วัตถุมงคลหลวงปู่นาคและหลวงปู่หินวัดระฆัง หน่อเนื้อเชื้อไขสมเด็จโตพรหมรังสี

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย ญาณวโร นามะ, 26 มิถุนายน 2023.

  1. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    แบนเนอร.jpg

    การสร้างพระสมเด็จของหลวงปู่นาคจากบันทึกความจำของลูกศิษย์
    จากหนังสือ ศิษย์สมเด็จ
    หลวงปู่นาคท่านเป็นพระมหาเถระผู้ใหญ่ อยู่ในวัยแปดสิบเศษ รูปร่างอ้วนท้วน หน้าตาเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา และมีศีลจริยาวัตรงดงาม ประพฤติธรรมอยู่เป็นเนืองนิจ มีอิทธิจิตในระดับที่สูง ดังนั้นจึงเป็นที่เชื่อถือกันอย่างกว้างขวางว่าหลวงปู่นาคทรงความศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นพระสมเด็จที่ปลุกเสกโดยหลวงปู่นาคจึงเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย
    ท่านเจ้าคุณใหญ่หรือหลวงปู่นาคท่านทำพระสมเด็จอยู่เสมอตามความจำเป็นและความต้องการของญาติโยม แต่เป็นการทำไปเรื่อย ๆ ตามแต่สะดวกและความพร้อมของผู้ทำคือบรรดาเด็กวัดและพระเณรในคณะหนึ่ง ไม่ได้จัดตั้งเป็นการพิธีใหญ่และทำพระเป็นจำนวนมาก ๆ เพื่อจำหน่ายเป็นพุทธพาณิชย์ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

    วันไหนมีการทำพระสมเด็จ ท่านเจ้าคุณใหญ่หรือพระเถระชั้นผู้ใหญ่ประจำกุฏิใหญ่ก็จะผสมผงมาแล้วเสร็จ ใส่ในกาละมังบ้าง ในถังบ้าง และให้บรรดาพระเณรรวมทั้งเด็กวัดช่วยกันพิมพ์พระที่บริเวณชั้นล่างด้านหน้าของกุฏิใหญ่

    การทำพระสมเด็จของหลวงปู่นาคจะใช้ผงปูนปลาสเตอร์เป็นพื้น ผสมกับผงพระเก่าที่เหลือจากการทำรุ่นก่อน ๆ สืบทอดกันมา เหมือนกับน้ำมนต์ในวิหารสมเด็จที่ใช้น้ำใหม่เติมน้ำมนต์ในโอ่งที่ทำมาตั้งแต่ครั้งเจ้าประคุณสมเด็จ

    นอกจากนี้ยังใช้ผงธูปจากกระถางธูปในโบสถ์ ผงตะไคร่น้ำจากพระปรางค์และพระเจดีย์ในวัดระฆัง แม้กระทั่งดอกไม้สำหรับบูชาพระประธานในโบสถ์มาตากแห้งแล้วบดเป็นผง และใช้ข้าวก้นบาตรรวมทั้งกล้วยซึ่งบดทั้งเปลือกเป็นส่วนผสมด้วย

    เมื่อผสมผงได้ที่ตามตำรับเก่าแก่ของวัดระฆังแล้ว ก็จะพิมพ์ลงในแบบพิมพ์พระซึ่งแกะสลักในแผ่นไม้ บางแผ่นก็มีพิมพ์พระหนึ่งองค์ บางแผ่นก็สอง หรือสาม หรือห้าองค์ ตามแบบต่าง ๆ ที่วัดระฆังเคยทำมา และทรงอันเป็นที่นิยมมากก็คือแบบพิมพ์ทรงพระประธานทรงใหญ่

    ในบรรดาเด็กวัดที่ช่วยกันทำพระสมเด็จนั้นก็มีโอฬารหัวหน้าเด็กวัดคณะหนึ่งเป็นเจ้ากี้เจ้าการควบคุมเด็กวัด แต่ก็ยังมีพระผู้ใหญ่คอยควบคุมดูแลอยู่อีกชั้นหนึ่ง

    พระที่พิมพ์ก็จะเป็นพระสมเด็จซึ่งเรียกกันว่าพระสมเด็จวัดระฆังรุ่นหลวงปู่นาค มีทั้งทรงพิมพ์ใหญ่ ทรงเจดีย์ ทรงปรกโพธิ์ และอีกหลายแบบสุดแท้แต่แม่พิมพ์ที่พระผู้ควบคุมการจัดทำจะจัดมาให้ทำ

    วันไหนพิมพ์พระได้เท่าใดก็จะมีการนับจำนวนทวนสอบจนตรงกัน แล้วพระเถระผู้ควบคุมการทำพระก็จะยกเอาถาดใส่พระซึ่งพิมพ์เสร็จแล้วขึ้นไปข้างบน เพราะหลังจากนั้นก็จะเป็นขั้นตอนการปลุกเสกตามแบบฉบับและกรรมวิธีของวัดระฆังที่สืบทอดมาตั้งแต่ครั้งเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี

    พระสมเด็จเหล่านั้นจะถูกนำไปบรรจุกล่องและวางไว้ในห้องพระของท่านเจ้าคุณใหญ่ซึ่งเป็นห้องโถงอยู่ชั้นบนของกุฏิใหญ่นั้น จากนั้นก็จะมีการวนสายสิญจน์จากพระประธานของห้องพระ วนลงมาเวียนรัดรอบกล่องพระนั้นจนครบถ้วนทุกกล่อง

    ทุกวันหลังจากหลวงปู่นาคท่านสวดมนต์ไหว้พระแล้ว ท่านก็จะเข้าสมาธิภาวนาพระคาถาชินบัญชร แล้วเพ่งพลังจิตและอธิษฐานจิตตามกรรมวิธีปลุกเสกพระสมเด็จวัดระฆัง และจะเพิ่มเวลาทำสมาธิภาวนาแผ่พลังจิตมากขึ้นสำหรับวันพระและถ้าเป็นห้วงเวลาในเทศกาลเข้าพรรษาก็ยิ่งเพิ่มเวลามากขึ้นไปอีก

    บางครั้งหลวงปู่นาคก็จะให้นิมนต์พระสงฆ์ในคณะหนึ่งมาสวดพระปริตรและสวดพระคาถาชินบัญชรปลุกเสกพระด้วย และบางทีในวันพระใหญ่คือวันขึ้น 15 ค่ำและวันมหาปาวารนา หลวงปู่นาคก็จะให้พระขนกล่องพระสมเด็จเข้าไปในโบสถ์ วนสายสิญจน์มาจากพระประธานมายังกล่องพระ

    ในบางทีเมื่อมีงานบวชหลวงปู่นาคก็จะให้ขนกล่องพระเข้าไปในโบสถ์ด้วย นัยว่าการสวดญัตติจตุตถกรรมนั้นในอุปสมบทพิธีนั้นมีผลมากต่อการปลุกเสกพระเครื่องให้เป็นพระ.
    พระสมเด็จวัดระฆังรุ่นหลวงปู่นาคทรงความศักดิ์สิทธิ์และมีอิทธิปาฏิหาริย์เลื่องชื่อลือกระฉ่อนมาตั้งแต่ครั้งที่หลวงปู่นาคยังมีชีวิตอยู่ และเมื่อท่านเจ้าคุณสิ้นบุญไปแล้วพระสมเด็จวัดระฆังรุ่นหลวงปู่นาคก็ยิ่งมากค่าและหาได้ยากขึ้นทุกที
    พระสมเด็จแท้ที่หลวงปู่นาคทำนั้นเป็นการทำเพื่อหาเงินมาบูรณะพัฒนาวัดระฆังซึ่งเสื่อมทรุดต่อเนื่องมาแต่อดีต ศาสนสถานทั้งหลายภายในวัดทรุดโทรมอย่างเห็นได้ชัด จะมัวรอเงินจากผ้าป่ากฐินศาสนสถานก็คงพังพินาศหมดสิ้น เพราะเหตุนี้หลวงปู่นาคท่านจึงคิดอ่านทำพระสมเด็จขึ้นเป็นอภินันทนาการแก่ผู้ที่มาทำบุญกับวัด
    พระที่หลวงปู่นาคปลุกเสกเสร็จแล้วได้มอบไว้แก่พระลูกศิษย์ซึ่งจะทำบัญชีจำหน่ายสำหรับผู้ใจบุญที่มาทำบุญกับวัด โดยหลวงปู่นาคมิได้จับต้องถือเงินหรือเก็บเงินไว้ด้วยองค์ท่านเองเลย

    ผงที่เหลือจากการทำพระแต่ละคราวก็จะเก็บใส่กะละมังไว้ แล้วขนขึ้นไปไว้บนกุฏิหลวงปู่นาค ซึ่งท่านมักจะวางไว้ข้างๆ โต๊ะหมู่บูชา

    พระที่ผ่านการทำและผ่านการปลุกเสกดังกล่าวนี้หากถึงคราววันมหาปวารณาช่วงเข้าพรรษาหลวงปู่ก็มักจะให้พระลูกศิษย์นำไปไว้ในโบสถ์ วางไว้หน้าพระประธาน โดยมีการนับจำนวนอย่างเข้มงวด ครั้นพ้นวันมหาปวารณาแล้วหลวงปู่นาคก็ให้นำพระเหล่านั้นกลับไปเก็บไว้ที่กุฏิของท่านดังเก่า ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะหลวงปู่นาคท่านรู้กรรมวิธีว่าวันเวลาและการใดที่จะอาศัยพลังแห่งความบริสุทธิ์และพลังอำนาจจิตของคณะสงฆ์เข้าเสริมพลังจิตที่ท่านเจ้าคุณได้ปลุกเสกไว้แต่เดิม

    พระสมเด็จวัดระฆังที่ผ่านกระบวนการจัดทำและกระบวนการปลุกเสกตามตำรับที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งยุคสมัยเจ้าประคุณสมเด็จนั้นจึงเป็นที่หวังและเป็นที่วางใจกันโดยทั่วไปว่าทรงไว้ซึ่งพุทธคุณ มีความศักดิ์สิทธิ์ สามารถปกป้องคุ้มครองภยันตรายทั้งปวงได้ และเป็นเครื่องส่งเสริมความเป็นสิริมงคลให้แก่ผู้มีความศรัทธาตลอดมา

    FB_IMG_1687728621100.jpg pic3_97.jpg
     
  2. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    ตอนที่1:ประวัติพระเทพสิทธินายก (หลวงปู่นาค โสภณเถระ) วัดระฆังโฆษิตาราม กทม

    ย้อนหลังไปเมื่อกว่าแปดสิบปีก่อนโน้น ดินแดนแห่งที่ราบสูงนครราชสีมา หรือที่ชาวบ้านชาวเมืองเรียกติดปากมาจนบัดนี้ว่า "เมืองโคราช" เด็กชายนาคฯ ได้ถือปฏิสนธิ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ.2427 เวลา 19.10 น. เศษ ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 9 ปีวอก จุลศักราช 1246 ท่านมาจากตระกูลและพื้นเพเดิมของผู้มีอันจะกินและมีบรรดาศักดิ์สูงของตระกูล "มะเริงสิทธิ" ปู่ทวดของท่านมียศบรรดาศักดิ์เป็นที่ "หลวงเริง" และปู่ของท่านแท้ ๆ คือ ขุนประสิทธิ์ (อยู่) นายอากรเมืองโคราชในยุคนั้น และย่าของท่านชื่อ ท่านฉิม บิดาของท่านคือ นายป้อม มะเริงสิทธิ มารดาชื่อ นางสวน บุตรพระวิเศษ (ทองศุข) และท่านอิ่ม ท่านเป็นบุตรคนที่ 1 มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 4 คน ชาย 2 คน หญิง 2 คน ดังนี้

    1.พระเทพสิทธินายก (นาค โสภณเถระ)
    2.พระภิกษุโชติ (ถึงแก่มรณภาพแล้ว)
    3.นางทุเรียน ประภาวดี
    4.นางอุดร จุลรัษเฐียร

    ใครก็รู้ ..... เมืองโคราชสมัยกว่าแปดสิบปีนั้น ห่างไกลจากกรุงเทพพระมหานครประหนึ่งคนละฟากฟ้า เพราะการคมนาคมไม่สะดวกเหมือนปัจจุบันนี้ การไปมายังไม่มีทางรถไฟและถนนหนทาง หลวงปู่นาคเล่าว่า เมืองโคราชสมัยที่ท่านยังเป็นเด็กนั้น ห่างตัวเมืองออกไปเล็กน้อยล้วนแต่เป็นป่าเปลี่ยว มีแต่สัตว์ป่าที่ดุร้ายนานาชนิด ทางเดินที่จะผ่านเข้าสู่เมืองหลวงกรุงเทพพระมหานครเป็นป่าดงพงพีทุระกันดารอย่างแสนสาหัสจนเรียกกันว่า "ดงพญาเย็น - ดงพญาไฟ" ซึ่งผู้คนจำนวนไม่น้อยมาพบจุดจบเมื่อผ่านดงมหาภัยแห่งนี้ ปัจจุบันคนที่เกิดในยุคนี้ อาจไม่รู้จักหรือลืมชื่อเสียแล้ว

    เด็กชาย นาค มะเริงสิทธิ เหมือนกับลูกชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลายที่เจริญวัยขึ้นมาอยากหาความรู้ใส่ตัวเพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่วงศ์ตระกูล แต่โคราชยังไม่มีโรงเรียนเกิดขึ้น มีแต่วัดวาอารามเท่านั้น พ่อแม่จึงส่งเด็กชายนาค ฯ มาฝากไว้กับพระครูสังฆวิจารย์ (มี) ซึ่งเป็นลุงของท่านที่วัดบึงใกล้ประตูชุมพลเดี๋ยวนี้ ซึ่งท่านได้สั่งสอนวิชาให้ตามสมควร ท่านจึงได้บวชเป็นสามเณรตั้งแต่นั้นมา อาศัยที่ท่านเป็นคนฉลาดเล่าเรียนเก่ง พระอาจารย์ที่เป็นครูสั่งสอนภาษาบาลีและภาษาไทย จึงแนะแนวทางให้ท่านเดินทางเข้ามาศึกษาต่อในสำนักดี ๆ ในกรุงเทพฯ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองต่อไป

    สามเณรนาค อายุ 13 ปี หาโอกาสเดินทางอยู่เป็นเวลาแรมเดือน จึงสบโอกาสเมื่อมีกองคาราวานวัวต่างและเกวียนราว 30 กว่าคน จะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ท่านจึงขอร่วมเดินทางมากับเขา ด้วยสมความตั้งใจ ท่านเล่าว่าตอนที่เดินทางมาหลายสิบวันนั้น ใกล้จะถึงเมืองสระบุรี ท่านได้เห็นกุลี (กรรมกร) เป็นจำนวนมากกำลังทำงานกรุยทางสร้างทางรถไฟอยู่แล้ว เมื่อถึงสระบุรีแล้วท่านรู้สึกไม่ค่อยสบาย จึงขอแยกจากกองคาราวาน เข้าขอฝากตัวเป็นศิษย์กับพระภิกษุรูปหนึ่งในวัด "ทองพุ่มพวง" อำเภอเสาไห้ ซึ่งหลวงนิเทศ นายอำเภอเสาไห้ ผู้เป็นน้าช่วยอุปการะ ท่านอาศัยอยู่ในวัดนี้หลายเดือนและศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมต่อไปด้วย แต่ท่านก็มิได้ละความตั้งใจที่จะเข้าศึกษาพระธรรมวินัยในกรุงเทพฯ ให้ได้ในกาลข้างหน้า

    ท่านกล่าวว่า ต่อมาท่านได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ สมความตั้งใจ มีญาติในกรุงเทพฯ แนะนำพาท่านซึ่งยังเป็นเณรไปฝากไว้กับท่านอาจารย์เลื่อม ซึ่งเป็นพระลูกวัดของวัดระฆังโฆษิตาราม มีกุฏิอยู่หน้าวัดใกล้ปากคลอง และปัจจุบันนี้ได้สร้างเป็นโรงเรียนสตรีวัดระฆัง

    พระอาจารย์เลื่อมเป็นพระหลวงตาที่ชราภาพมาก และเคร่งครัดในพระพุทธศาสนา มีลูกศิษย์ลูกหามาก โดยที่ท่านเป็นพระสอนทางวิปัสสนากรรมฐาน ท่านเฝ้าสั่งสอนวิชาการต่าง ๆ ให้ด้วยความรักความเอ็นดู เพราะสามเณรนาคเป็นผู้ว่านอนสอนง่ายสมองปราดเปรื่อง

    ตอนนั้น .... ท่านเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆษิตาราม คือ พระธรรมโตรโลกาจารย์ ซึ่งต่อมาได้เลื่อนขึ้นเป็น สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว.เจริญ อิศรางกูร) สมเด็จองค์นี้เป็นศิษย์ของสมเด็จองค์เก่า คือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังษี) นั่นเอง พระธรรมไตรโลกาจารย์มองเห็นหน่วยก้านและบุคลิกลักษณะของสามเณรแล้ว พิจารณาเห็นว่าจะดีเด่นเป็นเอกในวันข้างหน้า ท่านจึงได้รับอุปการะและสั่งสอนในสำนักของท่านทั้งภาษาไทยและภาษาบาลี

    ความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองสมัยนั้น เพิ่งจะเริ่มขึ้นชั่วคนละฟากข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา นับได้ว่าวัดระฆังฯ อยู่ใกล้กำแพงเมืองหลวงหรือเรียกกันว่าใกล้ปืนเที่ยงที่สุดวัดหนึ่ง วัดระฆังฯ มีอาณาเขตกว้างใกญ่ไพศาล รายล้อมไปด้วยสวนและนาอยู่ใกล้ ๆ เป็นดินแดนแห่งความสงบวิเวกวังเวง เหมาะสมที่จะบำเพ็ญพรตพรหมจรรย์ของภิกษุสงฆ์ ท่านเล่าว่า ท่านอาจารย์นวล ผู้เชี่ยวชาญทางภาษาบาลี เดิมเคยจำพรรษาอยู่สำนักวัดมหาธาตุ ได้ข้ามฟากมาสอนภาษาบาลีอยู่ในสำนักวัดระฆังฯ และเป็นอาจารย์ของท่านด้วย

    เมื่อสามเณรนาคฯ มีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ ได้เข้าแปลเปรียญธรรม ประโยค 3 เป็นครั้งแรกต่อหน้าพระที่นั่งรัชกาลที่ 5 และกรรมการสงฆ์ล้วนแต่เป็นพระเถรานุเถระผู้ใหญ่ผู้ทรงสมณศักดิ์หลายรูป ปรากฏว่าสามเณรนาคฯ แปลได้เป็นเปรียญธรรมประโยค 3 ได้รับพระราชทานเครื่องไทยทานอัฎฐบริขารจากพระหัตถ์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ด้วยองค์หนึ่ง

    สามเณรนาคฯ ได้เป็นมหาสามประโยคแล้วสมความตั้งใจ ท่านมิได้หยุดยั้งเพียงเท่านี้ คงพยายามศึกษาเล่าเรียนต่อไปจนเมื่ออายุครบ 21 ปี สามเณรนาคฯ เข้าแปลหน้าพระที่นั่งอีกครั้งหนึ่งและได้เปรียญธรรมประโยค 4 นับว่าสามเณรนาคฯ เป็นผู้คงแก่เรียนซึ่งหาได้ยากในยุคนั้น ซึ่งแต่ละครั้งที่เข้าสอบจะมีพระภิกษุและสามเณรสอบเปรียญได้เพียงไม่กี่รูป

    ระยะนั้นท่านเจ้าอาวาส พระธรรมไตรโลกาจารย์ จึงทรงอุปการะบวชสามเณรนาค ผู้มีอายุครบบวชแล้วเป็นพระภิกษุสงฆ์ต่อไป โดยได้ทรงนิมนต์พระเถระผู้ทรงสมณศักดิ์สูงมาเป็นพระอุปัชฌาย์และพระกรรมวาจาจารย์ ต่อหน้าองค์พระประธานในพระอุโบสถวัดระฆังโฆสิตาราม ดังต่อไปนี้
    ************************************************************
    สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฤทธิ์) อธิบดีสงฆ์ วัดอรุณราชวราราม ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์
    สมเด็จพระวันรัต (ดิษ) อธิบดีสงฆ์ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ ทรงเป็นพระกรรมวาจาจารย์
    พระธรรมโกษาจารย์ (แพ) วัดสุทัศน์เทพวราราม
    พระธรรมไตรโลกาจารย์ (ม.ร.ว.เจริญ อิศรางกูร) ทรงเป็นผู้บอกอนุสาสน์

    *************************************************************
    พระมหานาค ป.ธ. 4 ซึ่งต่อมาชาวบ้านเรียกชื่อท่านสั้น ๆ ว่า "มหานาค" และรับฉายาจากองค์พระอุปัชฌาย์ว่า "โสภโณภิกขุ" ได้เข้าแปลเปรียญธรรมได้ประโยค 5 ภายหลังบวชเป็นพระแล้วใหม่ ๆ ต่อจากนั้นท่านมหานาคไม่ได้เข้าแปลเพื่อสอบเปรียญธรรมเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งในขณะนั้นมีการศึกษาเปรียญธรรมถึงประโยค 6 เนื่องด้วยท่านมีภาระยุ่งกับงานของวัดมากขึ้น โดยเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดในพระคุณเจ้าสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว.เจริญ อิศรางกูร)
    - ต่อมาในปี พ.ศ.2464 ท่านโสภโณภิกขุ (มหานาค) ได้รับสัญญาบัตรพัดยศเป็นที่ พระธรรมกิติ
    - พ.ศ.2467 - 2468 ภายหลังจากสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว.เจริญ อิศรางกูร) มรณภาพแล้ว พระธรรมกิติได้รับหน้าที่รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามแทน และเป็นเจ้าอาวาสสืบต่อมาจนมรณภาพ .. (1)
    - พ.ศ.2475 ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรพัดยศที่ พระราชโมลี
    - พ.ศ.2500 ได้รับพระราชทานเลื่อนขึ้นเป็นที่ พระเทพสิทธินายก


    ในสมัยที่ท่านกำลังศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมประโยค 4 - 5 ท่านได้ศึกษาทางวิปัสสนากรรมฐานกับท่านอาจารย์ที่วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) และวัดพลับ (เจริญภาส) เพิ่มเติมอีกโดยได้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดซึ่งต้องใช้เวลาเพียรพยายามศึกษาเล่าเรียนอยู่ประมาณ 10 ปี ก็สามารถใช้เป็นมูลฐานกระทำชาญวิปัสสนาส่งกระแสจิตได้ ต่อมาได้เปิดสอนทางวิปัสสนากรรมฐานขึ้นในศาลาการเปรียญของวัดระฆังโฆษิตาราม เกี่ยวกับการสอนวิปัสสนานี้ได้เคยปรากฏว่า ครั้งหนึ่งผู้เข้าศึกษานั่งสมาธิจิตทางวิปัสสนา ได้นั่งทำจิตถอดวิญญาณไปดูนรกสวรรค์ และท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่าง ๆ เป็นเวลา 2 วัน ก็ยังไม่คืนสติ คงนั่งสมาธิอยู่เช่นนั้น ท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธินายก ในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการฝึกสอนอยู่ ได้นั่งสมาธิส่งกระแสจิตไปติดตามวิญยาณของผู้นั่งสมาธิรายนี้ และไปพบในสุสานวัดดอน ตรอกจันทร์ ปรากกว่ากำลังเที่ยวเพลิดเพลินอยู่ ท่านจึงส่งกระแสจิตเตือนวิญญาณนั้นให้กลับคืนเข้าร่างเดิมเพราะล่วงมา 2 - 3 วันแล้ว หากล่าช้าไปจะคืนเข้าร่างเดิมไม่ได้ ร่างกายก็อาจจะเน่าเปื่อยไป วิญญาณของชายผู้นั้นจึงได้สติแล้วกลับคืนมาเข้าร่างเดิมที่นั่งสมาธิอยู่ในศาลาการเปรียญวัดระฆังโฆสิตาราม นอกจากนี้ได้เคยปรากฏว่าคุณโยมของท่านป่วยอยู่ทางจังหวัดนครราชสีมา โดยมิได้ส่งข่าวถึงท่าน แต่ท่านสามารถทราบได้และนำหยูกยาไปปฐมพยาบาลได้ถูก เพราะท่านใช้อำนาจกระแสสิตทางวิปัสสนา ดังนี้ การกำหนดจิตอันกระทำให้เกิดพลังจิตขึ้นได้จึงเป็นเหตุให้พระคุณเจ้าได้คิดสร้างพระสมเด็จขึ้น เมื่อปี พ.ศ.2484 โดยอาศัยตำราของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังษี) ซึ่งขณะนั้นเป็นระยะเวลาที่ได้เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพาขึ้น ทั้งนี้เพื่อจักได้แจกจ่ายให้ทหารได้ติดตัวไปในสมรภูมิ เป็นกำลังใจและบำรุงขวัญทหารอีกส่วนหนึ่งด้วย

    พระเทพสิทธินายก (นาค โสภโณ) ในตอนที่ท่านมีอายุใกล้ 70 ใคร ๆ ก็เรียกท่านว่า "หลวงปู่นาค" แม้ว่าท่านจะมีร่างกายสมบูรณ์ชราภาพมากขึ้นตามวัยและสังขาร ท่านก็มิได้ละเลยทางศาสนกิจ ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ของกุลบุตรทุกชั้นวรรณะมากมาย ท่านเป็นผู้สร้างกรรมดีมีเมตตาอันเป็นยอดปรารถนาต่อศิษยานุศิษย์และประชาชนทั่วไปไว้มากมาย มิได้สะสมทรัพย์สินอันใดไว้ จนถึงกาลมรณภาพ เมื่อวันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ.2514 เวลา 4.45 น. ณ โรงพยาบาลศิริราช จังหวัดธนบุรี ท่านก็จากไปอย่างสงบปราศจากความกระวนกระวายด้วยโรคชรา ขอวิญญาณของท่านจงบรรลุถึงฟากฟ้าสรวงสวรรค์ คงเหลือไว้แต่คุณงามความดีอันสูงส่ง สุดที่จะนำมาเขียนไว้ในที่นี้ รวมศิริอายุของท่านได้ 87 ปี อยู่ในสมณเพศถึง 75 ปี และเป็นเจ้าอาวาสมาแล้ว 47 พรรษา นับว่าท่านเป็นผู้ที่อยู่ในสมณเพศและเป็นเจ้าอาวาสที่นานที่สุดรูปหนึ่ง

    คณะศิษยานุศิษย์ผู้บันทึกประวัติของท่าน "หลวงปู่นาค" ขอกราบนมัสการแทบเท้าของหลวงปู่นาค หากข้อความตอนหนึ่งตอนใดผิดพลาดหรือขาดตกบกพร่องโปรดเมตตาให้อภัยด้วยเถิด ...... คณะศิษยานุศิษย์


    คัดลอกบทความมาจาก : หนังสือประวัติพระเทพสิทธินายก วัดระฆังโฆษิตาราม และ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พระเทพสิทธินายก (นาค โสภณเถระ) อดีตเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม ณ วัดระฆังโฆสิตาราม ธนบุรี 15 มิถุนายน 2514 จำนวนพิมพ์ 2000 เล่ม โดยเจ้าคุณเที่ยง คณะ๕
     
  3. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    ตอนที่ 2 ประวัติพระเทพสิทธินายก (หลวงปู่นาค โสภณเถระ) วัดระฆังโฆษิตาราม กทม

    สำหรับการเรียนเวทย์มนต์และวิปัสสนากรรมฐานนั้น ท่านได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์และศึกษากับ ๔สมเด็จ ดังนี้
    ๑.สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(ฤทธิ์) วัดแจ้ง (ปัจจุบันเรียกว่า “วัดอรุณราชวรวิหาร”) ผู้เป็น อุปัชฌาย์ของหลวงปู่นาคนั่นเอง ท่านมีอาคมแก่กล้าในด้านทำเครื่องรางของขลัง โดยเฉพาะตะกรุดหน้าผากเสือ สำนักนี้ไม่เป็นสองรองใคร ครั้นพอท่านเรียนวิชานี้สำเร็จ การจะหาหนังเสือมาทำนั้นต้องไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิตซึ่งมันบาปนัก ท่านจึงนำมาดัดแปลงลงในโลหะต่างๆ เช่น ทองคำ เงิน นาค ทองแดง อลูมิเนียมและตะกั่ว ลักษณะการลงและบริกรรมคาถากำกับในตัวตระกรุด ท่านก็จะทำไว้ให้มีฤทธิ์อยู่หลายแบบ เช่นดอกนั้นเด่นด้านคงกระพัน ดอกนี้เด่นด้านค้าขาย เมตามหานิยม ดอกนู้นเน้นด้านมหาอุต ซึ่งในสมัยนั้นใครที่เข้าไปขอ ท่านก็จะเมตตาหยิบให้พร้อมอธิบายวิธีการใช้ให้
    (สำหรับวัดแจ้งหรือวัดอรุณนี้ จะมีอ้างในส่วนของ ตอนที่๓:พระพิมพ์ในวัดแต่มีออกนอกวัดด้วยนะครับ)

    ๒.สมเด็จพระสังฆราช(แพ) วัดสุทัศน์ราชวรวิหาร สมัยนั้น ดำรงค์สมณศักดิ์เป็นพระธรรมโกษาจารย์ ซึ่งเป็นพระอนุสาวนาจารย์(พระคู่สวด)ในสมัยที่หลวงปู่นาคบวชเป็นพระภิษุนั่นเอง หลวงปู่นาคได้รับการถ่ายทอดและศึกษาวิชาการลงยันต์ ๑๐๘ ชนิดครบสูตรในการลงยันต์เททองพระกริ่ง-พระชัยวัฒน์ ซึ่งเป็นตำหรับวิชาสุดยอดของการสร้างพระกริ่งในสายวัดสุทัศน์นี้
    (สำหรับวัดสุทัศน์ หากตามประวัติจะทราบว่า หลวงปู่นาคท่านจะสนิทกับพระครูมูล ซึ่งโยงถึงกันได้ว่าเป็นศิษย์ร่วมClassเดียวกันนั่นเอง เกจิ๒ท่านนี้ไปมาหาสู่กันบ่อยครั้งครับ จึงไม่แปลกที่พระสมเด็จของพระครูมูลถึงได้มีมวลสารพระสมเด็จเก่าของวัดระฆังไปผสมกันเป็นจำนวนมากและบางครั้งก็พบว่าพิมพ์สมเด็จมีหน้าตาและพิมพ์พระเกศบัวตูมของพระครูมูลมีมาปรากฎในแบบแม่พิมพ์ที่หลวงปู่นาคท่านกดพระด้วยครับจะมีไปขยายความกันในตอนที่๓:พระใน-นอก พิมพ์)

    ๓.สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(ม.ร.ว.เจริญ อิศรางกุล ณ อยุธยา) ในสมัยที่ท่านดำรงสมณศักดิ์เป็น พระธรรมไตรโลกาจารย์ และเป็นเจ้าอาวาสวัดระฆัง สืบต่อจากสมเด็จพระพุทธบาทปิลันท์ (ม.ร.ว.ทัศน์ เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา)
    เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วนะครับว่า สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เจริญ) ท่านเป็นศิษย์องค์สุดท้ายของสมเด็จพุทธจารย์โต ในสมัยบั้นปลายชีวิตสมเด็จโต สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เจริญ) ท่านได้เรียนสำเร็จวิชาการทำผงวิเศษจากสมเด็จโตและเป็นกำลังสำคัญในการลบและจัดทำผงวิเศษทั้ง๕ชนิด เพื่อถวายให้สมเด็จโตสร้างพระวัดระฆังฯรุ่นแรก มาถึงยุคที่ท่านเป็นพระอาจารย์ให้หลวงปู่นาค ท่านก็สอนการทำผงนี้ให้จนสำเร็จครบหลักสูตรเช่นกัน ดังนั้นพระสมเด็จที่หลวงปู่นาคท่านสร้างจึงเป็นพระที่มีสูตรการสร้างเหมือนกับพระสมเด็จวัดระฆังรุ่นแรกนั่นเอง

    ๔.สมเด็จพระสังวรนุวงศ์เถร(ชุ่ม) วัดราชสิทธาราม(วัดพลับ) เกจิท่านี้เป็นอาจารย์สอนวิปัสสนาให้กับหลวงพ่อพริ้ง วัดบางประกอกนั่นเอง หลวงปู่นาคก็ได้มาเรียนวิปัสสนากรรมฐานที่สำนักนี้จนสำเร็จเช่นกัน
    หลังจากที่ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เจริญ) ท่านมรณภาพแล้ว หลวงปู่นาคก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆษิตาราม องค์ที่๙

    ***********************************************************
    สำหรับเรื่องการสร้างวัตถุมงคลต่างๆ

    โดยเฉพาะประเภทพระเนื้อผงนั้น ท่านจะเน้นถึงความสำคัญเกี่ยวกับผงวิเศษที่นำมาบดผสมในการสร้างทุกครั้ง ใช้ผงถูกต้องตามสูตรที่สมเด็จพุทธจาร์ยโตสร้างเลยครับ โดยเรียนมาจาก พุทธโฆษาจารย์ เจริญ

    การปลุกเสกวัตถุมงคล
    หลังจากพิมพ์พระเสร็จ หลวงปู่นาคท่านจะให้ลูกศิษย์นำพระเครื่องทั้งหมดไปไว้ในพระอุโบสถ หลังจากทำวัตรสวดมนต์เย็นเสร็จแล้ว ท่านจะปิดประตูโบถส์ อยู่เพียงลำพังท่านเดียวและทำการปลุกเสกพระจนถึงเที่ยงคืน จึงกลับกุฏิจำวัด รุ่งขึ้นจึงนำพระเครื่องทั้งหมดมาไว้ที่วิหารสมเด็จโต ทำการปลุกเสกตอนกลางคืนอีกวาระหนึ่ง จากนั้นก็นำมาทำการปลุกเสกในกุฏิของท่านอีกครั้งเป็นอันเสร็จสิ้นพิธีการปลุกเสกพระ สาเหตุที่ท่านทำเช่นนี้ ท่านได้เมตตาเล่าให้ฟังว่า...หลวงพ่อพระประธานในโบสถ์ ท่านศักดิ์สิทธิ์ เราเป็นเพียงตถาคตมาอาศัยสถานที่ท่านพำนัก จะทำสิ่งใดก็ต้องบอกกล่าวท่าน และให้ท่านช่วยปลุกเสกให้ด้วยจึงจะถูกต้อง ...ส่วนที่นำเข้าวิหารสมเด็จโต เพราะสมเด็จโตนี้ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังฯมาก่อน และ เป็นครูบาอาจารย์ขอข้า จะทำอะไรก็ต้องบอกกล่าวท่านก่อน แล้วให้ท่านมาร่วมรับรู้และช่วยกันปลุกเสกแผ่พลังจิตพระเครื่องเหล่านี้ด้วยจึงจะสมบูรณ์
    ฉะนั้นพระเครื่องทุกรุ่นที่หลวงปู่นาคท่านได้จัดสร้างขึ้น จึงเป็นที่เชื่อว่า เต็มเปี่ยมไปด้วยพุทธานุภาพ ครบทุกด้าน (เมตตา มหานิยม โชคลาภ และแคล้วคลาดจากสรรพภัยอันตรายต่างๆได้อย่างดีเยี่ยม)...

    ***********************************************************
    คัดลอกบทความมาจาก :คุณชัย วิเชียรปราการ ศิษย์ผู้รับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่นาค สมัยปี๒๕๐๑ จนท่านมรณะภาพ ได้กรุณาเขียนเรียบเรียงไว้ นำมาย่อให้อ่านกันนะครับ
    get_auc3_img.jpg
     
  4. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    เรื่องอาจารย์ทิม วัดช้างให้ และอาจารย์นองวัดทรายขาวมาวัดระฆังเพื่อเช่าพระสมเด็จหลวงปู่นาควัดระฆัง กทม.
    พระอาจารย์ทิม และ พระอาจารย์นอง วัดทรายขาวเป็นศิษย์ร่วมสำนักวัดประดู่มาด้วยกันเมื่อพระอาจารย์ทิมมาอยู่วัดช้างให้และอาจารย์นอง ไปอยู่วัดทรายขาว ก็ยังมีความสัมพันธ์ดีงามมาโดยตลอดกิจการใดของวัดช้างให้ อาจารย์นองวัดทรายขาวท่านจะเป็นผู้คอยช่วยเหลืออยู่ข้างกายพระอาจารย์ทิมทุกอย่าง ที่สำคัญการสร้างพระหลวงพ่อทวด เนื้อว่าน ปี พ.ศ.2497 ถ้าจะกล่าวกันแล้ว ปฐมเหตุจริงๆก็มาจากท่านที่เป็นผู้ชักชวนพระอาจารย์ทิมให้สร้างพระหลวงพ่อทวดตามที่ท่านได้เล่าให้ฟังเท่าที่จำได้คร่าวๆ คือ

    ช่วงนั้น อาจารย์นองวัดทรายขาวกับพระอาจารย์ทิม ขึ้นมากรุงเทพฯ และไปที่วัดระฆังเพื่อที่จะไปเช่าบูชาพระสมเด็จของหลวงปู่นาคมาเพื่อให้คนทำบุญจะได้นำเงินไปสร้างโบสถ์วัดช้างให้ พกเงินขึ้นมาประมาณ 3,000 บาทขณะที่กำลังจะขึ้นไปเช่าพระ ท่านบอกว่า "กูนึกยังไงก็ไม่รู้ สะกิดอาจารย์ทิม บอกว่าท่านๆ ทำไมเราไม่กลับไปทำพระของเราเองล่ะ" "พระอะไร...?" พระอาจารย์ทิมถาม "ก็พระหลวงพ่อทวดไง" พระอาจารย์ทิมบอก "เออ...!! นั่นน่ะสิ"ทั้งสองท่านจึงได้เช่าบูชาพระสมเด็จหลวงปู่นาคเพียงเล็กน้อยและพากันกลับปัตตานี

    ปฐมเหตุตรงจุดนี้คือกำเนิดของสุดยอดพระเครื่องเมืองใต้ หลวงพ่อทวดเนื้อว่าน ปีพ.ศ.2497 อันเป็นอมตะตลอดกาล ซึ่งเกิดขึ้นที่วัดระฆังนี่เอง
    ซึ่งท่านพระอาจารย์ทั้งสองถือว่าเป็นผู้เรืองวิทยาคมอย่างสูงในยุคนั้น พลังจิตของท่านนั้นเปี่ยมล้นที่จะมีจิตตานุภาพในการหยั่งรู้ถึงพลังแห่งพุทธคุณธรรมคุณสังฆคุณที่บรรจุอยู่ในองค์พระสมเด็จ ซึ่งทำให้ท่านพระอาจารย์ทั้งสองยังมีความศรัทธาในพุทธคุณของพระสมเด็จหลวงปู่นาควัดระฆัง เป็นอย่างมาก จนถึงได้ดั้นด้นมาจากปัตตานีซึ่งสมัยก่อนการเดินทางค่อนข้างยากลำบากมาถึงกรุงเทพและตรงมาที่วัดระฆัง เพื่อต้องการนำพระสมเด็จของหลวงปู่นาค ไปให้บูชาเพื่อสร้างโบสถ์วัดช้างไห้ดังกล่าว ดังนั้นบรรดาเรา ๆ ท่าน ๆ ที่นิยมสะสมพระเครื่อง ก็ไม่ต้องลังเลใจที่จะสะสมพระสมเด็จของหลวงปู่นาควัดระฆังไว้ใช้ เพราะพระทุกองค์เปี่ยมด้วยพุทธคุณยิ่งนักแล
    s5g3nc.jpg U17828536362104856973956271.jpg
     
  5. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    เรื่องของหลวงปู่นาค วัดระฆัง เล่าโดยพระราชพรหมญาณ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    เรื่องของหลวงพ่อนาค เขียนไว้อีกข้อเดียว คือเรื่องดูใจเวลาปลุกพระ นี่เรื่องมันเกี่ยวกันกับอาตมา ต้องขอประทานโทษบรรดาท่านผู้อ่านหรือท่านผู้ฟัง เมื่อฟังแล้วอ่านแล้วก็อย่าคิดว่าอาตมาเป็นผู้วิเศษ อย่าคิดยังงั้นนะ จงคิดเสียว่าอาตมาก็เป็นเถรหัวล้านธรรมดาๆ ไม่มีอะไรดีกว่าท่านผู้ฟัง เกิดแล้วก็แก่ แก่แล้วก็เจ็บ เจ็บแล้วก็ตาย กินแล้วก็ขี้ ตื่นแล้วก็หลับ ธรรมดา ปวดเมื่อยไม่สบาย ปวดฟันตาฟ้าหูฟางเหมือนกัน พูดจาเอะอะโวยวายหยาบคายก็ได้ พูดนิ่มนวลก็ได้ ทำท่าเป็นผู้ดีก็ได้ ทำท่าเป็นสิงห์หน้าพลับพลาก็ได้ ทำเป็นหมาเห่าชาวบ้านก็ได้ เป็นทุกอย่าง ไอ้ที่ทำอย่างนั้น เพราะใจมันเป็นอย่างนั้น ไม่เหมือนหลวงพ่อนาค ท่านดีจริงๆ เลยยอมรับนับถือท่าน
    มาครั้งหนึ่ง ที่วัดชิโนรสาราม ธนบุรี ตอนนั้น สมัยนั้น เจ้าคุณสุวรรณเวที(ทองดี) อดีตเป็นพระของวัดระฆังมาเป็นเจ้าอาวาส ท่านก็ทำพิธีพุทธาภิเศก ปลุกพระเรียกว่าบวชพระพุทธเจ้า พระเครื่องนี่เขาทำรูปเปรียบพระพุทธเจ้าบ้าง บางทีก็ทำรูปเปรียบของพระสงฆ์ แต่วันนั้นทำรูปเปรียบเฉพาะพระพุทธเจ้า ก็เลยเรียกว่าไปบวชพระพุทธเจ้ากัน ปลุก ไม่ใช่บวชกระมัง ท่านกำลังหลับ ไปปลุกให้ตื่น ท่านมีหน้าที่ปลุกเขานิมนต์มา 9 องค์ พระอะไรบ้างก็ไม่ทราบ แต่เท่าที่รู้จักมีอยู่หลายองค์ แต่พูดถึงอยู่ 2 องค์ คือ หลวงพ่อนาค กับพระครูธรรมาภิราม พระแขนสั้นแขนยาวนครปฐม นอกนั้นที่รู้จักก็มีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนกัน ในสมัยนี้ก็โด่งดัง สมัยนั้นก็โด่งดังอีก 7 องค์ แต่ไม่พูดถึงหรอก คือพูดถึงไม่ได้ เดี๋ยวจะถูกด่า เวลาท่านปลุกพระ สำหรับพระครูธรรมาภิราม รู้จักอาตมาดี อาตมาเรียกหลวงน้า พอเจอะท่านเข้าก็คุยตามแบบฉบับ ทีแรกก็ทำท่าเป็นพระติ๋มๆ เพราะไม่เคยรู้จักใคร พออาตมาเข้าไปก็เลยออกท่าตามแบบฉบับ ออกท่าอะไรทราบไหม ท่าลิง ก็ไปยั่วท่านด้วยอาการต่างๆ ท่านก็ทำโน่นทำนี่ ชาวบ้านเขาก็เลยรู้สึกว่าท่านจะล่อกแล่กไปหน่อย ก็เลยบอกว่าหลวงน้า ไอ้แก้วน้ำน่ะ มันอยู่ไกลผม หลวงน้าช่วยหยิบมาให้ทีเถอะ ท่านบอก เฮ้ย แขนกูหยิบไม่ถึงนี่หว่า ก็เลยบอก เอ๊อะ พระจะปลุกพระนี่ เอาพระที่ไม่มีฤทธิ์มามันก็เสีย เสียของเปลืองที่ ไม่เอา ถ้าหยิบแก้วน้ำไม่ได้ก็นิมนต์กลับวัด ไม่มีประโยชน์ พระแบบนี้ ความจริงตอนนั้นพระคณาจารย์หลายองค์ก็นั่งอยู่ด้วย แต่เราไม่เกี่ยว เราคุยกับน้าชาย ท่านบอกไอ้นี่มันดูผิดคนนี่หว่า หนอยแน่มันดูถูกนี่หว่า หาว่ากูหยิบไม่ได้เรอะ ก็ตอบว่าไม่ได้ดูถูก แต่ว่าหยิบไม่ถึง นิมนต์กลับวัดเลย เอามารกที่ พระประเภทนี้ เสียศักดิ์ศรีครูบาอาจารย์ นี่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปานนะ แล้วก็เป็นหลานชายหลวงพ่อปานด้วยนะ ไม่ใช่ลูกศิษย์อย่างเดียว มองหน้าเป๋ง เออ มึงดูถูกกู กูก็เอาได้วะ เรื่องอะไร ท่านก็ยื่นแขนซ้ายออกไปมันก็ไม่ถึง เลยเอาแขนขวาตบตรงข้อศอก บอกแขนยาวออกไปซิหว่า ไอ้แขนมันค่อยๆ ยาวออกไปๆ ความจริง ไอ้แก้วน้ำตั้งอยู่ห่างสุดแขนท่านสักเมตรหนึ่งเห็นจะได้หรือเมตรเศษๆ ในที่สุดท่านก็หยิบแก้วน้ำมาส่งให้ คนพวกนั้นมองกันตาตั้งหมดแปลกใจว่าพระทำได้ ท่านก็บอก ไอ้นี่มันเป็นยังงี้ละ ถ้าไปเจอะมันเข้าทีไรมันทำเสียผู้ใหญ่ทุกทีแหละ มันให้เล่นอย่างโน้นเล่นอย่างนี้ ไม่เล่นมันก็ว่า เราจะให้มันทำมั่งมันก็บอกว่ามันลูกศิษย์รุ่นหลัง มันเล็กกว่า มันไม่ทำ นี่ให้มันทำอะไรซี มันไม่ทำหรอก แล้วมันก็ไม่ทำจริงๆ เพราะอะไร เพราะว่า หลวงน้า คือหลวงพ่อปานนะ ท่านเรียกหลวงน้า หลวงน้าท่านสั่งมันไว้ ห้ามไม่ให้ทำ มันก็เลยเลิกทำ ไอ้นี่เคารพคำสั่งครูบาอาจารย์จริงๆ ไอ้เราไม่ถูกจำกัดนี่ มันก็เลยใช้ให้เราทำอะไรต่ออะไรเรื่อยไป ชาวบ้านเขาถามว่าไม่โกรธมันรึ ลูกหลาน บอก โกรธมันยังไงไปด่ามันเข้าซี ดีไม่ดีมันล้วงย่ามเอาสตางค์หมด ไม่ได้หรอก ไปด่งไปด่ามันไม่ได้หรอก ถ้ามันจะว่าอะไร จะใช้อะไรก็ต้องตามใจมัน เดี๋ยวมันไม่ชอบในมันก็หยิบก็ล้วงเอาตามพอใจ เขาก็ถามว่าไม่บาปเรอะ มันจะบาปยังไง มันลูกมันหลาน มันเอาไปแล้วก็เลยนึกให้มันไปเลย ไม่เอาโทษเอาโพยกับมัน นี่เล่าเรื่องตอนต้นนะ สำหรับครูธรรมาภิราม
    ทีนี้ถึงเวลาปลุกพระจริงๆ เก้าองค์เข้าไปนั่ง อาตมาเองคิดในใจ ว่าเราก็ไม่มีความรู้อะไร ความดีด้านสมาธิก็ไม่มีอะไร เพราะเป็นคนธรรมดาๆ เป็นพระเดินผ่านหน้านรกไปผ่านหน้านรกมา เดินห่างนรกอยู่ครึ่งนิ้วเท่านั้นเอง ถ้าเผลอเมื่อไรหัวก็ทิ่มนรกเมื่อนั้น ก็เลยนึกในใจว่าเอาพระ 9 องค์นี้องค์ไหนมีอานุภาพมากบ้าง อยากรู้ก็เลยเข้าไปในโบสถ์ เขาปลุกในโบสถ์ ไปนั่งอยู่ท้ายอาสนสงฆ์ สำหรับพระที่ปลุกพระเขาทำเก้าอี้ให้นั่ง เอาไม้ไผ่มาทำเก้าอี้ เขาบอกว่าถ้าปลุกด้วยเก้าอี้ไม้ไผ่มันขลังดี ไอ้นั่นเรื่องของอุปาทาน ไม่เกี่ยว เรื่องของคนคิด
    เมื่อไปนั่งอยู่ท้ายอาสนสงฆ์ตั้งจิตอธิษฐาน อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า คือมองดูพระประธานเป็นกำลัง ขอบารมีพระพุทธเจ้าได้โปรดสงเคราะห์ ข้าพระพุทธเจ้าอยากจะดูอานุภาพจิตของพระแต่ละองค์ที่มานั่งปลุกพระในวันนี้ ถ้ากระแสจิตของบุคคลใด มีขนาดเท่าใด มีอานุภาพอย่างไรก็ขอให้ปรากฏแก่อารมณ์ของข้าพระพุทธเจ้า นึกเท่านี้นะ อธิษฐานเอาตามเรื่อง ตามเรื่องของคนที่ไม่มีฌานสมาบัติชั้นดีอย่างเขาหรืออาจจะไม่มีเลย พออธิษฐานเท่านั้นก็จับลมหายใจเข้าออก ทำจิตสงบนิดหนึ่ง ก็เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ นี่เป็นอำนาจของพุทธานุภาพจริงๆ นะ ไม่ใช่ความดีของอาตมา เห็นกระแสจิตของพระทุกองค์ใสแจ๋ว เหมือนกับเห็นของในเวลากลางวัน สำหรับกระแสจิตหลวงพ่อนาคนี่พุ่งออกมาใหญ่เหลือเกิน คลุมเครื่องรางของขลังทั้งหมด เรียกว่าแสงสว่างของจิตแทรกลงไปในเครื่องของขลังอยู่ที่ผิดด้านหน้า ยันข้างล่างสุด เรียกว่าคลุมหมด อาบลงไปหมดเลย โพลงสว่างชัด ของพระครูธรรมาภิราม พุ่งออกมาเหมือนหอก เป็นกระแสเล็กแต่พุ่งแรงมาก แสดงว่าพระครูธรรมาภิราม เป็นพระนักเลง ชอบคงกระพันชาตรี ของหลวงพ่อนาคนี่เต็มไปด้วยอำนาจพระพุทธบารมีจริงๆ มีความเยือกเย็นสบายๆ ยังไงชอบกล แต่พระอีก 9 องค์ มองดูไปแล้วกระแสจิตไม่ได้ออกมา เหมือนกับจุดเทียนจุดริบหรี่ ปักอยู่ในอกนั่นเองอยู่เฉยๆ เป็นดวงนิดหนึ่ง แล้วก็อยู่ในอกเฉยๆ ก็นั่งดูอยู่ยังงั้นจนกว่าเขาจะเลิกปลุกกัน
    เมื่อถึงเวลา 23 น. เศษๆ ก็หมดสัญญาณการปลุก ความจริงการปลุกพระนี่ ไม่ต้องใช้เวลามาก ถ้าใช้เวลามากแล้วไม่มีผล ควรจะให้พระกำหนดกันเอง ปลุกพร้อมกัน ใครเต็มเมื่อไรก็พัดผ่อนได้เมื่อนั้น แต่ยังไม่ลุกออกมา ยังงี้จะดีมาก แล้วเวลาปลุกพระ ต้องใช้กำลังสมาธิสูงมาก ถ้าพระได้สมาบัติยังต่ำหรือโยเยอยู่ ยังไม่มั่นคงนัก จิตจะส่ายไปตามกระแสสวด ผลจะไม่ดี แต่ว่าที่ทำกันเวลานี้ ก็มีพระสวดพุทธาภิเศกควบไปด้วย เขาเอาแบบมาจากไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าเอาแบบมาจากไหน แต่ว่ามันจะดีหรือไม่ดีแค่ไหนก็ตามเรื่อง หากมีพระกำลังจิตดีก็ใช้ได้ ถ้าพระกำลังจิตไม่ดีก็เลยนั่งหลับตา อีตอนนั่งหลับตาใครจะรู้ว่าทำอะไรบ้าง บางวัดก็เกณฑ์กันตลอดรุ่งไม่เห็นมีประโยชน์ เคยไปร่วมกับเขาเหมือนกัน ถ้าเกณฑ์ตลอดรุ่งดีไม่ดีก็นั่งหลับเลย
    ตานี้ พอเขาเลิกทำพิธี พระอาจารย์ทุกองค์ก็ลงมา พอลงมาเสร็จท่านก็ไปนั่งกันตามหน้าอาสนสงฆ์แต่ไม่ถึงท้าย อาตมานั่งอยู่ทางท้ายกับพระสมุห์สมบูรณ์ พอลงมานั่งกันเรียบร้อย หลวงพ่อนาคก็บอกว่านี่ท่านพวกนี้รู้ไหม ไอ้ขโมยมันมานั่งขโมยอยู่ พระพวกนั้นก็ทำหน้าล่อกแล่กๆ มีพระครูธรรมาภิรามองค์เดียวยิ้ม หันมายิ้มด้วยแสดงว่าท่านรู้ก็เลยยิ้มกับท่าน แต่หลวงพ่อนาคท่านก็ทำเฉย ทำไม่รู้ไม่ชี้ บอกท่านทั้งหลายรู้หรือเปล่า ไอ้ขโมยมันมานั่งขโมยอยู่ ท้ายอาสนสงฆ์ แล้วก็มีญาติโยมคนหนึ่งถามว่าขโมยอะไร ถามขโมยอะไรเจ้าค่ะหลวงพ่อ ท่านก็บอก มันไม่ได้ขโมยอะไรหรอก มันมานั่งขโมยดูใจพระปลุกพระ ไอ้ขโมย มันนั่งอยู่ท้ายอาสนสงฆ์
    ตานี้เวลาที่ท่านลงมาแล้วเขาขอพระท่าน ท่านก็แจก เวลาท่านแจกไปขอท่านมั่ง ท่านไม่ให้ บอกไอ้นี่ขโมย ไม่ให้ละ ทำได้อย่างที่เขาทำนี่ ทำได้ไปทำเอาเองซี ท่านไม่ให้ ก็มีพระหลายองค์ท่านมองหน้า ท่านก็เลยบอกว่าไอ้นี่แหละขโมย ขโมยดูใจพระทุกองค์ มันรู้ ว่าใจพระองค์ไหนเป็นยังไง นี่มันทำได้นะพระนี่ มันทำได้ ทำได้คล้ายๆ ข้าแหละ แต่ไอ้ข้ากับมันใครดีกว่ากันข้าไม่รู้หรอก แต่วันนี้ท่านผู้ฟังจำไว้นะ ว่าอาตมาไม่ดีเท่าหลวงพ่อนาค แล้วก็ดียังไม่ใกล้หลวงพ่อนาค ยังไกลอยู่นะ เพราะยังเป็นปุถุชนคนธรรมดา ยังเป็นคนปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ มีหนาว มีร้อน มีเมื่อย มีหิว มีกระหาย รู้เปรี้ยว รู้เค็ม รู้เผ็ด แล้วมีอารมณ์ เสียงดังบ้าง ดุบ้าง ด่าบ้าง ว่าบ้าง คำสุภาพบ้าง ยิ้มแย้มแจ่มใสบ้าง หน้าบึ้งขึงจอบ้าง อย่างนี้อย่าชมกันว่าดีนะ เป็นอาการของคนเลว แต่มันยังอยากจะเลวอยู่ก็ปล่อยมันไป ตายเมื่อไร เลิกเมื่อนั้น
    เป็นอันว่าเรื่องของหลวงพ่อนาค ยุติกันเพียงเท่านี้ แต่ก็ยังไมเลิกพูด เวลามันยังไม่หมด วันนี้เห็นจะสรุปงานกันได้แล้วนะ เพราะว่าเทปเหลือนิดเดียว
    3-11-11.jpg U17828536362104856973956271.jpg
     
  6. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    pic3_97.jpg
    ตอนที่1 หลวงปู่หิน วัดระฆังโฆสิตาราม (พระครูสังฆรักษ์หิน อินทวินโย)
    ยอดพระเครื่องที่บรรดานักเลงพระนิยม คงจะไม่มีอะไรเหนือ สมเด็จโตวัดระฆัง แต่เราๆคงไม่มีโอกาสที่จะครอบครองได้ เพราะราคาเป็นล้านและคนที่มีต่างหวงแหนและส่วนมากจะตกเป็นเหยื่อของนักต้มตุ๋นหมดเงินกันไปเยอะ เพราะเหตุนี้นักนิยมพระเครื่องจึงหันมาหาพระเกจิที่สร้างใหม่ แต่มีผงเก่าสมเด็จโต วัดระฆัง ผสมอยู่ด้วยคนอายุรุ่นประมาณ 50 ปีขึ้น จึงรู้จักกันแต่หลวงปู่นาค วัดระฆัง และหลวงปู่หิน วัดระฆังที่เป็นหน่อเนื้อสมเด็จโต ที่พระสมเด็จทั้ง 2 ท่าน จะมีผงเก่าสมเด็จโตผสมมากที่สุดในจำนวนวัดที่สร้างพระสมเด็จด้วยกัน แต่เนื่องจากประวัติของ 2 ท่านจะหายาก และ พิมพ์พระจะมีจำนวนมาก ทำให้ลำบากแก่การจดจำ วงการจึงไม่ค่อยมีผู้สันทัดในการตรวจสอบพระของท่านมากนัก จึงยากแก่การเล่นหาผมในฐานะสายตรงที่สะสมพระของทั้ง 2 ท่านไว้มาก จึงขอนำประวัติท่านทั้ง 2 มาให้ท่านทราบให้มากที่สุด จึงได้หาข้อมูลจากหนังสือประวัติของหลวงปู่หิน และหลวงปู่นาคจากหลายแห่งเพื่อประมวลมาให้ท่านได้ทราบข้อมูลให้มากที่สุด เพราะหากประวัติไม่มีการเผยแพร่หลายมากนัก หรือมีข้อมูลน้อยจะทำให้ท่านเสียโอกาสได้รับพระของทั้ง 2 ท่านไว้ครอบครอง เนืองจากพระของท่านใช้แทนพระสมเด็จโตได้ เพราะมีมวลสารผงเก่าสมเด็จโตผสมมากกว่าสำนักอื่นใดๆ พุทธคุณจึงสามารถใช้แทนกันได้

    หลวงปู่ หินท่านมีความมุ่งมั่นในทางการเรียนวิชาไสยศาสตร์มาก เดินธุดงค์รุกขมูลตามป่าดงดิบประเทศพม่า พระตะบอง นครวัด ได้ร่ำเรียน วิชาการต่างๆมากมาย ฝึกฝนกับพระคณาจารย์ต่างๆ การอบรมเสร็จสิ้น เมื่อ เดือน 12 พ.ศ.2465 หลวงปู่ หิน ได้เดินธุดงค์มาเรื่อยๆ ตามตะเข็บชายแดน ของประเทศไทย มายัง กบินทร์บุรี นครนายก สระบุรีและได้เดินมานมัสการ พระพุทธบาท สระบุรี จากนั้น ใช่ว่า มาอยู่ เมืองไทย ท่านเดินทางกลับไปประเทศพม่า โดยใช้เส้นทางเดิมกลับวัดธนาคันตามเดิม คือ วัดที่ท่านบวชแต่ครั้งแรก

    ในระหว่างนั้นท่านก็หมั่นปฏิบัตรธรรมกรรมฐาน จนได้ชื่อว่าเป็นพระที่เชี่ยวชาญทางกรรมฐานท่านหนึ่ง ทุกครั้งที่ท่านออกพรรษา ท่านจะออกธุดงค์ตลอดไม่ค่อยอยู่วัด ออกธุดงค์ไปเรื่อยๆเวียงจันทร์หลวงพระบาง ย้อนกลับมาเมืองไทย แล้วกลับประเทศพม่า …ครั้งหนึ่งหลวงปู่หินมีความประสงค์จะเดินทางรุกค์ขมูลไปยังประเทศอินเดียให้ได้ แต่แล้วเป็นจุดหักเห ของชีวิตของท่าน พระเพื่อนที่ร่วมเดินทางของท่านเกิดป่วยกลางป่าลึกในระหว่างทาง จึงได้เดินทางมาที่เมืองไทยทำการรักษาตัว ในที่สุดพระรูปนี้ มรณภาพลงที่จังหวัด ตาก …ในเวลานั้นใกล้เวลาจะเข้าพรรษาหลวงปู่ หิน จำต้องจำพรรษาที่ จังหวัด ตาก 1 พรรษา

    หลังจากนั้น หลวงปู่ ก็เดินธุดงค์ ต่อไปที่ จังหวัด เชียงใหม่ เลยเข้าไป ประเทศ พม่า และต่อมาท่านเดินทางมาที่ จังหวัด สุโขทัย พักอยู่ ที่ วัดพุทธปรางค์ อำเภอ สวรรคโลก 2 เดือนและออกธุดงค์มาเรื่อย จนถึงจังหวัด พระนครศรีอยุธยาได้พบกับพระอุปัชฌาย์ เทพ ซึ่ง เป็นพระเพื่อนมาแต่เดิม เป็นเจ้าอาวาส อยู่ วัดทางหลวง ตำบล ปลายกลัดอำเภอบางซ้าย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ท่านจึงพำนักที่นั้นและช่วยดำเนินการสร้างเสนาสนะสงฆ์ ตลอดจนวิหารและศาลาฟังธรรมต่างๆ จนลุล่วงท่านได้อยู่วัดทางหลวงเป็นเวลา 11 พรรษา อยุธยา นั้น ไม่สิ้นคนดีเป็นคำพังเพย โบราณ ที่เราคุ้นๆหูกันอยู่นะครับ หลวงปู่ หินได้ร่ำเรียนไสยศาสตร์แถบนี้มาก ต่อมาก แม้กระทั่งหลวงพ่อ จงแห่งวัดหน้าต่างนอก… หลวงพ่อ ต่วน วัดกล้วย ซึ่งต่อมาเป็นพระสหายทางสมิกธรรม ฯลฯ ประวัติการร่ำเรียนวิชาทาง ไสยศาสตร์ของท่าน ว่าร่ำเรียนกับพระอาจารย์ท่านใดนั้นมิอาจบรรยายได้ เพราะ หลวงปู่ หิน ท่านออกธุดงค์ เพียงรูปเดียวในระยะหลัง
     
  7. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    ตอนที่2 หลวงปู่หิน วัดระฆังโฆสิตาราม (พระครูสังฆรักษ์หิน อินทวินโย)
    ต่อมาใน พ.ศ. 2478 ท่านได้ทราบถึง กิติศัพท์ของท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ โตพรหมรังสี เกิดมีความศรัทธาอย่างแรงกล้า จึงตัดสินใจเดินทางมายัง วัดระฆังโฆสิตาราม และเข้ากราบนมัสการ พระเทพสิทธินายก หรือ หลวงปู่ นาค ขณะนั้น หลวงปู่ นาค ดำรงตำแหน่ง พระราชโมฬี เจ้าอาวาส แห่งวัดระฆัง สนทนาธรรมเป็นที่ถูก อัธยาศัย ยิ่งนัก ….หลวงปู่ นาคจึงได้ชักชวนให้อยู่จำพรรษา อยู่ วัดระฆังเสียที่นี่ คณะ3ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ของวัด ปัจจุบันเป็นโรงเรียนโฆสิตสโมสรในสมัยนั้นทางสำนัก วัดระฆังได้เปิดอบรม กัมมัฏฐานและวิปัสสนาหลวงปู่ นาค ก็ได้แต่งตั้ง หลวงปู่ หินมีหน้าที่ช่วยเหลือในกิจของสงฆ์ทางวัด ตลอดมา ไม่ว่าพัฒนางานก่อสร้างทำนุบำรุงต่างๆ สมัยนั้นมีแต่แรงงานพระในผ้าเหลืองล้วน หลวงปู่ หิน เป็นช่างควบคุมเองทั้งหมดไม่ว่า ครั้งใด คำปฏิเสธนั้น ไม่เคย หลุดจากปากท่านเลยกับการก่อสร้างวัดวาอารามต่างๆหลายวัด แม้ในบางครั้งท่านได้ไม่มีเงินพอที่จะช่วย ท่านก็นำพระผงของท่าน มามอบให้ประชาชนได้บูชากัน เพื่อนำเงินไปใช้ในการก่อสร้าง นั้นๆเป็นเจตนาที่บริสุทธิ์โดยแท้

    การสร้างพระผงต่างๆ ของหลวงปู่ หิน แห่งวัดระฆังนั้น ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น หลวงปู่นั้นมีความศรัทธา ต่อสมเด็จพระพุฒาจารย์โต มากๆ หลวงปู่ท่านพยายามเสาะแสวงหา พระสมเด็จมาสะสมไว้ ทั้งที่ แตกหักและชำรุด จนมีจำนวนมากพอแก่ความต้องการ ท่านจึงนำมาโขลกเป็นผง นอกจากนี้แล้ว ท่านยังได้รับผงพระปิลันทร์จากกรุมุมพระอุโบสถ ด้านทิศใต้…..ผงจากกรุ วัดสามปลื้ม ผงสุริบาตรและผงตรีนิสิงเห ที่ขาดมิได้ ……การสร้างพระพิมพ์ของหลวงปู่ นั้น เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2482 – 2521 มีจำนวน 10 รุ่นด้วยกัน อาจารย์ ขวัญ วิสิฎโฐ ( คุ้มประยูร)เป็นผู้ช่วยเหลือโดยใกล้ชิด พระเครื่องที่สร้างแบ่งตาม พ.ศ.พอจำแนก.ได้ ดังนี้

    1. พระสมเด็จ รุ่นแรก พ.ศ.2482 มี5พิมพ์ เมื่อสร้างเสร็จแล้วท่านก็ได้แจกให้ศิษย์ และทหารตำรวจ นำไปบูชากันเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะทหาร ที่ส่งไปออกรบ ต่างเจอประสบการณ์มากมาย จึงเรียกรุ่นนี้ว่า พระสมเด็จ รุ่นอินโดจีน
    1.1 พิมพ์อกครุฑ
    1.2 พิมพ์แหวกม่าน
    1.3 พิมพ์เส้นด้าย
    1.4 พิมพ์ทรงเจดีย์
    1.5 พิมพ์ทรงเจดีย์พิมพ์เล็ก

    2. พระสมเด็จรุ่น 2 พ.ศ.2484มี 5 พิมพ์ พระรุ่นนี้ของหลวงปู่หิน สร้างพระโดยใช้ผงพระสมเด็จผงจากกรุวัดระฆัง ผงจากกรุวัดสามปลื้ม ผงสุริยาตร ผงตรีนิสิงเห และผงมหาราช

    2.1 พิมพ์ทรงพระประธาน
    2.2 พิมพ์ทรงพระเกศทะลุซุ้ม
    2.3 พิมพ์ทรงชายจีวร
    2.4 พิมพ์อกครุฑเศียรบาตร
    2.5 พิมพ์ทรงอกร่องหูยานคู่

    3. พระสมเด็จ รุ่น 3 พ.ศ.2488 มีเพียง2 พิมพ์ พระรุ่นนี้ท่านได้ผสมผงสมเด็จ ผงพระปิลันทร์ผงกรุวัดสามปลื้ม ผงสุริยาตร ผงมหาราช ผงตรีนิสิงเห พระรุ่นนี้มีแค่ 2 พิมพ์ คือ

    3.1 พิมพ์ทรงนิยม

    3.2 พิมพ์ทรงเจดีย์

    4. พระสมเด็จรุ่นที่ 4 พ.ศ.2494 ติดต่อถึงปี 95 จึงเรียกว่า รุ่น 2495 ต่อมาในปี 2494 ทางวัดได้รื้อหอไตรออกมาปรากฏว่าพระไตรปิฎกใบลานเก่าได้ชำรุดมาก จึงได้สร้างขึ้นใหม่ และนำของเก่ามาเผามาผสมกับผงต่างๆที่มีอยู่เช่น ผงสมเด็จแตกหัก ผงเก่าสมเด็จโตที่ได้สร้างไว้ที่เก็บไว้ยังไม่ได้สร้างพระที่อยู่ในวิหาร ผลพระปิลันทร์ ผงสุริยาตร ผงพระกรุวัดสามปลื้ม ผงตรีนิสิงเห มาผสมกันสร้างพระ และบางส่วนก็ไม่ได้ผสมผงใบลานที่เป็นเนื้อผงขาว พระสมเด็จบางพิมพ์จึงมีเนื้อดำ และเนื้อขาว เป็นที่นิยมของศิษย์และประชาชนทั่วไป เพราะผู้บูชาไปแล้วมีประสบการณ์มากมาย พระรุ่นนี้มรจำนวน 6พิมพ์ด้วยกันคือ

    4.1 พิมพ์ทรงพระประธานพิมพ์นี้มี 2ชนิด คือ เนื้อผงและเนื้อผงใบลาน

    4.2 พิมพ์พระประธานขาโต๊ะ

    4.3 พิมพ์ทรงเจดีย์

    4.4 พิมพ์สามเหลี่ยมด้านเท่า

    4.5 พิมพ์สามเหลี่ยมหน้าจั่ว

    4.6 พิมพ์สามเหลี่ยมหน้าจั่วพิมพ์เล็ก

    5. พระสมเด็จรุ่น 5 ปี 2497มีเพียง 2 พิมพ์ พระรุ่นนี้ยังเหลือผงสมเด็จอยู่อีกจำนวนนึ่งจึงนำมาผสมกับผงพุทธคุณอีกมากมาย แต่สร้างแค่ 2 พิมพ์ คือ

    5.1 พิมพ์ทรงเจดีย์

    5.2 พิมพ์เจดีย์ทะลุซุ้ม

    6. พระสมเด็จรุ่นที่ 6 พ.ศ.2500เนื่องจากปีนี้เป็นปีกึ่งพุทธกาล 2500 ปีหลวงปู่จึงสร้างจำนวนมาก ประมาณ84000 องค์ เพื่อเพียงพอแก่การแจกจ่ายและได้นำเข้าพิธี 25 ศตวรรษ เพื่อให้มีความศักดิ์สิทธิ์ขึ้น เนื่องจากหลวงปู่ได้รับเชิญร่วมปลุกเสกในพิธีด้วย พระพิมพ์จึงค่อนข้างสวยงาม และมีประสบการณ์มากเช่นกันพระมีทั้งหมด 15 พิมพ์คือ

    6.1 พิมพ์พระประธาน ขนาดบูชา

    6.2 พิมพ์ปรกโพธิ์พิมพ์ใหญ่

    6.3 พิมพ์ทรงนาคปรก

    6.4 พิมพ์ปรกโพธิ์ฐานแซม

    6.5พิมพ์ทรงอกครุฑเศียรบาตร

    6.6 พิมพ์ฐานหมอน

    6.7 พิมพ์ทรงนิยม

    6.8 พิมพ์ทรงเจดีย์

    6.9 พิมพ์ทรงนิยมพิมพ์กลาง

    6.10 พิมพ์ทรงนิยม พิมพ์เล็ก

    6.11 พิมพ์คะแนนปรกโพธิ์

    6.12 พิมพ์คะแนนพระประธาน

    6.13 พิมพ์ทรงสามเหลี่ยมหน้าจั่ว

    6.14 พิมพ์คะแนนทรงพระประธานขนาดเล็ก

    6.15 พิมพ์ทรงเม็ดแตง

    resized_RIMG0083.jpg resized_RIMG0084(1).jpg resized_RIMG0085.jpg resized_RIMG0087.jpg
     
  8. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    ตอนที่3 หลวงปู่หิน วัดระฆังโฆสิตาราม (พระครูสังฆรักษ์หิน อินทวินโย)
    7. พระสมเด็จ รุ่นที่ 7 พ.ศ. 2512 เรียกว่า รุ่น เสาร์5 มี6พิมพ์ สร้างในวันเสาร์ 5 (วันเสาร์ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5) ซึ่งทางไสยศาสตร์ถือกันว่าสร้างในวันนี้แล้วขลังมาก นอกจากนี้ท่านยังได้เอาเสากุฏิของสมเด็จโตมาสร้างเป็นพระเนื้อไม้อีกด้วย พระชุดนี้จึงจำนวน 6พิมพ์ดังนี้

    7.1 พิมพ์นิยมเสาเอกสร้างด้วยไม้ ทำจากเสากุฏิ สมเด็จโต

    7.2 พิมพ์ทรงจุฬามณี

    7.3 พิมพ์สังฆาฏิ

    7.4 พิมพ์ทรงอกร่องหูยานฐานแซม

    7.5 พิมพ์กลีบบัว

    7.6 พิมพ์ทรงพระประธานหูบายศรี

    8. พระสมเด็จ รุ่นที่ 8 รุ่นสุดท้าย พ.ศ.2515 เรียกว่ารุ่น100 ปี การมรณภาพสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พิธีมหาพุทธาภิเษก หลวงปู่หิน สร้าง2พิมพ์เข้าพิธีด้วย มี 2พิมพ์ หลวงปู่หินได้การบูรณบ่อน้ำมนต์ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต เพราะมีอายุกว่า 100 ปี ชำรุดทรุดโทรมมาก หลวงปู่จึงขุดให้ลึกกว่าเดิม ปรากฏว่าเจอแผ่นยันต์ ลักษณะเป็นปูนปั้น มีขนาด 17 นิ้ว ยาว 21 นิ้ว จมอยู่ในบ่อ สันนิษฐานว่าเป็น แผ่นยันต์ของสมเด็จโตที่สร้างไว้ หลวงปู่จึงนำมาเก็บไว้ แล้วเทคอนกรีตรอบบ่อตามเดิม ต่อมาภายหลังเมื่อบูรณเสร็จ ท่านจึงนำแผ่นยันต์ลงไปไว้ในบ่อตามเดิมเพื่อเป็นสิริมงคล แม้กระทั่งพระและสามเณรที่ลาสิกขาก็นิยมใช้น้ำในบ่อไปประกอบพิธีกรรมกันอยู่เสมอ ท่านจึงได้สร้างพระพิมพ์ขึ้นมาร่วมพิธีสมเด็จ 100 ปีในปี 2515 ด้วย เพื่อนำเงินมาบูรณะบ่อน้ำมนต์ดังกล่าว พระที่สร้าง มีทั้งหมด 2 พิมพ์ด้วยกันคือ

    8.1 พิมพ์ทรงนิยม

    8.2 พิมพ์ทรงอกครุฑเศียรบาตร

    8.3 เหรียญ รุ่นแรก พ.ศ.2516



    9. พระกริ่งรูปเหมือนปี 2518

    10.เหรียญหลวงปู่หิน ปี 2521

    นอกจากนี้ยังมีพระนอกพิมพ์อีกจำนวนหลายพิมพ์เช่นกัน เรียกว่า พิมพ์นอก เป็นพระที่สร้างในปีเดียวกัน แต่ไม่ได้ออกเป็นทางการท่านจะแจกเป็นการส่วนตัวแต่พิมพ์ทรงจะแตกต่างกันออกไปไม่เหมือนกับพิมพ์ที่วัด

    ท่านพระครูสังฆรักษ์ หิน อุปสมบทพระ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ.2463พรรษาแห่งการบวช ท่านศึกษาทางกรรมฐานจนแตกฉาน จนเกิดความชำนาญต่อมาศึกษาทางด้านคาถาอาคม จนเกิดความแตกฉาน วิชาไสยศาสตร์ ชนิดหาตัวจับยากภายหลังค้นคว้าแพทย์แผนโบราณ รักษาผู้คนตกทุกข์ได้ยาก เป็นพันๆคนในขณะนั้นท่านย้ายมาอยู่ วัดระฆัง พ.ศ.2478 – พ.ศ.2521 ตลอดระยะเวลา 43ปี ภายหลังหลวงปู่หิน ป่วย ท่านได้ย้ายมาอยู่ที่ วัดกล้วย จ.อยุธยาเพื่อทำการรักษาตัวเพราะไม่มีเวลาพักผ่อน และท่านมีเวลาไม่นานแล้ว ประกอบกับมีเนื้องอกที่กระพุ้งแก้มเพราะ เกิดจาการฉันท์หมากมาก ในปีเดียวกันนั้นเอง (พ.ศ.2521) ท่านเดินทางกลับวัดระฆัง19พฤษภาคม 2521 และท่านก็ได้มรณภาพลงเมื่อวันที่ 21พฤษภาคม2521 รวมอายุ 79ปี 58 พรรษา

    ขอขอบคุณข้อมูลนี้จากหนังสือประวัติ หลวงปู่หิน จากวัด พระศรีสุทธิโสภณ (เที่ยงอัคคธัมโม ปธ9) 3ต.ด.2521 ซึ่งเป็นผู้เรียบเรียง ประวัติ หลวงปู่ หินที่ออกมาจากวัดระฆัง หนังสือเล่มนี้ทำแจกแก่ศิษย์ยานุศิษย์ที่มางานฌาปนกิจ หลวงปู่หิน วัดระฆัง ซึ่งอาจจะลงรายละเอียดได้ไม่หมด เพราะบางส่วนที่ท่านสร้างได้นำพระที่ท่านสร้างบางส่วนไปลงกรุเช่นพิมพ์สังกัจจายฐานผ้าทิพย์ และที่วัดบ้านเกิดของท่านอีกบางส่วนทางวัดไม่ได้ลงไว้
    resized_RIMG0088.jpg resized_RIMG0089.jpg
     
  9. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    ตอนที่4 หลวงปู่หิน วัดระฆังโฆสิตาราม (พระครูสังฆรักษ์หิน อินทวินโย)

    มวลสารจัดสร้างพระสมเด็จ

    หลวงปู่หิน ท่านได้เริ่มจัดสร้างพระสมเด็จในครั้งแรก ในปี 2482 ซึ่งในปีแรกๆที่ท่านได้มาจำพรรษาที่วัดระฆัง ท่านได้สะสมพระแตกหักที่ชาวบ้านได้มาแล้วนำมาถวาย และพระแตกหักที่ชาวบ้านทำหักแล้วไม่ได้เก็บไว้บูชา มาไว้ที่ต้นไม้เป็นจำนวนมากท่านก็สะสมไว้ ประกอบกับที่พระเจดียฺ์ อุโบสถได้พังทลายลงมา ปรากฏว่าเจอพระสมเด็จปิลันทร์จำนวนมากได้แตกกรุออกมา ท่านจึงเก็บไว้จำนวนมาก และอีกประการหนึ่งท่านสนิมสนมกับพระอาจารย์ขวัญ ซึ่งได้บวชที่วัดระฆังมานตั้งแต่ยังเป็นเณร ซึ่งโยมแม่ของอาจารย์ขวัญอยู่ในยุคของสมเด็จโต และมักจะนำภัตตาหารคาวหวานมาถวายแด่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตเป็นประจำเพราะความเลื่อมใส ซึงมาถวายสมเด็จโตครั้งใดก็จะได้รับพระสมเด็จโตกลับไปทุกครั้ง จนทางบ้านของอาจารย์ขวัญมีสมเด็จเต็มพานใหญ่กะประมาณเป็นร้อยองค์ เมื่อโยมแม่อาจารย์ขวัญถึงแกกรรรมลง ท่านจึงมอบพระสมเด็จให้แก่หลวงปู่หินมาเพื่อสร้างพระเครื่อง และอีกส่วนหนึ่งอาจารย์ขวัญได้ไปขอผงสมเด็จจากมหาเลี่ยมซึ่งเป็นผู้รักษากุฏิสมเด็จโต จึงได้ผงสมเด็จมาอีกจำนวนหนึ่งจึงมอบให้หลวงปู่หิน นอกจากผงสมเด็จโตและพระปิลันทร์แล้ว ยังได้ผสมผงพระสามปลื้มที่ตอนเปิดกรุได้นำมาผสมลงไปพร้อมกับ ผงที่หลวงปู่หินได้ทำผงเขียนและลบผงสุดยอดเมตตาผงสุริยาตร ตำรับเขมร และผงตรีนิสิงเหที่ท่านเชี่ยวชาญมาผสมในพระสมเด็จของท่าน (ผงตรีนิสิงเหเป็นผงที่หลวงปู่โต๊ะสำเร็จเหมือนกัน ท่านก็ได้นำมาสร้างพระปิดตาของท่านเมตตาจึงสุดยอด).

    ประสบการณ์พระของหลวงปู่หิน

    ตั้งแต่พระรุ่นแรก ที่สร้างในปี 2482 พระได้ออกแจกจ่ายให้บรรดาศิษย์ ตลอดจน ทหาร ตำรวจ ได้นำไปบูชาจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาทหารจะไปรบในสงครามอินโดจีน ต่างก็มาขอรับแจกจากท่านปรากฏว่าได้รับแคล้วคลาดและคงกระพันกลับมา จึงประจักษ์ในพุทธคุณในพระของหลวงปู่หิน จึงเรียกพระรุ่นนี้ว่า พระสมเด็จรุ่นอินโดจีนแม้ แต่คนสิงคโปร์ และมาเลเซีย ก็เจอประสบการณ์มาเยอะมาก จึงนิยมพระของท่านไม่แพ้คนไทยเหมือนกัน แต่ราคาแพงกว่าที่ประเทศไทยหลายเท่าตัว .

    ลักษณะและเนื้อหาของสมเด็จหลวงปู่หิน

    พระรุ่นแรกอายุประมาณ 70 ปี สร้างเวลาใกล้เคียงกับหลวงปู่นาค ปี 84 แต่หลวงปู่หิน สร้างในปี 2482 เป็นจำนวนมาก เพราะท่านทำผงไว้ได้ประมาณ 5-6 กระถางมังกร ได้พระประมาณหลายหมื่นองค์และหลวงปู่หิน ได้มอบผงบางส่วนให้หลวงปู่นาค ไว้สร้างพระด้วย พระสมเด็จของหลวงปู่หินจะแก่ปูน บางองค์จะเนื้อออกคล้ายฟองเต้าหู้คล้ายผิวของพระกรุบางขุนพรหมในองค์ที่ลงกรุหรือองค์ที่ท่านแช่น้ำมนต์หรือ บางครั้งท่านสรงน้ำท่านจะเสกน้ำมนต์ แล้วรดราดใส่กองพระที่วางกองไว้ใต้ต้นไม้ที่อยู่หลังกุฏิพระแล้วใช้ใบไม้แห้งมาปิดทับไว้ ตามแบบพระเกจิอาจารย์รุ่นก่อนๆ เนื้อบางองค์จึงใกล้เคียงกับพระกรุบางขุนพรหม ส่วนพระของหลวงปู่นาคจะผสมมวลสารของท่านเพิ่มและน้ำมันและกล้วย พระของหลวงปู่นาคจึงคล้ายพระสมเด็จโตมากในองค์ที่ผสมผงมาก ส่วนของหลวงปู่หินจะแกร่งปูนบางองค์มีฟองเต้าหู้ จะคล้ายพระกรุบางขุนพรหมครับ (ข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือพระรุ่นเก่าปี 17)

    สรุปประวัติพระสมเด็จหลวงปู่หินวัดระฆัง

    พระสมเด็จหลวงปู่หิน วัดระฆัง มีพุทธคุณสูงส่งมากทาง ด้านเมตตามหานิยม และแคล้วคลาด แม้แต่ทางด้านคงกระพันก็มีเจอมาหลายรายเช่นกัน นอกจากนี้พระสมเด็จของท่าน ยังใช้อาราธนาทำน้ำมนต์ได้ศักดิ์สิทธิ์เป็นยิ่งนัก ใช้รักษาทางโรคคุณไสย หรือ ภูตผีปีศาจเข้าสิงได้เหมือนท่านรดน้ำมนต์เอง ชื่อเสียงทางด้านน้ำมนต์ของดังมาก วันๆมีคนมาให้ท่านรดน้ำมนต์มากมาย ในสมัยสงคราม โลกครั้งที่ 2 พระสมเด็จหลวงปู่หินก็ปรากฏชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายอย่างมาก ซึ่งพระสมเด็จของท่านก็ใช่ว่าจะรู้จักแต่คนไทยสมัยเก่าเท่านั้น แม้แต่คนต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ หรือฮ่องกงหรือ ประเทศมาเลยเชีย หรืออินโดนีเซียเขาก็รู้จักและนิยม พระของหลวงปู่ท่านมานานแล้ว ปัจจุบันพระของหลวงปู่ท่านยังพอหาได้อยู่บ้าง
    resized_RIMG0096.jpg resized_RIMG0097.jpg resized_RIMG0098.jpg resized_RIMG0099.jpg resized_RIMG0100.jpg resized_RIMG0101.jpg resized_RIMG0102.jpg resized_RIMG0103.jpg resized_RIMG0104.jpg resized_RIMG0105.jpg
     
  10. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    1. พระสมเด็จ พิมพ์อกครุฑเศียรบาตร(กลาง) หลวงปู่หิน วัดระฆังฯ จ.กรุงเทพมหานคร เนื้อผงพระพุทธคุณ สร้างราวปี พ.ศ. 2484 มีผงสมเด็จวัดระฆังของสมเด็จโตผสมอยู่ พุทธคุณครอบจักรวาล เมตตา มหานิยม แก้ดวงตก มีคราบกรุคลาสสิค พระพิมพ์นี้อยู่ในตำราพิมพ์มาตรฐานของหลวงปู่หินวัดระฆังครับ รับประกันแท้ มาตราฐานสากล สมาคมพระเครื่องพระบูชาไทย *****สนใจแบ่งให้บูชา พิเศษ 1050 บาท*****(พิมพ์นี้มีอยู่ในรายการประกวดพระครับ) ปิดครับ
    พระสมเด็จหลวงปู่หิน วัดระฆัง มีพุทธคุณสูงส่งมากทาง ด้านเมตตามหานิยม และแคล้วคลาด แม้แต่ทางด้านคงกระพันก็มีเจอมาหลายรายเช่นกัน นอกจากนี้พระสมเด็จของท่าน ยังใช้อาราธนาทำน้ำมนต์ได้ศักดิ์สิทธิ์เป็นยิ่งนัก ใช้รักษาทางโรคคุณไสย หรือ ภูตผีปีศาจเข้าสิงได้เหมือนท่านรดน้ำมนต์เอง ชื่อเสียงทางด้านน้ำมนต์ของดังมาก วันๆมีคนมาให้ท่านรดน้ำมนต์มากมาย ในสมัยสงคราม โลกครั้งที่ 2 พระสมเด็จหลวงปู่หินก็ปรากฏชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายอย่างมาก ซึ่งพระสมเด็จของท่านก็ใช่ว่าจะรู้จักแต่คนไทยสมัยเก่าเท่านั้น แม้แต่คนต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ หรือฮ่องกงหรือ ประเทศมาเลยเชีย หรืออินโดนีเซียเขาก็รู้จักและนิยม พระของหลวงปู่ท่านมานานแล้ว ปัจจุบันพระของหลวงปู่ท่านยังพอหาได้อยู่บ้าง
    DSC_0088.JPG DSC_0090.JPG resized_RIMG0099.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2023
  11. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    2. พระสมเด็จพิมพ์ปรกโพธิ์ หลวงปู่หิน วัดระฆังฯ กรุงเทพฯ ลงกรุ แท้ดูง่าย เนื้อผงพุทธคุณ สร้างราวปี พ.ศ. 2500 มีผงสมเด็จวัดระฆังของสมเด็จโตผสมอยู่ พุทธคุณครอบจักรวาล เมตตา มหานิยม แก้ดวงตก มีคราบกรุคลาสสิค พระพิมพ์นี้อยู่ในตำราพิมพ์มาตรฐานของหลวงปู่หินวัดระฆังครับ รับประกันแท้ มาตราฐานสากล สมาคมพระเครื่องพระบูชาไทย *****สนใจแบ่งให้บูชา พิเศษ 850 บาท*****(พิมพ์นี้มีอยู่ในรายการประกวดพระครับ) ปิดครับ
    พระสมเด็จหลวงปู่หิน วัดระฆัง มีพุทธคุณสูงส่งมากทาง ด้านเมตตามหานิยม และแคล้วคลาด แม้แต่ทางด้านคงกระพันก็มีเจอมาหลายรายเช่นกัน นอกจากนี้พระสมเด็จของท่าน ยังใช้อาราธนาทำน้ำมนต์ได้ศักดิ์สิทธิ์เป็นยิ่งนัก ใช้รักษาทางโรคคุณไสย หรือ ภูตผีปีศาจเข้าสิงได้เหมือนท่านรดน้ำมนต์เอง ชื่อเสียงทางด้านน้ำมนต์ของดังมาก วันๆมีคนมาให้ท่านรดน้ำมนต์มากมาย ในสมัยสงคราม โลกครั้งที่ 2 พระสมเด็จหลวงปู่หินก็ปรากฏชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายอย่างมาก ซึ่งพระสมเด็จของท่านก็ใช่ว่าจะรู้จักแต่คนไทยสมัยเก่าเท่านั้น แม้แต่คนต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ หรือฮ่องกงหรือ ประเทศมาเลยเชีย หรืออินโดนีเซียเขาก็รู้จักและนิยม พระของหลวงปู่ท่านมานานแล้ว ปัจจุบันพระของหลวงปู่ท่านยังพอหาได้อยู่บ้าง
    DSC_0094.JPG DSC_0096.JPG 1313035-58f89.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2023
  12. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    สมาชิกพีเอมมาปิด2 รายการนี้ครับ
     
  13. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    รายการงานประกวดพระสายหลวงปู่นาคและหลวงปู่หินวัดระฆัง
    4721a997-0184-4dca-aaed-0875b5d17bfe-F97EE666-4D47-4012-9F83-A6FAA1E6BB65.jpeg 1313035-58f89.jpg
     
  14. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    3. พระสมเด็จ พิมพ์อกครุฑเศียรบาตร(ใหญ่) หลวงปู่หิน วัดระฆังฯ จ.กรุงเทพมหานคร เนื้อผงพระพุทธคุณ สร้างราวปี พ.ศ. 2500 มีผงสมเด็จวัดระฆังของสมเด็จโตผสมอยู่ พุทธคุณครอบจักรวาล เมตตา มหานิยม แก้ดวงตก มีคราบกรุคลาสสิค พระพิมพ์นี้อยู่ในตำราพิมพ์มาตรฐานของหลวงปู่หินวัดระฆังครับ รับประกันแท้ มาตราฐานสากล สมาคมพระเครื่องพระบูชาไทย *****สนใจแบ่งให้บูชา พิเศษ 1050 บาท*****(พิมพ์นี้มีอยู่ในรายการประกวดพระครับ) ปิดครับ
    พระสมเด็จหลวงปู่หิน วัดระฆัง มีพุทธคุณสูงส่งมากทาง ด้านเมตตามหานิยม และแคล้วคลาด แม้แต่ทางด้านคงกระพันก็มีเจอมาหลายรายเช่นกัน นอกจากนี้พระสมเด็จของท่าน ยังใช้อาราธนาทำน้ำมนต์ได้ศักดิ์สิทธิ์เป็นยิ่งนัก ใช้รักษาทางโรคคุณไสย หรือ ภูตผีปีศาจเข้าสิงได้เหมือนท่านรดน้ำมนต์เอง ชื่อเสียงทางด้านน้ำมนต์ของดังมาก วันๆมีคนมาให้ท่านรดน้ำมนต์มากมาย ในสมัยสงคราม โลกครั้งที่ 2 พระสมเด็จหลวงปู่หินก็ปรากฏชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายอย่างมาก ซึ่งพระสมเด็จของท่านก็ใช่ว่าจะรู้จักแต่คนไทยสมัยเก่าเท่านั้น แม้แต่คนต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ หรือฮ่องกงหรือ ประเทศมาเลยเชีย หรืออินโดนีเซียเขาก็รู้จักและนิยม พระของหลวงปู่ท่านมานานแล้ว ปัจจุบันพระของหลวงปู่ท่านยังพอหาได้อยู่บ้าง
    DSC_0257.JPG DSC_0259.JPG 1313035-58f89 (1).jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2023
  15. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    4. พระผงพิมพ์สามเหลี่ยมฐานหมอน หลวงปู่หิน วัดระฆัง พ.ศ.๒๔๙๕ หลวงปู่หิน วัดระฆังฯ จ.กรุงเทพมหานคร เนื้อผงพระพุทธคุณ มีผงสมเด็จวัดระฆังของสมเด็จโตผสมอยู่ พุทธคุณครอบจักรวาล เมตตา มหานิยม แก้ดวงตก มีคราบกรุคลาสสิค พระพิมพ์นี้อยู่ในตำราพิมพ์มาตรฐานของหลวงปู่หินวัดระฆังครับ รับประกันแท้ มาตราฐานสากล สมาคมพระเครื่องพระบูชาไทย *****สนใจแบ่งให้บูชา พิเศษ 850 บาท*****(พิมพ์นี้มีอยู่ในรายการประกวดพระครับ) ***คุณบุญมงคลจองครับ***
    พระสมเด็จหลวงปู่หิน วัดระฆัง มีพุทธคุณสูงส่งมากทาง ด้านเมตตามหานิยม และแคล้วคลาด แม้แต่ทางด้านคงกระพันก็มีเจอมาหลายรายเช่นกัน นอกจากนี้พระสมเด็จของท่าน ยังใช้อาราธนาทำน้ำมนต์ได้ศักดิ์สิทธิ์เป็นยิ่งนัก ใช้รักษาทางโรคคุณไสย หรือ ภูตผีปีศาจเข้าสิงได้เหมือนท่านรดน้ำมนต์เอง ชื่อเสียงทางด้านน้ำมนต์ของดังมาก วันๆมีคนมาให้ท่านรดน้ำมนต์มากมาย ในสมัยสงคราม โลกครั้งที่ 2 พระสมเด็จหลวงปู่หินก็ปรากฏชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายอย่างมาก ซึ่งพระสมเด็จของท่านก็ใช่ว่าจะรู้จักแต่คนไทยสมัยเก่าเท่านั้น แม้แต่คนต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ หรือฮ่องกงหรือ ประเทศมาเลยเชีย หรืออินโดนีเซียเขาก็รู้จักและนิยม พระของหลวงปู่ท่านมานานแล้ว ปัจจุบันพระของหลวงปู่ท่านยังพอหาได้อยู่บ้าง
    DSC_0245.JPG DSC_0247.JPG 1281306-5d189.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2023
  16. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    5. พระสมเด็จ พิมพ์พระสังกัจจายน์ฐานผ้าทิพย์ หลวงปู่หิน วัดระฆังฯ จ.กรุงเทพมหานคร เนื้อผงพระพุทธคุณ สร้างราวปี พ.ศ. 2500 มีผงสมเด็จวัดระฆังของสมเด็จโตผสมอยู่ พุทธคุณครอบจักรวาล เมตตา มหานิยม แก้ดวงตก มีคราบกรุคลาสสิค พระพิมพ์นี้อยู่ในตำราพิมพ์มาตรฐานของหลวงปู่หินวัดระฆังครับ รับประกันแท้ มาตราฐานสากล สมาคมพระเครื่องพระบูชาไทย *****สนใจแบ่งให้บูชา พิเศษ 1050 บาท*****ปิดครับ
    พระสมเด็จหลวงปู่หิน วัดระฆัง มีพุทธคุณสูงส่งมากทาง ด้านเมตตามหานิยม และแคล้วคลาด แม้แต่ทางด้านคงกระพันก็มีเจอมาหลายรายเช่นกัน นอกจากนี้พระสมเด็จของท่าน ยังใช้อาราธนาทำน้ำมนต์ได้ศักดิ์สิทธิ์เป็นยิ่งนัก ใช้รักษาทางโรคคุณไสย หรือ ภูตผีปีศาจเข้าสิงได้เหมือนท่านรดน้ำมนต์เอง ชื่อเสียงทางด้านน้ำมนต์ของดังมาก วันๆมีคนมาให้ท่านรดน้ำมนต์มากมาย ในสมัยสงคราม โลกครั้งที่ 2 พระสมเด็จหลวงปู่หินก็ปรากฏชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายอย่างมาก ซึ่งพระสมเด็จของท่านก็ใช่ว่าจะรู้จักแต่คนไทยสมัยเก่าเท่านั้น แม้แต่คนต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ หรือฮ่องกงหรือ ประเทศมาเลยเชีย หรืออินโดนีเซียเขาก็รู้จักและนิยม พระของหลวงปู่ท่านมานานแล้ว ปัจจุบันพระของหลวงปู่ท่านยังพอหาได้อยู่บ้าง
    DSC_0249.JPG DSC_0251.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2023
  17. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    ปิดรายการนี้ครับ
     
  18. ทองทวี

    ทองทวี “นะโม วิมุตตานัง นะโม วิมุตติยา" สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    488
    ค่าพลัง:
    +1,758
    จอง
     
  19. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    รับทราบการจองครับ...
     
  20. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    รับทราบการจองครับ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...