วอนพระอาจารย์ หรือ ผู้มีความรู้ทั้ง สภาวะธรรมจากการปฏิบัตินี้ เรียกว่าอะไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย อภัยมณี, 26 ธันวาคม 2010.

  1. อภัยมณี

    อภัยมณี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +8
    มันเป็นวันแรกที่ผมเริ่มนั่งสมาธิจากที่ผมไม่ได้นั่งมานาน การได้ดูเทปบรรทึกการเปิดกรรมของแม่ชีทศพร ที่ผมดูจากเว็ปนี้เป็นแรงบรรดาลใจให้เมื่อวานผมอยากสวดมนต์ นั่งสมาธิอย่างจริงจัง

    เวลาเที่ยงคืนเศษของเช้าวันใหม่วันนี้เอง วันที่ 26 ผมจาเล่าเลยนะครับ

    ผมนั่งสมาธิได้ประมาณสิบนาทีกว่าก็รู้สึกปวดหลังเป็นอย่างมาก นั่งแป๊ปเดียวเองก็ปวดแล้ว ปกตินั่งนานๆถึงจะปวด ผมแผ่เมตาให้เจ้ากรรมนายเวร จากนั้นมันก็เริ่มเบาบางลงเย็นวาบที่หลัง มันทุเลาลงจริงๆครับ

    จากนั้นอาการแรกคือ รู้สึกว่าโลกมันหมุนๆ คอเรามันเอียงๆ ตาเราเอียงๆ ยังไงไม่รู้ ผมก็กำหนดพุทโธๆ ตามที่ผมถนัดต่อไป

    ติดๆกัน ลูกนัยย์ตาที่เคยนิ่งสงบนั้นกลับ สั่นรัว เขย่าๆๆ จนผมเริ่มตกใจว่าอะไรเกิดขึ้นกับผม แล้วในสภาวะนั้นมันเหมือนจะไม่สงบ แต่มันมีความนุ่มลึก อย่างไรอธิบายไม่ถูก

    จากนั้นก็มีแสงสีเหลืองวาบเข้ามาที่เบ้าตา เต็มๆตาเลยครับ สว่างมากเลยด้วย ถึงตอนนี้ผมไม่เข้าใจในตัวผมแล้ว อะไรกำลังเกิดขึ้นกับผม

    จากนั้นมีบางสิ่ง คงเป็นแมลงวันที่มาตอม ข้อศอกด้ายซ้ายของผม มันตอดๆ อยู่นั่นแหละ แล้วมันก็เริ่มทิ้งน้ำหนัก มันไม่ใช่แมลงวัน แล้ว ตอนแรกรู้สึกว่าตอดๆ ตอนนี้มันแตะๆๆ แล้ว อะไรไม่รู้มาแตะๆๆๆๆๆ ที่ข้อศอกผมเป็นเวลานานแล้วแสงสีเหลืองนั้นก็ยังอยู่ด้วย ผมไม่รู้ว่าสิ่งนี้เรีกว่าอะไร และนี้มันคือสภาวะธรรมอะไร การปฏิบัติธรรมก้าวหน้าถึงขั้นไหนแล้วเนี่ย

    ผมเจอกับสิ่งที่ขัดขวางการปฏิบัติของผมเข้าแล้วละ วอนพระอาจารย์ หรือ ผู้รู้ ผู้เคยมีประสบการณ์ ช่วยชี้แจง และชี้แนะทางสว่างให้กับผมด้วยครับ ขอบคุณครับ
     
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    มันมีหลายเหตุ หลายปัจจัย ที่จะทำให้เรารู้สึกแปลกๆ เวลานั่นสมาธิ

    ดังนั้น การที่เราจะไปควานหาว่า เพราะเหตุใด เราจึงมีอาการแบบนั้น จึงไม่ใช่ทาง

    บางคนก็เนื่องมาจากกรรมเก่า บางคนก็เนื่องมาจากวิถีจิตที่แสดงอาการเวลาจิตเริ่มจะรวมตัว

    บางคนก็เนื่องมาจากนิมิต บางคนก็มีมารมาผจญ

    ดังนั้นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่ว่า เราจะไปหาคำตอบว่า อาการเหล่านั้น คืออะไร

    แต่ เราต้อง มีสติว่า เรากำลังทำอะไร หน้าที่ของเราคืออะไร ถ้าเรากำหนดว่าหน้าที่ของเราคือ คำบริกรรม ทำให้จิตนิ่ง เราก็ทำคำบริกรรมให้จิตนิ่ง อย่างอื่นจะมีอาการอย่างไร ก็ไม่ต้องไปสนใจ

    มันไม่ต่างอะไร กับ เวลาเรานั่งสมาธิ แล้ว เกิดมีเสียงต่างๆ มารบกวน ถ้าคนทำสมาธิเป็น เราก็ตัดความกังวลกับเสียง แล้วเราก็เจริญคำบริกรรมภาวนาต่อไป จนใจกับคำบริกรรมเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ไปสนใจสิ่งรบกวนภายนอก

    ทีนี้ หากว่า สิ่งอื่นๆ ที่เข้ามารบกวน เป็นแสงบ้าง เป็นสีบ้าง เราก็ค่อยๆ มีสติเตือนตนเอง แล้วหันมาดูที่ใจของเราก่อนอันดับแรก ว่า ให้เราค่อยๆ สังเกตุดูว่า มันมีอาการอย่างไร จิตเราเป็นสมาธิหรือไม่
    ถ้าจิต ตั้งมั่นอยู่ เราก็ควบคุมจิตใจเราให้ตั้งมั่น นิ่ง และ เป็นหนึ่งเดียวต่อไป
    อย่าไปคล้อยตามอาการอื่นๆ ให้ทำจิตให้เหมือน ไม้ปักอยู่กลางสายน้ำ คือ ไม่ว่า สิ่งรอบกาย การรู้การเห็น หรือ ความคิดจะไหวไปอย่างไร ให้ทำจิตนิ่งปักเหมือนไม้อยู่ อย่างนั้น
     
  3. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    การปฏิบัติธรรม คือ การศึกษาเรื่อง จิตและกาย ของตน โดยอาศัย
    สิ่งที่เรียกว่า ความคิด หรือ อาจจะเป็น นิมิต มาเป็นเครื่องประกอบการ
    พิจารณาเพื่อย้อนกลับมาเห็นความเป็นจริง ที่เกิดขึ้น กับ กายหรือจิต

    ความเป็นจริงอย่างแรกที่ต้องหมั่นสังเกตคือ ความคิดก็ดี นิมิตก็ดี มัน
    เกิดขึ้นภายในมายาของจิต ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ กายจริงๆของเรา หรือ
    ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ จิตที่ยังติดกายอยู่

    เช่น ผู้ภาวนาเห็นนิมิต ตัวตายลง เน่าสลาย ผุผัง จนกระทั้ง ชาปณกิจเสร็จ
    จนเป็นเถ้าถ่านปลิวหายไป เมื่อเสร็จ หรือ ยุติการภาวนา กายเนื้อก็ยังปรกติ
    หรือ ภาวนาไปเห็นแสงวูบวาบ หรือเห็นตัวเองกลางเป็นดวงแสงอะไรก็ตาม
    สุดท้ายพอหยุดการภาวนา จิตก็ยังติดอยู่กับกายเหมือนเดิม

    เมื่อทำสมาธิ การรู้การเห็น ก็เป็นอย่างหนึ่ง เมื่อยุติการทำสมาธิ การรู้การเห็น
    ก็เป็นอย่างเดิม เพียงแต่ว่า ประสบการณ์ในการเห็นการพิจารณา ความเท่าทัน
    โลก เราจะมีมากกว่าคนไม่ได้ปฏิบัติ ที่เอาแต่คิดเอา คะเน เอาอย่างเดียว

    เหมือนคนไปดูหนังมาในโรง ระบบเสียงรอบทิศทาง เหมือนจริง จะต่างกับ คน
    ที่อาศัยฟังคนอื่นเล่าเรื่อง ทั้งสองคนจะมีการรับรู้เรื่องที่ศึกษาแตกต่างกัน

    หลวงพ่อพุธ อธิบายเรื่องการเห็นในนิมิตว่า "สิ่งที่เขาเห็นนั้นเขาเห็นจริง แต่สิ่ง
    ที่ถูกเห็นเหล่านั้นไม่จริง" ซึ่งก็หมายถึง ให้ความสำคัญกับอาการ "รู้" "เห็น"
    มากกว่า "ตัวเนื้อหาสาระ" เทียบภาษาอังกฤษคือ "i see them"
    การศึกษาพุทธ จะเน้นที่ see อย่างเดียว ไม่ให้ราคากับ
    them,object ไม่ว่าสิ่งที่ถูกเห็นจะเป็นอะไรก็ตาม

    และเหนือกว่านั้น เราไม่ได้เน้นที่ see ว่าจะเห็นได้ลุ่มลึกอย่างไร
    หรือไม่ แต่เราจะยก see การรู้ การเห็น นั้นแหละคือ ตัว object
    และเรื่องการ see มันเป็น ธรรมชาติอย่างหนึ่งที่ทุกคนมีเท่าเทียม
    กัน แต่ them หรือ object จะมีความแตกต่างกันตามประสบการณ์

    การเน้นการ เห็นอาการรู้ เป็นการสร้าง "สติ" ตามเห็น "จิตแสดงอาการรู้"
    หากแลอยู่ หรือสร้างสติตามเห็นว่า นั่นจิตไปแส่ส่ายแสดงอาการรู้แล้ว เรา
    ก็แค่รู้ว่าจิตมันเป็นธาตุรู้อย่างหนึ่ง ดูเรื่อยๆ ดูเนืองๆ จะค่อยเห็นว่า เรา
    ไม่สามารถห้ามจิตไม่ให้แสดงอาการรู้ได้เลย ต่อให้เหลือแต่อาการ
    รู้โดดๆ(เหลือแต่จิต) มันก็สามารถยกขึ้นตามเห็น จิตแสดงอาการ
    รู้ว่างๆ ได้อยู่ดี ( ถ้าถึงที่สุด จิตจะตามรู้ตัวจิตเอง เห็นตัวจิตเอง
    เป็นวัตถุถูกรู้ถูกดู )

    เห็นได้แบบนี้ ก็จะทราบว่า ทำไมเราถึงไม่ให้ราคากับ สิ่งที่ถูกเห็น หาก
    แม้นตัวจิตเอง ก็กลายเป็นสิ่งที่ถูกยกขึ้นเห็นได้ ก็จะมีแต่คนไม่เคยปฏิบัติ
    ไม่เคยสดับธรรมะเท่านั้นที่จะหมายเอาอะไรกับจิตที่เป็นเพียงธาตุรู้อย่าง
    หนึ่งเท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2010
  4. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ธรรมชาติของจิต นอกจาก มันจะทำหน้าที่ รู้ เป็นธาตุรู้แล้ว

    จิตยังมีหน้าที่ "คิด"

    การที่ จิต มันมีหน้าที่คิด มันย่อมคิดในเรื่องที่เคยสดับมาก่อน

    เรื่องราว วัตถุ หรือ นิมิต อะไรก็ตามที่เราเคยสดับมาก่อน แล้วจิตมัน
    จะแสดงอาการคิดโดยที่ไม่หลุดออกไปจากเรื่องราวที่เคยสดับมานั้น
    จะเรียกว่า "ข่ายทิฏฐิ" เปรียบเหมือน ตามข่ายเส้นเอ็นบางใสอัน
    เกิดจากเราถูกคลุม(เคยไปสดับ) ถูกถักทอขึ้นเป็น ตาข่าย ตัวจิตที่
    ทำหน้าที่คิดเปรียบเหมือน "ปลา" ปลานั้นหากอยู่ในข่ายทิฏฐิใด
    (เคยสดับ)การจะหลุดออกไปจาก "ตาข่าย" นั้น ย่อมเป็นเรืองยาก

    จากเมื่อก่อน อาการคันยุกยิก ก็อาจจะเป็นเรื่อง มดไต่ ยุงไต่ แมลงวัน
    ไต่ ขึ้นอยู่กับผู้รู้สึกติดรำคาญมีวิภวตัณหาอยู่กับสัตว์ชนิดใดมากที่
    สุด ชื่อสัตว์นั้นก็คือตาข่ายทิฏฐิที่ดักเราให้ติดแล่นไปคิดว่าเป็น ทั้งๆที่
    อาจจะเป็น การเสื่อมสลายของสะเก็ดหนัง หรือต่อมเหงือมันกำลังทำ
    หน้าที่

    แต่พอเราไปสดับธรรมอันยิ่งมา ตาข่ายทิฏฐิชนิดใหม่ ก็มีเข้ามา ละเอียด
    ขึ้น บางเบาและใสขึ้น หยุดได้ยากขึ้น ติดเข้าไปแล้วก็ยังไม่อาจจะรู้ว่าติด
    จนกว่ามันจะแสดงอาการเหนียว หรือ ให้ผลบางอย่างทำร้ายกายและใจ
    ก็จะพอเห็นว่า ติดตาข่ายทิฏฐินั้นเพิ่มเข้ามาอีก

    ทีนี้ เรามาศึกษาธรรมะ ตาข่ายทิฏฐิ ก็จะถูกป้อนเข้ามา เราก็ต้องอาศัยเข้า
    ไปติดเข้าไปข้อง และ ก็รู้จักแก้ รู้จักแกะ ติดข่ายทิฏฐิที่ละเอียดแค่ไหน การ
    แก้ได้ หรือ ข้ามได้ มันก็เป็นความสามารถไปเรื่อยๆ หากตาข่ายทิฏฐินั้นเป็น
    สัมมาทิฏฐิแล้ว การหลุดออกจากเขตสัมมาทิฏฐิจะมีแต่ประโยชน์ (อันนี้อย่า
    ศึกษาธรรมะด้วย ตรรกะศาสตร์นะ หากใช้ ตรรกศาสตร์ การหลุดออกจากเขต
    สัมมาทิฏฐิ เราจะลักลั่นคิดไปว่า หลุดไปเป็น มิจฉาทิฏฐิ นี่ข่ายทิฏฐิที่ชื่อ
    นักตรรกศาสตร์มันเล่นงานเอา ด้วยระบบ set หรือ subset)

    * * * *

    ที่บรรยายมา ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า การศึกษาธรรมะ เราควรมีการวางตัวอย่างไร

    หากเราวางตัวถูก เข้าใจว่า ศึกษาอะไร เพื่ออะไร ทำอย่างไร เมื่อไหร่เหมาะ กับ
    ใครเราควรปฏิบัติด้วยอย่างไร โอกาสจะเห็นปัญหา หรือ มองเห็นว่า การปฏิบัติ
    ธรรมคือสิ่งที่นำปัญหามาให้ มันจะถูกกำจัดออก เราจะศึกษาธรรมะได้อย่าง
    สนุก ร่าเริงใจ มากกว่า จะสับสน หรือ ก่อโทษให้เกิดกับตน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2010
  5. kontatip

    kontatip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +112
    เฮ้ยเหมือนผมตอนนั่งแรกๆ

    นั่งแปปนึงเหมือนโลกหมุนอ่า

    เหมือนมีเเรงดูด

    เเละก็มีแสงวาบเข้าที่หน้าาสว่างงมาก

    รุสึกเหมือนมีคนยืนมองอยู่ด้วยตอนนั้นตกใจมาก

    เลยถอนเเล้วนอนเลย

    ขนลุกด้วยย
     
  6. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,165
    ถ้าเราติดใจขัดข้องอยู่ตรงไหน มันก็คือเราติดใจขัดข้องอยู่ตรงนั้น
    เราไม่ติดใจขัดข้องอยู่ตรงไหน เราก็ไม่ติดใจขัดข้องอยู่ตรงนั้น
    แค่รู้รู้ แล้วก็ให้มันผ่านไป เราไม่ติดอยู่ตรงไหน เราจึงไปต่อไปได้เรื่อยๆ ได้ผ่านสิ่งต่างๆได้เรื่อยๆ ได้มากกว่าที่เราจะติดอยู่ตรงไหน

    ไปต่อเถอะให้ถึงประโยชน์ที่แท้แห่งการภาวนา
    ปัญญารออยู่

    หากมันเป็นแค่อาการต่างๆ ที่ไม่ได้ทำให้เกิดปัญญา ที่จะทำให้คลายลง ซึ่งโลภ โกรธ หลงได้แล้ว ก็ยังไม่ใช่อานิสงค์ ที่แท้แห่งการภาวนา อันจะเป็นไปเพื่อการเปลื้องทุกข์ทั้งหลาย

    ไปต่อเถอะให้ถึงประโยชน์ที่แท้แห่งการภาวนา
    ปัญญารออยู่

    อนุโมทนาในความสนใจในธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2010
  7. กรวี

    กรวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +263

    อะไรจะเกิดช่างมันผ่านแล้วก้อผ่านไป
    จับสติให้ได้เป็นพอ... ลูกช่างตลอดชีวิต หุหุหุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...