เรื่องเด่น พระพุทธมารดา ตำแหน่งอันยิ่งใหญ่ น้อยคนที่จะรู้

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 12 สิงหาคม 2024 at 13:38.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,737
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,057
    ค่าพลัง:
    +70,178

    พระพุทธมารดา
    ตำแหน่งอันยิ่งใหญ่ น้อยคนที่จะรู้





    --------------------------

    อนุโมทนา และขอบคุณที่มา
    https://www.youtube.com/@namo-2566

     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,737
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,057
    ค่าพลัง:
    +70,178
    ?temp_hash=ae4630838417bc8bdab003522b0319c5.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,737
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,057
    ค่าพลัง:
    +70,178
    ?temp_hash=f018fc32abf7084f39524767c8e46bd7.jpg


    “กว่าจะเป็นพระพุทธมารดา” เบื้องหลังของพระนางสิริมหามายา อธิษฐานจิตเป็นพระพุทธมารดา (อ้างอิงจากคัมภีร์ “สัมภารวิบาก”)

    ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเก่าแก่ชื่อ “สัมภารวิบาก” (สำ-พา-ระ-วิ-บาก) แปลว่า “ผลแห่งการสะสม” (“สมภาร” คือ การสะสม “วิบาก” คือ ผล) โดยคัมภีร์นี้ได้รวบรวมพระชาติต่าง ๆ ของพระพุทธเจ้าไว้ ตั้งแต่พระชาติที่พระองค์ตั้งพระมหาปณิธานเป็นพระพุทธเจ้า จนกระทั่งพระชาติที่เป็นสุเมธดาบสและได้รับพุทธพยากรณ์จากพระทีปังกรพุทธเจ้าว่า พระองค์จะเป็นพระพุทธเจ้าในกาลต่อไป

    ในคัมภีร์นี้ มีเรื่องราวของ “พระนางสิริมหามายา” ย้อนกลับไปสู่พระชาติแรกของพระนาง ที่ตั้งจิตอธิษฐาน ปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธมารดา ดังนี้

    เมื่อครั้งพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นชายผู้ยากเข็ญ บิดามารดาก็ประสงค์ให้แต่งงานมีครอบครัวเสียที แต่พระโพธิสัตว์ก็ไม่ยินยอม ต้องการอยู่ดูแลบิดามารดาไปตลอดชีวิต ครั้นต่อมา เมื่อบิดาสิ้นไปแล้ว พระโพธิสัตว์ก็ได้เลี้ยงดูมารดาที่เริ่มชราลง โดยไปทำงานบนเรือสำเภา จนกระทั่งได้รับเลือกจากพ่อค้าให้เป็นนายเรือ พระโพธิสัตว์ต้องเดินทางรอนแรมไปแดนไกล ด้วยความเป็นห่วง จึงพามารดาขึ้นเรือสำเภาไปด้วยตลอด

    ต่อมา เรือสำเภาเผชิญกับพายุใหญ่จนอับปาง พระโพธิสัตว์พยายามว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด โดยให้มารดาเกาะหลังของตนไปด้วย แล้วพาว่ายข้ามมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ฝ่าพายุฝนที่โหมกระหน่ำ

    ฝ่ายท้าวมหาพรหมที่มีทิพยญาณสูงยิ่ง แปลกใจว่า เพราะเหตุใด จึงไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นบนโลกมาช้านานแล้ว จึงเสด็จจากวิมานลงมายังโลกมนุษย์ พบเห็นว่ามีชายผู้หนึ่งกำลังว่ายข้ามมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ซึ่งผิดวิสัยของคนธรรมดาทั่วไป ซ้ำยังมีมารดาเกาะหลังมาด้วย จึงทราบด้วยญาณว่าเป็นพระโพธิสัตว์

    ท้าวมหาพรหมจึงส่งกระแสจิตให้พระโพธิสัตว์บังเกิดจิต เพื่อตั้งพระมหาปณิธานน้อมจิต ปรารถนาพระโพธิญาณต่อไปในกาลข้างหน้า

    ครั้นพระโพธิสัตว์ที่กำลังแหวกว่ายน้ำในมหาสมุทรอยู่นั้น จึงบังเกิดจิตตั้งพระมหาปณิธานอยากช่วยสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลก จึงเปล่งวาจาออกมาว่า
    “เราตรัสรู้แล้ว เราก็อยากให้ผู้อื่นรู้ด้วย
    เราหลุดพ้นแล้ว ก็อยากให้ผู้อื่นหลุดพ้นด้วย
    เราข้ามได้แล้ว เราก็อยากให้ผู้อื่นข้ามได้ด้วย”

    เมื่อพระโพธิสัตว์เปล่งวาจาอันเป็นสัจอธิษฐาน มารดาซึ่งเกาะอยู่ที่หลังได้ยิน ก็บังเกิดจิตโสมนัสอย่างยิ่ง จึงเปล่งวาจาด้วยว่า “หากบุตรของข้าพเจ้าปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ นำพาเวไนยสัตว์ไปสู่ฝั่ง ข้าพเจ้าก็จะขอเป็นพระพุทธมารดา”

    ในกาลต่อมา มารดาของนายเรือสำเภาได้เกิดมาเป็นมารดาของพระโพธิสัตว์หลายภพหลายชาติ จนกระทั่งพระชาติสุดท้ายเป็น “พระนางสิริมหามายา” พระพุทธมารดาของเจ้าชายสิทธัตถะ พระโคตมพุทธเจ้า

    “พระนางสิริมหามายา” จึงทรงเป็นเนื้อนาบุญที่สั่งสมบุญบารมีร่วมกับพระโพธิสัตว์มาช้านาน โดยตั้งความปรารถนาไว้เป็นพระพุทธมารดา ไม่เช่นนั้นพระพุทธเจ้าก็คงไม่อาจอุบัติขึ้นก็ได้ แต่พระนางก็แทบจะไม่มีโอกาสได้ชื่นชมพระบารมีของเจ้าชายสิทธัตถะ เพราะพระนางได้สิ้นพระชนม์ในอีก ๗ วันต่อมา หลังจากมีพระประสูติกาลพระโอรสแล้ว

    ด้วยเหตุที่ว่าพระนางได้ตั้งจิตอธิฐานไว้ว่า ขอเป็นพระพุทธมารดาเท่านั้น พระนางจึงสิ้นพระชนม์ เพราะสงวนพระครรภ์ไว้แก่พระโพธิสัตว์เพียงพระองค์เดียว หลังจากนั้นพระนางก็ไปบังเกิดเป็น “เทพบุตร” มีนามว่า "สันตดุสิตเทพบุตร" สถิตในเทวโลกชั้นดุสิต ไม่ได้เป็น "เทพธิดา" หรือเป็นหญิงอย่างเก่า แต่ที่เกิดเป็นหญิง ก็เพราะพระนางอธิฐานขอเป็นพระพุทธมารดา นั่นเอง

    คัดลอก เรียบเรียง และสรุปจากคัมภีร์ “สัมภารวิบาก” จากดุษฎีนิพนธ์ พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดย พระราชธรรมเมธี (วิสูติ ปัญญาทีโป) พ.ศ. ๒๕๖๐ และจาก trueplookpanya, Wikipadia ถ่ายทอดต่อโดย มนต์ชัย เทียนทอง (ภาพจำลองจากจินตนาการ สร้างด้วย AI


    ที่มา https://web.facebook.com/monchai.tiantong.9?__tn__=-UC*F
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,737
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,057
    ค่าพลัง:
    +70,178
    ?temp_hash=f018fc32abf7084f39524767c8e46bd7.jpg




    เรื่อง พระพุทธเจ้า ทรงแสดงพระอภิธรรม โปรดพระพุทธมารดา
    โอวาท : หลวงพ่อพระราชพรหมยานฯ~หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง



    ..." วันนี้ วันทำบุญตักบาตรเทโวฯ โดยประเพณีถือว่าวันนี้เป็นวันสำคัญ คือเป็นวันที่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จจากดาวดึงสเทวโลก ลงมาที่ประตู เมืองสังกัสนคร.
    .. เพลานั้นองค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนวันเข้าพรรษาสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง ยมกปาฏิหาริย์ ที่ เมืองสาวัตถี ซึ่งมี พระเจ้าปเสนทิโกศล บรมกษัตริย์เป็นองค์อุปถัมภ์.
    .. ในเมื่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง ยมกปาฏิหาริย์ แล้ว ปรากฏว่าเวลานั้นเป็นเวลาพรรษาที่ ๗ แห่งการบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดามาระลึกถึงพระพุทธมารดา คือ *ท่านสิริมหามายาราชเทวี*
    .. ในเมื่อ องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประสูติแล้วได้ ๗ วัน ท่านก็สวรรคต.
    .. ปรากฏว่า ตายจากความเป็นคน ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต ก็ในฐานะที่เป็นพุทธมารดา แต่ว่าการเกิดในสถานที่นั้นมิได้เป็นผู้หญิง เป็นเทพบุตรคือเป็นผู้ชาย.
    .. เพราะขึ้นชื่อว่าครรภ์ที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบังเกิดแล้ว ครรภ์ของสตรีผู้นั้นไม่ควรที่จะมีบุคคลอื่นใดเข้ามาเกิดผสมได้.
    .. เหตุฉะนั้น เมื่อคลอดองค์สมเด็จพระจอมไตรแล้ว ๗ วัน จึงได้เสด็จสวรรคตตามบุญบารมี.
    .. องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงมี ความกตัญญูกตเวที เป็นเหตุ.
    .. เหตุฉะนั้น องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ จึงได้คิดถึงคุณพระมารดาเป็นสำคัญ คิดว่าจะสนองคุณพระมารดานี้นั้นได้ต้องอาศัยเสด็จไปดาวดึงสเทวโลก แสดงพระสัทธรรมเทศนาสนองคุณพระมารดา.
    ~ ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดง ยมกปาฏิหาริย์ แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงแสดงปาฏิหาริย์พิเศษ คือก้าวจากที่นั้นไปยอดภูเขา ยุคันธร แล้วองค์สมเด็จพระชินวรก้าวอีกครั้งหนึ่ง ขึ้นไปยอดเขา พระสุเมรุ.
    ~ ในตอนนี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อขึ้นไปแล้ว ปรากฏว่า ท้าวโกสีย์สักกเทวราช คือพระอินทร์ ได้ทราบข่าวว่า องค์สมเด็จพระมหามุนินทร์เสด็จมา จึงได้พาเทวดาทั้งหลายมาต้อนรับองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา และก็ทูลเชิญสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้ประทับอยู่ที่ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์.
    .. ความจริง บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ นี้ มีความยาว ๖๐ โยชน์ มีความกว้าง ๓๐ โยชน์ของมนุษย์ เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไป.
    ~ พระอินทร์ก็คิดในใจว่า องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาเป็นมนุษย์นี่ตัวเล็กนัก ถ้าทรงเสด็จประทับอยู่ที่ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ก็จะมีภาพคล้าย ๆ กับแมลงตัวเล็ก ๆ นั่งหรือจับอยู่บนเตียงนอนของบุคคลธรรมดา.
    ~ พระองค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงทราบความดำริของพระอินทร์ดังนั้นแล้วไซร้.
    ~ สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา จึงได้ทรงโยนผ้าสังฆาฏิที่พาดบ่า สังฆาฏิคลุม บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ พอดี.
    ~ แล้ว องค์สมเด็จพระชินสีห์ ก็ทรงประทับนั่งพระวรกายของพระองค์ใหญ่พอดิบพอดีกับ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์.
    ~ เป็นเหตุให้ ท้าวโกสีย์สักกเทวราช ทรงมีความแปลกพระทัยว่า องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดานี้มีพระพุทธปาฏิหาริย์เป็นเลิศ ประเสริฐกว่าบุคคลผู้ใด แต่ก็มิได้กล่าวอะไรเพราะว่าเห็นเป็นของอัศจรรย์.
    .. ในขณะที่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จประทับอยู่ที่นั้น พระองค์จึงได้มีพระพุทธฎีกากล่าวกับ ท้าวโกสีย์สักกเทวราช คือพระอินทร์ว่า :-
    "เทวราชะ ! ดูก่อนเทวดาผู้ประเสริฐ การมาของตถาคตในคราวนี้ มีความต้องการจะแสดง ความกตัญญูกตเวที สนองคุณความดีของพระมารดา ที่ให้ชีวิตมา.
    ฉะนั้นขอเชิญ ท้าวโกสีย์สักกเทวราช โปรดกรุณาไปตามพระพุทธมารดา จากสวรรค์ชั้นดุสิตมาด้วย ช่วยให้มารับ ความกตัญญูกตเวที"
    .. ครั้น ท้าวโกสีย์สักกเทวราช คือพระอินทร์ ได้รับพระพุทธบัญชาแล้ว ก็เสด็จไปชั้นดุสิตเทวโลก เชิญพระพุทธมารดาเสด็จเข้ามา.
    ~ เมื่อพระพุทธมารดาเสด็จมาแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว จึงได้มีพระพุทธฎีกากล่าวว่า:-
    "อามะ ! ข้าแต่แม่เจ้าผู้เจริญ บัดนี้ตถาคตมีความประสงค์จะใช้หนี้ข้าวก้อน และนํ้านมที่ให้ชีวิตมา ขอพระมารดาจงตั้งใจสดับพระสัทธรรมเทศนา"
    .. ในตอนนั้น และขณะที่จะแสดงพระสัทธรรมเทศนา องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมาดำริว่า : ไตรปิฎกทั้ง ๓ ประการ คือ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก..
    ~ คำว่า “ปิฎก” ก็คือ หมวดคำสอนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน แก่บรรดาท่านพุทธบริษัท.
    ~ สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ มาพิจารณาว่า ถ้าเราจะแสดง พระวินัยปิฎก ก็ดี พระสุตตันตปิฎก ก็ดี คุณธรรมทั้ง ๒ ประการนี้ไม่คู่ควรกับคุณของมารดา.
    .. แต่องค์สมเด็จพระบรมศาสดา ก็ทรงพิจารณาว่า สำหรับ พระอภิธรรมปิฎก ซึ่งเป็นธรรมะสูงสุดนี่เป็นการคู่ควรอย่างยิ่ง และต่อจากนั้นไปองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็ทรงแสดง พระอภิธรรมปิฎก.
    .. สำหรับ พระอภิธรรมปิฎก นี้ เขาบรรยายกันไว้มากมาย แต่เนื้อแท้จริง ๆ มีเนื้อความจริง ๆ โดยย่อเป็น มาติกา อยู่ ๓ ประการเท่านั้น ได้แก่ :-
    ~ กุสลา ธัมมา
    ~ อกุสลา ธัมมา
    ~ อัพยากตา ธัมมา
    * กุสลา ธัมมา ได้แก่ : ธรรมที่เป็นกุศล ที่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ทำแล้วในวันนี้ เป็นการบูชาพระรัตนตรัยก็ดี ถวายทานแก่บรรดาภิกษุสงฆ์ก็ดี สมาทานศีลก็ดี สดับรับรสพุทธพจน์เทศนา เป็นคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี อย่างนี้องค์สมเด็จพระพระชินสีห์ตรัสว่า : เป็น กุสลา ธัมมา คือ สร้างธรรมที่เป็นกุศล.
    * สำหรับ อกุสลา ธัมมา นั้น องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาทรงหมายว่า : ธรรมที่เป็นอกุศล คือความชั่ว ทำตัวให้ตกอยู่ในอำนาจของอกุศลกรรม มีการไม่เคารพในศีล ๕ เป็นต้น.
    * สำหรับ อัพยากตา ธัมมา นั้น เป็นธรรมที่เป็นมหากุศล คือทำใจของตนให้เป็น อัพยากฤต ตั้งจิตเฉพาะพระนิพพานเป็นอารมณ์
    .. คือมีอารมณ์คิดเห็นว่า : กามฉันทะ คือนิวรณ์ ๕ ได้แก่ กามฉันทะ มี.. รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส อันจะเป็นมนุษย์ก็ดี เป็นสัตว์ก็ดี เป็นวัตถุธาตุก็ดี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็น “อนิจจัง” หาความเที่ยงมิได้.
    ~ และก็ ถ้าจิตใจของเราไปยึดมั่นถือมั่นว่ามันจะทรงอยู่ตลอดกาล ตลอดสมัย เมื่อมันเคลื่อนไปใจก็เป็นทุกข์ หาความสุขมิได้.
    * ฉะนั้น องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา จึงให้ปลดใจเรื่องนี้เสีย คิดเห็นว่า เป็นของธรรมดา ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ที่เกิดมานี้ ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน
    ~ แม้แต่ร่างกายของเราเองก็เป็นสำคัญ มีความเกิดขึ้นมาแล้ว ก็มีความแก่เป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความแก่ไปได้ ทำใจให้มีความรู้สึกอย่างนี้ เป็นปกติ.
    ~ เมื่อความแก่เข้ามาถึง อารมณ์ใจของเราก็ไม่เป็นทุกข์ เพราะจิตมันมีความรู้สึกอยู่แล้ว ว่า มันจะต้องเป็นอย่างนี้.
    * ข้อที่ ๒ องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาตรัสว่า เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วทรงชีวิตอยู่ สมเด็จพระบรมครูก็กล่าวว่า ร่างกายเป็น โรคนิทธัง มันเป็นรังของโรค.
    ~ เราจะมีความป่วยไข้ไม่สบายเป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความป่วยไข้ไปได้ ทำใจรับสถานการณ์ไว้เป็นปกติ ในเมื่อความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้น ความทุกข์ใจมันก็ไม่มี.
    ~ ถือว่าอาการอย่างนี้ เป็นปกติธรรมดาของคน และสัตว์ ที่เกิดมา จะต้องรับเสมอไป ในเมื่อจิตใจยอมรับแล้วมันก็มีความสุข.
    * ในที่สุดทรงกล่าวว่า : เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วป่วยแล้ว ก็มีความตายเป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความตายไปได้ คิดเสมอไว้ว่าเราจะต้องตาย เมื่อความตายจะเข้ามาถึง จิตใจก็ไม่กระสับกระส่าย ใจเป็นสุขเพราะถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา.
    * ประการที่ ๔ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ตามปกติเป็นธรรมดา.
    ~ นี่หมายความว่า เราจะตายหรือเรายังไม่ตายก็ตามที คนที่เรารัก สัตว์ที่เรารัก วัตถุธาตุที่เรารัก ในเมื่อมันมีสภาพเป็น อนิจจัง และก็มีสภาพเป็น อนัตตา คือไม่เที่ยง แล้วก็สลายตัวไป
    ~ อาการอย่างนี้ปรากฏขึ้นมาเมื่อไร เราทราบอยู่แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว กล่าวว่า ให้ยอมรับนับถือในเรื่องนี้ จิตใจของเราก็เป็นสุข เป็นอันว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวต่อไปว่า :-
    "เรามีกรรมเป็นของตน ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าเรากลัวความทุกข์เราก็ทำแต่ความดี"
    * สำหรับในเรื่องของ พระอภิธรรม นี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์ ตรัสหัวข้อไว้ ๔ ประการ คือ : จิต เจตสิก รูป นิพพาน
    ~ หมายความว่า : องค์สมเด็จพระพิชิตมาร บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแนะนำให้บรรดาท่านพุทธบริษัท รักษากำลังใจเป็นสำคัญ.
    ~ ถ้าใจของเรานี้นั้น ไม่หมกมุ่นอยู่ในกามารมณ์ และใจของเราไม่หมกมุ่นอยู่ในความโลภ ละโมบอยากได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่น ที่เขาไม่ให้มาเป็นของตน อารมณ์จิตน้อมไปด้วยกุศล กล่าวคือมีความเมตตาปรานีแทน โทสะ ที่มันเข้ามาสิงใจ.
    * และประการสุดท้าย องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดากล่าวว่า :-
    "เรามีอุเบกขารมณ์ หมายความว่า : มีอาการวางเฉยทุกอย่างในสภาวะของโลก"
    ~ ร่างกายมันจะแก่ก็เชิญแก่ ร่างกายมันจะป่วยก็เชิญป่วย ร่างกายมันจะตายก็เชิญตาย สิ่งที่เรารักเราชอบใจ มันจะพลัดพรากจากไป แต่จิตใจของเราก็ปกติ.
    * อย่างนี้ องค์สมเด็จพระมหามุนีกล่าวว่า : บุคคลผู้นั้นทำใจได้อย่างนี้ ย่อมเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน.
    ~ อันนี้เป็นใจความที่องค์สมเด็จพระพิชิตมาร บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเทศน์โปรดพระพุทธมารดา.
    .. สวัสดี..."


    ( ที่มา : เพจ.. มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร..เทศน์วันพระ ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีระกา )
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,737
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,057
    ค่าพลัง:
    +70,178
    สมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จขึ้นสู่ดาวดึงส์พิภพ
    พระพุทธองค์มีพระทัยปรารถนาจะสนองคุณพระมารดาจึงดำริว่า

    .... "พระคุณแห่งมารดาที่ทำไว้ แก่ตถาคตนี้ยิ่งให่ญนัก สุดที่จะคณานับได้ว่า กว้างหนาและลึกซึ้งปานใด และธรรมอันใดจึงจะสมควรที่จะทดแทนพระคุณแห่งพระมารดานี้ได้

    พระวินัยปิฎกและพระสุตตันปิฎกก็ยังน้อยนัก มิเท่าคุณแห่งพระมารดา

    เห็นควรแต่พระอภิธรรมปิฎกที่พอยกขึ้นชั่งเท่ากันได้
    "

    ดำริแล้ว เรียกพระพุทธมารดาว่า "ดูกรชนนี มานี้เถิดตถาตคจะใช้ค่าน้ำนมข้าวป้อนของมารดา อันเลี้ยงตถาตคนี้มาแต่อเนกชาติ ในอตีดภพ" แล้วกระทำพุทธมารดาเป็นประธาน ตรัสอภิธรรมปิฎก 7 คัมภิร์ให้สมควรแก่ปัญญา บารมี มีสังคณี วิภังค์ ธาตุกถา บุคคลบัญญัติ กถาวัตถุ ยมก และมหาปัฏฐาน

    กาลเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง สัตตปกรณาภิธรรมเทศนาจบลง องค์พระสิริมหามายาเทวบุตรพุทธมารดา ก็บรรลุโสดาปัตติผล...
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...