

    ดูเท่าไรก็เล็กนิดเดียว แต่พอวัดเข้าจริง ๆ ยาวถึงสองศอกกับ ๑ คืบ...! อัศจรรย์ไหมเล่า...? น่าเสียดายที่ไปอยู่กลางลำห้วยช่วงน้ำตกแก่งพอดี แรงน้ำที่เทลงในหน้าฝน จึงลบทำลายจนรายละเอียดต่าง ๆ จางหายไปเกือบหมด...

    นิ้วพระบาทปรากฏพระอังคุฐและพระดัชนีเพียงราง ๆ อีกสามนิ้วเลือนหายหมดแล้ว พออาตมาจุดธูปเทียนบูชา น้ำตาเทียนทั้ง ๑๑ เล่ม ไหลรวมกันเป็นรูปเท้าเล็ก ๆ เหมือนเท้าเด็กอ่อน ชัดเจนและสวยงามเป็นที่สุด...!

    จากการคาดเดาของอาตมา รอยพระพุทธบาทนี้หากเป็น ๑ ใน ๕ จริง สมควรเป็นรอยที่ตำราบ่งบอกว่า ประดิษฐานอยู่ ณ เมืองโยนกนคร เพราะถ้ำที่พระเจ้าพังคราชใช้ซ่องสุมกำลังพลกู้ชาติ อยู่ห่างจากรอยพระพุทธบาทชั่วระยะเดินไม่นาน...!

    หากผู้ใดปรารถนาไปนมัสการ จะต้องเป็นผู้ที่ยอมไปตายจริง ๆ อาตมาก็จะรับนำทางให้ เพราะหนทางหฤโหดสุดจะเปรียบได้ ร่างกายไม่ดี ใจไม่ถึง แค่เลียบเหวทางกว้างแค่ฝ่ามือ หรือปีนสวนน้ำตกมหึมา ท่านก็อาจจะแหลกเหลวได้ทุกเวลา...!

    “หนทางแม้สุดไกล ขอมุ่งไปกว่าจะถึง ยากเข็ญมิคำนึง ถึงทุกข์ทนสักเพียงใด” ถ้าแบบนี้ละก็...ถึงไหนถึงกัน...

    ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๓๓
    พระใบฎีกาเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ที่มา www.watthakhanun.com
    ภาพประกอบโดย สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...