หนีนรกมาบวชเณร

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย พงษ์ญาดา, 20 ตุลาคม 2010.

  1. พงษ์ญาดา

    พงษ์ญาดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2009
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +1,871
    หนีนรกมาบวชเณร



    [​IMG]
    [​IMG]

    คืนนั้นเป็นคืนเดือนมืด ท้องฟ้ามีแต่ดวงดาวส่องแสงระยิบระยับ สายลมก็พัดกรรโชกมาเป็นระยะๆ สรรพสิ่งโดยรอบของวัดศรีเทพนั้น เป็นวัดธรรมยุต อันเป็นหลักของชาวนครพนมได้ตกอยู่ในความเงียบเหงา แสงไฟจากแสงกุฏิพระล้วนดับสนิท แสงจากเคหสถานของชาวบ้านที่อยู่ในละแวกวัด

    เสียงนาฬิกาได้ตีบอกเวลาเที่ยงคืนเมื่อขาดเสียงไป ร่างของพระภิกษุวัยกลางคน กำลังพักผ่อนอิริยาบทอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบหน้ามุขของกุฏิเจ้าอาวาสก็พลันผงกร่างขึ้นจากอิริยาบทครึ่งนั่งครึ่งนอน เมื่อมีดวงไฟสีเขียวดวงใหญ่ ซึ่งสาดมาตามแนวต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลจากกุฏิมากนัก เส้นทางของการพุ่งเป้าหมายก็คือที่ๆ ท่านกำลังพักผ่อนนั่นเองประสาทสั่งให้สติเตรียมพร้อมเพราะนั่นอาจจะเป็นคุณไสยของพวกเดรัจฉานวิชา ปล่อยมาเพื่อทำร้าย เหตุเพราะท่านได้เทศน์เปลี่ยนความเชื่อถือเรื่องภูตผีปีศาจ และอวิชชาหันมาบูชาพระรัตนตรัยนั่นเอง ซึ่งหมายถึงลาภผลที่พวกหมอผีทั้งหลายตลอดจนร่างทรงทั้งหลายนั้นต้องถูกกระทบกระเทือน

    พระท่านกำหนดจิตเพ่งไปยังดวงไฟสีเขียวนั้น ไม่วางตา จนกระทั่ง แสงสีเขียวมาแตกกระจายอยู่ตรงหน้า เป็นเงาดำ รวมตัวกันจนมีความแน่นพร้อมกับปรากฎเป็นรูปร่างของอมนุษย์ แต่งกายด้วยผ้าสีแดง ท่อนบนเปล่าเปลือย ดวงตาดุ บ่งบอกถึงความน่ากลัว ไม่เป็นมิตร แววตานั้นเเข็งทื่อ เหลือกโปน ด้วยความประสงค์ร้ายมีแสงสีเขียวรอบตัว แต่อสูรกายมาปรากฎตัวจะมีอะไรหนักหนา เพราะยิ่งกว่านี้ก็ยังผจญมาแล้ว นึกได้เช่นนั้นผู้อยู่บนเก้าอี้ผ้าใบก็ลุกขึ้นหันหลังเดิน ถัดจากอมนุษย์ที่ปรากฎอยู่ตรงหน้า ท่านไม่ยอมพูดจาด้วย เปิดประตูกุฏิเข้าไปภายใน แล้วหันกลับมาปิดประตูลงกลอน เดินไปนั่งหน้าที่ในห้อง หันหน้าออกทางประตู เตรียมพร้อมรับมือ สายตาจ้องไปยังประตูห้อง ไม่วางสายตา
    เสียงลมพายุภายนอก แรงลม ทำให้กิ่งไม้หลังกุฏิวัดไกว่กวาดหลังคาดังสะเทือนเลื่อนลั่นคล้ายมีมือยักษ์มากวาดไปมา ผิดกับกระแสลมธรรมดา
    แสงสีเขียวผ่านประตูเข้ามา อย่างไร้ร่องรอย แล้วมาแตกพรึบปรากฎเป็นร่างของอมนุษย์ยืนอยู่ตรงหน้า ยกมือขึ้นชี้หน้าพระภิกษุ ผู้นั่งสงบอยู่บนอาสนะ อย่างไร้ความยำเกรง

    “เธอเป็นใครกันแน่ ใครใช้ให้เธอมารบกวนอาตมาผู้เป็นพระสงฆ์หรือว่าเธอมาด้วยจุดประสงค์อย่างอื่น แจ้งให้อาตมาทราบด้วยเทอญ”มือที่ชี้ได้ลดลง แต่ก็ยังยืนค้ำศีรษะอยู่เช่นเดิม ดวงตากลอกไปมาด้วยความโกรธจัด ก่อนจะเปล่งเสียงคล้ายประหลาดออกมา ดังกึกก้อง

    “ข้าเป็นยมทูตมาจากแดนนรก มาเพื่อคุมตัววิญญาณที่แหกนรกขึ้นมาอยู่ที่วัดในการปกครองของท่าน คืนนี้ต้องเห็นดีกันแน่”

    “ใครกันที่หนีมาอยู่ในวัดนี้ เห็นมีแต่พระกับเณร และลูกศิษย์เท่านั้น ถ้าจะมีใครหนีมาอาตมาไม่อาจจะรู้ได้”

    “รู้ดีสิก็ท่านบรรพชาให้กับมือแล้วยังอ้างว่าไม่รู้ได้อย่างไร ทุกวันนี้ท่านก็ยังคงทำวัตรร่วมกับสามเณรสุธรรม จะไม่รู้ก็ฟังไม่ขึ้นแล้ว”

    ฉับพลันก็นึกถึงขึ้นมาทันใจ ก็ด้วยเราเป็นพระอุปัชฌาย์มีหน้าที่บรรพชาสามเณร และอุปสมบทพระภิกษุได้ทั่วราชอาณาจักร อมนุษย์ผู้นี้จะมีอำนาจเหนือกว่าได้อย่างไร อาตมาถึงได้ตอบไปในทันทีว่า

    “นู้นใบแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ ทางคณะสงฆ์ท่านให้อำนาจสมเด็จพระสังฆราช ท่านก็ขอพระราชทานจากพระเจ้าแผ่นดินมาโดยด้วยความถูกต้องตามขั้นตอน อาตมาบรรพชาและอุปสมบทได้อย่างถูกต้อง จะว่าอาตมาผิดนั้นไม่ได้”

    “ที่ท่านกล่าวมา เป็นเรื่องของมนุษย์ ข้าพเจ้าไม่เกี่ยวด้วย แต่คนของนรกหนีมาบวช ก็ต้องตามเอากลับไป สำหรับนรกแล้วท่านผิดอย่างมาก”<O:p></O:p>
    “ก็เอาสิ ถ้าอาตมาผิด ก็ไปฟ้องร้องทางอำเภอก่อน แล้วไปจังหวัดต่อ จากนั้นก็คณะสงฆ์”

    “ไม่ว่าใครข้าก็เหนือกว่าทั้งนั้น ไม่ว่าใครในโลกนี้เมื่อถึงวาระ ข้าก็จะมาคุมวิญญาณไปนรกภูมิ ไม่ละเว้นทั้งนั้น ท่านผิดเต็มประตูที่บวชให้สัตว์จากนรกหนีมาเกิด ท่านต้องรับผิดชอบ”

    คำว่ารับผิดชอบนั้นได้เน้นและกังวานจนแก้วหูแทบแตก ด้วยอิทธิฤทธิ์ของยมทูตแต่พระภิกษุผู้เป็นประธานสงฆ์ในวัดก็ได้แต่ภาวนา แล้วจึงกล่าวตอบอมนุษย์นั้นว่า

    “ก็เธอพูดหยกๆ ว่าเธออยู่ในนรกภูมิ ไม่เกี่ยวกับกฎของมนุษย์โลก ก็เช่นเดียวกันเมื่อเขามาจากนรกแล้วขึ้นมาอยู่บนโลกมนุษย์นี้ แล้วมาเป็นมนุษย์มีอวัยวะครบ 32 ไม่ขัดพุทธบัญญัติก็เป็นอันว่าถูกต้องตามกฎโลกจึงได้บวชให้ และอีกประการหนึ่ง เขาหนีจากนรกมานานอย่างนี้ถึง 16 ปี ทำไมเพิ่งจะมาตาม”<O:p></O:p>

    “นรกกับมนุษย์โลกเวลามันผิดกัน พอรู้ว่าเจ้านั้นแหกกฎนรก แล้วหนีออกมา ข้าพเจ้าก็รีบตามมาถึงเมืองมนุษย์โลกจนเติบโตได้ 16 ปี ดังที่ท่านได้กล่าวมานั้นแหละ”

    “เอาล่ะ อย่าได้ต่อล้อต่อเถียงกันเลย ขอให้เอาหลักฐานมาดีกว่า ว่าใช่สามเณรสุธรรมหรือไม่ เถียงกันไปก็เปล่าประโยชน์ทั้งนั้น”
    และแล้วยมทูตก็ใช้มือคว้าไปในอากาศ ฉับพลันปรากฎควันสีเหลือง รวมตัวกันเป็นกระดาษสีเหลืองแผ่นใหญ่ ปรากฎเป็นรูปของสามเณรสุธรรม อยู่ในกระดาษนั้นชัดเจน เสียงยมทูต กล่าวสืบไปว่า

    “ท่านดูนะท่าน ให้ท่านได้เห็นตำหนิสำคัญของผู้แหกกฎนรก ขอให้ท่านได้จดจำและนำไปเปรียบเทียบด้วย”

    และแล้วยมทูตก็เนรมิตให้ภาพของสามเณรสุธรรม อยู่ในชุดเปลือยเปล่า แล้วชี้ไปดูปานดำที่ใต้คาง ที่รักแร้ และที่สีข้าง เมื่อเห็นดังนั้นพระภิกษุผู้เป็นเจ้าอาวาสถึงกับนั่งอึ้ง แต่ก็ไม่วายจะขอชีวิตศิษย์ของตนด้วยความเมตตา

    “เอาล่ะ เอาล่ะ ในเมื่อเขาก็ได้บวชเรียนแล้ว ทำไมไม่ให้เขาดำเนินชีวิตไปจนกว่าจะสิ้นกรรมในมนุษย์โลกเล่า? ถึงเวลาก็ต้องมาเอาเขาไปอยู่ดีนั้นแหละ จะเดี๋ยวนี้หรืออีก 20 ปีก็ต้องตายเหมือนกัน”

    “ไม่ได้ เขายังมีวิบาก ที่จะต้องเสวยในนรกภูมิอีกมากมายนัก และกฎของนรกภูมิก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง หรือเลื่อนไปข้างๆ คูๆ ได้ ท่านพญายมราชได้กำหนดแล้วว่า จะต้องคุมตัวลงไปใช้กรรมทันที ไม่มีการต่อรอง”

    “แล้วทำไมต้องต่อความยาวสาวความยืดกับอาตมา จนเวลาล่วงเลยมาถึงป่านนี้เล่า”

    “ข้าจะเอาไปเลยก็ได้ แต่ก็เกรงอำนาจศีล ภาวนา ทาน ตลอดจนผ้าเหลืองอันบริสุทธิ์ของท่าน จึงไม่ลุแก่อำนาจ ต้องมาบอกกับท่านให้ทราบ รู้ก่อน ได้เวลาที่ข้าจะต้องจับคุมวิญญาณบาปไปสู่นรกภูมิแล้ว ขอลาท่านไปก่อน”
    ฉับพลันยมทูตก็ได้สลายล่วงไป แล้วท่านเจ้าอาวาสก็นั่งสมาธิแผ่เมตตาแก่สามเณรสุธรรม เพราะมิอาจช่วยเหลือได้ เนื่องจากกฎแห่งยมโลกนั้น ไม่อาจจะฝ่าฝืน เวลาค่อยๆ ล่วงไป นาฬิกาได้ตีบอกเวลา 4 นาฬิกาแล้ว เสียงทุบประตูก็ดังขึ้น

    “หลวงพ่อครับ หลวงพ่อ หลวงพ่อครับ ขอรบกวนหน่อย สามเณรสุธรรมป่วยหนักถึงขั้นตรีทูตแล้ว ขอหลวงพ่อได้โปรดเปิดประตูด้วยเทอญ”

    ร้องขอให้ผู้มาเรียก กลับไปก่อน จากนั้นก็ครองผ้าให้เรียบร้อย เดินออกจากกุฏิไปยังห้องของสามเณรสุธรรม ไปถึงก็มองเห็นร่างของสามเณรสุธรรม นอนเหยียดยาว ตาลึก มือเท้าซีด พระพี่เลี้ยงนมัสการเรียนถึงอาการสามเณรสุธรรมว่า

    “ตอนเช้าหลังจากฉันเช้าแล้ว สามเณรสุธรรมก็มีอาการไข้ พอเพลทางบ้านก็เอากระท้อนลอยแก้วมาถวาย แล้วก็ลงท้องอาการหนัก ตั้งแต่หัวค่ำแล้วก็มาตรีทูตใกล้ตาย เมื่อไม่นานนี้เองขอรับ”

    ท่านเจ้าอาวาสได้ถือโอกาสตรวจดูตำหนิที่ยมทูตชี้ให้ดู ปรากฎว่าตรงกันทุกจุด จึงเป็นอันแน่ใจว่าไม่ผิดตัว รู้สึกเสียใจเหมือนกันที่ช่วยศิษย์ไม่ได้ จึงได้แต่นั่งดูอาการของสามเณรสุธรรมจนถึงสุดท้ายเมื่อเวลา 05.00 ของวันใหม่ ด้วยอาการสงบ ถึงงานปลงศพสามเณรสุธรรม ท่านเจ้าอาวาสจึงได้เล่าเรื่องยมทูตให้พระใกล้ชิดได้ฟังปรารภว่า

    “เรื่องของนรกภูมินั้นมีจริง” และสมเด็จพระบรมศาสดาได้มีพระพุทธดำรัสว่า

    “พระไม่ควรประมาท ควรเร่งทำความดีให้ถึงพร้อมก่อนจะต้องเผชิญหน้ากับยมทูต ซึ่งหากถึงเวลานั้นแล้วก็อาจจะสายไปแล้วก็ได้”

    เรื่องนี้เขียนจากบันทึกของพระคุณเจ้าพระเทพสิทธาจารย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดศรีเทพประดิษฐ์ถาราม อำเภอเมือง จังหวัดนครพนมเมื่อครั้งเป็นพระครู


    [​IMG]


    /www.thaiassethome.com
     
  2. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,432
    ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ.............
     

แชร์หน้านี้

Loading...