พลังเหนือโลก ภาพกิจกรรมกับภาระกิจช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์

สืบเนื่องมาจาก กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ได้เปิดตัว
อย่างเป็นทางการ ณ เว็บพลังจิต ห้องวิทยาศาสตร์ทางจิต-ลึกลับ เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๐ จนกระทั่งได้ปิดกระทู้ไปเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓​

http://palungjit.org/threads/ข้อความจาก-กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย-เขากะลา-ปิดกระทู้.86674/​

แต่กิจกรรมของกลุ่มฯ ก็ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยสมาชิกรุ่นใหม่
ที่ได้รับการติดตั้งอุปกรณ์รับคลื่นพลังเหนือโลก จากต่างดาว มีการปล่อยวาง ละการยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตน เป็นตัวขับเคลื่อนให้อุปกรณ์ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่นการตรวจกรรม เพื่อให้ทราบถึงสาเหตุของความทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น มีการขอขมากรรม ขออโหสิกรรม กับเจ้ากรรมนายเวร เพื่อให้ทุกข์ทั้งหลายบรรเทา เบาบางลง​

นอกจากนี้ ก็ยังมีการรักษาโรคโดย ใช้อุปกรณ์สื่อคลื่นพลังเหนือโลกฯ มาทำการรักษา ทำให้โรคที่เป็นมานาน รักษาทางแพทย์แผนปัจจุบันอย่างไรก็ไม่หาย แต่สามารถหายได้โดยวิธีดังกล่าว ซึ่งเรามักเรียกว่า การรักษาแบบแผนอนาคต นั่นเอง​

เมื่อสามารถปลดทุกข์ทางกาย ให้ผู้คนทั้งหลายได้แล้ว ก็จะมีการเยียวยารักษาทางใจ ให้กับผู้ที่มารับการรักษา ให้เข้าใจในความเป็นจริงของขันธ์ห้า(รูป กับ นาม) ละการยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตน ซึ่งเป็นสาเหตุแห่งทุกข์
เมื่อขจัดเหตุแห่งทุกข์ได้แล้ว ก็จะไม่มีทุกข์มาให้กลัว ไม่ต้องมาวนเกิดวนตายในวัฏฏะสงสารอีกต่อไปในที่สุด​

มาติดตามกิจกรรมการทำงานของกลุ่มฯ ซึ่งมีเรื่องมหัศจรรย์เกินกว่ามนุษย์ธรรมดาจะเข้าใจได้ ทั้งลึกลับ ตื่นเต้น น่าค้นหาว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร​

กระทู้นี้คงทำหน้าที่เพื่อนำเสนอกิจกรรมช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ด้วยพลังเหนือโลก เป็นการช่วยโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆทั้งสิ้น​

 

วันเสาร์ที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๓
กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) จำนวน ๕ ท่าน
ได้นัดพบกันที่ บ้านคุณแม่แดง อ่อนนุช ๑๙ เวลา ๑๐.๐๐ น.
เพื่อเดินทางไปที่ อาศรม บูรพา ป่าละอู ประจวบคีรีขันธ์
เป็นการด่วน แทบตั้งตัวกันไม่ติด เป็นกิจกรรมที่ทำกันอย่างกระทันหันจริงๆ

งานนี้ ได้รับความเมตตาจากคุณแม่แดง ที่ให้การสนับสนุนที่พัก และอาหารการกิน ตลอดการเดินทาง
มีครูอ้อย ติดตามไปช่วยอำนวยความสะดวกอีกท่านหนึ่ง ทำให้ทริปการเดินทางครั้งนี้ได้จำนวนผู้เดินทางทั้งสิ้น ๗ ท่าน
พอดีกับจำนวนที่นั่งของพาหนะที่ใช้ในการเดินทางครั้งนี้​

 

เวลา ๑๐.๑๑ น. ล้อรถเริ่มหมุน ขยับออกจากบ้าน
สถานที่แห่งแรกที่พวกเราแวะพักรับประทานอาหารกลางวันกันคือ
ร้านอาหารริมชายทะเล เรือแลเล
เป็นร้านที่คุณแม่แดง รับประกันความอร่อยครับ

 

ในระหว่างนั่งรอ มองอาหารว่างบนโต๊ะไปพลาง
ก็มีบางคน ออกไปดูการสู้รบของปูแสม
และดูความแปลกของปลาตีน (ปลามีขาเดินบนบกได้)

 

อิ่มมื้อกลางวันกันเสร็จสรรพแล้ว
คุณแม่แดง ได้พาพวกเราออกสู่ทางลัด ที่จะมุ่งลัดตัดเข้าป่าละอู
ทางลัด ที่คิดว่าจะเร็วกว่าที่คิด
แต่กลับช้าไปกว่าที่คิด เพราะมีการแวะเติมสารบำรุงกระเพาะตลอดเส้นทาง

เริ่มจาก ข้าวหลามเผาสุกใหม่ๆ กลิ่นหอมเย้ายวนชวนให้หยุดซื้อ
ไปอีกไปทัน ข้าวหลามหมดจากปาก ก็เจอกับรถไอศครีมกะทิ ที่หอม มัน หวานกลมกล่อม
อร่อยแบบว่า สเวนเซ่นส์ ยังต้องชิดซ้ายไปเลยครับ

 

พอเข้าถึงเขตป่าละอู ในช่วงเวลาบ่ายแก่ๆ
คุณแม่แดง ก็พาเลี้ยวเข้าร้าน ส้มตำ ครกเดียวละเมอ

จะครกเดียวละเมอ หรือกี่ครกละเมอ ตรงนี้ไม่ขอเฉลยนะครับ
ใครอยากรู้ต้องลองไปชิมดูเอาเอง

วันนั้นเล่นไปหลายครก
คืนนี้ใครละเมอ ก็จะได้รู้กัน

 

คณะเขากะลา พาทัวร์ มาถึงอาศรม บูรพา ป่าละอู ในช่วงเย็น
ซึ่งอาจารย์แอ๊ด จะ ทำพิธี ฝังเหล็กไหล ในเวลา ๑๘.๐๐ น ให้เก่บบรรดาศิษยานุศิษย์
บนลานพิธี วงกลมขนาดใหญ่ ที่มีเครื่องหมายจักรวาล .( Star Of David )

พิธีนี้ งดถ่ายภาพ โดยเด็ดขาด

คณะได้ทักทายกับคุณติ๋ว ภรรยาของอาจารย์แอ๊ด
ซึ่งคุณติ๋วได้เข้ามาต้อนรับเป็นอย่างดี

หลังจากนั้น พวกเราก็ขอตัวกลับที่พัก เพื่อเตรียมตัวมาร่วมงาน
ฝังเหล็กไหล และดับเทียนพิชัยสงคราม ในช่วงเวลา ๑๘.๐๐ น.
โดยทุกคนจะต้องแต่งกายด้วยชุดขาว

 

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ภายในอาศรมบูรพา




จารหนุ่ย หิ้วข้าวหลามมาฝาก อาจารย์แอ๊ด




สระมรกต อาศรมบูรพา

 

พวกเราออกจากอาศรมบูรพา มาถึงบ้านสีแดง(บ้านคุณแม่แดง)
ซึ่งอยู่ห่างจาก อาศรมบูรพา ใช้เวลาประมาณ ๒๐ นาที

ไปชมบรรยากาศ กันครับ สุดยอดมากๆ

 

บรรยากาศภายในบ้านและรอบบ้านสีแดง















ระเบียงหลังบ้าน มองลงไปจะมีธารน้ำ เป็นทิวทัศน์ที่สวยงามมากๆ

 

หลังจากอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดขาว เสร็จแล้ว
ก็มาถ่ายรูปร่วมกัน ทำไว้เป็นหลักฐาน ก่อนออกเดินทางสู่ อาศรมบูรพา เป็นครั้งที่สอง

 

พวกเรามาถึงอาศรมบูรพา เวลา ๑๘.๐๐ น.เศษ
พิธีฝังเหล็กไหลได้เริ่มไปแล้ว บนลานพิธี วงกลมแห่งจักรวาล

คณะเราได้เข้าไปทักทายอาจารย์แอ๊ด บนลานพิธี
เสร็จแล้ว ก็เข้าไปในอาคาร ตามคำเชิญของคุณติ๋ว
เพื่อรับเทียนชัยVIP พร้อมกระดาษสำหรับเขียนคำอธิษฐาน
เพื่อความสำเร็จ หลังจากดับเทียนชัยหลักน้ำหนัก ๒๐ บาท
ด้วยการส่งกระแสจิต พลังจิต ของทุกคน ที่มาร่วมในพิธี ให้เทียนดับ
บนชั้นสองของอาคาร ซึ่งหากเทียนมหาพิชัยสงคราม ซึ่งเป็นเทียนหลักยังไม่ดับ
ผู้ที่อยู่ในพิธีชั้นสองของอาคาร ก็ไม่สามารถจะลุกออกไปไหนได้









อาจารย์ป้าและคุณโสภา แผนก ปชส. ร่วมเขียนคำอธิษฐาน

 

บรรยากาศภายในอาคารอาศรมบูรพา
ขณะกำลังเขียนคำอธิษฐาน


























ท่านพระยายมราช ภายในอาศรมบูรพา

 

พิธีดับเทียนพิชัยสงคราม หนัก ๒๐ บาท ด้วยพลังจิต
ดำเนินไปจนกระทั่งเวลาล่วงเลยจาก ๑๙.๓๐ น.
มาถึง ๒๑.๑๕ น. ก็ยังไม่มีวี่แววว่าเทียนจะดับ
ท่ามกลางเสียงสวด โอม ที่ดังขึ้นมาตลอดเวลา บนชั้นสองของอาคาร

อาจารย์แอ๊ด จึงต้องบอกให้พัก แล้วปรับกระบวนใหม่
เนื่องจากมีผู้ที่นุ่งแดง ขึ้นไปปะปน
และผู้ร่วมพิธีต้องลดความอยาก ให้เทียนดับ
ยิ่งอยากก็ยิ่งไม่สำเร็จ

อาจารย์หนุ่ย บอกว่า คณะจะกลับที่พักในเวลา ๒๑.๔๕ น.
หลังจากที่ร่วมนั่งสมาธิอยู่ชั้นล่างของอาคาร

และในช่วงนั่งสมาธิอยู่นั้น มีเหตุการณ์ปรากฏเป็นภาพมาให้เห็น
อย่างมหัศจรรย์พันลึก
เรื่องราวภาพจากสมาธิ จะเป็นอย่างไร
โปรดติดตามตอนต่อไป

 

ในขณะที่คณะของเราร่วมนั่งสมาธิอยู่บนโซฟาชั้นล่างของอาศรมบูรพา
ในช่วงทำพิธี ก็ปรากฏภาพพระฤๅษีสวมชุดลายเสือ ขึ้นมาให้เห็น
ซึ่งตรงกับที่ อาจารย์หนุ่ย ก็เห็นพระฤๅษี เหมือนกัน
ผิดกันก็ตรงที่ว่า พระฤๅษี ที่จารหนุ่ย เห็นนั้น
ถือไม้เท้า แล้วจู่ๆ ก็เอามาทิ่มพุงของจารหนุ่ย
ภาพที่เห็นเป็นภาพสีธรรมชาติ ชัดเจนมาก
ผิดกับเมื่อก่อนที่จารหนุ่ยบอกว่า มักเห็นเป็นภาพขาวดำ

หลังจากภาพพระฤๅษีหายไป
สักครู่ใหญ่ ก็ปรากฏภาพ พญานาคเจ็ดเศียร สีขาว บนหัวมีสีแดงแต้มอยู่
ค่อยๆน้อมศีรษะลง เหมือนทำการคำนับ แบบต้อนรับ อย่างมีมิตรไมตรี

ซึ่งภาพและอาการของพญานาคสีขาวเจ็ดเศียรนี้
ไปตรงกับภาพที่อาจารย์หนุ่ย เห็น เหมือนกัน

เมื่อถึงเวลากำหนดไว้ ๒๑.๔๕ น. ซึ่งเป็นช่วงที่พิธีหยุดพักพอดี
พวกเราก็พากันกลับที่พัก บ้านสีแดง
โดยได้แต่บอกกล่าวกับผู้ดูแลอาศรม ที่อยู่ข้างล่างเท่านั้น




ในค่ำคืนของการทำพิธีฝังเหล็กไหลและดับเทียนพิชัยสงคราม เสาร์ห้านี้
คณะของเราไม่มีเวลาที่จะสนทนากับอาจารย์แอ๊ดได้นาน เนื่องจาก
อาจารย์แอ๊ด ต้องเป็นประธานในพิธี

พวกเราได้แต่เข้าไปแนะนำตัว โดยอาจารย์สุดใจ เป็นผู้นำพาเข้าไป
ก่อนที่พิธีบนชั้นสอง จะเริ่มขึ้น

มีการมอบผงจตุรธาตุ มอบหนังสือธรรมละวางอัตตาตัวตน ของเขากะลา
และแผ่นดีวีดีให้กับอาจารย์แอ๊ด ในช่วงเวลาดังกล่าว

 

พวกเรากลับมาถึงที่พักราว ๒๒.๑๕ น.
มีการขนเสบียงที่ยังเหลืออยู่ เช่น น่องไก่ทอด หาดใหญ่
แป้งไข่ทอด ไข่แมงดากวนกับมะพร้าว มานั่งรับประทานกันที่ระเบียงหลังบ้านชั้นสอง
พร้อมกับการสนทนาที่ได้รสชาติ ไม่แพ้อาหารบนโต๊ะ

บางคนทยอยไปอาบน้ำ แต่งองค์ทรงชุดนอน แล้วกลับมาเม้าส์กันต่อ
จนเวลาล่วงเลยถึงเที่ยงคืน แบบไม่รู้ตัว

เมื่อสัญญาณความง่วงปรากฏ ทุกคนก็แยกย้ายกันไปหลับนอนภายในเต๊นท์
ที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้แล้ว

อากาศค่ำคืนนี้หนาวเย็นยิ่งนัก
ถ้าเทียบกับอากาศที่เขาค้อ คราวเมื่อไปครั้งที่แล้ว รู้สึกจะหนาวเย็นกว่า

 

หลังจากสวดมนต์แผ่เมตตาและส่งบุญให้เจ้าที่เจ้าทางแล้วก็เอนตัวลงนอน
หลับไปประมาณสองชั่วโมง ได้ยินเสียงสุนัขเห่า และหอนรับกันเกรียวกราว
ดังก้องไปทั่วบริเวณโดยรอบ ประมาณสุนัขไม่น่าจะต่ำกว่าสิบตัว
จึงกำหนดจิตดูว่า เขาเห่าหอนอะไรกันในยามดึกสงัดเช่นนี้

ปรากฏเป็นใครก็ไม่รู้สูงใหญ่ เหมือนยักษ์ สูงท่วมบ้าน
ยืนมองเข้ามาในบ้าน ทีแรกก็คิดว่าเป็นยักษ์
พอเล่าให้อาจารย์โคมฉายฟัง แกบอกว่าเป็นพญายมราช มาหา
ก็เลยถึงบางอ้อ ที่แท้ เป็นท่านพญายม ที่อยู่ในอาศรมบูรพานั่นเอง
และคงเป็นเพราะ อาจารย์แอ๊ด อยากให้คณะของเราไปพบอีกครั้ง
ท่านพญายมจึงตามมาดูว่าพวกเรายังอยู่กันหรือเปล่า

ในช่วงใกล้ตีสี่ สุนัขก็เริ่มเห่าหอน รับกันเป็นทอดๆ อีกครั้ง
ซึ่งครั้งนี้ไม่ได้กำหนดดูว่ามีผู้ใดมา

การเห่าหอนของสุนัขทั้งสองครั้งนี้
ไม่มีใครได้ยิน นอกจาก MOUNTAIN และ microwave(อาจารยแตง) เท่านั้น

 

เช้าวันอาทิตย์ที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๓
พอท้องฟ้าเริ่มสว่าง พวกเราก็ทยอนตื่น
เข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตา แปรงฟัน
และพากันไปเดินชมทัศนียภาพริมลำธาร
ตามภาพที่ประกฏ ด้านล่างนี้ครับ

 

เช้าวันที่สองของการเดินทาง กับการอยู่กับธรรมชาติริมธารน้ำ
และข้าวต้มร้อนๆ กับผักกาดอง ไข่เจียว ยำหมูมะนาว

 

เวลาประมาณ ๑๐.๐๑ น. พวกเราทุกคนนำสัมภาระที่ติดตัวมาขึ้นรถ
และออกเดินทางจากบ้านสีแดง มุ่งสู่เป้าหมายแรก คือ น้ำตกป่าละอู

พอออกมาถึงทางแยกที่มีร้านขายกล้วยแขก
คุณแม่แดง ก็พาแวะเข้าไปอุดหนุนกล้วยแขกทันที
ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับ สัญญาณโทรศัพท์ของอาจารย์ป้าสุดใจ ดังขึ้น
ติดกันถี่ๆถึงสามครั้ง เป็นข้อความแจ้งมีสัญญาณโทรศัพท์เข้า
ในช่วงที่พวกเราอยู่ที่บ้านคุณแม่แดง ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่สามารถรับสัญญาณโทรศัพท์ทุกเครือข่ายได้

เมื่ออาจารย์ป้า เปิดดู ก็ทราบทันทีว่า เมื่อคืนอาจารย์แอ๊ดให้คุณติ๋ว โทรหา หลายครั้งในช่วงเวลาสี่ทุ่มเศษ
และโทรตามอีกในช่วงตอนเช้า

อาจารย์ป้าจึงโทรกลับไปหาคุณติ๋ว
และทราบว่า อาจารย์แอ๊ด ท่านนอนไม่หลับทั้งคืน
และบอกว่าอยากพบและสนทนากับกลุ่มเขากะลา มีเรื่องอยากคุยด้วย
พร้อมกับเตรียมวัตถุมงคลเหล็กไหลแกะเป็นองค์พระ รุ่นแรก ไว้แจกชาวคณะทุกคน


อาจารย์หนุ่ย ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับลุงผู้ดูแลบ้าน อายุ ๘๒ ปี ซึ่งมาให้ อ.หนุ่ย รักษา