รักแท้มีจริง

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 16 สิงหาคม 2008.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    [​IMG]



    หนังสือ "รักแท้มีจริง" เขียนโดยคุณดังตฤณ

    หนังสือเล่มนี้จะช่วยคุณทุกคน
    ให้หลุดพ้นจากคำสาปแห่งกรรมเก่า
    รับเอาพรประเสริฐแห่งกรรมใหม่
    ด้วยความเข้าใจอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
    นับแต่รู้ตามจริงว่ารักแท้คืออะไร
    ไปจนถึงการสร้างเสน่ห์
    เพื่อดึงดูดคนที่ใช่
    ตลอดจนรักษาเขาหรือเธอไว้
    เพื่อรอวันจากไปอย่างงดงาม
    และเพื่อตามไปพบกันใหม่
    ในโลกที่คุณนึกว่าเป็นเพียงความฝัน



    [​IMG]



    <CENTER>บทที่ ๑
    รักแท้คือ

    </CENTER>รักแท้ในความรู้สึกของคนทั่วไป หมายถึงรักจริงหวังแต่ง แต่งแล้วอยู่กันยืดจนถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร ที่สำคัญคือต้องมีความสุขกับการอยู่ร่วมกัน ที่สำคัญคือต้องมีความสุขกับการอยู่ร่วมกัน ไม่รังเกียจกันเลยตั้งแต่ต้นจนปลาย ทั้งนี้เพราะรักแบบชายหญิงหมายถึงความรู้สึกยินดีในอีกฝ่าย ส่วนคำว่า “แท้” หรือ “จริง” นั้นหมายถึงยืนยงคงกระพันไม่กลับเปลี่ยนเป็นอื่น

    ที่กล่าวได้เต็มปากเต็มคำว่ารักแท้มีจริง ก็เพราะเมื่อกวาดตามองบรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ตามงานศพคนชรา คุณสามารถหาตัวอย่างคู่ครองที่เข้าข่ายข้างต้นได้ไม่ยากจนเกินไป

    แต่ถ้าพยายามถามไถ่ ว่าทำไมจึงมีรักแท้เช่นนั้นได้ ก็อาจพบว่าพวกท่านใช่จะตอบให้คุณหายสงสัยง่าย ๆ

    ยกตัวอย่างเช่นเมื่อแอบขุดคุ้ยเอาความจริงแบบเปิดอก ฝ่ายชายอาจบอกว่าฝ่ายหญิงเหมือนเทพธิดาในฝัน อยู่ใกล้แล้วทำให้รู้สึกแสนดีอย่างประหลาด และความรู้สึกแสนดีนั้นก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพร่างกายเลย กลับจะดีขึ้นทุกวันเสียอีก

    ส่วนฝ่ายหญิงอาจเปิดอกในอีกห้องหนึ่ง ว่าอันที่จริงแล้วฝ่ายชายน่ารำคาญออกจะตาย เธอต้องปรับตัวเป็นสิบปีกว่าจะชินกับการอยู่ร่วมกับเขา แต่ความอบอุ่นและเสน่ห์จากฝ่ายชายก็มีพลังดึงดูดอย่างลึกลับ อย่างน้อยก็ไม่เคยทำให้เธออยากห่างเขาไป แม้จะเบื่อหน่ายระอิดระอากับความเป็นเขามิใช่น้อยก็ตาม

    ลองถามคู่รักวัยชราที่อยู่กันมาหลายสิบปีให้ได้หลาย ๆ คู่ แล้วคุณจะสับสนว่าเหตุผลของการอยู่ร่วมกันได้ตลอดรอดฝั่งคืออะไรกันแน่ คำตอบอาจเป็นอะไรที่แม้แต่คู่แท้ก็นึกไม่ถึง หรือตอบถูกเพียงบางส่วน

    เพื่อจับจุดให้ถูกว่ารักแท้เกิดจากอะไร ก็อย่าเริ่มมองสิ่งที่ไม่มีให้เห็น แต่ให้นับหนึ่งกันจากสิ่งที่จับต้องได้เสียก่อน ดังเช่นร่างกายอันเป็นพื้นยืนของการมีชีวิตมนุษย์ เริ่มต้นที่สุดเลยกายเปล่า ๆ ไม่รู้จักความรัก ร่างกายรู้จักแต่ราคะ

    หมายความว่าถ้าเอาร่างกายชายหญิงมาอยู่ใกล้กัน ความดึงดูดทางเพศจะเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องมีใครบงการ เพราะกายเป็นวัตถุทางเพศโดยตัวเอง มีพลังขับดันทางเพศในตนเอง ทำให้คุณเกิดสัญชาติญาณทางเพศเองโดยไม่ต้องเรียนรู้จากไหน ราวกับร่างกายเป็นวัตถุส่งพลังดึงดูดถึงกันได้ และพลังที่ว่านี้เองก็รบกวนจิตให้เกิดราคะกระสันอยาก กระทั่งต้องยอมโอนอ่อนผ่อนตามไปทำเรื่องบนเตียงในที่สุด

    หากเป็นเหล่าสัตว์เดรัจฉานก็คงไม่ต้องมีพิธีรีตองกันมาก ถึงฤดูอยากเมื่อไรก็สมสู่กันให้เสร็จ ๆ ไม่ต้องเจรจากันมากความ ทว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่รู้สึกได้ว่าเซ็กซ์เป็นเรื่องต่ำ เป็นเรื่องของสัญขาติญาณดิบ ไม่ใช่สำนึกรู้สึกอันประณีต มนุษย์จึงต้องสกัดกั้นตนเองมิให้ตกต่ำด้วยการมีเซ็กซ์ไม่เลือกหน้าแบบสัตว์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2008
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    [​IMG]

    โดยธรรมชาติมนุษย์เป็นผู้มีใจสูง มนุษย์จึงต้องการแสดงให้เพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์เห็นว่าตนมีจิตสำนึกมากพอจะควบคุมสัญชาติญาณดิบ ยิ่งใครแสดงว่าควบคุมได้มากเพียงใด ใคร ๆ ก็จะยกย่องว่ามีจิตใจสูงส่งขึ้นเพียงนั้น แต่ถ้าไม่มีเอาเสียเลย ก็ถูกเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์หาว่า “ผิดปกติ” เข้าให้อีกเหมือนกัน

    ทางออกที่เหมาะสมคือ “มนุษย์ปกติ” จะต้องมีความสามารถแปลงสัญชาตญาณดิบให้กลายเป็นจิตสำนึกที่สุกงอมแล้ว คือมีเพศสัมพันธ์เฉพาะกับคู่ครองในที่ลับ ไม่มีใครรู้เห็นหรือได้สิทธิ์ร่วมสนุกด้วย

    ธรรมเนียมของการมีคู่ครองในหมู่มนุษย์นั้น เป็นเรื่องของภาพลักษณ์อันสง่าผ่าเผย ก่อให้เกิดความรู้สึกอันประณีตและมีศักดิ์ศรีนับแต่การสู่ขอหญิงสาวจากเจ้าของเดิมคือพ่อแม่ ไปจนกระทั่งจัดทำพิธีหมั้นเพื่อเป็นสัญญาระหว่างครอบครัว แล้วลงเอยด้วยพิธีแต่งงานประกาศให้โลกรู้ว่าจะมีการส่งตัวเข้าเรือนหอในที่สุด หาได้ฉุดกันมาหรือพากันหนีแต่อย่างใด

    พูดให้สั้นที่สุด โดยศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เซ็กซ์ต้องถูกเก็บไว้ท้ายสุด ศักดิ์ศรีต้องนำมาข้างหน้าสุด ศักดิ์ศรีต้องนำมาข้างหน้าสุด แต่ที่สุดของที่สุดคือเริ่มต้นด้วยเซ็กซ์ และลงท้ายด้วยเซ็กซ์อยู่นั่นเอง

    บางคนอาจเถียงว่าไม่จริงเลย ตนเองไม่ใช่คนชอบเซ็กซ์ การแสวงหาคู่ครองของตนเป็นไปเพื่อให้ได้เพื่อนแก้เหงาเท่านั้น แต่ถ้าถามกลับว่า “แล้วความเหงามันมาจากไหน? ทำไมต้องเอาเพศตรงข้ามมาเคียงกัน?” อันนี้คงทำให้คนเถียงอ้ำอึ้งและอ้อมแอ้มตอบทำนอง “ก็เพื่อให้เป็นไปตามธรรมชาติ”

    ธรรมชาติคืออย่างไร? ธรรมชาติคือทุกคนต้องมีเพศประจำตนไม่หญิงก็ชาย ความเป็นเพศหนึ่ง ๆ นั่นแหละ คือที่มาของความรู้สึกขาด ต้องการคู่ประกบ ต้องการส่วนเติมเต็มที่หายไปของเพศตน

    หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีเพศ ก็ขอให้ทราบว่านับจากตรงนั้นแหละที่ตัวคุณถูกออกแบบให้เหงา และความเหงาจะเป็นตัวการบีบให้คุณคิดถึงการแสวงหาคู่ ส่วนจะเจอคู่แบบไหน เพศเดียวกันหรือตรงข้ามอันนี้ก็ต้องว่ากันไปตามชะตากรรม

    สรุปคือก่อนมีความรักทุกคนมีราคะ ราคะเป็นของติดตัวไม่ใช่สิ่งที่ต้องสร้างขึ้นภายหลัง รักแท้อาจมีจริงหรือไม่มีอยู่เลย ยังต้องพิสูจน์หรือถกเถียงกัน แต่กิเลสราคะนี่ไม่ต้องพิสูจน์หรือถกเถียงที่ไหนให้เสียเวลา ทุกคนมีราคะหมด และสัญลักษณ์ของราคะก็คือการมีเพศนั่นเอง พอตายแล้วเกิดใหม่คุณอาจหลงลืมรักแท้ไปเสียสนิท แต่คุณจะไม่มีทางลืมราคะ ตราบเท่าที่ต้องอาศัยเพศชายหรือเพศหญิงเป็นเครื่องปรากฎในภพชาตินั้น ๆ

    และเมื่อความรักมีรากมาจากราคะ ความรักก็พังได้เพราะราคะเช่นกัน คู่รักจะเลิกกันก็ด้วยเหตุสองประการ หนึ่งคือหมดความยินดีในคู่ของตน สองคือเกิดความยินดีในคนอื่นยิ่งกว่าคู่ของตน

    รักแท้แม้ไม่จริงเท่ากิเลส แต่ก็สูงส่งเหนือกิเลสได้ ขอเพียงคุณเข้าใจและรู้วิธีสร้างความรักที่เป็นอิสระจากราคะ และเมื่อเป็นอิสระจากราคะก็ย่อมไม่พังเพราะราคะ กล่าวคือต่อให้คู่ของคุณหมดสมรรถภาพทางเพศ คุณก็จะยังคงรักเขาหรือเธอไม่เปลี่ยนแปลง หรือต่อให้ใครที่เลิศเลอกว่าคู่ของคุณผ่านเข้ามารบกวนจิตใจให้ไขว้เขว ในที่สุดคุณก็จะเห็นคู่ของคุณมีค่าเหนือกว่าอยู่ดี จะมีสัมพันธ์ทางเพศก็เฉพาะกับคู่ของคุณเพียงคนเดียว

    โจทย์คือทำอย่างไรจะสร้างรักอันทรงพลังและมีอายุยืนให้เกิดขึ้น คำตอบคือเนื้อหาที่เหลือของหนังสือเล่มนี้ครับ



    <CENTER>หวังว่าบทนี้คงช่วยให้คุณตื่นจากฝันส่วนตัว
    ที่เอาแต่นึกว่ารักแท้ไม่มี
    หรือมีก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงเกินเอื้อม
    เพราะแท้จริงความรักก็คือกิเลสดี ๆ นี่เอง

    เมื่อคุณมีความเข้าใจที่ถูกต้อง
    ก็ถึงเวลาพร้อมจะยอมเล่นตามเกมของความรัก
    โจทย์สำคัญข้อต่อไปคือรู้ให้ชัดว่า
    ความรักเรียกร้องสิ่งใดเป็นอันดับแรก</CENTER>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2008
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    <CENTER>บทที่ ๒
    สร้างเสน่ห์</CENTER>
    วิธีที่คุณจะพลาดรักแท้ไปจนตายนั้นง่ายนิดเดียว คือทำอะไรตามใจตัวเองไปเรื่อย ๆ

    ต่อเมื่อทำความเข้าใจอย่างถูกต้องว่ารักแท้ก็คือกิเลสอย่างหนึ่งคุณคงเลิกหลงสำคัญผิดคิดว่ารักแท้ไม่ต้องการอะไรเลย คุณจำเป็นต้องลงทุนออกแรงตามใจรักแท้บ้าง ไม่ใช่เอาแต่ตามใจตัวเอง

    เมื่อกิเลสต้องการแรงดึงดูดใจ รักแท้ก็ต้องการแรงดึงดูดใจเช่นกัน ถ้าคุณไม่มีแรงดึงดูดใจอยู่ในตัว ก็อย่าไปถามหารักแท้ให้เหนื่อยเปล่า

    แรงดึงดูดให้ติดใจ หรือเครื่องเร้าใจให้หลงรักนั้น เราเรียกกันว่า “เสน่ห์” ใครมีเสน่ห์มากแปลว่าคนนั้นน่าติดใจมาก หรือเย้ายวนชวนให้ใครต่อใครตกหลุมรักได้ยิ่งกว่าคนทั่วไป

    คนส่วนใหญ่เชื่อว่าเสน่ห์เป็นสิ่งที่สร้างไม่ได้ เพราะเป็นของติดตัวมาแต่เกิด ซึ่งก็เป็นความเชื่อที่ครึ่งผิดครึ่งถูก ขอเพียงรู้เหตุผลอย่างแท้จริงว่าเสน่ห์เกิดจากกรรมและจิตแบบไหน คุณก็อาศัยกรรมและจิตแบบนั้นสร้างเสน่ห์ขึ้นมาในตัวได้

    บทนี้เรามาทำความรู้จักกับเสน่ห์มนุษย์ ในแบบที่จะรู้ลู่ทางสร้างเสริมให้คุณพร้อมเป็น “แม่เหล็กดึงดูดความรัก” จะได้ไม่ต้องออกตะลอนพลิกแผ่นดินหาเองให้เหนื่อยเปล่า

    [​IMG]

    เสน่ห์จากบุญเก่า

    มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่บ้ารูป บ้าเสียง บ้ากลิ่น บ้ารส บ้าสัมผัส ดังนั้นความมีรูปงามและเนื้อหอมจึงเป็นข้อได้เปรียบ นี่เป็นสิ่งที่รู้ ๆ กัน แต่ที่ไม่รู้เลยคือสิ่งใดเป็นตัวกำหนดให้คนเราต่างกันดังเช่นที่เห็น ๆ อยู่

    คนที่รู้นั่นแหละครับได้เปรียบอย่างแท้จริง เพราะต่อให้เดิมทีมีเสน่ห์ทางรูปกายน้อย ก็เพิ่มให้มากขึ้นได้ด้วยความรู้ความเข้าใจที่ตรงทาง และในทางตรงกันข้าม คนไม่รู้ก็อาจลดเสน่ห์ที่เคยมากให้น้อยลงได้อย่างน่าใจหาย

    สิ่งปรุงแต่งให้รูปกายดูดีมีเสน่ห์คือ “บุญ” และบุญเก่าก็เป็นยิ่งกว่าเวทมนตร์ เพราะเวทมนตร์เนรมิตรูปลวงตาได้เพียงชั่วครู่ แต่บุญเก่าบันดาลรูปจริงเป็นหน้าเป็นตาให้คุณได้ทั้งชาติ

    บุญเก่าทำงานอย่างไร ก็ปรุงแต่งของน่ารักน่าใคร่ให้เกิดขึ้นในคุณไงครับ

    สัดส่วนที่ลงตัวของรูปพรรณสัณฐานจะเตะตาให้ “อยากมอง” แก้วเสียงที่นุ่มนวลกระจ่างชัดจะสะดุดหูให้ “อยากฟัง” ความน่ามองน่าฟังจะดึงดูดใจให้ใหลหลง แล้วนำไปสู่ความ “อยากเป็นเจ้าของ” ในที่สุด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2008
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ดังนั้นถ้ามีคนอยากเป็นเจ้าของคุณทันทีเพียงเมื่อเห็นคุณปรากฎตัว ก็แปลว่าเสน่ห์จากบุญเก่าของคุณแรงไม่เบา และยิ่งจำนวนคนอยากเป็นเจ้าของคุณมากขึ้นเท่าไร ก็พิสูจน์ว่าเสน่ห์จากบุญเก่าของคุณไม่ธรรมดายิ่งขึ้นเท่านั้น

    เมื่อโตขึ้นมา แต่ละคนย่อมรู้ตัวว่าตนเองมีรูปร่างหน้าตาเป็น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2008
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    สำรวมไม่ได้แปลว่าเกร็งนะครับ แต่หมายถึงตามสบายอย่างมีสติรู้ทุกการเคลื่อนไหว ไม่กะเปิ๊บกะป๊าบด้วยความฟุ้งซ่านกระเจิดกระเจิง

    [​IMG]

    ใจนั่นเองเป็นผู้ปรุงแต่งกายให้เกิดความประณีตและสำรวม ถ้าใจคุณเคารพสิ่งศักดิสิทธิ์จริง ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะแสดงกิริยาอันเป็นการเคารพ และกิริยาอันเป็นไปเพื่อความเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็มีอยู่แค่ไม่กี่แบบ นับเริ่มตั้งแต่ไม่เอะอะมะเทิ่งใกล้เขตพระพุทธรูป เวลาก้มลงกราบมีความนบนอบศิโรราบ ตอนสวดมนต์ตั้งตัวตรงไม่โยกไปเยกมา เมื่อเหม่อลอยหรือฟุ้งซ่านก็ยอมรับว่าเหม่อลอยและค่อย ๆ หันเหกลับมาอยู่กับบทสวด เป็นต้น กิริยาอันเป็นบุญเหล่านี้ รวมกันแล้วจะทำให้คุณรู้สึกถึงความสว่างทางกายขึ้นมาทีละน้อย

    ความรู้สึกว่าสว่างนั้นแหละตัววัดว่าเกิดบุญ ไม่ใช่ของหลอก ไม่ใช่อุปาทาน เพราะเมื่อบุญเกิดใจย่อมเป็นสุข แต่ถ้ายังเกร็งหรือหรือฝืนทน คุณก็จะไม่รู้สึกถึงความสว่างและความเป็นสุข นั่นแปลว่าบุญยังไม่เกิดเต็มเม็ดเต็มหน่วย

    เครื่องวัดว่าเป็นบุญติดตัวแน่แล้ว คือการเข้าสู่ภาวะสำรวมเรียบร้อยโดยอัตโนมัติเมื่ออยู่ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กับทั้งมีความสม่ำเสมอ คืออยู่ในภาวะนั้นได้นานโดยไม่กระสับกระส่าย เช่น ตั้งแต่เริ่มสวดมนต์จนจบไม่กวักแกว่งเลย แม้จะต้องกระดุกกระดิกแก้เมื่อยบ้างก็ไม่ทำให้รู้สึกว่าหลุกหลิก ยังคงความนิ่งทางใจไว้ได้สม่ำเสมอ

    จากนั้นคุณจะรู้สึกว่าเป็นการง่ายที่จะสงบสำรวมต่อหน้าผู้ใหญ่หรือบุคคลผู้ควรให้ความนับถือ ไม่ว่าจะเป็นผู้ทรงศีลในจีวร ตลอดจนบิดามารดาผู้ให้กำเนิดคุณมา และโดยไม่ต้องฝึกพัฒนาบุคลิกตามขั้นตอนใด ๆ บุญจะปรุงแต่งให้ทุกอิริยาบถของคุณงามขึ้นมาเอง คือเกิดสัญชาตญาณในการเคลื่อนไหวใหม่ ๆ ในแบบที่ทราบได้จากข้างในว่าน่าดู น่ามอง

    ถึงจุดหนึ่งคุณจะรู้เอง ว่าความเคลื่อนไหวของกายมนุษย์เป็นเครื่องล่อตาชนิดหนึ่ง เป็นแม่เหล็กดึงดูดสายตาคนได้ และถ้าเนิบนิ่งก็จูงจิตคนเห็นให้นิ่งตามได้ แต่หากคุณลอกแลกหลุกหลิกอยู่ตลอดจะเคลื่อนไหวแต่ละทีกระโดกกระเดกไร้สติ อันนั้นจะเป็นแรงผลักให้คู่สนทนาอยากเบือนหน้าหนี เพราะผู้คนมีจิตฟุ้งซ่านยุ่งเหยิงอยู่แล้ว จึงไม่อยากรับภาพกระทบตาที่ชวนให้ปั่นป่วนหนักเข้าไปใหญ่

    แน่นอนว่าบุญใหม่ไม่อาจตกแต่งอากัปกิริยาของคุณให้สง่าผ่าเผยที่สุดในโลก เนื่องจากจะไปติดเพดานจำกัดที่สัดส่วนรูปพรรณสัณฐานซึ่งบุญเก่าให้มา แต่อย่างน้อยบุญใหม่ก็จะขับให้ออกท่าออกทางที่เหมาะเจาะที่สุด เท่าที่หัวตัวและแขนขาของคุณจะแสดงได้

    อีกสิ่งหนึ่งที่ควรระลึกนะครับ คืออากัปกิริยาเท่ ๆ ควรมากับกลิ่นตัวที่สร้างสรรค์หน่อย ไม่ใช่ขยับแต่ละทีเหมือนโยนสกั๊งใส่หน้าคนดู เป็นเหตุให้พวกเขาต้องเบนหน้าหลบอย่างไม่เกรงใจ หากอาบน้ำบ่อยยังไม่พอ ก็อย่าปล่อยเลยตามเลย ร้านสะดวกซื้อมีคำตอบให้สารพัด ทั้งโรลออนและสเปรย์ดับกลิ่น หากใครแพ้หรือรู้สึกยิ่งแย่หนักเข้าไปใหญ่ ลองซื้อแอลกอฮอร์ใส่ขวดสเปรย์ฉีดก็พอได้ผลเหมือนกัน อย่างน้อยช่วยลดความหมักหมมของแบคทีเรียที่รักแร้ตลอดจนซอกอับที่หมักเหงื่อต่าง ๆ ได้บ้างครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2008
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ๒) นัยน์ตา

    นัยน์ตาที่เป็นเสน่ห์ ควรฉายแววแจ่มชัด ถ้าสาดประกายจับตาคนมองด้วยยิ่งดี แต่ทั้งหมดนั้นไม่สำคัญเท่ามนต์สะกดที่ตรึงคู่สนทนาให้อยู่กับคุณได้ ด้วยการทำให้เขารู้สึกว่าคุณมองเขาอยู่คนเดียว และจะไม่ละสายตาไปไหน

    [​IMG]

    บุญที่ทำให้เป็นผู้มีประกายตาเงางาม คือการรู้จักมองผู้อื่นด้วยความเมตตาเอ็นดู หรือเล็งแลสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยความเลื่อมใสบูชา อาศัยความรู้นี้ คุณก็สามารถทำบุญสร้างเสน่ห์ในประกายตาได้ โดยเริ่มจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง เช่น หาพระพุทธรูปที่เห็นแล้วรู้สึกเลื่อมใสจับตาคุณมาก ๆ มาประดิษฐานในห้องพระที่บ้าน แล้วหมั่นแลมองด้วยสายตาตรงให้เห็นถนัดชัดทั้งองค์ แต่ละครั้งให้นิ่งและนานจนกว่าคุณจะรู้สึกได้ว่าประกายศรัทธาสาดออกมาจากนัยน์ตาตัวเองอย่างคงเส้นคงวา

    ระหว่างอยู่ในชีวิตประจำวัน พยายามมองผู้คนแบบที่จะเห็นความดีงาม ความน่ารักของพวกเขา กระทั่งคุณสามารถมองพวกเขาด้วยความเลื่อมใสคุณงามความดี และอยากมอบความรู้สึกดี ๆ ให้กับพวกเขา อย่าไปจดจ้องอะไรที่เป็นเรื่องแย่ ๆ หรือคุณสมบัติที่เป็นโทษ เพราะนัยน์ตาคุณจะขุ่น ใจคุณจะเจือด้วยโทสะยามมอง

    ส่วนการสร้างมนต์สะกดที่จะตรึงคู่สนทนาไว้ด้วยสายตาของคุณนั้น อยู่วิธีฝึกมองเป็นหลัก ขอให้จำไว้ว่า การสบตาเปรียบเหมือนการเชื่อมกระแสสื่อสารระหว่างจิต การสื่อสารจะราบรื่นถ้ากระแสตาราบเรียบ แต่จะสะดุดเมื่อคุณลอกแลกอยู่ตลอด

    [​IMG]

    การสบตาจะทำให้คู่สนทนาระลึกได้ในภายหลังว่าคุยอะไรกันและการสบตาก็มีบทบาทสำคัญยิ่งเมื่อต้องชักชวนหรือโน้มน้าวให้ใครคล้อยตามเหตุผลของคุณ

    ขอให้สังเกตว่าคนส่วนใหญ่ชอบเลี่ยงหลบไม่ยอมสบตาคู่สนทนา พวกนี้ถึงตาสวยก็มีเสน่ห์ทางตาน้อย ส่วนอีกพวกหนึ่งแม้สบตาคู่สนทนาบ้าง แต่ก็ขาด ๆ เกิน ๆ เช่น บางทีสู้ตาแบบฉันไม่กลัวแก บางทีมองแนวคุกคามข่มขวัญ บางทีมองแบบเสียไม่ได้ บางทีมองแบบฝืน ๆ ไม่ให้เกียรติอีกฝ่าย

    คุณต้องฝึกความนิ่งในการมอง ยิ่งนัยน์ตาคุณนิ่งอยู่กับคู่สนทนาเท่าไร อีกฝ่ายจะรู้สึกว่าคุณให้ค่า ให้ความสำคัญกับเขาเท่านั้น และที่ฝึกให้เป็นนิสัยก็ไม่ใช่ด้วยการเลือกที่รักมักที่ชัง คุณต้องฝึกความนิ่งในการมองทุกคน มนต์สะกดจากสายตาของคุณถึงจะอิ่มพลังอยู่ตัว

    เริ่มต้นขึ้นมาขอให้ฝึกกับกระจกเงา สบตาตัวเองจะดีที่สุดเพราะได้เห็น ๆ กันเลยว่าคุณออกแรงน้อยเกินไปจนเหมือนครึ่งกล้าครึ่งแหย หรือว่าออกแรงมากเกินไปจนเหมือนแกล้งเพ่งให้อึดอัดกัน คุณควรเริ่มฝึกจากการมองธรรมดาที่สุด แต่ให้นิ่งนาน กระจกเงาจะฟ้องเลยว่าสายตาคุณแฉลบซ้ายแฉลบขวาบ่อยแค่ไหน โฟกัสเหมาะหรือไม่เหมาะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2008
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    โฟกัสที่พอดีที่สุด คือการมองตรงแล้วเห็นใบหน้าทั้งหมด ปกติเรามองเงากระจกเพื่อดูความเรียบร้อยเดี๋ยวเดียว แต่ในการฝึกมองนี้คุณต้องเห็นทั้งใบหน้าของตัวเองให้นานขึ้น กับทั้งตั้งใจว่าต่อไปคุยกับใครจะเห็นทั้งหน้าของเขาให้ได้อย่างนี้

    โฟกัสที่ดีรองลงมา คือการมองตรงแล้วเห็นสองตาพร้อมกันทั้งแนว การเล็งแลแบบนี้เป็นการปะทะสายตาโดยตรง ถ้าเป็นกระแสตาตัวเองที่ตอบมาจากกระจกคุณจะรู้สึกว่าไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นกระแสตาคนอื่น จะขึ้นอยู่กับว่ารังสีตาระหว่างคุณกับคู่สนทนามีความกลมกลืนหรือขัดกัน การมองคลุมเฉพาะแนวตาจึงอาจหมายถึงการท้าทายให้ลองกำลัง หรือหมายถึงการประสานสัมพันธ์ทางใจให้แนบแน่นเป็นพิเศษ ถ้ารู้สึกเป็นลบก็ควรเปลี่ยนไปมองทั้งหน้าจะดีกว่า และเหนื่อยน้อยลงด้วย

    โฟกัสที่ไม่ค่อยดีนัก คือการมองตรงบ้าง เหล่มองบ้าง แล้วเห็นได้เพียงตาข้างเดียว การเล็งแลแบบนี้คับแคบ และดูเหมือนเพ่งพินิจมากไป การมองของคุณอาจให้ความรู้สึกแปลก ๆ คล้ายไม่เต็มใจ หรือเว้าแหว่งครึ่ง ๆ กลาง ๆ ชอบกล

    [​IMG]

    เมื่อแน่ใจว่าสามารถมองตรงด้วยโฟกัสที่เหมาะแล้ว ขั้นต่อไปคือทำตาให้ยิ้มได้ เหมือนมียิ้มอยู่ในตา เพราะการยิ้มหมายถึงกระแสความชอบใจ หากนัยน์ตาของคุณยิ้มขณะมองใคร ก็แปลว่าการสบตาระหว่างคุณกับเขาเป็นเรื่องน่าชอบใจ และจะดึงดูดให้เขาพลอยรู้สึกชอบใจตามไปด้วย

    เริ่มฝึกคือสบตาตัวเองในกระจกพร้อมทั้งยิ้มมุมปากไปด้วย แล้วสังเกตดูว่าความรู้สึกจากดวงตาเปลี่ยนไปแค่ไหน โดยธรรมชาติกระแสตาจะแปรไปตามวิธีที่ปากของคุณยิ้ม แต่ถ้าปากยิ้มแล้วดวงตาไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่อ่อนโยนลง ก็แปลว่าคุณแค่ฉีกยิ้ม โดยไม่ได้ยิ้มออกมาจากใจเลย

    กระจกเงาจะฟ้องให้คุณรู้ตัว และปรับวิธียิ้มเสียใหม่ โดยเริ่มเปลี่ยนที่ใจ แววตาที่อ่อนโยนลงคือหลักฐานว่าใจคุณยิ้มจริง

    คุณควรพิจารณาทั้งการฉีกยิ้มกว้างจนสุด และการยิ้มละไมเพียงน้อย การสนทนาที่ดีควรเริ่มต้นและจบลงด้วยยิ้มกว้างสุด แต่ระหว่างสนทนาควรยิ้มละไมเป็นระยะ

    และที่สุดของการสร้างเสน่ห์ในดวงตา คือการพูดโดยไม่ละสายตาไปจากใบหน้าของคู่สนทนา ไม่ว่าเขาจะสบหรือหลบตาคุณ เริ่มต้นฝึกกับกระจกแบบสบาย ๆ ด้วยการเตรียมบทพูดอธิบายอะไรก็ได้สักย่อหน้าหนึ่ง ซึ่งอาจหมายถึงย่อหน้าที่คุณกำลังอ่านอยู่นี่เลยก็ได้ โดยทำความเข้าใจแล้วคิดคำอธิบายเอง

    เมื่อได้บทพูดแล้ว ให้ค่อย ๆ พูดเหมือนตอนคุณพยายามทำให้ใครสักคนเข้าใจสิ่งที่คุณต้องการสื่อ ขณะเดียวกันก็สังเกตเป็นจังหวะ ว่าสายตาของคุณแข็งหรืออ่อน ทอดเหม่อหรือว่ายังตรงนิ่งนัยน์ตาที่สะท้อนความมีสติในการอธิบาย จะมีความตรงนิ่ง กระจ่างชัด และอยู่ในโฟกัสเดิมค่อนข้างคงเส้นคงวา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2008
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    เครื่องวัดว่าคุณมีเสน่ห์ทางตาแล้ว คือแม้กำลังโกรธก็ไม่อยากส่งตาขุ่นขึ้งคุกคามใคร ต่อให้เล็งแลศัตรูอยู่ ก็เป็นไปในลักษณะอ่อนโยนประนีประนอม ไม่ใช่มองอย่างจะกินเลือดกินเนื้อตามกิเลสขับดัน จะสังเกตลมหายใจไปด้วยก็ได้ ถ้ามองใครแบบฝืน ๆ ลมหายใจของคุณจะติดขัด แต่ถ้ามองด้วยความเต็มใจ ลมหายใจจะยาวและนุ่มนวลราบรื่น

    และถ้าคุณสามารถถ่ายทอดความรู้ใด ๆ ให้คนอื่นเข้าใจได้ทั้งยังสบตาตลอด คุณจะพบว่าสติในการเรียบเรียงคำพูดแข็งแรงขึ้นทุกทีและมีคนอยากฟังคำอธิบายจากคุณมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย นั่นเพราะนอกจากคำอธิบายของคุณจะสื่อออกมาจากจิตที่อยู่ในภาวะแจ่มชัดที่สุดแล้ว ตัวตนทั้งหมดของคุณยังเข้าไปประทับอยู่ในความทรงจำของผู้คน คล้ายมีมนต์เรียกให้อยากกลับมาฟังคุณพูดใหม่อีก

    เสน่ห์ทางตาที่อิ่มตัวจะทำให้คุณมั่นใจว่าตัวเองมีมนต์สะกดให้ทุกคนรู้ดี สงบเย็นลง ตลอดจนชอบที่จะสบตาอย่างเป็นมิตรกับคุณ แน่นอนว่าบุญใหม่ไม่อาจตกแต่งนัยน์ตาของคุณให้เงางามน่ามองที่สุดในโลก เนื่องจากจะไปติดเพดานจำกัดที่คุณภาพของแก้วตาซึ่งบุญเก่าให้มา แต่อย่างน้อยบุญใหม่ก็จะฉายรังสีที่น่าดูที่สุดเท่าที่แก้วตาของคุณจะเปล่งประกายออกมาได้

    แล้วก็อย่าลืมสังเกตด้วยนะครับว่ามีขี้ตาติดอยู่หรือเปล่า จะหมดท่าเลยล่ะถ้าอุตส่าห์มีมนต์สะกดทางตา แต่ปล่อยให้คู่สนทนาจับได้ว่าขี้ตาไหลไม่ยอมเช็ด

    [​IMG]

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    http://larndham.net/index.php?showtopic=32437&st=0
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2008
  9. The Third Eyes

    The Third Eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +51,007
    รักแท้ในโลก ของมนุษย์..เป็นของดี..
    ทำให้ชีวิตมีความหวัง และมีความสุข แบบ ประสามนุษย์
    ความรัก เป็นการผุกพัน..ในเรื่อง คู่กรรม
    บางคนก่อนตายจาก..ได้กล่าวขอสาบานว่า..
    ขอให้ได้ พบ กันทุกๆๆชาติที่ จะได้ เกิดมาใหม่
    เป็นสัญญา ของจิตวิญญาณ..
    ซึ่งถ้าแรงพอ..ก็จะได้ ตามที่ ปราถนานั้น
    ความรัก และสัญญา เป็นการผูกพัน
    พุทธนิพจน์..กล่าวไว้ อย่างชัดเจน ว่า " รักนั้นคือ ทุกข์"
    จากสิ่งที่ รัก ก็เป็นทุกข์
    พลัดพรากจากสิ่งที่ รัก ก็เป็นทุกข์
    ความรักของมนุษย์ มีเพียงระยะเวลาสั้นๆๆ 50-60 ปี..ก็ต้อง ลาโรง

    คนที่ ต้องการหลุดพ้น..ย่อมรู้ดี ว่า..ต้องทำจิตให้ว่าง
    ไม่ให้มีจิต ปราถนา..ไม่ให้ มีเกิด ชาติ และ ภพ
    ที่หมุน ตาม ธรรมจักร ในบทของ ประกิจสมุทบาป

    ความรัก่..จึงไม่ใช่สิ่งที่ ถูกต้อง..ของผู้ที่ ต้องการหลุดพ้น
    แต่เป็นสิ่งดี สำหรับผู้ ที่ ยังมีกิเลส...อยาก ตาย..อยากเกิด
    หมุนไป แล้ว ก็หมุนมา ๆๆๆๆๆๆๆๆ
     
  10. สัทธาธิกะ

    สัทธาธิกะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +373
    หนังสือของคุณดังตฤณดีทุกเเรื่องเลยครับ
    เรื่องนี้ผมก็ซื้ออ่าน ดีมากเลยครับ (good)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 สิงหาคม 2008
  11. สังขารไม่เที่ยง

    สังขารไม่เที่ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,943
    ค่าพลัง:
    +24,697
    อนุโมทนาสาธุนะคะ....เพราะความรักมิได้เพียงแค่การครอบครอง...หากแต่ความรักเป็นความเมตตาปรารถนาดีต่อกันค่ะ....^_^ เสน่ห์ก็สร้างจากกาย วาจา ใจ ค่ะ...
     
  12. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    รักที่เเท้จริง คือ ความเข้าใจ นะเอย นะเอย

    :z10

    <EMBED src=http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf width=315 height=80 type=application/x-shockwave-flash scale="noscale" FlashVars="Autoplay=1&songID=V2B7D4FEPA0" wmode="transparent"> ​
     
  13. kacher

    kacher เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    504
    ค่าพลัง:
    +235
    รักแท้มีอยู่ รักแท้มีจริง
     
  14. ลูกกวางน้อย

    ลูกกวางน้อย สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +3
    ขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีๆนะคับ
     
  15. pipat

    pipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    359
    ค่าพลัง:
    +126
    อนุโมทนาครับ ขอให้ใครที่อยากพบรักแท้จงพบรักแท้สมใจเถิด
     
  16. โป๊ยเซียนสาว

    โป๊ยเซียนสาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,543
    ค่าพลัง:
    +2,279
    บุญที่ทำหากเสมอกันในทางดี
    บุพเพสันนิวาสก็จะช่วยส่งเสริม
    ให้คุ่รักมาพบเจอกันด้วยนะคะ
     
  17. เสรีชน

    เสรีชน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2008
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +727
    รัแทันั้นต้องแฝงไปด้วยความเมตตากรุณา
     
  18. หนึ่ง898989

    หนึ่ง898989 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    665
    ค่าพลัง:
    +294
    ภาพ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 29242924.jpg
      29242924.jpg
      ขนาดไฟล์:
      62.8 KB
      เปิดดู:
      63
    • 31793179.jpg
      31793179.jpg
      ขนาดไฟล์:
      77.8 KB
      เปิดดู:
      52
  19. wvichakorn

    wvichakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    3,669
    ค่าพลัง:
    +9,239
    "บุญที่ทำให้เป็นผู้มีอากัปกิริยาท่าทีงามสง่าและเต็มไปด้วยความรู้สึกตัว คือการเป็นผู้รู้จักสำรวมในกาละเทศะอันควร โดยเฉพาะกับบุคคลและสถานที่อันเป็นมงคล อาศัยความรู้นี้ คุณก็สามารถทำบุญสร้างเสน่ห์ทางอากัปกิริยาได้ โดยเริ่มจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง เช่น ทำความเคารพพระปฏิมาบนโต๊ะหมู่บูชาในบ้านด้วยกิริยาประณีต หรือเดินเข้าไปในวัดวาอารามด้วยความสำรวมกายสำรวมใจ"

    ขออนุโมทนาค่ะ<!-- / message --><!-- sig -->
     
  20. - เงาะป่า -

    - เงาะป่า - เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +565
    [​IMG]


    คงจะมีรักจริงรออยู่ ที่ดินแดนใดซักแห่ง
    คงมีใครซักคนรออยู่ ตรงนั้น

    คงมีความหมายใด ซ่อนอยู่ในการรอคอยที่แสนนาน
    คงจะมีซักวันฉันคงได้เจอ

    [music]http://palungjit.org/attachments/a.382480/[/music]​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2008

แชร์หน้านี้

Loading...