สงสัยว่าทำไม ดวงจันทร์ จึงหันด้านเดียวมาที่โลก

ทำไมดวงจันทร์ ไม่หันด้านอื่น มายังโลก บ้าง

ทั้งที่หมุน รอบโลก

ชาวโลก น่าจะเห็น ทุกด้านของดวงจันทร์ แต่ ไม่เห็น เพราะดวงจันทร์

หันด้านเดียว มา ตลอด ทำไม ทำไม ทำไม

 

Why Does the Same Side of the Moon Always Face the Earth?
มีคำตอบมากมายในเวบนะครับ ลองไปอ่านดู หรือจะลองพิมพ์เองก็ได้ด้วยคำว่า Why does the moon face only one side to the Earth?

 

ใช่ มันเป็นเรื่องแปลกมากๆ ถ้าแม้มีความเหลื่อมแห่งการหมุนสัก 0.01 % (หมายถึง ดวงจันทร์ต้องหมุนบ้าง) เราก็คงได้เห็นมันเต็มดวง แม้จะกินเวลารอดูบ้างเพื่อให้ครบรอบ

อย่าไปคิดมากเลย ถ้าเราไม่รู้จริง
ช่างเถอะ มันก็พรรค์นั้นแล

 

มันหมุนรอบตัวเอง 1 รอบ เท่ากับเวลาที่โคจรรอบโลกพอดี

ลองนึกภาพง่ายๆ ถ้าดวงจันทรไม่หมุนเลย แล้วโครจรอบโลก ครบ 1 รอบเราก็จะเห็นทุก

ด้านของดวงจันทพอดี ประมานนี้อ่ะคับ

 

มันทั้งหมุนรอบโลก (เราเลยเห็นพระจันทร์ย้ายตำแหน่งไปเรื่อย)

แล้วก็หมุนรอบตัวเอง (เราเลยเห็นพระจันทร์ด้านเดียว)

 

สาเหตุที่พระจันทร์มันหัน แต่เราไม่เห็นมั้ง

 

อัตราการหมุนรอบตัวเองของดวงจันทร์เท่ากับอัตราการโคจรรอบโลกของดวงจันทร์ ดังนั้นเราก็เลยมองเห็นดวงจันทร์แค่เพียงด้านเดียว ด้านหลังของดวงจันทร์เราก็เลยเรียกว่าด้านมืด(จริงๆ ก็ไม่ได้มืด แต่มนุษย์เราก็เรียกไปยังงั้นเอง)(มืดจากการมองเห็นของมนุษย์)

 

ดวงจันทร์ก็มีการหมุนรอบตัวเหมือนกันนะครับ อีกด้านน่าจะอยู่ช่วงกลางวันนะครับ

ที่สำคัญ...

กระต่ายน้อยในดวงจันทร์

​

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ว่า
​

“อคฺคสฺมึ ทานํ ททตํ อคฺคํ ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ
อคฺคํ อายุ จ วณฺโณ จ ยโส กิตฺติ สุขํ พลํ
​

“เมื่อให้ทานอันเลิศ บุญอันเลิศย่อมเจริญ อายุ วรรณะ ยศ เกียรติ สุข และกำลังอันเลิศก็เจริญ”

สิ่งมีชีวิตที่กำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้ ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน จึงจะดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข การให้เป็นวัฒนธรรมของคนดี เป็นประเพณีของพระอริยเจ้า เป็นก้าวแรกของการสร้างบารมีไปสู่อายตนนิพพาน บุคคลผู้ให้ทานย่อมได้รับการยกย่องสรรเสริญ เกียรติคุณอันดีงามย่อมฟุ้งขจรไปทั่ว จะเป็นที่รักของมนุษย์ และเทวาทั้งหลาย ดังนั้น การให้จึงเป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น เป็นการส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดสันติสุขขึ้นในโลกอีกวิธีหนึ่ง


บัณฑิตทั้งหลายเมื่อจะให้ทาน ท่านจะให้ด้วยความเคารพ ให้ด้วยความศรัทธา ให้ด้วยจิตอนุเคราะห์ ให้ตามกาลอันควร โดยไม่กระทบตน และผู้อื่นจะเลือกให้แต่ของที่ดีเลิศ เพราะผู้ให้ของประณีตย่อมได้ของประณีต ให้ของดีย่อมได้ของดี ให้ของชอบใจย่อมได้รับของชอบใจ ให้ของเลิศย่อมได้รับของเลิศ ไม่ว่าจะเกิดในที่ใดย่อมเป็นผู้เข้าถึงฐานะอันประเสริฐ จะมีความสุขความบันเทิงใจ ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในสมัยที่พระองค์ยังเป็นพระบรมโพธิสัตว์ ไม่ว่าจะบังเกิดเป็นอะไรก็ตาม ท่านจะไม่เคยขาดการสร้างทานบารมี แม้ในพระชาติที่ถือกำเนิดเป็นกระต่าย ครั้งนั้นมีนาก สุนัขจิ้งจอก และลิงเป็นเพื่อนกัน กระต่ายโพธิสัตว์จะคอยตักเตือนพร่ำสอนเพื่อนทั้งสาม ให้ตั้งอยู่ในคุณธรรมความดี วันหนึ่ง เป็นวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่ำ พระมหาสัตว์จึงชวนสหายทั้งสามให้รักษาอุโบสถศีล และตระเตรียมอาหารเพื่อถวายทานแก่ทักขิไณยบุคคล

สัตว์เหล่านั้นเชื่อฟังกระต่ายโพธิสัตว์ ในเวลาเช้าตรู่ นากจึงไปยังฝั่งแม่น้ำเพื่อหาอาหาร ได้ปลาตะเพียนที่คนนำมาฝังหมกทรายไว้ ส่วนสุนัขจิ้งจอกก็เที่ยวหาอาหาร ได้เนื้อมา ๒ ชิ้น แม้ลิงก็ออกไปแสวงหาผลไม้ในป่า ได้มาแล้วก็เตรียมไว้ทำทาน ฝ่ายกระต่ายโพธิสัตว์คิดว่า เราเลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยหญ้า เราไม่อาจให้หญ้าเป็นทานแก่ทักขิไณยบุคคลได้ หากวันนี้มีเนื้อนาบุญมายังที่อยู่ของเรา เราจะยอมสละชีวิต โดยให้เนื้อของเราเป็นทาน


เมื่อกระต่ายกระต่ายโพธิสัตว์คิดเช่นนี้ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของพระอินทร์ก็ร้อนขึ้นมา พระอินทร์ทรงตรวจดู รู้ถึงความคิดของกระต่าย จึงแปลงเพศเป็นพราหมณ์ จะมาทดสอบดูว่า สัตว์เหล่านั้นจะทำได้อย่างที่คิดไว้หรือไม่ ตอนแรก ได้ไปที่อยู่ของนาก โดยยืนสงบนิ่งอยู่ เมื่อนากถามความประสงค์ว่าต้องการอะไร พราหมณ์ตอบว่า อยากจะได้อาหารสักมื้อหนึ่ง แล้วจะรักษาอุโบสถศีล และบำเพ็ญภาวนา นากมีใจเลื่อมใสจึงให้ปลาตะเพียนแก่พราหมณ์นั้น


พราหมณ์ขอบใจ และบอกว่าจะมารับในภายหลัง จากนั้นได้เดินทางไปหาสุนัขจิ้งจอก สุนัขจิ้งจอกเห็นก็ดีใจ และได้ให้เนื้อ ๒ ชิ้นเป็นทาน พราหมณ์บอกว่าจะมารับในภายหลัง และได้เดินทางไปหาลิง ลิงได้ให้ผลไม้ และน้ำดื่มแก่พราหมณ์ พราหมณ์บอกจะมารับในภายหลัง จากนั้นได้ไปหากระต่ายโพธิสัตว์


กระต่ายพระโพธิสัตว์เห็นพราหมณ์ก็มีความยินดีปรีดาว่า “ความดำริของเราจะสมปรารถนาในวันนี้ เราจะให้ทานอันประเสริฐที่ใครๆ ยากจะให้ได้” จึงบอกให้พราหมณ์ไปหาไม้มาก่อไฟ ตนจะสละชีวิตให้เป็นทาน พราหมณ์เห็นความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นของกระต่ายโพธิสัตว์ เกิดจิตเลื่อมใส พลางนำไม้มากองทำเป็นฟืน และก่อไฟขึ้น


กระต่ายพระโพธิสัตว์สลัดตัว เพื่อให้สัตว์ที่ติดอยู่ตามขนหลุดออกไป เพื่อชำระศีลให้บริสุทธิ์ และกระโดดลงไปในกองไฟทันที โดยไม่กลัวความตาย แต่ไฟนั้นกลับมีความฉ่ำเย็นเหมือนกระโดดลงไปในสระน้ำ ไม่ได้ทำอันตรายกระต่ายพระโพธิสัตว์ แม้เพียงปลายเส้นขนก็ไม่ไหม้ไฟแต่อย่างใด


พระโพธิสัตว์ประหลาดใจ ที่กองเพลิงไม่เผาร่างกายของตน จึงถามพราหมณ์ว่า “ทำไมไฟนี้จึงไม่ร้อน” พราหมณ์บอกว่า “ท่านพญากระต่าย ข้าพเจ้าไม่ใช่พราหมณ์ แต่เป็นท้าวสักกะ มาที่นี่เพื่อจะทดลองใจท่าน” กระต่ายพระโพธิสัตว์จึงได้บันลือสีหนาทว่า “ข้าแต่ท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพ ถึงแม้ชาวสวรรค์หรือชาวโลกทั้งหมด จะมาทดลองข้าพเจ้าด้วยการห้ามให้ทาน ข้าพเจ้าก็จะไม่ยอมเปลี่ยนแปลงความตั้งใจในการให้ทาน จะยอมสละทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งชีวิต เพื่อให้ใจที่พร่องเต็มเปี่ยมบริบูรณ์”


ท้าวสักกะเกิดความรู้สึกซาบซึ้ง จึงตรัสกับพระมหาสัตว์ว่า “ท่านบัณฑิต ท่านเป็นผู้สูงส่งด้วยคุณธรรม ขอให้คุณธรรมของท่าน จงปรากฏอยู่ตลอดกาลนานเถิด” จากนั้นพระองค์ทรงนำภูเขามาจารึกรูปกระต่ายไว้บนดวงจันทร์ เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการสร้างความดีของกระต่ายโพธิสัตว์ และเป็นสัญลักษณ์เพื่อเตือนใจให้ชาวโลกอย่าได้ละเลยการให้ทาน เมื่อเห็นครั้งใดจะได้เร่งขวนขวาย ในการสร้างมหาทานบารมีอย่างเต็มที่ ดุจเดียวกับพระโพธิสัตว์ในกาลก่อน

 

เรื่องนี้ผมก็สงสัยมานานเหมือนกันนะครับ เรามองเห็นพระจันทร์ด้านที่เป็นรูปคล้าย ๆ กับกระต่ายเพียงด้านเดียวตั้งแต่เด็กจนโต ผมก็เลยตั้งข้อคิดเห็นว่า พระจันทร์ไม่ได้หมุนรอบตัวเอง เหมือนโลก โลกหมุนรอบตัวเองอาจเป็นวงรีในระยะใกล้ ๆ ของโลกเองและไม่ได้หมุนรอบดวงอาทิตย์ เพราะถ้าหมุนรอบดวงอาทิตย์เราก็จะเห็นดวงดาวดวงอื่นไปเรื่อย ๆ จะไม่ซ้ำกันเหมือนเราเห็น ดาวไถ ดาวลูกไก่ ฯลฯ เพราะดาวแต่ละดวงก็มีดวงอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลาง ต่างก็หมุนรอบดวงอาทิตย์ก็ต้องไม่มาเห็นกันได้ตลอด ความคิดเห็นส่วนตัวผมว่าโลกหมุนรอบตัวเอง แต่ไม่หมุนรอบด้วยอาทิตย์เพียงแต่อาจเป็นวงโคจรเป็นวงรี ๆ เท่านั้น
และในปัจจุบันนี้ นักวิทยาศาสตร์เขาก็ค้นพบว่า โปรตรอน อิเลคตรอน ในระเบิดนิวเคลียร์ ไม่ได้หมุนรอบนิวเคลียส เหมือนสมัยที่เราได้เรียนหนังสือกันมาตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ เพราะไม่อย่างนั้นเราจะยิงโปรตรอน อิเลคตรอนให้ไปถูกนิวเคลียสให้เกิดระเบิดไม่ได้เลย เพราะมันจะหมุนไปเรื่อย ๆ นี่ก็ลองตอบแบบความคิดเห็นส่วนตัวแบบนักวิทยาศาสตร์
แต่พวกนี้ก็ไม่ทำให้เราหลุดพ้นจากความทุกข์ของ วัฎฎะสงสารไปได้ เหมือนการไป สู่พระนิพพาน ในพระพุทธศาสนาของพวกเรานะครับ
ทำอย่างไรให้วิทยาศาสตร์ไปควบคู่กับพุทธศาสตร์ ด้วยกันได้ ซึ่งต้องอาศัยพึงพาซึ่งกันและกันควบคู่กันไป
แต่พลังจิตนั้นมีความสำคัญมากกว่าพลังกาย
กายอาศัยวิทยาศาสตร์เพื่อความสะดวก
จิตอาศัยพุทธศาสตร์เพื่อให้เกิดความสุขสงบ
ต้องมีความเจริญควบคู่กันไปจนกว่าจะตายดับสูญแยกจากกันไป
ซึ่งขณะดำรงชีวิตอยู่ก็ต้องพึงพาอาศัยซึ่งกันและกัน
เพราะร่างกายและจิตใจมันก็ยังอาศัยซึ่งกันและกันอยู่นั้นเอง
แต่ทั้งร่างกายและจิตใจ ก็เกิด-ดับ ๆๆๆ,บังคับไม่ได้,และเป็นพระไตรลักษณ์
เมื่อเราต้องการหลุดพ้นจากความทุกข์ในที่สุดเราก็ต้องปล่อยวางทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อความหลุดพ้นจากวัฎฎะทุกข์
เพื่อเข้าสู่ สภาวะบรมสุข(อนัตตา) นั้นคือ พระนิพพาน นั้นเอง

 

ถ้าหากว่า ดวงจันทร์ มันหมุนรอบตัวเองจริง ในเวลากลางวัน(มันอยู่ อีกด้านหนึ่งของโลก ที่ตรงข้ามกับเมืองไทย)

แล้วทำไม รูปถ่ายของพระจันทร์ ทุกประเทศทั่วโลก ก็มีแต่ รูปกระต่าย ด้านเดียว

และผมลองสังเกตแล้ว ตั้งแต่ พระจันทร์ ขึ้น ที่ฝั่งตะวันออก จนจะสว่าง จะลับ เส้นขอบฟ้า ผมส่องดูด้วย กล้องส่องทางไกล มันก็ ยังหันด้านเดียว มา หาโลก เหมือนเดิม

คือ ตอนขึ้น กระัต่ายหันหัวขึ้น ตอนลง กระต่ายหันหัวลง ไม่เห้นด้านอื่นเลย

 

จันทร์ ขี้อาย

 

อีกด้าน เป็นหลุมเป็นบ่อเยอะกว่าด้านที่เราเห็นครับ มันเลยอายกลัวคนหาว่าขี้เหร่ (ประชด) 555+

 

ดวงจันทร์มันหมุนช้ามาก กว่าการหมุนของโลก คือโลกหมุนไปแล้วประมาณ 27 วัน ดวงจันทร์จึงหมุนได้ 1 วัน(ดวงจันทร์) แกนการหมุนของดวงจันทร์ ไม่ใช่ตัวมันเอง แต่เป็นโลกของเรา นั้นคือมันไม่ได้หมุนรอบตัวเอง แต่เป็นหมุนรอบโลก

 

ที่เป็นอย่างนี้เพราะเราอยู่ในโลกซึ่งเป็นเหมือนกรงของมนุษย์ต่างดาว... อะไรๆก็เป็นของปลอมทั้งหมด ท้องฟ้าก็เป็นเหมือนฉาก ดวงจันทร์ก็เป็นฉากจำลอง แต่มนุษย์ต่างดาวลืมคิดเรื่องนี้ไปเลยลืมทำให้เราเห็นดวงจันทร์สองด้าน...ความลับกำลังจะแตก

 

แต่ที่น่าส่งสัยกว่านั้นยังมีอยู่ อะไรอยู่ด้านหลังของดวงอาทิตย์ในวงโคจรเดียวกันกับโลก
อย่างที่รู้ว่าขนาดของดวงอาทิตย์กับโลกนั้นแตกต่างกันมากมาย เหมือนเม็ดทรายกับลูกฟุตบอล
ในด้านตรงข้ามกันกับโลกใบนี้ จะมีเม็ดทรายอีกเม็ดที่โคจรอยู่บนวงโคจรเดียวกันกับโลกนี้หรือไม่
ด้วยความเร็วที่เท่ากัน ระยะห่างเท่ากัน ทุกอย่างเหมือนกัน

 

ผมว่า พระจันทร์ไม่ได้หมุน แต่กระต่ายกระโดดไปรอบๆๆดวงจันทร์ตะหาก

 

หลังดวงอาทิตย์ ก็ คือ ไม่มีแสงไง เพราะ เรา สันนิษฐาน เลยว่า ยังไง เราก็ไม่เคยไป หลัง ดวงอาทิตย์แน่นอน ทุกคน หรือ ถ้าดวงอาทิตย์เป็นลูกกลมๆ มันก็ไม่มีด้านหลัง หรอก มันก็เหมือนด้านหน้า นี่แหล่ะ
ถ้าจะสงสัย ควรจะสงสัย ข้างในดวงอาทิตย์มากกว่า นะ ว่า มัน ส่งแสง รังสี ออกมาได้ ยังไง ไส่ถ่านกี่ก้อน หรือ ใช้แบตเตอรรี่ รุ่นไหน

 

นั่นสิ แล้ว ดวงจันทร์ เกี่ยวอะไร กับ น้ำขึ้น น้ำลง ของโลก ด้วย

และ วงโคจร ของ ดวงจันทร์ กับดวงอาทิตย์ ทำไม อยู่ในเส้น เดียวกัน ตรงเส้นศูนย์สูตร ของโลก หรือเปล่า แล้วดาวดวงอื่น ก็ คงจะ โคจร รอบโลก ตรงเส้นศูนย์สูตร เหมือน กับ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ด้วยหรือเปล่า

ผมก็คิดไปได้เรื่อยๆ แหล่ะ หนุกดี

 

สำหรับผมนะ หน้าดวงอาทิตย์ คือ แสง คือ พลังงาน ที่หล่อเลี้ยง สัตว์โลก พืช ในโลก คือ แสง หล่อเลี้ยง สรรพชีวิต วัฏฏะจักร

แต่หลังดวงอาทิตย์ คือ ธรรมจักร ที่ ดับ เย็น นิพพาน มั้ง ไม่มีแสงร้อน มีแต่แสงเย็น คือ ความมืด ก็อาจเป็นได้ นะ อาจไม่มี วัฏฏจักร หลัง ดวงอาทิตย๋

 

[ame=http://www.youtube.com/watch?v=OZIB_leg75Q&feature=related]Synchronous Rotation of the Moon - YouTube[/ame]