มีพระอรหันต์ องค์ใดบ้าง ที่บรรลุโดยไม่มีสมถะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิษณุ12, 17 ธันวาคม 2008.

  1. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    มีใครพอทราบไหมครับ ว่ามีพระอรหันต์องค์ใดบ้างที่ บรรลุธรรมโดยที่ไม่อาศัย สมถะ
     
  2. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ก่อนเข้าวิปัสสนา ไม่ผ่านสมถะก่อนเหรอ
    กำลังจากสมถะ ไม่ส่งเสริมวิปัสสนาเหรอ

    หมดแรงจากวิปัสสนา มันไม่เข้าไปในสมถะตามธรรมหรือ
    วิปัสสนาผ่านเบื้องต้น แล้วในเบื้องปลายไม่สนใจสุขจากญานหรือ

    """"""""""""""""""""""""""""
    ถ้ากล่าวว่า ไม่ต้องสมถะถึงได้ญาน อรูปสูง ๆ ก็น่าจะบรรลุได้
    ไงลองถามผู้รู้อีกทีนะ ผมไม่แน่ใจ ^-^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2008
  3. SaveMax

    SaveMax เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    172
    ค่าพลัง:
    +578
    หลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ ท่านไม่ได้ทำสมถะ ท่านปฏิบัติ สติปัฏฐาน 4 โดยการเคลื่อนไหวกายครับ ไม่ได้ทำให้จิตสงบก่อนทำวิป้สสนา แต่ใช้สติดู-รู้ กาย-ใจ จนเห็นไตรลักษณ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2008
  4. krit59

    krit59 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    219
    ค่าพลัง:
    +346
    ถ้าทำความสงบก่อน คือ สมถะ ป่านนี้ดาบสที่เป็นอาจารย์พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ก่อนพระพุทธเจ้าแล้ว ศึกษาดูพระอริยะในครั้งพุทธกาลให้ดีน่ะครับ อย่าคิดว่าสงบแล้วมันจะมีปัญญาตัดกระแสได้ ไม่จริง
     
  5. ผมยังเลวอยู่มาก

    ผมยังเลวอยู่มาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +539
    คุณต้องทำความเข้าใจอย่างนี้ก่อนว่า อะไรเป็นปัจจัยให้บรรลุธรรม เป็นพระอรหันต์ ปัจจัยที่ทำให้บรรธรรมนั่น คือ วิปัสสนาญาณ แล้วคุณต้องเข้าใจก่อนว่าวิปัสนาญาณคืออะไร
    วิปัสนาญาณคือ อารมณ์พิจารณารู้เท่าทันตามความเป็นจริงของขันธ์ 5 คือร่างกาย ว่ามันสกปรก โสโครกเป็นรังของโรคเป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์ ฯลฯ และการที่วิปัสนานญาณจะได้ผลนั้น ต้องอาศัยสมถกรรมฐาน เป็นบาทเป็นฐานเพื่อให้อารมณ์ใจมีความมั่นคงเป็นสมาธิ ซึ่งจัดเป็นสัมมาสมาธิ ในอริมรรคมีองค์ 8 ประการ อารมณ์วิปัสนาญาณถึงจะได้ผลเข้าไปปราบกิเลศในใจให้เป็น
    สมุทเฉจประหารได้

    อุปมาวิปัสนาญาณ เหมือนดาบกายสิทธิ์เล่มใหญ่มีอานุภาพมาก ตัวเราเปรียบเสมือนคนใช้ดาบ กิเลศคือข้าศึกศัตรู สมถ เปรียบประพละกำลังของตัวเรา ในการที่เราจะฆ่ากิเลศได้ นอกจากรู้วิธีใช้แล้ว เราต้องมีกำลังในการหยิบดาบมาใช้ด้วย ถ้าสมมุติตัวเรารู้วิธีรำดาบทั้งหมดแต่ไม่มีแรงยกดาบยกดาบไม่ไหวก็ปราบกิเลศไม่ได้ หรือมีกำลังอย่างเดียวแต่ไม่รู้จักวิธีใช้ดาบก็ฆ่าศัตรูไม่ได้เช่นกัน

    จากตัวอย่าง จะเห็นว่า ถ้าท่านผู้นั้นจะตัดกิเลศ ก็ต้องถึงพร้อมด้วยพละกำลังคือสมถะต้องมีอาวุธคือวิปัสนาญาณ ต้องมีพร้อมกันทั้งสอง อย่าง แล้วใช้เข้าสู้กับศรัตรูคือกิเลศ

    ดังนั้นคำถามนี้ง่ายมาก ตอบได้เลยว่า ถ้าไม่มีสมถะมาช่วยแล้ว การบรรลุมรรคผลไม่มีทางเป็นได้

    และในการปฏิบัตินั้นมีแนวทางที่พระพุทธเจ้าวางไว้ 4 แนวทางคือ
    สุขวิปัสโก คือ บรรลุแบบง่ายๆสบายๆ ทำสมถควบคู่กับวิปัสนาไปเรื่อยๆ พวกนี้ไม่คิดไรมากสบายๆไม่ต้องการเห็น ผี พรหม เทวดา แต่พระพุทธเจ้าสอนอะไรก็เชื่อถือปฏิบัติตาม

    เตวิชโช คือ วิชชา 3 ต้องทำทิพจักขุญาณให้เกิดโดยการ เพ่งกสิน ไฟ แสงสว่าง สีขาว แล้วนำไปตัดกิเลศเหมาะสำหรับพวกอยากพิสูจน์ นรก สวรรค์ พวกช่างสงสัย อยากรูด้วยตนเอง

    ฉฬภิญโญ คือ อภิญญา 6 พวกนี้ไม่ใช่สงสัยแล้วอยากเห็นอย่างเดียว พวกนี้อยากสัมผัสอยากไปด้วยตัวเองเลย ทำนองว่า 10 ตาเห็นไม่เท่ามือคลำ

    ปฏิสัมภิทัปปัตโต คือ ท่านทีเจริญ สมาบัติ 8 ต้องการความฉลาดรอบรู้มาก

    เป็นต้น ที่เหลือรายละเอียดคุณไปเปิดอ่านหน้าเว็บเอาเอง ที่เว็บมีอยู่
    และอย่างที่คุณยกตัวอย่างพระอาจารย์ท่านนั้นมาเป็นการปฎิบัติแบบสุขวิปัสโกนั่นเอง อีกประการ คุณก็ตอ้งเข้าใจในมหาสติปัฎฐาน 4 สะก่อน ว่าการที่จะเจริญสติปัฎฐาน นั้น พระพุทธเจ้าท่านให้ขึ้น อาณาปาณะบรรพ คือกำหนดลมหายใจเข้าออกก่อน แต่ส่วนใหญ่ที่ทำอย่างทุกวันนี้ เขาเริ่มที่กายก่อน ซึ่งมันจะเป็นการที่ออกจะข้ามขั้นตอนซักหน่อยแต่ก็เอาเถอะ ที่ทำกันอยู่นี้ถ้าจิตเป็สมาธิก็เหมือนเราเจริญสมถะไปในตัว
    ดังนั้นที่สำคัญคุณก็อย่าลืมว่า กรรมฐานนั้นมีตั้ง 40 กอง คุณสามารถเลือกอย่างใดอย่างนึงมาได้ไม่จำเป็นว่าต้องกองนั้นกองนี้เท่านั้น ซึ่งอย่างที่อาจารย์คุณทำจะผิดหรือถูกไม่รู้ แต่ถ้าเกิดสมาธิจิตนิ่งแนวแน่เป็นฌานละก็ใช้ได้แล้วเอาวิปัสนาไปใช้ปราบกิเลศ ก็บรรลุได้ เพียงแต่อาจไม่รู้เท่านั้นเองว่านี่เรียก สมถะ

    ปล.อีกประการในการบรรลุธรรมเขามีกฎตายตัวเลยว่า ผู้เป็นโสดาบันต้องได้ปฐมฌานเป็นขั้นต่ำ ถึงจะเป็นได้ เพราะถ้าไม่ได้มันไม่มีกำลังพอ ส่วนผู้ที่จะเป็นอนาคามี หรือ อรหันต์ ต้องได้ฌาน 4 เป็นบาท

    ก็ขออธิบายเท่านี้ ถ้าอยากรู้มากกว่านี้ แนะนำอ่าน กรรมฐาน 40 มหาสติปัฎฐาน 4 วิปัสนาญาณ 9 และอารมณ์ พระอริยะเจ้า ในเว็บมีอยู่คับ อยู่ที่ว่าคุณจะอ่านหรือ ขี้เกียจรึป่าวเท่านั้นเอง

    อนุโมทนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 ธันวาคม 2008
  6. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    แล้วแบบไม่ต้องกลับมาเกิดอีกล่ะ
    ต้องศึกษาแบบไหนครับ ?



    อนุโมทนาครับ
     
  7. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ก็มาดูที่เหตุแห่งการเกิดซิ ^-^
     
  8. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ปล.อีกประการในการบรรลุธรรมเขามีกฎตายตัวเลยว่า ผู้เป็นโสดาบันต้องได้ปฐมฌานเป็นขั้นต่ำ ถึงจะเป็นได้ เพราะถ้าไม่ได้มันไม่มีกำลังพอ ส่วนผู้ที่จะเป็นอนาคามี หรือ อรหันต์ ต้องได้ฌาน 4 เป็นบาท....
    สงสัยนะครับว่า พระพาหิยะเข้าฌานสี่ ก่อนเหรอครับพอฟังธรรมจากพระพุธ ก็อรหันต์เลย ...หรือว่า ก่อนพบพระพุธเจ้า พระพาหิยะ ทำฌานสี่มาได้แล้ว..หรือขณะฟังพระพุทธเจ้าก็ทำฌานสี่ไปด้วย....แล้วฌานสี่นี่เป็นอุเบกขาไม่ใช่เหรอครับ ...เอ๊ะหรือยังไง
     
  9. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    ผมก็สงสัยครับคุณวิษณุ12

    เอางี้ครับการที่จะได้ฌานนั้นมันได้มายังไงกันยังไงหรือครับ ?
    ประมาณว่าพอ ฌาน1-2-3-4แล้วต่อไปจากนั่งกำหนดรู้ดูจิตแล้ว ต้องไปปีนสมาธิหรือกระโดดสมาธิหรือยังไงครับ ?
    เอาสั้นๆย่อครับ เอาเฉพาะใจความที่สำคัญนะครับ
    ตามที่ผมเข้าใจมาคือมีสติรู้ตัวอยู่เสมอ หรือว่าต้องได้ฌานอะไรๆมาแล้วต้องไปสอบ เหมือนสอบฐานลูกเสือรึเปล่า ?





    อนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2008
  10. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    เท่าที่จดจำจากครูบาอาจารย์ท่านสอนมา สมถะภาวนาจะเกิดควบคู่กับช่วงที่เจริญวิปัสสนาญาณครับเสมอครับ เพราะพระท่านต้องอาศัยกำลังสมถะควบคุมกำลังใจให้อยู่ในขอบเขตของข้อธรรมที่กำลังพิจารณา ไม่ฟุ้งซ่านไปกับอารมณ์อื่น จนจิตสามารถเข้าสู่การรู้แจ้งแทงตลอด ตัดกิเลสได้สมบูรณ์

    สรุปตามที่ผมเข้าใจคือ พระอรหันต์ท่านมีกำลังสมถะควบกับวิปัสสนา ครับ
    แต่ว่าธรรมะเป็นภาษาปฏิบัติ ไม่ใช่ภาษาพูด เร่งปฏิบัติกันเถิด
     
  11. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ขอนิดนึง...คนเรานั้นจะทำฌาน มันไม่ง่ายหรอกครับมันต้อง มีสถานที่เอื้อประกอบถึงจะทำฌานได้ พระพุธเจ้าเอง ขนาดท่านมีบุญบารมีขนาดไหน ตอนเด็ก ที่ออกไปทำพีธีแรกนาขวัญ (ถ้าจำไม่ผิดนะ) ท่านเดินไปหาที่เงียบๆลองนั่งดู ก็ปรากฎว่าท่าน ได้ปฐมฌานตั้งแต่ตอนนั้น ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่า ขนาดพระพุทธเจ้าท่านมีบุญบารทีขนาดไหน ตอนนั้นยังได้แค่ปฐมฌานเลย แล้วเราล่ะจะขนาดไหน อันนี้ผมวิเคราะห์นะจงพิจารณาเอาเองนะ..... อันว่า ปฐมฌาน ประกอบไปด้วย องค์ 5 วิตก วิจารย์ ปีติ สุข เอกัคคัคตา องค์ 5นี้เมื่อเกิดมันจะสลับกันไปมา ครบองค์5 ถึงได้เรียกว่า ปฐมฌาน คำว่า วิตก เหมือนแปลได้คือ คำถามในใจ วิจารย์เหมือนแปลความหมายถือ คำตอบในใจ คือจิตมันจะถามเองตอบเองในใจว่างั้น ประมาณนั้น วิตกวิจารย์ จะเกิดเมื่อ เช่น เราภาวนาพุธโธ แล้วคำบริกรรมหายไป หรือพอมันหายก้กลับมาหาพุโธใหม่ตรงนี้ล่ะ มันจะมีความคิดอื่นมาเอง ตรงนี้ละเรียก วิตก วิจารย์ บางคนไม่เข้าใจ ก็เลยคิดว่าฟุ้งซ่าน เพราะความคิดมันจะผุดไปเรื่อยๆๆ
    พอมันคิดแล้วตอบเอง เช่น นี่อะไร นี่แก้ว มันจะถามเองตอบเองไปเรื่อย บางทีมันก็ไปนึกถึงคำสอน ครูอาจารย์แล้วมันก็ตอบเอง อย่างนี้ซึ่งไม่รู้จะถูกหรือผิดมันก็เป็นไปอย่างนั้น เป็นต้น หลังจากมันตอบเอง มันก็จะเกิดปีตี ขนลุกซู่ซ่า ตามอารมณ์ไป ตอนปีติขึ้นนี่ ผมชอบ มันดีนะครับ เวลามันวู่ๆเหมือนไฟชอ๊ต อยู่เป็นชั่วโมงเลย หลังจากปีติหายไป สุขหรืออาการสะบายๆจะตามมา ซึ่งมันจะวนเวียนอยู่อย่างนี้ ทั่งสี่ อาการนี้ วนไปวนมาเป็นอารมณ์ของมันรวมกันเป็นเอกัคคัคตา คือมันเป็นหนึ่งในอารมทั้ง 4 นะครับ วนไปมาอย่างนี้ล่ะถึงเรียกปฐมฌาน ซึ่ง หากเราเข้าใจวิปัสนาแล้ว จะชำเรืองดู วิตก วิจารย์นี้ก็จะเป็นวิปัสนาเลย คือเมื่อ วิตก วิจารย์เกิด ก้ชำเรืองดูที่ใจ ปีติเกิด ก็ชำเรืองดูที่ใจ สุข เกิดก็ชำเรืองดูที่ใจ อันนี้ถึงเรียกว่า เป็นวิปัสนาควบ พระท่านจึง สอนให้ ระลึกรู้หรือชำเรืองดู พอเริ่มเป็นวิตกวิจารย์นี่ละครับ ...ซึ่งเป็นการฝึกวิปัสนาในท่านั่งสมาธินะครับ ดูไปเรื่อยๆๆอย่างนั้นละสำหรับคนชอบนั่ง ....เอาแค่หอมปากหอมคอก่อนนะครับ
     
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ขออธิบายละกัน

    กรณีฟังเทศน์อยู่ แล้วเห็นธรรม

    คำเทศน์นั้นพระจะเทศน์ไปเรื่อยๆ เราจะไม่ได้สนใจว่าท่านเทศน์ให้เราอยู่ โสตวิญญาณ
    ก็ไปจับคำเทศน์อยู่แต่ไม่ได้ฟัง คือ มันไม่เข้ามาในใจเรา คือ ฟังอยู่แต่ไม่เข้าถึงใจ แต่ก็
    ใช่ว่าไม่รู้เลยว่าพูดถึงอะไร เพียงแต่รู้แต่ไม่ยึดมาเป็นความรู้ พอไม่ยึดเป็นความรู้ มันเลย
    ไม่เอาสิ่งที่ได้ยินมาคิดตาม

    ครงนี้จะต่างกันกับคนที่ฟังทั่วๆไป คนส่วนใหญ่จะฟังแล้วคิดตาม เพื่อให้เข้าใจ พยายาม
    ขบคิดเปรียบเทียบจากประสบการณ์ จากเหตุการณ์ที่ประสบมา หรือบางทีก็เพื่อแสดง
    อาการให้คนข้างๆเห็นว่าเข้าใจ เช่น หัวเราะ พยักหน้า เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องการฟังเทศน์
    เป็น แต่เป็นฟังไปหลงไป

    พอฟังไปเฉยๆ ไม่จับเอามาคิด ตอนนั้นจิตจะมีสติอยู่ที่กายที่ใจตน หูไปฟังก็รู้ จิตดูอาการ
    ของตนก็รู้ จิตหลบเข้าไปทำสมถะก็รู้ มันจะเหมือนเห็นจิตมันวิ่งไปวิ่งมาตามอยาตนะอยู่
    และไม่ฝืน ไม่จมจ่อม ไม่บังคับให้นิ่ง เช่น เอามาจรดลมหายใจ จุดฐานหายใจ แต่จะ
    ปล่อยให้จิตเคลื่อนไปตามความเป็นจริง

    พอเห็นจิตมันแส่ส่ายไปเรื่อยๆ ตามความเป็นจริง ก็เริ่มมองเห็นว่าจิตมันไม่เนื่องกับกาย
    แต่ก็ใช่ว่าไม่เห็นกาย เพราะจิตมันก็เคลื่อนไปที่โผฐัพพะอยู่เนืองๆ ทำให้เห็นสภาวะธรรม
    กายในกาย แล้วเห็นกายเนื้อเป็นเพียงธาตุให้รู้ และเนื่องจากมันแส่ส่ายไปทางอยานตะอื่น
    อยู่และเห็นอยู่ ก็เกิดการเห็นเวทนาในเวทนาปรากฏ เห็นจิตในจิตปรากฏ เห็นธรรมใน
    ธรรมปรากฏ กำลังจะอุทานเห็นอะไรแปลกๆ แบบนี้คืออะไร

    จิตก็จะไปจับเอาคำเทศน์ที่เทศน์ส่งมาให้ได้ยิน

    กายไม่ใช่เรา ใจไม่ใช่เรา จิตอุทานเองอยู่แต่ไม่หนักแน่น คำเทศน์เข้ามาด้วยคำ
    เดียวกันทำให้เกิดความหนักแน่นในการเห็น ทำให้เกิดความสว่างชั่วขณะจิตนั้น

    สรุป มันเข้าไปเห็นสรรพสิ่งย่นลงเป็นการเห็นสภาวะธรรม ที่เป็นเพียงสภาวะที่ปราศ
    จากตัวตน บุคลล เราเขา ขอบเขตอัตตาหายไป กำลังเห็นอะไรบางอย่างที่กระจาย
    ตัวออกไปกว้างๆ เทียบปริยัติก็คือ เห็นในส่วนอวิชชาเป็นปัจจัยของสังขาร ซึ่งไม่
    ใช่เห็นอะไรแบบขบคิด มันเป็นเรื่องชั่วขณะจิต แต่มีการสัดส่ายการเห็นอยู่ตรงนั้น
    มันไม่รู้ว่าเห็นอะไร แล้วจิตมันก็จะอุทาน แต่เหมือนคนอ้อมแอ้ม แต่พอมีคำเทศน์
    เข้ามาเกื้อก็ทำให้เกิดน้ำหนักในการเห็นเพิ่มเติมเป็นกำลัง

    ซึ่งจะต้องเห็นต่อไปอีกด้วยจิตตัวเอง คำเทศน์จะหายไปไม่ส่งให้ได้ยินอีก ช่วงนั้นจะ
    เหมือนมีแสงสว่างวาบขึ้น

    ....แต่กรณีของผม จิตมันผลิกออกมาเสียก่อนที่จะเกิดกระบวนการมรรคสมังคี...
     
  13. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    สิ่งใดเป็นเสียงสักแต่ว่าเสียง....อนุโมธนาครับ
     
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อีกมุมหนึ่งในแง่องค์ฌาณ ปิติ สุข เอกัคคตา

    แต่เมื่อมาทวนฟังจาก cd ภายหลัง ก็พบว่าการเทศน์ไม่ได้เข้ามาเกื้อเพียง
    จุดเดียว

    มีหลายครั้งที่จิตไปติดปิติในสมาธิ เกิดการสัดส่ายของปิติ กระเพื้อมอยู่
    ก็มีคำเทศน์มาชี้ให้เห็นสุข จึงละปิติลงได้

    ตอนที่ไปเห็นสุขก็เห็นบ้างไม่เห็นบ้าง มีการเคลื่อน ไม่เป็นเอกัคคตา ก็
    มีคำเทศน์เข้ามาชี้ให้เห็นสุขเป็นระยะๆ เมื่อไปติดไปคา

    พอเห็นคำว่าสุขเขาตรงตามคำเทศน์ก็เกิดการสว่างวาบขึ้น แต่พอสว่าง
    วาบขึ้นคำเทศน์ก็หายไป

    พระท่านมากล่าวภายหลังจาก cd นั้นไปอีกว่า คำเทศน์ขาดไปเพราะความว่าง
    ไปกระทบ ซึ่งมีสองปัจจัยที่ทำให้คำเทศน์ของพระขาดกระแสได้คือ กุศลจิตแรงๆ
    หรือ อกุศลจิตแรงๆ

    ทบทวนเล่นๆ สำหรับผม ก็คงจะเป็นอกุศลจิตแรงๆ เพราะว่ากิเลสมันไม่ได้หายไป
    ไหนเลยสักกะกอง

    พอไปลองเปิดอ่านพระสูตรที่มีการบรรลุ ก็พบว่า ลักษณะการเทศน์ของพระพุทธ
    องค์ก็มีจังหวะส่ง ปิติ สุข เอกัคคตา สลับไปสลับมาเหมือนกัน

    สำหรับพระสูตรพาหิยะ ก็คงเป็นเพราะพระพาหิยะมีวิปัสสนาญาณเห็นสภาวะธรรม
    อยู่แล้วแต่ไม่รู้ว่าคืออะไร พอคำเทศน์เข้ามาว่า

    เพียงบาทนี้ก็เลยส่งให้เห็นอริยสัจจ แล้วแหวกอวิชชาออกไป พระอรรถกถาจารย์
    กล่าวว่าพระพาหิยะหลุดไปตั้งแต่ ทราบสักแต่ว่าทราบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2008
  15. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ท่าน นิวรณ์ ..มานะ.. มีอะไรบ้างครับ บอกหรือพิมให้ดูให้อ่านหน่อย อยากรู้ครับ ...ขอบคุณครับ
     
  16. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เมื่อพิจารณาดู ก็จะเห็นว่า องค์ฌาณที่เป็นสิ่งระบุฌาณ 1 2 3 4

    มันเกิดขึ้นสลับไปมาอยู่ตามกำลัง มีคำเทศน์มาส่งทำให้ไล่ละดับ
    ไปตามจังหวะ 1 2 3 4 แต่ทั้งหมดจะเห็นว่า ต้องไปทำให้คล่อง
    เป็นว่าเล่นแบบนานๆ ก็ไม่จำเป็น ขอเพียงเสี้ยวขณะมันเกิดขึ้นก็
    เพียงพอต่อการเห็นธรรม

    ทั้งนี้ ก็คงไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วจะไปไล่ 1 2 3 4 ได้ คงต้องมีอินทรีย์
    มาพอตัว หมายถึงทำมาแล้วหลายชาติ แต่ใครจะทำมาเท่าใดนั้น
    ก็เป็นเรื่องที่ชี้ไม่ได้ จะไปฟังเทศน์เอาลูกฟลุ้คก็คงไม่ใช่เช่นกัน
     
  17. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อ้าว อยู่ดีๆ ถามลอยๆ ตอบไม่ได้หรอกครับ ถ้าให้ตอบสงสัยต้อง
    copy มาแปะ

    แต่ถ้าคุยไปเรื่อยๆ คุ้นเคยกันแล้ว คำพูดที่แสดง หรือ ถามออกมา
    ตรงไหนผมเห็นมานะ อัตตามันเกิด อันนี้พอชี้ได้ เพราะผมเป็นคน
    ที่มีมานะทิฏฐิมากเอาการ ก็น่าจะเห็นฤทธิ์ผมอยู่บ่อยๆ ในหลายๆกระทู้[​IMG]
     
  18. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    สำหรับพระสูตรพาหิยะ ก็คงเป็นเพราะพระพาหิยะมีวิปัสสนาญาณเห็นสภาวะธรรม
    อยู่แล้วแต่ไม่รู้ว่าคืออะไร พอคำเทศน์เข้ามาว่า ธรรมทั้งหลายล้วนมาจากเหตุ...
    เพียงบาทนี้ก็เลยส่งให้เห็นอริยสัจจ แล้วแหวกอวิชชาออกไป[/quote]
    สำหรับพระพาหิยะ..ผมวิเคราะห์แบบนี้ครับ ก่อนที่พระพาหิยะ ได้ข่าวถึงพระพุทธเจ้านั้น ท่านก็รีบเดินทางไปรอพบด้วยใจที่เบิกบาน เป็น สุข ปีติ ก้เกิดขึ้น สลับไปสลับมาระหว่างเดินทางอยู่แล้ว และเมื่อรอพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว ยิ่งพอได้เห็นพระพุทธเจ้ายิ่งมีปีติเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สลับกับสุขใจขณะนั้น ซึ่งจะนับแล้ว ก็เป็นองค์ของปฐมฌาน นี่เอง พอได้ฟังพระพุทธเจ้าเพียง สิ่งใดเห้นสักแต่ว่าเห็นเท่านั้น พระพาหิยะ ก็สู่อรหันต์ทันที...จึงเห็นได้ว่า องค์ปฐมฌาน ก็เป็นองค์ฌานส่ง วิปัสนาจนบรรลุอรหันต์ได้.....และด้วยการที่พระพาหิยะได้ทำ วิปัสนาอย่างถูกต้องเป็นตัวช่วยด้วยในชาติปางก่อนแต่ไม่สำเร็จ..เลยมาสำเร็จชาตินี้
    ส่วน พระอรหันต์องค์อื่นๆพระพุทธเจ้าท่านจะเทศให้ฟังก่อนนานกว่าพระพาหิยะ ซึ่งทำให้ผู้ฟังน้อมฟังไปในธรรม สู่องค์ปฐมฌาน มีปีติ สุขสลับ อย่างเช่น พระจูฬปันถก พระพุทธเจ้าท่านให้ผ้าขาวบาง ผืนนึงให้พระจูฬปันถก จับผ้าแล้ว ลูบผ้าไปเรื่อยๆ จนผ้าเริ่มดำ พระพุทธเจ้าท่านก็เทศให้ฟังต่อจนอารมณ์พระจูฬปันถก บรรลุอรหันต์ และยังได้ ยกว่าพระจูฬปันถก เป็นพระอรหันต์ที่เลิศกว่าภิกษุอื่นด้าน..มโนมยิทธิ..อันนี้ก็แปลกนะ ท่านเลิศด้านมโนมยิทธิ แต่ไม่ได้ฝึกมโนมยิทธิ...
     
  19. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    เห็นท่านนิวรณ์ ชำนาญ ปริยัต ผมก้เคยอ่านผ่านๆๆแต่จำไม่ได้ ได้มารู้สภาวะ มานะ ก็ในเวปนี่ละครับ ระลึกรู้ไปเรื่อย....ถ้าคุยแลกเปลี่ยนมันไม่ทะเลาะกันหรอกครับ....
    ผมชอบธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนภิกษุ ข้อนึง ที่ว่า หากภิกษุใด มีมานะ ทิฐิใดในตน ควรแจ้งหาผู้ใหญ่หรือเพื่อนภิกษุ เพื่อข่มมานะนั้นเสีย (หากจำไม่ผิด)...ข้อนี้จำได้ ไว้ศึกษา ....แต่ก่อนเคยโดนหลวงพ่อท่านข่มมานะให้ แต่นานมาแล้ว มันเลยไม่ค่อยได้เจอสภาวะนี้ นี่เลยมาเป็นอนุสัย ก้อาศัยดูนี่ล่ะ
     
  20. ลิงเมืองละโว้

    ลิงเมืองละโว้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    709
    ค่าพลัง:
    +1,521
    ......

    อ่านแล้วเหนื่อยแทน ขอไปตามหลวงปู่ปานดีกว่า ท่านว่า "เรียนกับข้าต้องเรียนแบบคนโง่ๆ"
    ฉลาดมากไปมัน..........
     

แชร์หน้านี้

Loading...