ร่วมทำบุญบูชา มงคลตัดผ่านสวรรยามหากุมารต้นไฟอมฤต(สลายจุดชะลอชะตาสี่มหาฤทธิ์พญา) พ่ออาจารย์พล

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย คุรุปาละ, 12 ตุลาคม 2014.

  1. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,105
    ค่าพลัง:
    +16,530
    พูดคุยยามเช้า

    อรุณสวัสดิ์ครับ พอดีมีคนถามเกี่ยวกับเรื่องผีๆ ว่าถ้าญาติตายไปเป็นเปรตจะทำบุญอย่างไรให้เขาได้กิน วันนี้ก็เลยจะมาพูดถึงเรื่องผีเปรตพอให้เข้าใจกันเพราะเปรตวิสัยภูมิก็ถือว่าเป็นภูมิใหญ่ในอบายภูมิทั้งสี่เช่นกัน

    เปรตตามความเชื่อไทย เป็นผี มีรูปร่างสูงเท่าต้นตาล ผมยาว คอยาว ผอมโซ ผิวดำ ท้องโต มือเท่าใบตาล แต่มีปากเท่ารูเข็ม และเปรตจะหิวอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากกินอะไรไม่ได้ จึงชอบมาขอส่วนบุญในงานบุญต่างๆ ซึ่งเมื่อสะสมบุญได้แล้วเกิดใหม่ชาติหน้าจะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมานอย่างที่เป็นอยู่ ซึ่งจากลักษณะนี้ทำให้คำว่า เปรต กลายมาเป็นคำด่าในภาษาไทยที่หมายถึง คนที่อดอยากผอมโซ เที่ยวรบกวนขอเขากิน หรือเมื่อมีใครได้โชคลาภก็เข้ามาขอแบ่งปัน

    ประเภทของผีเปรต(มีหลายตำรา)

    1. วันตาสาเปรต – เมื่อเห็นมนุษย์ถ่มเสลดจะดีใจไปดูดเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นอาหาร แต่กินแล้วก็ยังหิวโหยจนกว่าจะหมดเวร เชื่อว่าชาติก่อนขี้เหนียวเห็นคนตกยากก็ถ่มเสลดใส่หรือเข้าไปสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ก็ถ่มใส่
    2. กุณปขาทาเปรต – ชอบคุ้ยหาซากศพสัตว์เน่าเหม็นกินด้วยความหิวโหย เชื่อว่าตอนเป็นมนุษย์ขี้เหนียวเวลามีคนมาขอทานก็ให้ของเน่าเสียเพื่อประชด
    3. คูถขาทาเปรต – ชอบมองหาอุจจาระของสิ่งมีชีวิตเอามาเป็นอาหาร เชื่อว่า ตอนเป็นมนุษย์พอเห็นพี่น้องมีปัญหาหรือคนมาขอความช่วยเหลือก็จะเกิดความไม่พอใจ ขับไล่ไสส่งเหมือนสัตว์ด้วยคำหยาบคาย
    4. อัคคิชาลมุขาเปรต – รูปร่างผอม ไฟแลบจากปากตลอดเวลาจนแสบร้อน เชื่อว่าตอนเป็นมนุษย์เวลามีคนมาขอก็ให้สิ่งร้อนๆ กลับไปจะได้เลิกมาขอ
    5. สุจิมุขาเปรต – เท้าใหญ่ คอยาว ปากเท่ารูเข็ม กินอะไรไม่ได้มาก เชื่อว่าตอนเป็นมนุษย์เวลาใครขออาหารก็ไม่อยากให้ หวงสมบัติ
    6. ตัณขาชิตาเปรต – จะเดินไปเรื่อยๆ ในการหาของกิน พอเห็นบ่อน้ำก็ดีใจ แต่พอไปถึงกลับเป็นอย่างอื่น เชื่อว่าตอนเป็นมนุษย์หวงข้าวปลาอาหาร ปิดหม้อไม่ให้ใครทั้งสิ้น
    7. นิชฌามักกาเปรต – รูปร่างเหมือนเสาต้นไม้ที่ไฟไหม้ เหม็น มือเท้าง่อย ริมฝีปากบนทับล่าง ฟันยาวมีเขี้ยวออกมา อยู่ที่เดิมตลอด เชื่อว่าตอนเป็นมนุษย์จิตใจหยาบในทุกด้าน เห็นคนมีศีลก็แสดงเยาะเย้ย เห็นพ่อแม่ป่วยก็ทำให้ตกใจเพื่อจะได้เสียไวๆ
    8. สัพพังคาเปรต – ร่างใหญ่ เล็บมือเท้ายาวคมเหมือนมีด งอเหมือนตะขอ ชอบข่วนร่างกายตัวเองกินเลือดเนื้อตัวเอง เชื่อว่าตอนเป็นมนุษย์ชอบเอาเปรียบคนอื่น
    9. ปัพพตังคาเปรต – ร่างกายใหญ่โต กลางคืนสว่างจากเปลวไฟ กลางวันควันล้อมรอบ เชื่อว่าตอนเป็นมนุษย์เอาไฟเผาบ้านเรือนสถานที่ต่างๆ
    10. อชครเปรต – คล้ายสัตว์เดรัจฉาน แต่ไฟจะไหม้ตลอดเวลา เชื่อว่าตอนเป็นมนุษย์เวลามีคนมีศีลมาเยี่ยมกํเปรียบเขาเหมือนสัตว์
    11. เวมานิกเปรต – มีวิมานทองเป็นทิพย์ เสวยสุขแค่บางเวลา เชื่อว่าตอนเป็นมนุษย์ทำบุญมากแต่ไม่รักษาศีลอย่างจริงจัง
    12. มหิทธิกาเปรต – มีฤทธิ์กับรูปร่างเหมือนเทวดา แต่อดอยากตลอด เชื่อว่าตอนเป็นมนุษย์ก็บวชแต่ใจยังเกียจคร้านต่อการบำเพ็ญเพียรต่างๆ
    วิธีแก้ไขหากไม่ต้องการเป็นเปรต
    ก็คือพยายามทำความดีเอาไว้ให้เยอะๆ แล้วสิ่งที่อธิบายถึงสาเหตุในการเป็นเปรตแต่ละประเภทก็เลี่ยงที่จะทำถือว่าเป็นวิธีการที่ดีที่สุด

    296fdde1cd55120c40233d6fb1e12327-d25vj52.jpg
     
  2. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,105
    ค่าพลัง:
    +16,530
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่วิศณุกร EV 4401 3226 6 TH

    พี่ศิระ EV 4401 3227 0 TH

    พี่นฤชา EV 4401 3228 3 TH

    พี่วราภรณ์ EV 4401 3229 7 TH

    พี่พรเทพ EV 4401 3230 6 TH
     
  3. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,105
    ค่าพลัง:
    +16,530
    พญาไก่เถื่อน

    หากกล่าวถึงวิชาพญาไก่เถื่อนของพ่ออาจารย์ท่าน ต้องเรียกว่าในยุคนี้ก็ไม่เป็นสองรองใครด้วยท่านทำกรรมฐานขอเรียนโดยตรงจากสมเด็จอาจารย์ปู่พระสังฆราชสุกของท่าน วันนี้จึงจะยกบทความเกี่ยวกับนัยยะและความสำคัญของพระคาถาพญาไก่เถื่อนมาให้ศึกษากันก่อน

    เวทาสากุ กุสาทาเว ทายะสาตะ ตะสายะทา สาสาทิกุ กุทิสาสา กุตะกุภู ภูกุตะกุ
    พระคาถาพระยาไก่เถื่อน เป็นพระคาถานำพระคาถาทั้งปวง ใช้ในทางสำเร็จประโยชน์ ผู้ใช้พระคาถานี้ต้องมีสมาธิจิตเป็นเอกัคตาจิตขั้นสูงถึงเมตตาเจโตวิมุตติจึงจะใช้พระคาถานี้ได้ เพราะเป็นพระคาถามหาเมตตาปลดปล่อยสัตว์และปลดปล่อยจิตตัวเอง

    พระคาถาพระยาไก่เถื่อนเกี่ยวเนื่องกับไก่ป่ามากมาย ด้วยไก่ป่านี้ปราดเปรียวคอยหนีคน หนีภัยอย่างเดียว เหมือนกับจิตของคน ไก่ป่าเชื่องคนยาก เหมือนจิตของคนเราก็เชื่องต่ออารมณ์ยากมากเหมือนกัน ไก่ป่าแม้เสกข้าวด้วยเมตตาให้กิน แรกๆมันก็จะไม่กล้าเข้ามาหาคน นานๆเข้าจึงจะกล้าเข้าหาคนเหมือนจิตคนเราก็ชอบท่องเที่ยวไปไกลตามธรรมารมณ์ต่างๆ ฝึกตั้งจิตเป็นสมาธิแรกๆนั้นจิตมักจะอยู่พักเดียวก็เตลิดต่อนานๆไป เมื่อจิตชินต่ออารมณ์ดีแล้วจึงจะเชื่องและตั้งมั่นเป็นสมาธิ

    "พระคาถาไก่เถื่อนสี่วรรค แต่ละวรรคกลับไปกลับมา เป็นอนุโลมปฏิโลมหมายถึงอะไร"

    "แต่ละวรรค หมายถึงโลกธรรมแปด

    วรรค ๑ หมายถึง มีลาภ เสื่อมลาภ
    วรรค ๒หมายถึงมียศ เสื่อมยศ

    วรรค๓หมายถึง มีสรรเสริญ ก็มีนินทา
    วรรค๔ หมายถึง มีสุข ก็มีทุกข์ ทุกอย่างย่อมแปรปรวนมีดี และมีชั่ว ไม่แน่นอน ไม่ควรยึดติด มีหยาบ มีละเอียด"

    สมเด็จพระสังฆราชสุกทรงยกองค์คุณแห่งไก่ปาในมิลินท์ปัญหา ดังว่า ผู้ที่จะได้บรรลุมรรดผล นิพพานต้องประกอบด้วยคุณสมบัติอันเปรียบเทียบได้กับ องค์คุณแห่งไก่หรือไก่ป่า มี ๕ ประการ ดังนี้คือ
    ๑.เมื่อเวลายังมืดอยู่ ก็ไม่บินลงหากิน
    ๒. พอสว่าง ก็บินลงหากิน
    ๓.จะกินอาหาร ก็ใช้เท้าเขี่ยเสียก่อน แล้วจึงจิกกิน
    ๔.กลางวันมีตาใสสว่างเห็นอะไรได้ถนัดแต่เวลากลางคืนตาฟางคล้ายคนตาบอด
    ๕. เมื่อถูกเขาขว้างปา หรือถูกตะเพิดไม่ให้เข้ารัง ก็ไม่ทิ้งรังของตน

    นี้เป็นองค์คุณ ๕ ประการของไก่ผู้มุ่งมรรค ผล ต้องประกอบให้ได้กับคุณสมบัติอันเปรียบเทียบได้กับองค์คุณเหล่านี้คือ
    ๑. เวลาเช้าปัดกวาดที่อยู่ และจัดตั้งเครื่องใช้สอยไว้ให้เรียบร้อย อาบน้ำชำระกายให้สะอาด บูชากราบไหว้ ปูชณียวัตถุ และวัฒบุคคล
    ๒.ครั้นสว่างแล้ว จึงกระทำการหาเลี้ยงชีพตามหน้าที่แห่งเพศของตน
    ๓. พิจารณาก่อนแล้วจึงบริโภคอาหาร ดังพุทธภาษิตว่า ผู้บริโภคอาหารพึงพิจารณา เห็นเหมือนคนบริโภคเนื้อบุตรของตนในทางกันดารแล้วไม่มัวเมามุ่งแต่จะทรงชีวิตไว้ เพื่อทำประโยชน์สุข แก่ตนและผู้อื่น
    ๔. ตาไม่บอดก็พึงทำเหมือนคนตาบอด คือไม่ยินดี ยินร้าย ดุจภาษิต ที่พระมหากัจจายนะกล่าวไว้ว่ มีตาดีก็พึงทำเป็นเหมือนคนตาบอด มีหูได้ยินก็พึงเป็นเหมือนหูหนวก มีลิ้นเจรจาได้ก็พึงเป็นเหมือนคนใบ้ มีกำลังก็พึงเป็นเหมือนคนอ่อนเพลีย เรื่องร้ายเกิดขึ้นก็พึงนอนนิ่งเสียเหมือนคนนอนเฉยอยู่ฉะนั้น
    ๕. จะทำ จะพูด ไม่พึงละสติสัมปชัญญะ ประหนึ่งไก่ป่าไม่ทิ้งรังฉะนั้น ถ้าปฏิบัติได้อย่างนี้จะบรรลุ มรรด ผล นิพพาน

    296fdde1cd55120c40233d6fb1e12327-d25vj52.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2018
  4. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,105
    ค่าพลัง:
    +16,530
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่สายเมธี EV 4401 3290 7 TH

    พี่ภิญโญ EV 4401 3291 5 TH
     
  5. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,105
    ค่าพลัง:
    +16,530
    มีไลน์มาสอบถามกันเยอะว่าพ่ออาจารย์ท่านมีอะไรแบบที่ลงวิชาพญาไก่เถื่อนของสมเด็จสุกไว้เต็มวิชา ขอแบบของจริงๆไม่ใช่ของเล่นที่มีทำกันเกลื่อนๆบ้างมั๊ย

    คำถามนี้เดี๋ยวจะเอามาคุยต่อยอดให้รอบเย็น บอกได้แค่ว่า มี แต่ไก่ของพ่ออาจารย์นั้นใช้ได้มากหลายทาง ทั้งรุก ทั้งรับ แถมนอกจากวิชาพญาไก่แล้วท่านยังเสริมวิชา...ของหลวงพ่อเงิน วัดบางคลานลงไปด้วย เรียกได้ว่าวิธีการใช้ไก่ของท่านนับว่าพิศดารกว่าปกติจริงๆ
     
  6. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,105
    ค่าพลัง:
    +16,530
    พูดคุยรอบเย็น

    เรื่องของไก่
    เกี่ยวกับวิชาไก่ของพ่ออาจารย์นั้น ท่านว่าไก่เป็นสัตว์ให้คุณที่มีสัญลักษณ์ต่างๆตามร่างกายอยู่ 5 ประการ คือ
    ตัวไก่ หมายถึง ความขยัน ทำมาหากิน
    หงอนไก่ หมายถึง สติปัญญา
    เดือยไก่ หมายถึง อาวุธ
    การต่อสู้ หมายถึง ความกล้าหาญ
    การขันตอนเช้า หมายถึง ความยึดมั่น

    ทั้งนี้ท่านว่าไก่ที่ได้สร้างตามตำรับวิชาของสมเด็จสุกนั้น ยังใช้ได้ในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะทางเมตตา การพูด การเจรจา จนถึงขั้นถ้าทำเต็มวิชาก็จะเป็นมหาเสน่ห์ทีเดียว นอกจากนั้นยังได้ทางหากินเก่ง หากินง่าย กินไม่เหลือ กินไม่เลือกอีกด้วย เรียกว่าโชคลาภอยู่ที่ไหนก็พร้อมขุดคุ้ยกันจนกว่าจะเจอ แต่เหนือสิ่งอื่นใดวิชาไก่ของพ่ออาจารย์นั้นยังทำให้จิตปลอดโปร่ง มีสติยั้งคิดจนกลายเป็นหยิบจับอะไร ทำอะไร ใช้สมองคิดหรือไตร่ตรองอะไรก็ล้วนรู้แจ้งแทงตลอดคล่องแคล่วทะลุปรุโปร่งอุปมาเหมือนคนมีปัญญามาก มีความคิดปลอดโปร่งแจ่มใส พร้อมกับการแก้ปัญหาและการใช้ชีวิต....

    แต่ทั้งนี้ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องพื้นๆ ท่านว่าจริงอยู่ที่เสกไก่พยนต์เป็นไก่ฟ้า ไก่แก้ว ใช้ได้ทั้งการป้องกันตัว ข่มภูติผีปีศาจทั้งหลาย แต่ถ้าหากทำไก่อาคมทั้งทีแล้วทำได้ดีเพียงเท่านั้น ท่านกึงกับพูดไว้ว่า เราถือว่าน่าผิดหวัง

    พญาไก่ของพ่ออาจารย์นี้ท่านเรียกว่ามงคลฟื้นวาสนา เพราะวาสนาที่หดหาย จืดจางลง ประกอบด้วยปัจจัยหลักๆหลายด้านเช่นเหตุผลทางเศรษฐกิน การเงิน การจับจ่ายใช้สอยที่ฟืดเคือง... ด้วยปัจจัยต่างๆรุมเร้าท่านว่าแม้คนดวงดีมีวาสนาก็ยังหากินยาก ดังนั้นพญาไก่ของท่านจึงเป็นมงคลฟื้นวาสนาอย่างแท้จริง ด้วยท่านนำวิชาทำตะกรุดมือเรียกทรัพย์(วิชาเรียกเงิน) ของหลวงพ่อเงินวัดบางคลานที่หาคนทำได้ยากมาลงไว้ที่ไก่ด้วย

    ท่านว่าเมื่อทำวิชานี้จะต้องใช้เงินจริงๆมาทำเอาเงินมาลงอาถรรพ์พระเจ้าเงินตรา และตัววิชาที่ลงตะกรุดกับเงินก็แยกจากกันไม่ได้เป็นกฤติยาคมแฝด ดุจว่าตะกรุดนี้เรียกเงินมาเข้ามือเราตลอด เงินหายอาถรรพ์หายท่านว่าวาสนาก็หมด เช่นนั้นพ่ออาจารย์ท่านจึงทำผง...เพื่อผนึกเงินไว้กับไก่ เสกให้ไก่วิ่งเข้าหาเงิน ฉกฉวยทรัพย์ ขุดคุ้ยโอกาส เมื่อตะกรุดในไก่ผนึกกับเงินอยู่ที่ตัวไก่ก็เสกให้ไก่หาทรัพย์คาบเงินวิ่งเข้ามือเราตลอดตามสายวิชาหลวงพ่อเงิน

    ซึ่งวิชานี้ท่านประยุกต์มาจากวิชาเรียกเงินของหลวงพ่อเงิน โดยวิชานี้ท่านว่าสมัยก่อนหลวงพ่อเงินท่านทำให้ใครมีแต่รวยขึ้นถ่ายเดียว พ่ออาจารย์ท่านว่าหลวงพ่อเงินนั้นท่านไม่ได้มีดีเฉพาะคงกระพันหนังเหนียวนะ แต่ท่านเรียกเงินให้ลูกศิษย์เปลี่ยนฐานะได้สมชื่อท่านเลย เพียงแต่ท่านเลือกทำ เลือกคนรับ

    พ่ออาจารย์ท่านลงวิชาเรียกเงินไว้ ท่านจึงตั้งชื่อไก่ว่ามงคลฟื้นวาสนา เพราะท่านทดลองแล้วถึงสองหน
    - หนแรก เอาให้เศรษฐีโรงงานที่โดนพิษเศรษฐกิจเจ๊งจนคิดฆ่าตัวตายเอาไปใช้ฟื้นตัวจนมีดอกออกผลมากกว่าเก่าสมัยเป็นเศรษฐีได้เรียกว่ากลับมามีชีวิตใหม่เลิกคิดฆ่าตัวตายมีแต่คิดจะขยายกิจการอย่างเดียวเท่านั้น
    - หนที่สอง นำไปให้คนชาติแขกที่นับถือท่านทำกิจการส่งออกผ้าที่ฝืดเคืองพลิกกับมาขายดีกว่าตอนที่สร้างกิจการได้
    ท่านว่าวิชาของหลวงพ่อเงินนี้ไม่ธรรมดาหรอก ไม่เช่นนั้นสมัยก่อนคงไม่ต้องเลือกคนเพื่อรับวิชา ท่านว่าทำทีก็ทำยากต้องทำไก่ ลงตะกรุด ลงผง เสกเงินลงอาถรรพ์พระเจ้าเงินตรา กว่าจะเอาทั้งหมดมาผูกเข้าด้วยกันเป็นเป็นมงคลอาถรรพ์ที่ใช้ให้คนฟื้นตัว ตั้งตัวได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ท่านว่าวิชานี้อาถรรพ์สูงถึงขนาดว่าถ้านำมาลงในตัวคนแทนแล้วแม้บุคคลผู้นั้นตายไป นำศพไปฝังไว้ตรงไหน สถานที่ตรงนั้นแม้เป็นป่าช้าก็ยังเจริญรุ่งเรืองกลายเป็นนิคมหรืออาณาจักรได้

    ในโอกาสนี้ท่านว่าการทำมาหากินหลายๆคนบอกว่าแย่ด้วยปัจจัยรุมเร้ารอบด้านในระดับชาวบ้าน ทั้งรายได้ต่ำ ค่าครองชีพสูง การใช้จ่ายมากมายหลายทาง ทุกอย่างไม่สอดคล้องกันเลย ประกอบกับคนถามหากันแต่แพะ ซึ่งก็ให้บูชาหมดไปแล้วของก็ไม่มีให้เขา เขาถามหาแมงมุมซึ่งก็หมดไปแล้วไม่มีของจะให้เขาอีกเช่นกันเพราะท่านถือสัจจะไม่ทำเพิ่มใครจองทันก็ได้ไป ท่านจึงพิจารณาให้เอาไก่เถื่อนเจ้าฟ้านี่แหละไปใช้แทนกัน ท่านว่าเพราะไก่นี่เก่งมากมีดีหลายเรื่อง และวิชานี้ก็ไม่ใช่จะทำได้บ่อยเพราะท่านอธิษฐานขอหลวงพ่อเงินไว้เพียงครั้งเดียว ครั้งเดียวที่จะใช้วิชาเรียกเงินของหลวงพ่อ วิชามือเรียกทรัพย์ของหลวงพ่อมาเรียกทรัพย์ให้เข้ามือที่สำคัญมีอาถรรพ์ที่ฟื้นวาสนาเศรษฐีล้มละลายถึงขนาดคิดฆ่าตัวตายมาได้แล้ว ดังนั้นใครที่ไม่ทันรอบแพะกับแมงมุมก็ติดตามกันดีๆ ขอแค่เอาไปใช้ตามเคล็ดที่ท่านให้เพื่อเปลี่ยนและฟื้นวาสนาตัวเองทุกอย่างจะเปลี่ยนไปในทางที่มองเห็นได้แบบเป็นรูปธรรม

    * รายการนี้ติดตามดีๆ ท่านให้ออกเพียงหลักร้อยเท่านั้นเพื่อให้คนใช้มีโอกาสได้เอาไปอธิษฐานให้เหมาะสมกับกิจการหน้าที่ของตนเอง ท่านว่านานๆจะทำวิชาไก่ของสมเด็จสุกท่านแบบเต็มสูตรเต็มวิชาเพื่อบูชาครูทั้งยังแฝงเคล็ดวิชาของหลวงพ่อเงินไว้ในตัวด้วย วิชาไก่เถื่อนนี้จะดีอย่างไรไว้ติดตามกันแบบละเอียดๆห้ามพลาด

    296fdde1cd55120c40233d6fb1e12327-d25vj52.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2018
  7. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,105
    ค่าพลัง:
    +16,530
    ร่วมทำบุญบูชา มงคลฟื้นวาสนาไก่เถื่อนเจ้าฟ้าพญาแถน(ตะกรุดมือเรียกทรัพย์วิชาเรียกเงิน)

    ย้อนกลับไปในอดีตกาลอันยาวนานนับหาประมาณกาลเวลามิได้ เมื่อพระกกุสันโธเสวยพระชาติเป็นไก่ป่านั้น ในกาลต่อมาก็มีการนำชื่อสัตว์เหล่านั้นมาตั้งเป็นนามของพระพุทธเจ้า เป็นรูป เป็นนาม เป็นอาการสามสิบสองของพระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์ คือ พระกกุสันโธ พระโกนาคมโน พระกัสสปะ พระโคตโม พระศรีอริยเมตไตย เช่นนั้นเมื่อพ่ออาจารย์ท่านจะทำพญาไก่เถื่อนตามตำรับสมเด็จพระสังฆราชสุก ให้ทรงคุณวิชาสูงสุด ขลังที่สุด ท่านจึงได้เอ่ยอ้างอดีตชาติแห่งสมเด็จพระกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้าอันเป็นปฐมพุทธเจ้าในภัทรกัปนี้ พร้อมเชิญบารมีของพระองค์อาราธนามาสำเร็จเครื่องมงคลเพื่อให้ได้พญาไก่เถื่อนที่มีอานุภาพสูงสุด..มีอานุภาพมาก แม้ผู้ใดได้บูชาเป็นนิจสินก็จะเกิดลาภสักการะทั้งยศฐาบริวารไหลหลั่งมามิรู้ขาด ทำมาค้าขึ้น กิจการที่ประกอบล้วนราบรื่นเป็นไปด้วยดีไม่มีอุปสรรค แม้จะทำนา ทำสวน ทำไร่ผลการเกษตรก็เจริญงอกงามดี ทั้งทำให้บังเกิดสติปัญญามีมโนสำนึกแจ่มใสดุจพระพุทธโฆษาจารย์อันได้ชื่อว่ามีปัญญามากในหมู่สงฆ์ทั้งหลาย ถ้าอาราธนาติดตัวไว้เวลาจะเดินทางไปหนใด ไปทำกิจการงานใดหากมีอันตรายก็ให้คลาดแคล้วจากภัยทั้งหลายดีนักแล หากบูชาอย่างมีสติหมั่นสั่งสมคุณงามความดีตามหลักวิธีองค์คุณสมบัติของพญาไก่เถื่อน ในบั้นปลายก็จะบรรลุพระนิพพานด้วยเมตตาบารมีนี้เอง

    ในยุคสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์นี้ เห็นจะมีแต่สมเด็จพระสังฆราช(สุก ไก่เถื่อน) ที่ได้ทรงแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของวิชานี้ เพราะท่านสามารถใช้คาถาจนไก่ป่าเดินเข้ามาจิกอาหารจากมือท่านได้ แม้ท่านเดินไปที่ใดไก่ป่าที่ได้ชื่อว่าตื่นกลัวมนุษย์อย่างถึงที่สุดก็เดินตามท่านไปเป็นฝูง ด้วยไก่ป่านี้มีนิสัยปราดเปรียว มักจะคอยหนีคนหนีภัยอย่างเดียวเพราะเชื่องกับคนยาก แต่ท่านก็ยังสามารถเสกข้าวด้วยเมตตาให้กินจนไก่ป่าที่หวาดกลัวภัยของมนุษย์นั้นเชื่องได้ ท่านปฏิบัติตามองค์คุณแห่งไก่ป่าจนถึงซึ่งมรรคผลนิพพานเป็นที่สุด

    เกี่ยวกับวิชาไก่ของพ่ออาจารย์นั้น ท่านว่าไก่เป็นสัตว์ให้คุณที่มีสัญลักษณ์ต่างๆตามร่างกายอยู่ 5 ประการ คือ
    ตัวไก่ หมายถึง ความขยัน ทำมาหากิน
    หงอนไก่ หมายถึง สติปัญญา
    เดือยไก่ หมายถึง อาวุธ
    การต่อสู้ หมายถึง ความกล้าหาญ
    การขันตอนเช้า หมายถึง ความยึดมั่น
    ดังนั้น เมื่อท่านทำไก่แก้วพญาแถนหรือไก่เถื่อนของเจ้าสวรรค์ ท่านจึงใส่ใจในองค์คุณทั้งหมดของวิชาไก่เป็นพิเศษ ท่านว่าหากเสกให้มีชีวิตจิตวิญญาณลงอาการสามสิบสองเฉยๆใครก็ทำได้ แต่การสร้างไก่ให้เพียบพร้อมด้วยคุณทั้งห้าจนแสดงผลตอบสนองแก่ผู้ใช้นั่นแหละ จึงจะเป็นไปได้ยาก ในเมื่อทำแล้วก็ต้องทำให้ตรงตามคุณห้าประการนั้น ทำให้ได้ดั่งที่สมเด็จพระกกุสันโธท่านรับสั่งไว้ เพื่อให้ได้ไก่แก้วที่เก่งที่สุด


    พญาไก่เถื่อนที่พ่ออาจารย์ท่านได้เมตตาลงคาถาวิชาโบราณเรียกอักขระคาถาแผ่นจารทั้งตัวขอม ตัวธรรม ทั้งเวทย์สวรรค์ ทั้งอักษรปัลวะหล่อหลอมขึ้นมานั้น ท่านว่าชนวนมวลสารมีไม่มากทำได้น้อย ท่านจึงหลอมออกมาเป็นตัวเล็กๆเพื่อให้ง่ายต่อการพกพา อันพญาไก่นี้นอกจากดีด้านทำมาหากิน คือหากินง่าย หากินเก่ง กินไม่เหลือ กินไม่เลือก เรียกว่าโชคลาภอยู่ที่ไหนก็พร้อมขุดคุ้ยกันจนกว่าจะเจอแล้ว แม้นผู้ใดได้อาราธนาท่านว่าให้สังเกตุดูนะวันนั้นเจ้าจะมีสติ มีคติ มีมโนสำนึกที่แจ่มใส มีกำลังใจสูงส่งอย่างน่าประหลาด ก็ไอ้กำลังใจตัวนี้แหละที่จะเปลี่ยนชะตาคนได้จะดูดดึงมงคล ลาภสักการะ และเรื่องราวดีๆที่มันตรงกับความคิด ความต้องการจะเข้ามาหาเจ้าได้ทำอะไรก็ล้วนสำเร็จด้วยกำลังใจทั้งสิ้น ทั้งยังทำให้มีปัญญามากดั่งพระพุทธโฆษาจารย์ด้วยคติและสติพร้อมมโนสำนึกนั้นใสกระจ่างแล้วนั่นเอง

    ทั้งคุณแห่งไก่ป่านั้นยังขันขานได้ไพเราะนัก ครูบาอาจารย์แต่โบราณท่านยกคุณสมบัติไว้ว่าเสียงไก่ป่าขันดุจเสียงสาลิกาสวรรค์ ดังนั้นวิชาไก่เถื่อนที่เสกเต็มวิชาจึงเป็นทั้งเมตตามหาเสน่ห์ เป็นทั้งอาถรรพ์ทำให้วาจาคำพูดนั้นน่าฟังน่าเชื่อถือยิ่งกว่าลงสาลิกาใดๆ ทั้งยังเป็นอาถรรพ์ที่จะปลอบประโลมสิ่งมีชีวิตแลจิตวิญญาณรอบด้านให้ผ่อนปรน ให้รู้สึกสบายตัวอย่างน่าประหลาดด้วยวิชาไก่เถื่อนแท้ๆนั้นเป็นกระแสเมตตาเจโตวิมุติที่ใช้เพื่อปลดปล่อยพันธนาการจิตวิญญาณของตนเองและผู้อื่นโดยถ้วนทั่ว ด้วยการปลอบประโลมนี้สรรพสัตว์ มนุษย์และเทวดาทั้งหลายล้วนจะเกิดความรู้สึกดี ความปรารถนาดี ความเมตตาแก่เจ้าของไก่เถื่อนนี้ตามคติวิชาเมตตามหานิยมขั้นสูงสุด เป็นกระแสเมตตาเจโตวิมุติที่ชุมเย็นเป็นที่สุด

    นอกจากนั้นท่านว่าเสียงไก่ธรรมดายังใช้ปลุกคนได้ แล้วเสียงขันพญาไก่เถื่อนนั้นเล่า พ่ออาจารย์ท่านถึงกับอุปมาไว้ว่า"กลในไก่ขันให้คนตื่น" ด้วยคำๆนี้ เฉพาะคำๆนี้ พ่อาจารย์ท่านว่ามีค่ายิ่งยวดนักเพราะคำๆนี้สมเด็จพระกกุสันโธท่านรับสั่งไว้ อุปมาดั่งชีวิตที่เงียบสนิท ชีวิตที่หลับใหล ไร้สีสัน ไร้ชีวิตชีวา คือชีวิตที่หยุดความก้าวหน้าไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆแล้ว ชีวิตเหล่านี้ล้วนแต่จะตื่นขึ้น ตื่นเพื่อเจริญก้าวหน้า ตื่นพ้นจากอวิชาและอกุศลกรรมทั้งหลาย ด้วยอาถรรพ์คุณวิชาพญาไก่เถื่อนนี้เองอันนี้พ่ออาจารย์ท่านว่าเป็นการตื่นทางโลกียะ อีกส่วนหนึ่งคือการตื่นขึ้นทางโลกุตระโดยนัยยะของคำพูดนั้นพ่ออาจารย์ท่านว่ามันกว้างมากนะ ถ้ามีสติพอจะระลึกได้ คงรู้ว่าการตื่นนั้นหมายถึงการตื่นรู้ ตื่นจากความเป็นปุถุชนกลายเป็นอริยบุคคล ตื่นจากห้วงทุกข์เข้าสู่พระนิพพานดุจดั่งสมเด็จพระสังฆราชสุกเช่นนั้น นี่คือการตื่นตามองค์คุณพญาไก่เถื่อนอย่างแท้จริง

    เช่นนั้นวิชาพญาไก่เถื่อนนี้พ่ออาจารย์ท่านจึงพูดว่าทำได้ยากและมีความลึกซึ้งมากนัก ถ้าไม่ได้สมเด็จพระสังฆราชสุกแลบารมีสมเด็จพระกกุสันโธแล้ว จะทำไก่เถื่อนนี้ให้เต็มวิชาได้คงหาใครที่ทำสำเร็จไปกว่าทั้งสองท่านแล้วเป็นไม่มี นอกจากนี้อำนาจพญาไก่เถื่อนยังได้ชื่อว่าเป็นตบะเดชะยิ่งนัก หากพูดถึงตบะแล้วหลายคนจะนึกถึงตบะเสือหากแต่ตบะของพญาไก่เถื่อนที่ใช้สะกดสรรพชีวิตนั้นเป็นตบะที่เกิดจากพลังเมตตาต่างจากตบะที่น่าหวาดกลัวของสัตว์อื่น ทั้งคุณแห่งวิชาพญาไก่เถื่อนของพ่ออาจารย์นั้น ท่านว่าให้พกติดตัวไว้เถิด ใจเราจะเกิดลางสังหรณ์พิเศษที่เรียกว่าญาณหยั่งรู้ขึ้นมา ไอ้ญาณตัวนี้นั้นสำคัญนักเพราะอาจสามารถรู้ใจคนได้ รู้ความคิด รู้น้ำใจของเค้าที่จะปรากฏชัดอยู่ในความรู้สึกของเราดุจพญาไก่เถื่อนที่รู้กลิ่นตัวคน รู้ว่าใครมาดีมาร้ายหมายชีวิตเช่นนั้น เมื่อหยั่งรู้น้ำใจผู้อื่นแล้วท่านว่าให้เชื่อความรู้สึกตัวเองเป็นที่สุดเถิดแล้วจะรู้ว่าใครเขาร้ายหรือดีกับเราและเราควรจะปฏิบัติตอบเค้าเช่นใด

    และด้วยอำนาจแปลกประหลาดของไก่เถื่อนเจ้าฟ้าพญาแถนนี้ พ่ออาจารย์ท่านว่าปกติภูติผีปีศาจจะเกรงกลัวไก่เถื่อนนัก มงคลไก่เถื่อนนี้ก็เช่นกันผีร้าย วิญญาณบาปทั้งหลายล้วนเกรงกลัวจะตกตายด้วยอำนาจพญาไก่ยิ่งนัก ที่สำคัญที่สุด พ่ออาจารย์ท่านว่าสำคัญเหนือกว่าผีเลยก็คือคน เพราะคนนี่แหละที่เลี้ยงผี ทั้งผีที่เป็นวิญญาณ กับผีในจิตใจที่คิดโทษให้ร้ายรังแกคนอื่น ท่านว่าด้วยอาถรรพ์พญาไก่เถื่อนที่ท่านลงไว้นี้นับว่าแปลกมาก เพราะใครมีมีผีในใจ ใครที่มาร้ายไม่หวังดีกับเรา ถึงเขาจะมาได้แต่เขาล้วนล้มหมด ท่านว่าคนล้มสมัยนี้ลุกยากนะ มันยิ่งกว่าแพ้ภัยตัวเองเสียอีกเพราะหากชีวิตเขาล้มแล้วย่อมไม่เหลืออำนาจใดๆมารังแกเราอีกเลย นี่คืออาถรรพ์แห่งพญาไก่เถื่อนที่จะมาเปลี่ยนชีวิตคน นั่นคือไม่ว่าใครก็ข่มเราไม่ได้ ล้วนล้มหายตกต่ำไปทั้งสิ้นพ่ายแพ้แก่อำนาจเรา

    พ่ออาจารย์ท่านนอกจากจะเสกไก่ให้เป็นมหาภูติมีชีวิตแล้ว ท่านยังลงคุณห้าประการให้ครบเพราะตั้งใจจะทำไว้ให้คนยกระดับขยับฐานะกัน เขาจะได้ลืมตาอ้าปากได้ด้วยการทำมาหากิน โชคลาภวาสนาการเงินนั้นสำคัญ และไก่เถื่อนก็มีความสามารถทางขวนขวายทรัพย์จะเห็นได้จากคนโบราณที่สังเกตจากพฤติกรรมของไก่มาประกอบเปรียบเทียบไว้ว่าไก่ฝูงหนึ่ง มักมีตัวผู้เป็นจ่าฝูงเพียงตัวเดียว แต่มีตัวเมียล้อมรอบนับสิบ นี่จึงเป็นกฤติยาคมแฝดทางมหาเสน่ห์ ทั้งยังสื่อว่าแม้บุรุษเพียงคนเดียวก็ยังหาเลี้ยงภรรยาได้นับสิบ พญาไก่เถื่อนนี้จึงเก่งทางขวนขวายทรัพย์มาก พ่ออาจารย์ท่านว่าเราพูดอะไรมากไม่ได้ บอกได้แค่เก่งมากจนเหลือกินเหลือใช้เผื่อแผ่ให้ผู้อื่นได้ทุกชีวิต ด้วยอานุภาพไก่เถื่อนมีคุณดั่งแก้วสารพัดนึก นึกสิ่งใดย่อมสมปรารถนาในสิ่งนั้นทุกอย่าง ขอเพียงให้ศรัทธาเชื่อมั่นไว้เถิด จะเกิดลาภผลอย่างประเสริฐ ทั้งเป็นทางอยู่ยงคงกระพัน เป็นเมตตา เป็นมหาอำนาจ มีตบะเดชะครบถ้วน แม้มีบูชาไว้และหมั่นภาวนาพระคาถาให้ได้ทุกวันแล้วไซร้ย่อมเป็นเจ้าคนนายคน ไม่มีวันอับจน มีผู้คนเมตตาอุปถัมภ์โดยตลอดแล

    แต่ทั้งนี้ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องพื้นๆ ท่านว่าจริงอยู่ที่เสกไก่พยนต์เป็นไก่ฟ้า ไก่แก้ว ใช้ได้ทั้งการป้องกันตัว ข่มภูติผีปีศาจทั้งหลาย แต่ถ้าหากทำไก่อาคมทั้งทีแล้วทำได้ดีเพียงเท่านั้น ท่านกึงกับพูดไว้ว่า "เราถือว่าน่าผิดหวัง"

    พญาไก่ของพ่ออาจารย์นี้ท่านเรียกว่ามงคลฟื้นวาสนา เพราะท่านตั้งใจทำให้วาสนาที่หดหาย จืดจางลงด้วยเหตุผลอันประกอบด้วยปัจจัยหลักๆหลายด้านเช่นเหตุผลทางเศรษฐกิจ การเงิน การจับจ่ายใช้สอยที่ฝืดเคือง... ด้วยปัจจัยต่างๆรุมเร้าท่านว่าแม้คนดวงดีมีวาสนาก็ยังหากินยาก ดังนั้นพญาไก่ของท่านจึงเป็นมงคลฟื้นวาสนาอย่างแท้จริงเพราะท่านนำวิชาทำตะกรุดมือเรียกทรัพย์(วิชาเรียกเงิน) ของหลวงพ่อเงินวัดบางคลานที่หาคนทำได้ยากมาลงไว้ที่ไก่ด้วย

    ท่านว่าเมื่อทำวิชานี้จะต้องใช้เงินจริงๆมาทำ เริ่มตั้งแต่เอาเงินมาลงอาถรรพ์พระเจ้าเงินตรา และข้อสำคัญตัววิชาที่ลงตะกรุดกับเงินเสกนี้ก็แยกจากกันไม่ได้ด้วยนะท่านว่าเป็นกฤติยาคมแฝด ดุจว่าตะกรุดนี้เรียกเงินมาเข้ามือเราตลอด ท่านใช้เงินเป็นตัวล่อเพื่อให้ไก่ไปหาเงิน ใช้เงินแท้ๆที่เปรียบดั่งขุมทรัพย์แผ่นดินเสกให้เชื่อมโยงเงินทั้งหมดเข้าด้วยกัน ด้วยว่าเงินหายอาถรรพ์หายท่านว่าวาสนาก็หมดดังนั้นท่านจึงต้องผนึกเงินไว้กับไก่ เช่นนั้นพ่ออาจารย์ท่านจึงทำผงเงินล้านด้วยสูตรหลวงพ่อปานเพื่อผนึกเงินไว้กับไก่ท่านว่านอกจากกันเงินเสกหายยังจะได้ขอบารมีสองพระอริยะเจ้าทั้งหลวงพ่อเงินและหลวงพ่อปานมาสงเคราะห์อีกพร้อมๆกัน ท่านเสกให้ไก่วิ่งเข้าหาเงิน ฉกฉวยทรัพย์ ขุดคุ้ยโอกาส เมื่อตะกรุดในไก่ผนึกกับเงินอยู่ที่ตัวไก่ก็เสกให้ไก่หาทรัพย์คาบเงินวิ่งเข้ามือเราตลอดตามสายวิชาหลวงพ่อเงินที่ใช้เงินล่อเงินเข้ามาไม่หยุดเราเป็นเจ้าของก็มีหน้าที่ฉกฉวยนั่นเอง ซึ่งวิชานี้ท่านประยุกต์มาจากวิชาเรียกเงินของหลวงพ่อเงิน โดยวิชานี้ท่านว่าสมัยก่อนหลวงพ่อเงินท่านทำให้ใครมีแต่รวยขึ้นถ่ายเดียว พ่ออาจารย์ท่านว่าหลวงพ่อเงินนั้นท่านไม่ได้มีดีเฉพาะคงกระพันหนังเหนียวนะ แต่ท่านเรียกเงินให้ลูกศิษย์เปลี่ยนฐานะได้สมชื่อท่านเลย เพียงแต่ท่านเลือกทำ เลือกคนรับ

    พ่ออาจารย์ท่านลงวิชาเรียกเงินไว้ ท่านจึงตั้งชื่อไก่ว่ามงคลฟื้นวาสนา เพราะท่านทดลองแล้วถึงสองหน
    - หนแรก เอาให้เศรษฐีโรงงานที่โดนพิษเศรษฐกิจเจ๊งจนคิดฆ่าตัวตายเอาไปใช้ฟื้นตัวจนมีดอกออกผลมากกว่าเก่าสมัยเป็นเศรษฐีได้ เรียกว่ากลับมามีชีวิตใหม่เลิกคิดฆ่าตัวตายมีแต่คิดจะขยายกิจการอย่างเดียวเท่านั้น
    - หนที่สอง นำไปให้คนชาติแขกที่นับถือท่านทำกิจการส่งออกผ้าที่ฝืดเคืองพลิกกับมาขายดีกว่าตอนที่สร้างกิจการได้
    ท่านว่าวิชาของหลวงพ่อเงินนี้ไม่ธรรมดาหรอก ไม่เช่นนั้นสมัยก่อนคงไม่ต้องเลือกคนเพื่อรับวิชา ท่านว่าทำทีก็ทำยากต้องทำไก่ ลงตะกรุด ลงผง เสกเงินลงอาถรรพ์พระเจ้าเงินตรากว่าจะเอาทั้งหมดมาผูกเข้าด้วยกันเป็นเป็นมงคลอาถรรพ์ที่ใช้ให้คนฟื้นตัวตั้งตัวได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ท่านว่าวิชานี้อาถรรพ์สูงถึงขนาดว่าถ้านำมาลงในตัวคนแทนแล้วแม้บุคคลผู้นั้นตายไป นำศพไปฝังไว้ตรงไหน สถานที่ตรงนั้นแม้เป็นป่าช้าก็ยังเจริญรุ่งเรืองกลายเป็นนิคมหรืออาณาจักรได้


    ด้วยปัจจุบันนี้ท่านว่าการทำมาหากินหลายๆคนบอกว่าแย่ลงเพราะคนไม่ยอมใช้จ่ายด้วยปัจจัยต่างๆที่รุมเร้ารอบด้านในการดำรงชีวิตระดับชาวบ้าน ทั้งรายได้ต่ำ ค่าครองชีพสูง มีการใช้จ่ายไม่จำเป็นจากสิ่งที่ไม่คิดคิดมากมายหลายทาง ทุกอย่างไม่สอดคล้องกันเลย ท่านจึงพิจารณาให้เอาไก่เถื่อนเจ้าฟ้านี่แหละไปใช้แทนกัน ท่านว่าเพราะไก่นี่เก่งมากมีดีหลายเรื่อง และวิชานี้ก็ไม่ใช่จะทำได้บ่อยเพราะท่านอธิษฐานขอหลวงพ่อเงินไว้เพียงครั้งเดียว ครั้งเดียวที่จะใช้วิชาเรียกเงินของหลวงพ่อ วิชามือเรียกทรัพย์ของหลวงพ่อมาเรียกทรัพย์ให้เข้ามือ

    คาถาบูชา
    เวทาสากุ กุสาทาเว ทายะสาตะ ตะสายะทา สาสาทิกุ กุทิสาสา กุตะกุภู ภูกุตะกุ

    *****เคล็ดการนำไปใช้
    - พ่ออาจารย์ท่านว่าอาราธนาไว้กับตัวมีอิทธิคุณดังที่กล่าวไปข้างต้น ดั่งที่ว่านี่เป็นวิชาพญาไก่สอดประสานกับผงคุณวิชาสายหลวงพ่อปานและอาถรรพ์วิชาหลวงพ่อเงิน ใครมีบารมีรับได้กี่ตนเขาจะรู้ได้ด้วยตัวเอง ตรงนี้มันขึ้นอยู่กับบารมีนะพ่ออาจารย์ท่านว่าถ้าบารมีเขาถึงมีบริวารเยอะก็ยิ่งดี ด้วยพญาไก่นี่เขาขยันยิ่งเลี้ยงได้มากก็ยิ่งดีมากเพราะหลายๆแรงช่วยกันขวนขวายย่อมดีกว่าทำคนเดียว
    - ถ้าหากจะใช้พลิกชีวิต ให้นำไก่เถื่อนสี่ตัวนำไปวางไว้ไว้ที่สี่มุมเรือนท่านว่าต้องครบทั้งสี่มุมนะจึงจะต้องอาถรรพ์ เป็นการลงอาถรรพ์ในห้องหรือสถานที่อันตัวเราพักอาศัย ด้วยสันดานไก่ป่าไม่ทิ้งรัง ถ้าเอาไว้ในเรือนหรือห้องหับอันเป็นที่อยู่ตนเขาก็จะขวนขวายโชคลาภเข้าเรือนเข้าชีวิตทำลายอาถรรพ์แก้เคล็ดได้ทุกอย่าง ให้สังเกตุได้เลยว่าจะเจอเรื่องดีๆในชีวิตถี่ขึ้น ห้องหับที่อยู่อาศัยจะแน่นหนาไปด้วยทรัพย์สมบัติจนไม่มีที่เก็บ แม้นำไปไว้ในห้างร้าน ที่ดิน หรือสถานที่ประกอบกิจการตนเองก็ดีพ่ออาจารย์ท่านว่าก็ต้องวางหรือฝังไว้ทั้งสี่มุมเช่นกันถ้าทำได้นี่ก็ให้คุณมากด้วยสันดานไก่ป่าไม่ทิ้งรังทั้งยังหวงแหนรังของเขา เขาจะขวนขวายทำให้สถานที่นั้นเจริญรุุ่งเรืองมากยิ่งๆขึ้นไปถึงขนาดที่ว่าต่อให้กิจการย่ำแย่เงียบดั่งป้าช้ายังเจริญเปลี่ยนมาเป็นนิคมมีผู้คนเข้าออกไม่ขาดได้ทีเดียว พ่ออาจารย์ท่านว่าบอกได้เพียงเท่านี้เพราะครูบาอาจารย์ท่านห้ามพูด และข้อดีของการฝังหรือวางอาถรรพ์สี่มุมนั้นยังป้องกันโจรผู้ร้ายไม่ให้เข้าปล้นได้อีกด้วย ทั้งอสุรกายภูติผี วิญญาณบาปทั้งหลายล้วนไม่สามารถล่วงเกินเข้ามาในรังของพญาไก่เถื่อนนี้ได้ ถ้าวางไว้ในที่ทำงานหรือกิจการตนแม้ใครมาติดต่องานก็เสมอว่าเขาแพ้แก่อำนาจเราตั้งแต่เริ่มนั่นทีเดียว


    ร่วมทำบุญบูชา มงคลฟื้นวาสนาไก่เถื่อนเจ้าฟ้าพญาแถน(ตะกรุดมือเรียกทรัพย์วิชาเรียกเงิน) บูชา 800 บาท

    38765865_2075948139335745_5754705016371806208_n.jpg 38831525_275830956554228_8480696243469680640_n.jpg
    38794488_664278293943457_3978297119587958784_n.jpg 38675475_665671420462746_8699130574972911616_n.jpg
    38737619_272124390051259_8068165107135283200_n.jpg
     
  8. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,105
    ค่าพลัง:
    +16,530
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่ปกรณ์เกียรติ EV 4401 3321 3 TH
     
  9. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,105
    ค่าพลัง:
    +16,530
    ฝากคำถามไว้ PM เข้ามากันนะครับ ถ้าโทรมาไม่ได้รับหรือไลน์มาไม่ได้อ่าน แจ้งไว้ทาง PM นะครับ
     
  10. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,105
    ค่าพลัง:
    +16,530
    ความเชื่อเรื่องไก่

    อรุณสวัสดิ์นะครับ ก็จะนำความเชื่อโบราณเกี่ยวกับเรื่องของไก่ว่าเป็นสัญลักษณ์อะไรสามารถนำไปทำอะไรได้บ้างมาให้อ่านกัน ตรงนี้ลองอ่านดูแล้วใครที่มีไก่ของพ่ออาจารย์ท่านก็ลองทำตามกันได้เลย บอกได้แค่ว่านี่เป็นยอดของเครื่องรางประเภทไก่แล้ว นำไปใช้ได้กับวัตถุประสงค์หลากหลายทางมากๆ

    มงคลสัญลักษณ์ของไก่

    ไก่นั้นเป็นสัญลักษณ์ของพระอาทิตย์ขึ้น ว่ากันว่าถ้าในวันปีใหม่เสียงแรกที่ได้ยินตอนตื่นขึ้นมายามเช้าเป็นเสียงไก่ขันนั้น จะทำให้ปีนั้นโชคดีไปทั้งปี

    “ไก่” คือสัญลักษณ์ของความภักดี กล้าหาญ มีเมตตา และซื่อสัตย์ นอกจากนี้คนโบราณยังยกให้ไก่เป็นสัตว์มงคลที่สามารถขับไล่ภูตผีปีศาจ เพราะเชื่อว่าผีที่ออกอาละวาดในตอนกลางคืนจะหายไปเมื่อได้ยินเสียงไก่ขันในตอนรุ่งเช้านั่นเอง

    ไก่มงคล สัญลักษณ์แห่งการเติบโตทางตำแหน่งการงาน ทั้งนี้เชื่อกันว่าไก่มงคลจะช่วยกระตุ้นโชคลาภ รักษาทรัพย์ และพอกพูนทรัพย์แด่ผู้ครอบครองและครอบครัว ทั้งยังป้องกันภัยสิ่งชั่วร้ายภยันตรายต่างๆไม่ให้มากล้ำกราย ทั้งคนจีนยังใช้ไก่เป็นสัญลักษณ์มงคลในเรื่องของตำแหน่งทางการงานและใช้เพื่อป้องกันไฟ เป็นสิริมงคลต่อบ้านในทางเรียกโชคลาภเงินทอง บันดาลโชคลาภและเงินทอง

    ที่ใดมีไก่มงคลเชื่อกันว่าเหมือนมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำบ้านมาช่วยเสริมบุญบารมี ถ้าเลี้ยงไว้จะนำโชคลาภมาสู่เจ้าของซึ่งเป็นความเชื่อมาแต่โบราณ ใครประสบก็เชื่อคนไม่เชื่อก็ไม่นำมาเป็นสมบัติจึงไม่เห็นผล

    ไก่เป็นสัตว์มงคลส่งเสริมในเรื่องของความขยันทำมาหากิน ในหลักฮวงจุ้ยสามารถนำมาตั้งไว้ในทิศใต้จะช่วยป้องกันการทะเลาะเบาะแว้งในสถานที่นั้นได้ หรือบ้านไหนที่มีเสาไฟฟ้าบริเวณบ้านที่เป็นลักษณะยุ่งพันกันก็เอาไก่ไปวางไว้บริเวณนั้น จะช่วยลดความวุ่นว่ายที่จะเกิดขึ้นภายในบ้านได้

    สัญลักษณ์ของไก่นั้นจะบันดาลโชคลาภและเงินทองให้หลั่งไหลเข้ามาในบ้านอยู่ตลอดเวลา เพราะเชื่อกันว่าไก่นั้นขยันขันแข็งในการทำมาหากิน

    แม้การชิงดีชิงเด่นในชีวิตประจำวัน จะพบเห็นได้ทั่วไปในที่ทำงาน เชื่อกันว่าวิธีต้านทานพลังงานด้านลบที่เกิดขึ้นนี้ให้การแข่งขันชิงดีชิงเด่นหมดไปก็คือการใช้ไก่อาคมนี่เองซึ่งจะทำให้ที่ทำงานที่เราเอาไก่ติดตัวไปนั้นจะช่วยสยบการมีปากเสียง การแทงข้างหลัง และการชิงดีชิงเด่นกันได้

    ให้ตั้งไก่อาคมไว้ทางทิศใต้ของที่ทำงานเพื่อกระตุ้นให้เรากลายเป็นที่ยอมรับของเพื่อนร่วมงาน ทั้งทำให้สังคมเห็นคุณค่าในความสามารถ ความพยายามของเรา

    และยังสามารถนำมาใช้เพื่อสลายพลังปราณชี่พิฆาต ในลักษณะของหนอนพิฆาต เช่นบ้านที่สามารถมองเห็นเสาอากาศ ที่มีสายไฟระโยงระยาง เสาไฟฟ้าแรงสูงหรือเสาทีวีที่มีรูปทรงคล้ายหนอนหรือตะขาบ โดยมองจากทางหน้าต่างหรือประตูบ้านซึ่งลักษณะของหนอนพิฆาตนี้จะส่งผลให้ผู้อยู่อาศัยในบ้านมีเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยและมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุพลังปราณชี่หนอนพิฆาตเหล่านี้

    สามารถแก้ไขได้โดยการตั้งไก่อาคมให้หันหน้าไปยังปราณชี่พิฆาตนั้นๆ ทั้งช่วยกระตุ้นโชคลาภ รักษาทรัพย์ และพอกพูนทรัพย์ แด่ผู้ครอบครอง และครอบครัว ป้องกันภัยสิ่งชั่วร้ายภยันตรายต่างๆ ไม่มากร้ำกราย


    38765865_2075948139335745_5754705016371806208_n.jpg
     
  11. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,105
    ค่าพลัง:
    +16,530
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่ศิระ EV 4402 1178 5 TH

    พี่ฐิตกาญจน์ EV 4402 1179 4 TH

    พี่กรธัช EV 4402 1180 3 TH
     
  12. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,105
    ค่าพลัง:
    +16,530
    ตอบ PM ครบนะครับ พรุ่งนี้มาติดตามพุดคุยกันเดี๋ยวจะยกพวกคำถามที่ฝากๆไว้มาคุย ;)
     
  13. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,105
    ค่าพลัง:
    +16,530
    พระไพรีพินาศ

    อรุณสวัสดิ์ครับ ก็มีคนถามหาบูชากันมาเรื่อยๆว่าพ่ออาจารย์ท่านเคยสร้างพระแนวพระไพรีพินาศบ้างมั๊ย อันนี้ก็เข้า่ใจจุดประสงค์คนถามว่าวัตถุประสงค์ชัดเจนเลยจะนำประวัติพระไพรีพินาศองค์จริงมาให้อ่านกันคร่าวๆ

    พระไพรีพินาศ เป็นพระพุทธรูปศิลาปิดทอง ศิลปะศรีวิชัย ปางประทานพร (คล้ายปางมารวิชัย เพียงแต่หงายพระหัตถ์ขวา) ประวัติการสร้างไม่ปรากฏแน่ชัด ทราบแต่เพียงว่ามีผู้นำมาทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ตั้งแต่ครั้งทรงผนวชและประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร พระองค์ทรงเชื่อว่าพระพุทธรูปองค์นี้มีอานุภาพกำจัดภัย ให้ผู้ที่คิดร้ายพ่ายแพ้พระบารมี

    เรื่องมีอยู่ว่า.. เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) เสด็จออกผนวชเมื่อเจริญพระชนมายุครบตามเกณฑ์ ทรงผนวชได้เพียง 15 วัน ก็เกิดเหตุการณ์ผลัดแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สมเด็จพระบรมชนกนาถ รัชกาลที่ 2 เสด็จสวรรคตอย่างปัจจุบัน

    ตามกฎมณเฑียรบาลแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 (หรือ "เจ้าฟ้ามงกุฎ" ในขณะนั้น) ควรจะได้รับราชสมบัติต่อจากรัชกาลที่ 2 เพราะทรงเป็นพระราชโอรสที่มีพระราชสมภพจากพระอัครมเหสีของรัชกาลที่ 2 คือสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ มีฐานันดรศักดิ์เป็น "สมเด็จหน่อพระพุทธเจ้า" จัดว่าเป็นอันดับสูงสุดในพระบรมวงศานุวงศ์ มีฐานะเป็นรัชทายาท และเวลานั้น ตำแหน่งวังหน้าซึ่งถือเป็นตำแหน่งรัชทายาทก็ยังว่างอยู่ ภายหลังจากที่กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์สิ้นพระชนม์ รัชกาลที่ 2 ก็มิได้ทรงตั้งวังหน้าขึ้นใหม่ตลอดรัชกาล แต่ราชสมบัติกลับมิได้ตกแก่เจ้าฟ้ามงกุฎตามที่กฏมณเฑียรบาลกำหนดไว้

    ในสมัยรัชกาลที่ 2 ผู้กำกับดูแลราชการต่างพระเนตรพระกรรณมีอยู่ 3 พระองค์ คือ วังหน้า กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ กำกับดูแลราชการแผ่นดินทั่วไป เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี กำกับกรมวังและมหาดไทย กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (ต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3) กำกับกรมพระคลังมหาสมบัติ ครั้นเมื่อวังหน้าสิ้นพระชนม์ กรมหลวงพิทักษ์มนตรีก็เข้ามากำกับดูแลแทน แต่อยู่ได้เพียง 5 ปี ก็สิ้นพระชนม์อีก จึงเหลือเพียงกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์พระองค์เดียว ที่กำกับดูแลราชการทั้งหลายทั้งปวง

    เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) ใกล้เสด็จสวรรคตนั้น ทรงพระประชวรจนตรัสไม่ได้ จึงมิได้ระบุว่าจะมอบราชสมบัติให้แก่ผู้ใด พระราชวงศ์และเสนาบดีทั้งหลาย จึงเห็นพ้องกันให้ทูลเชิญกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ พระราชโอรสองค์โตอันเกิดจากพระสนมของรัชกาลที่ 2 คือเจ้าจอมมารดาเรียม ขึ้นครองราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา เป็นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3)

    เจ้าฟ้ามงกุฎ แม้จะมีสิทธิโดยชอบธรรมด้วยเป็นพระราชโอรสองค์โตอันเกิดจากพระอัครมเหสี แต่ยังอ่อนวัยวุฒิ คุณวุฒิ รวมถึงอำนาจบารมีส่วนพระองค์ อีกทั้งถูกคุกคามจากพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายที่สนับสนุนกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ โดยเฉพาะจากกรมหลวงรักษณ์รณเรศ (พระองค์เจ้าไกรสร) ลวงให้เสด็จเข้าไปในพระบรมมหาราชวังและถูกควบคุมตัวไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นเวลาหลายวัน จนกระทั่งเมื่อกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ได้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้ว พระองค์จึงได้รับการปล่อยตัวให้เสด็จกลับไปประทับที่วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส ในปัจจุบัน) ดังเดิม ความปรากฏในโคลงลิลิตมหามกุฏราชคุณานุสรณ์ คัดมาโดยย่อว่า

    เขาเชิญไปวัดแก้ว มรกต อกอา
    พัก ณ พระอุโบสถ ต่างเฝ้า
    อ้างองค์พระทรงพรต พลุกพล่าน สมฤา
    อละหม่านแต่งทหารเข้า แวดล้อมวงรวัง

    ประทับขังอุโบสถสิ้น สัปตวาร พ่ออา
    ห่างมิตศิษย์บริพาร ผ่อนเฝ้า
    คึกคักแต่พนักงาน สนมนิเว สะรักษ์ฤา
    คอยพิทักษ์สมศักดิ์เจ้า พระฟ้าประดาผงม

    กรมหลวงรักษ์รณเรศ หรือพระองค์เจ้าไกรสรนี้ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ 1) อันเกิดกับเจ้าจอมมารดาน้อยแก้ว ต่อมาในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) ได้รับการสถาปนาเป็นกรมหมื่นรักษ์รณเรศ และได้เลื่อนขึ้นเป็นกรมหลวงรักษ์รณเรศในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ด้วยเป็นเจ้านายพระองค์สำคัญที่มีความดีความชอบในการพรากราชสมบัติให้พลัดจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาตกแก่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

    เมื่อเหตุการณ์ลงเอยเช่นนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ "วชิรญาณภิกขุ" ในขณะนั้น ทรงรับรู้ถึงความไม่ปลอดภัยของพระองค์เอง จำต้องปลีกตัวหนีห่างจากกิจการที่เกี่ยวกับอาณาจักร จึงตัดสินพระทัยที่จะผนวชอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ต่อไปไม่มีกำหนดเพื่อหลบราชภัย อย่างไรก็ตาม แม้พระองค์จะมิได้เสวยราชย์และดำรงอยู่ในเพศบรรพชิต ก็ยังถูกกรมหลวงรักษ์รณเรศ (พระองค์เจ้าไกรสร) คุกคามกลั่นแกล้งอยู่ตลอดเวลา

    คราวหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ประชุมคณะพระมหาเถระผู้สอบในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จออกทรงแปลทุกวัน ทรงพระปรีชาสามารถมาก แปลพักเดียวได้ตลอดประโยคไม่มีพลาดพลั้งให้มหาเถระต้องทักท้วงเลย วันแรกแปลคัมภีร์ธรรมบทประโยค 1-2-3 วันที่สองเสด็จเข้าแปลคัมภีร์มงคลทีปนีสำหรับประโยค 4 วันที่สาม เสด็จเข้าแปลคัมภีร์บาลีมุตสำหรับประโยค 5 ปรากฏว่ากรมหมื่นรักษ์รณเรศ (พระองค์เจ้าไกรสร) ซึ่งกำกับกรมธรรมการได้ถามพระพุทธโฆษาจารย์ (ฉิม) วัดโมฬีโลกฯ (วัดท้ายตลาด) ซึ่งเป็นผู้สอบอยู่ด้วยว่า "นี่จะปล่อยกันไปถึงไหน" พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบก็น้อยพระหฤทัย ด้วยเจตนาจะสนองพระเดชพระคุณเฉลิมพระราชศรัทธา หาได้ปรารถนายศศักดิ์ลาภสักการะอย่างใดไม่ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบความขุ่นหมองที่เกิดขึ้น ก็ทรงอนุญาตไม่ต้องแปลต่อไปอีก และพระราชทานพัดยศสำหรับเปรียญเอก 9 ประโยคให้ทรงถือเป็นสมณศักดิ์ต่อมา

    เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวชอยู่วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส) นั้น ผู้คนนิยมนับถือพระองค์มาก จนเป็นเหตุให้เกิดคำพูดแสดงความสงสัยว่า ที่คนพอใจไปวัดสมอรายกันมากนั้น เพราะประสงค์จะยกย่องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในทางการเมือง เพื่อระงับความสงสัยและข่าวลือต่าง ๆ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) จึงโปรดให้ทูลเชิญ "วชิรญาณภิกขุ" เสด็จมาอยู่เสียใกล้ ๆ พระองค์ ซึ่งประจวบเหมาะกับขณะนั้น วชิรญาณภิกขุเองก็ทรงมีฐานะเป็นพระราชาคณะแล้ว แต่ยังไม่ได้ทรงเป็นเจ้าอาวาสครองวัด เพียงแต่ประทับอยู่วัดสมอรายดำเนินกิจการทางสงฆ์ฝ่ายธรรมยุต จึงได้ทรงนิมนต์ให้เสด็จมาเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อปีวอก พ.ศ. 2379


    ครั้นเสด็จมาประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ก็ทรงได้รับความเดือดร้อนรำคาญจากกรมหลวงรักษ์รณเรศ (พระองค์เจ้าไกรสร) มากขึ้น จนถึงหาเหตุให้สึกพระสุเมธมุนี พระอุปัชฌาย์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แกล้งใส่บาตรพระธรรมยุตด้วยข้าวต้มให้ร้อนมือที่อุ้มบาตร และเบียดเบียนด้วยประการต่าง ๆ นา ๆ

    ในปลายแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) กรมหลวงรักษ์รณเรศต้องราชภัย เพราะความกำเริบเสิบสานและสำเร็จความใคร่บ่าวจนน้ำกามเคลื่อน จึงถูกถอดเป็นไพร่เรียกว่า "หม่อมไกรสร" แล้วประหารชีวิตโดยทุบด้วยท่อนจันทน์ ผู้ทำหน้าที่ประหารเคยเป็นข้าในกรมของผู้ถูกประหาร จึงมือไม้สั่น ปรกติทุบทีเดียวก็ตายสนิท แต่นี่เจ้านายตัวจึงทุบพลาด เจ้านายก็เด็ดขาด ตะโกนสั่งจากถุงที่คลุมว่า ทุบใหม่ ไอ้นี่สอนไม่จำ.. ปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 3 ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ความว่า..

    "...เพราะด้วยอ้ายพวกละคร ชักพาให้เสียคน จึงให้ตระลาการค้นหาความอื่นต่อไปให้ได้ความว่า กรมหลวงรักษรณเรศ ชำระความของราษฎรมิได้เป็นยุติธรรม ด้วยพวกละครรับสินบนทั้งฝ่ายโจทก์ฝ่ายจำเลย แล้วก็คงหักเอาชนะจงได้ แล้วเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง ชั้นแต่ลอยกระทง ก็ไปลอยกรุงเก่าบ้าง เมืองนครเขื่อนขัณฑ์บ้าง เอาธรรมเนียมที่ในหลวงทรงลอย พวกละครห่มแพรสีทับทิมใส่แหวนเพ็ชรแทนหม่อมห้าม แลเกลี้ยกล่อมขุนนางและกองรามัญไว้เป็นพวกพ้องก็มาก ที่ผู้ใดไม่ฝากตัวก็พยาบาทไว้ ตั้งแต่เล่นละครเข้าแล้ว ก็ไม่ได้บรรทมอยู่ข้างในด้วยหม่อมห้ามเลย บรรทมอยู่แต่ที่เก๋งข้างท้องพระโรงด้วยพวกละคร จึงรับสั่งให้เอาพวกละครแยกย้ายกันไต่ถาม ได้ความสมกันว่า เป็นสวาทไม่ถึงชำเรา แต่เอามือเจ้าละครและมือท่านกำคุยหฐานด้วยกันทั้งสองฝ่าย ให้สำเร็จภาวะธาตุเคลื่อนพร้อมกัน เป็นแต่เท่านั้นแล้วโปรดให้ตระลาการถามกรมหลวงว่า เป็นเจ้าใหญ่นายโตเล่นการนี้สมควรอยู่แล้วหรือ กรมหลวงรักษรณเรศให้การว่า การที่ไม่อยู่กับลูกเมียนั้น ไม่เกี่ยวข้องแก่การแผ่นดิน ถามอีกข้อหนึ่งว่า เกลี้ยกล่อมเจ้านายขุนนางไว้เป็นพรรคพวกมาก จะคิดกบฏหรือ กรมหลวงให้การว่า ไม่ได้คิดกบฏ คิดอยู่ว่า ถ้าสิ้นแผ่นดินไป ก็ไม่ยอมเป็นข้าใคร..."

    ข้อความในพระราชพงศาวดารกล่าวถึงกรมหลวงรักษ์รณเรศว่า “... แล้วยังมาคิดมักใหญ่ใฝ่สูงจะเป็นวังหน้าบ้าง เป็นเจ้าแผ่นดินบ้าง อย่าว่าแต่มนุษย์เขาจะยอมให้เป็นเลย แต่สัตว์เดียรฉานมันก็ไม่ยอมให้ตัวเป็นเจ้าแผ่นดิน..."

    จึงโปรดให้ถอดเสียจากกรมหลวง ให้เรียก "หม่อมไกรสร" ลงพระราชอาญาแล้ว ให้ไปสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ที่วัดปทุมคงคา เมื่อวันพุธ เดือนอ้าย แรมสามค่ำ (ตรงกับวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2391) อายุได้ 58 ปี


    เบื้องหลังอันเป็นที่มาของพระนามของพระพุทธรูปที่เรียกว่า "พระไพรีพินาศ" เพราะในระยะใกล้ ๆ กับเวลาที่หม่อมไกรสรจะถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์นี้เอง พระไพรีพินาศก็ได้เสด็จมาสู่พระบารมีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และท้ายที่สุด "ไพรี" ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ได้พินาศลงด้วยประการฉะนี้ และอีกสามปีเศษถัดมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2394 ทรงอยู่ในราชสมบัติ 17 ปี


    ด้วยเหตุนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงเฉลิมพระนามพระพุทธรูปนี้ว่า "พระไพรีพินาศ" โปรดให้สร้างเก๋งประดิษฐานพระพุทธรูปไว้ที่พระมหาเจดีย์วัดบวรนิเวศวิหาร

    นอกจาก "พระไพรีพินาศ" แล้ว ภายในพระมหาเจดีย์สีทอง ยังมีพระเจดีย์ศิลาองค์ย่อมประดิษฐานอยู่ มีนามพระราชทานคล้ายคลึงกันว่า "พระไพรีพินาศเจดีย์" พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คงจักได้ทรงโปรดให้สถาปนาขึ้นไว้แต่ครั้งยังทรงพระผนวชและประทับอยู่ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร หรือไม่เช่นนั้น ก็คงจักทรงโปรดให้สถาปนาขึ้นเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นการใหญ่คราวหนึ่ง เรียกว่า งานผ่องพ้นไพรี


    hqdefault_1.jpg
     
  14. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,105
    ค่าพลัง:
    +16,530
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่บุญชนะ EV 4402 1295 9 TH

    พี่ปภัสสร EV 4402 1296 2 TH

    พี่พบพณ EV 4402 1297 6 TH
     
  15. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,105
    ค่าพลัง:
    +16,530
    มีพี่ที่ตาในดีสามารถสื่อและรู้อะไรได้หลายๆอย่างพิมพ์เล่าหลังจากตรวจสอบเครื่องมงคลของพ่ออารย์ท่านไว้ ก็เลยยกมาวางให้อ่านกัน

    - จอมครุฑพลังงานแรงมากกก ดุมาก แต่รักศิษย์มากเช่นกัน

    - ภูติรับใช้ ใช้ง่ายที่สุดตั้งแต่มีเครื่องรางสายพยนต์หรือกุมารครับ


    * ของบางอย่างเราพกไว้ก็อุ่นใจ บางคนก็เห็นประสบการณ์กันตามช่วงเวลาและโอกาสเอื้ออำนวย แต่กับคนอีกประเภทหนึ่งที่มองเห็นหรือมีตาใน ผมเชื่อว่าเค้าจะใช้ได้คุ้มเต็มคุณภาพ สมกับความตั้งใจที่พ่ออาจารย์ท่านสร้างเครื่องมงคลไว้จริงๆ ก็มีเล่ามีเจอกันมาเรื่อยๆ อันไหนถ้าเป็นแนวชู้สาวผมขออนุญาติไม่เล่าต่อนะครับช่วงนี้ ถือว่าวาระของใครของมัน
     
  16. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,105
    ค่าพลัง:
    +16,530
    มงคล ที่ ๑๑ การบำรุงบิดามารดา ในมงคลชีวิต 38 ประการ
    เนื่องในวันแม่ วันนี้ก็จะยกพระคุณบิดามารดามาเป็นเรื่องพูดคุยกันรอบเช้านะครับ ว่าคุณธรรมที่บุตรพึงกระทำตอบแทนผู้ให้กำเนิดควรทำอย่างไรหรือทำอะไรได้บ้าง

    ต้นไม้ที่ได้รับการดูแลให้น้ำให้ปุ๋ยไปบำรุงลำต้นจนสมบูรณ์ เมื่อถึงเวลาแล้ว ย่อมออกดอกออกผลให้แก่เจ้าของฉันใด คนที่ได้รับการเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เมื่อมีโอกาสย่อมตอบแทนคุณพ่อแม่และผู้มีอุปการคุณฉันนั้น
    ทองคำแท้หรือไม่ โดนไฟก็รู้ คนดีแท้หรือไม่ ให้ดูตรงที่เลี้ยงพ่อแม่ ถ้าดีจริงต้องเลี้ยงพ่อแม่ ถ้าไม่เลี้ยงแสดงว่าไม่ดีจริง เป็นพวกทองชุบ ทองเก๊

    พระคุณของพ่อแม่
    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอุปมาว่า ถ้าบุตรจะพึงวางบิดามารดาไว้บนบ่าทั้งสองของตน ประคับประคองท่านอยู่บนบ่านั้น ป้อนข้าวป้อนน้ำและให้ท่านถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่านั้นเสร็จ แม้บุตรจะมีอายุถึง ๑๐๐ ปี และปรนนิบัติท่านไปจนตลอดชีวิต ก็ยังนับว่าตอบแทนพระคุณท่านไม่หมด

    ยังมีผู้อุปมาไว้ว่า หากเราใช้ท้องฟ้าแทนกระดาษ ยอดเขาพระสุเมรุ แทนปากกา น้ำในมหาสมุทรแทนหมึก เขียนบรรยายคุณของพ่อแม่ จนท้องฟ้าเต็มไปด้วยอักษร ภูเขาสึกกร่อนจนหมด น้ำในมหาสมุทรเหือดแห้ง ก็ยังบรรยายคุณของพ่อแม่ไม่หมด

    บิดามารดาเป็นผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ของบุตร สรุปโดยย่อคือ
    ๑. เป็นต้นแบบทางกาย แบบเป็นสิ่งที่จำเป็นในการทำให้ของทั้งหลาย ในโลกมีค่าสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ก้อนดินเหนียวธรรมดา ถ้าหากนำมาใส่แบบพิมพ์แล้วพิมพ์เป็นตุ๊กตา ก็ทำให้ดินก้อนนั้นมีค่าขึ้นมา เป็นเครื่องประดับบ้านเรือนได้ ดินเหนียวก้อนเดียวกันนี้ หากได้แบบที่ดีกว่าขึ้นมาอีก เช่นแบบเป็นพระพุทธรูป ดินเหนียวก้อนนี้ก็จะทรงคุณค่ามากยิ่งขึ้น ผู้คนได้กราบไหว้บูชา จะเห็นได้ว่า คุณค่าของดินเหนียวก้อนนี้ขึ้นอยู่กับแบบที่พิมพ์นั่นเอง
    ในทำนองเดียวกัน การเกิดของสัตว์ เช่นเป็น ช้าง ม้า วัว ควาย ฯลฯ แม้จะมีปัญญาติดตัวมามากสักปานใดก็ไม่สามารถทำความดีได้เต็มที่ โชคดีที่เราได้เกิดเป็นคน ได้โครงร่างที่ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลาย เหมาะในการ ทำความดีทุกประการ เราจึงสามารถใช้ความรู้ความสามารถประกอบคุณความดีได้เต็มที่ ทั้งนี้ก็เพราะเรามีพ่อแม่เป็นต้นแบบทางกายให้นั่นเอง
    ๒. เป็นต้นแบบทางใจ ให้ความอุปการะเลี้ยงดู ฟูมฟัก ทะนุถนอม อบรมสั่งสอน ปลูกฝังกิริยามารยาท ให้ความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมแก่ลูก
    พระคุณพ่อแม่ในการเป็นต้นแบบทางกายให้เรา ก็นับว่ามีมากเหลือหลายแล้ว ยิ่งท่านอบรมเลี้ยงดูเรามา เป็นต้นแบบทางใจให้ด้วย ก็ยิ่งมีพระคุณมากเป็นอเนกอนันต์

    สมญานามของพ่อแม่
    สมญานามของพ่อแม่นั้น กล่าวกันว่าท่านเป็นทั้งพรหมของลูก เทวดาคนแรกของลูก ครูคนแรกของลูก และเป็นพระอรหันต์ของลูก ซึ่งอธิบายได้ดังนี้
    - พ่อแม่เป็นพรหมของลูก เพราะเหตุที่มีพรหมวิหารธรรม ๔ ประการได้แก่
    ๑. มีเมตตา คือมีความปรารถนาดีต่อลูกไม่มีที่สิ้นสุด
    ๒. มีกรุณา คือหวั่นใจในความทุกข์ของลูก และคอยช่วยเหลือเสมอไม่ทอดทิ้ง
    ๓. มีมุทิตา คือเมื่อลูกมีความสุขสบาย ก็มีความปลาบปลื้มยินดีด้วยความจริงใจ
    ๔. มีอุเบกขา คือเมื่อลูกมีครอบครัวสามารถเลี้ยงตนเองได้แล้ว ก็ไม่วุ่นวายกับชีวิตครอบครัวลูกจนเกินงาม และหากลูกผิดพลาดก็ไม่ซ้ำเติม แต่กลับคอยเป็นที่ปรึกษาให้เมื่อลูกต้องการ
    - พ่อแม่เป็นเทวดาคนแรก (บุรพเทพ) ของลูก เพราะคอยปกป้องคุ้มกันภัยเลี้ยงดูลูกมาก่อนผู้มีความปรารถนาดีคนอื่นๆ
    - พ่อแม่เป็นครูวิสุทธิเทพของลูก เพราะมีคุณธรรม 4ประการ ได้แก่
    ๑. ไม่ถือสาในความผิดของลูก แม้ว่าบางครั้งจะพลาดพรั้งล่วงเกิน ก็ให้อภัยเสมอ
    ๒. ปรารถนาประโยชน์แก่ลูกเสมอ ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไร ก็ยังคงปรารถนาให้ลูกดี มีความสุข
    ๓. เป็นทักขิเณยยบุคคล เป็นเนื้อนาบุญของลูก เป็นผู้ที่ลูกควรทำบัญต่อตัวท่าน
    ๔. เป็นอาหุเนยยบุคคล เป็นผู้ควรแก่การรับของคำนับ และการนมัสการของลูก

    คุณธรรมของลูก
    เมื่อพ่อแม่มีพระคุณมากมายปานนี้ ลูกจึงควรมีคุณธรรมต่อท่าน คุณธรรมของลูกเริ่มที่รู้จักคุณพ่อแม่ คือรู้ว่าท่านดีต่อเราอย่างไร สูงขึ้นไปอีก คือตอบแทนคุณท่าน ในทางพระพุทธศาสนา ได้บรรยายคุณธรรมของลูกไว้อย่างสั้นๆ แต่เก็บความไว้ได้อย่างครบถ้วน คือคำว่า กตัญญู กตเวที คุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นลูกรวมอยู่ใน ๒ คำนี้

    กตัญญู หมายถึง เห็นคุณค่าท่าน คือเห็นด้วยใจ ด้วยปัญญา ว่าท่านเป็นผู้มีพระคุณต่อเราอย่างแท้จริง ไม่ใช่สักแต่ว่าปากท่องพระคุณพ่อแม่ปาวๆ ไปเท่านั้น
    คุณของพ่อแม่ดูได้จากอุปการะ คือประโยชน์ที่ท่านทำแก่เรามีอะไรบ้าง ที่แตกต่างจากคนอื่น ตามธรรมดาของคนทั่วๆ ไป เมื่อจะอุปการะใคร เขาต้องเห็นทางได้ เช่น เห็นหลักทรัพย์ หรือดูนิสัยใจคอ ต่อเมื่อแน่ใจแล้วว่าอุปการคุณ ของเขาจะไม่สูญเปล่า จึงลงมือช่วยเหลือ แต่ที่พ่อแม่อุปการะเรานั้น เป็นการอุปการะโดยบริสุทธิ์ใจจริงๆ ไม่ได้มองถึงหลักประกันใดๆ เลย เราเองก็เกิดมาตัวเปล่าไม่มีหลักทรัพย์แม้แต่เข็มเล่มเดียว ยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าอวัยวะร่างกาย จะใช้ได้ครบถ้วนหรือไม่ ยิ่งนิสัยใจคอแล้วยิ่งรู้ไม่ได้เอาทีเดียว โตขึ้นมาจะเป็นอย่างไร จะเป็นคนอกตัญญูหรือไม่ ไม่รู้ทั้งนั้น หนังสือสัญญาการรับปากสักคำเดียวระหว่างเรากับท่านก็ไม่มี แต่ทั้งๆ ที่ไม่มี ท่านทั้งสองก็ได้โถมตัวเข้าช่วยเหลือเราจนสุดชีวิต ที่ยากจนก็ถึงกับกู้หนี้ยืมสินคนอื่นมาช่วย เรื่องเหล่านี้ต้องคิดดูด้วยเหตุผล อย่าสักแต่คิดด้วยอารมณ์เท่านั้น การพิจารณาให้เห็นคุณของพ่อแม่ด้วยใจอย่างนี้แหละเรียกว่า กตัญญู เป็นคุณธรรมเบื้องต้นของผู้เป็นลูก ยิ่งพิจารณาเห็นคุณท่านมากเท่าไร แสดงว่าใจของเราเริ่มใสและสว่างมากขึ้น เท่านั้น

    กตเวที หมายถึง การทดแทนพระคุณของท่าน ซึ่งมีงานที่ต้องทำ ประการ คือ
    ๑.ประกาศคุณท่าน
    ๒.ตอบแทนคุณท่าน
    การประกาศคุณท่าน หมายถึง การทำให้ผู้อื่นรู้ว่าพ่อแม่มีคุณแก่เราอย่างไรบ้าง มากน้อยเพียงใด เรื่องนี้มีคนคิดทำอยู่มากเหมือนกัน แต่ส่วนมาก ไปทำตอนงานศพ คือเขียนประวัติสรรเสริญคุณพ่อแม่ในหนังสือแจก การกระทำเช่นนี้ก็ถูก แต่ถูกเพียงเปลือกนอกผิวเผินนัก ถ้าเป็นการกินผลไม้ก็แค่เคี้ยวเปลือกเท่านั้น ยังมีทำเลที่จะประกาศคุณพ่อแม่ที่สำคัญกว่านี้ คือที่ตัวเรานี่เอง

    คนเราทุกคนคือตัวแทนของพ่อแม่ตนทั้งนั้น เลือดก็แบ่งมาจากท่าน เนื้อก็แบ่งมาจากท่าน ตลอดจนนิสัยใจคอก็ได้รับการอบรมถ่ายทอดมาจากท่าน ความประพฤติของตัวเรานี่แหละ จะเป็นเครื่องประกาศคุณพ่อแม่อย่างชัดแจ้งที่สุด ไม่ใช่อยู่ที่หนังสือแจก ไม่ใช่อยู่ที่หีบศพบนเชิงตะกอน แต่อยู่ที่ตัวเรานี่เอง หากพิมพ์ข้อความไว้ในหนังสือแจกว่า คุณพ่อคุณแม่เป็นคนตั้งอยู่ในศีลในธรรม แต่ตัวเราเองประพฤติสำมะเลเทเมา คอร์รัปชั่นทุกครั้งที่มีโอกาส ศีลข้อเดียวก็ไม่สนใจรักษาก็ผิดที่ไป สดุดีคุณพ่อแม่ว่าเป็นคนดี สุภาพเรียบร้อย แต่ตัวเรา ผู้เป็นลูกกลับประพฤติตัวเป็นนักเลงอันธพาล อย่างนี้คุณค่าของการสรรเสริญพ่อแม่ก็ลดน้ำหนักลง กลายเป็นว่ามอบหน้าที่ในการกตเวทีประกาศคุณพ่อแม่ให้หนังสือทำแทน ให้กระดาษ ให้เครื่องพิมพ์ ให้ช่างเรียงพิมพ์ แสดงกตเวที แทน แล้วตัวเรากลับประจานพ่อแม่ของตัวเอง อย่างน้อยที่สุดก็ประจานแก่ ชาวบ้านว่าพ่อแม่ของเราเลี้ยงลูกไม่เป็นประสา

    พ่อแม่ของใครใครก็รัก เมื่อรักท่านก็ประกาศคุณความดีของท่านสิ ประกาศด้วยความดีของตัวเราเองตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ยิ่งท่านยังมีชีวิตอยู่ การประกาศคุณของเราจะทำให้ท่านมีความสุขใจอย่างยิ่งส่วนใครจะประพันธ์สรรเสริญคุณพ่อแม่พิมพ์แจกเวลาท่านตายแล้ว นั่นเป็นประเด็นเบ็ดเตล็ด จะทำก็ได้ ไม่ทำก็ไม่เสียหายอะไร

    ไม่ว่าเราจะตั้งใจประกาศคุณท่านหรือไม่ ความประพฤติของเราก็เป็นตัวประกาศคุณท่านหรือประจานท่านอยู่ตลอดเวลา คิดเอาเองก็แล้วกันว่า เราจะประกาศคุณพ่อแม่ของเราด้วยเกียรติยศชื่อเสียง หรือจะใจดำถึงกับประจาน ผู้บังเกิดเกล้าด้วยการทำตัวเป็นพาลเกเรและประพฤติต่ำทราม


    การตอบแทนคุณท่าน แบ่งเป็น ๒ ช่วง คือ
    ๑.เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็ช่วยเหลือกิจการงานของท่าน เลี้ยงดูท่านตอบเมื่อยามท่านชรา ดูแลปรนนิบัติการกินอยู่ของท่านให้สะดวกสบายและเอาใจใส่ช่วยเหลือเมื่อท่านเจ็บป่วย
    ๒.เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ก็จัดพิธีศพให้ท่าน และทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่านอย่างสม่ำเสมอ

    แม้ว่าเราจะตอบแทนพระคุณท่านถึงเพียงนี้แล้ว ยังนับว่าเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่ท่านมีต่อเรา ผู้ที่มีความกตัญญูกตเวทีต้องการจะสนองพระคุณท่านให้ได้ทั้งหมด พึงกระทำดังนี้
    ๑.ถ้าท่านยังไม่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ก็พยายามชักนำให้ท่านตั้งอยู่ในศรัทธาให้ได้
    ๒.ถ้าท่านยังไม่ถึงพร้อมด้วยการให้ทาน ก็พยายามชักนำให้ท่านยินดีในการบริจาคทานให้ได้
    ๓.ถ้าท่านยังไม่มีศีล ก็พยายามชักนำให้ท่านรักษาศีลให้ได้
    ๔.ถ้าท่านยังไม่ทำสมาธิภาวนา ก็พยายามชักนำให้ท่านทำสมาธิภาวนาให้ได้

    เพราะว่าการตั้งอยู่ในศรัทธา การให้ทาน การรักษาศีล การทำสมาธิภาวนาเป็นประโยชน์โดยตรงและเป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ตัวบิดามารดาผู้ปฏิบัติ เองทั้งในภพนี้ภพหน้า และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งคือเป็นหนทางไปสู่นิพพาน

    อานิสงส์การบำรุงบิดามารดา
    ๑.ทำให้เป็นคนมีความอดทน
    ๒.ทำให้เป็นคนมีสติรอบคอบ
    ๓.ทำให้เป็นคนมีเหตุผล
    ๔.ทำให้พ้นทุกข์พ้นภัย
    ๕.ทำให้ได้ลาภโดยง่าย
    ๖.ทำให้แคล้วคลาดภัยในยามคับขัน
    ๗.ทำให้เทวดาลงรักษา
    ๘.ทำให้ได้รับการยกย่องสรรเสริญ
    ๙.ทำให้มีความเจริญก้าวหน้า
    ๑๐.ถ้ามีลูกก็จะได้ลูกที่ดี
    ๑๑.ทำให้มีความสุข
    ๑๒.ทำให้เป็นแบบอย่างอันดีแก่อนุชนรุ่นหลัง

    “เพราะการปรนนิบัติในมารดาบิดานั้นแล บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญเขาในโลกนี้นี่เอง เขาละไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์”

    296fdde1cd55120c40233d6fb1e12327-d25vj52.jpg
     
  17. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,105
    ค่าพลัง:
    +16,530
    ใครชอบพุทธคุณหนักๆ สายโหด สายแข็ง ไม่เหมาะกับคนเหยาะแหยะ อันนี้ต้องติดตามกันดีๆ:)
     
  18. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,105
    ค่าพลัง:
    +16,530
    พรุ่งนี้ติดตามพูดคุยกันให้ดีนะครับ บอกได้คำเดียวว่าตั้งแต่พ่ออาจารย์ท่านทำเครื่องมงคลมา สิ่งนี้ประหลาดและน่าครอบครองที่สุด :)
     
  19. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,105
    ค่าพลัง:
    +16,530
    - อรุณสวัสดิ์ครับ

    ก็มีแจ้งประสบการณ์จอมครุฑกันมาเรื่อยๆ เรียกว่าไปเจอกันมาอลังการดาวล้านดวงจริงๆสมกับเป็นครุฑดาวข่มของพระเคราห์ ขนาดพ่ออาจารย์ท่านยังกล่าวว่าต่อให้พระเคราะห์เสวยอายุมีจอมครุฑรุ่นนี้ก็เอาอยู่เพราะท่านจะกางปีกป้องปัดไม่ให้โทษโทสาใดๆเกิดขึ้นได้ เดี๋ยวเอาไว้จะยกนำมาพูดคุยกัน ส่วนเรื่องพระไพรีพินาศชุดพิเศษสุดๆที่อาถรรพ์ด้วยปัจจัยหลายๆอย่างก็เริ่มมีคนถามกันมาเยอะแล้ว อันนี้ให้รอติดตามกันดีๆ แต่วันนี้ผมมีทำบุญเกือบทั้งวัน ก็มาอนุโมทนาบุญร่วมกันนะครับ
     
  20. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,105
    ค่าพลัง:
    +16,530
    กลับมาตอบ PM ครบนะครับ วันนี้ก็มีเล่ามีแชร์ประสบการณ์องค์ครุฑกับพระชรรค์เพิ่มมาหลายท่าน บางคนว่าอาราธนาสองอย่างใช้คู่กันยิ่งแรงมาก ใครมีทั้งสองอย่างก็ลองอาราธนาดูนะครับ บอกใบ้ๆว่าสายโหดเลยถ้าจับคู่กันเพราะพลังจะหนักหน่วงจนเกินรับ ก็เดี๋ยวเอาไว้มาติดตามพูดคุยกันนะ ;)
     

แชร์หน้านี้

Loading...