ผู้เข้าใจความจริงของโลก

ในห้อง 'พุทธศาสนากับคนดัง' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 19 มิถุนายน 2006.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,489
    [​IMG]

    <!--lead-->ถ้าคุณมีช่วงวัย 70 ปีกว่าๆ คุณก็คงอยากจะพักผ่อน เลี้ยงหลาน หรือไม่ก็เที่ยวเตร่หาความสุขตามประสาผู้สูงอายุ แต่ ศ.นพ.ประสาน ต่างใจ นักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการคนสำคัญของเมืองไทย แม้เขาจะมีอายุกว่า 78 ปี แต่ก็ยังกระฉับกระเฉงทำงานตลอดเวลา
    สิ่งที่คุณหมอปฏิบัติเป็นกิจวัตรประจำวันก็คือ การอ่านและเขียนหนังสือ รวมถึงเป็นวิทยากรรับเชิญในหลายๆ แห่ง และปลีกเวลาเป็นที่ปรึกษาและดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ศุภสุขเนอร์เซอร์รี่ทุกๆ สัปดาห์
    แม้ระยะหลังคุณหมอประสานจะมีปัญหาเรื่องสุขภาพบ้างตามประสาผู้สูงอายุ แต่เขาก็ยังทำงานและอยากทำประโยชน์ให้สังคม ซึ่งในช่วงชีวิตที่เกิดมากว่า 70 ปี เขาออกหนังสือมาไม่ต่ำกว่า 30 เล่ม
    ถ้าถามถึงวันพักผ่อน คุณหมอตอบว่า ก็เขียนหนังสือ เพราะรู้สึกสนุกกับการทำงาน และมีความสุขกับการได้สอนคนอื่น หรือถ่ายทอดสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับคนอื่น เหมือนเช่นที่กำลังคุยกับคุณ แล้วคุณตั้งใจและสนใจฟัง
    “อะไรที่เป็นสัจธรรม ผมเขียนและบรรยายได้หมด ไม่ว่าจะทางวิทยาศาสตร์ สังคม ชีววิทยา ผมทำได้ทุกเรื่อง ชีวิตที่ผ่านมา ผมจะทำงานทุกวัน ผมไม่เคยพักร้อน ตอนเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยก็ไม่เคยพัก การทำงานก็คือการพัก ที่เราไม่เครียด เพราะเราช่างคุย ก็แบ่งเบาเรื่องในใจออกไปได้ แต่ตอนนี้ก็มีเครียดบ้าง เพราะเอนไซม์ในสมองเปลี่ยน ต้องพึ่งพายาเหมือนกัน “
    ปัญหาสุขภาพในระยะหลังของคุณหมอประสานก็เป็นไปตามวัย ช่วงที่มีปัญหาระบบปัสสาวะขับถ่ายไม่สะดวก เขาต้องเข้ารับการผ่าตัด เขาบอกว่า ผู้สูงอายุไม่ควรทำการผ่าตัด นั่นเป็นการเสี่ยง แต่ตอนนั้นจำเป็น เพราะปัญหาฮอร์โมนในร่างกายอยู่ในอัตราที่ต่ำ
    “ผมเคยเป็นโรคที่เรียกว่าหัวหมุนอยู่สามปี ตอนนี้หายแล้วเพราะออกกำลังกาย อีกอย่างตาที่ใช้การอ่านหนังสือไม่ค่อยดีแล้ว ตอนนี้ต้องหลับตาข้างหนึ่งเพื่ออ่านหนังสือ คือ ตาผมไม่มีทางรักษาให้หาย และในอนาคตต้องบอดแน่ เพียงแต่จะบอดเมื่อไหร่ ผมเคยทำเลเซอร์ แต่ก็ไม่ดีขึ้น อาศัยว่าผมทำสมาธิบ่อยๆ ก็เลยบอดช้าลง”
    แม้โรคภัยไข้เจ็บจะเข้ามาเยือน แต่คุณหมอก็ตั้งรับกับสิ่งที่ไม่แน่นอนตามประสาคนที่เข้าใจชีวิต หมั่นฝึกสมาธิและออกกำลังกายทุกวัน
    “ปกติผมก็ไปหาแพทย์ ไม่ได้ประมาท ตอนนั้นหมอรักษาดวงตาผมก็กลัว ไม่กล้าทำเลเซอร์ให้ เขาถามผมว่า กลัวไหม ผมก็บอกว่า เขาเป็นคนรักษาผม ผมจะกลัวทำไม เพราะหมอก็ต้องมือเที่ยง” คุณหมอประสานเล่าถึงชีวิตตัวเอง
    เพราะเขาเองก็เป็นที่ปรึกษาให้สถานรักษาพยาบาลผู้ป่วยระยะสุดท้ายและสอนพวกเขาให้ตั้งรับกับความตายอย่างสงบ
    ปัจจุบันคุณหมอประสาน ยังคงอารมณ์ดีเหมือนเช่นทุกครั้งที่ได้พูดคุย เขาเป็นคนช่างพูดช่างคุย และให้ความรู้อยู่ตลอดเวลา เขาบอกว่า “ผมเป็นคนเปิดเผย ไม่เก็บความลับ ถ้าใครจะมาบอกว่าเรื่องนี้เป็นความลับอย่าบอกใคร ผมก็จะบอกว่า ถ้าเป็นความลับไม่ต้องมาบอกผม เพราะผมจะไม่เก็บความลับ ไม่เก็บอะไรมาเครียด มีเรื่องอะไรเข้ามาในชีวิต ก็พูดหรือปล่อยออกไป”
    ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ที่สนใจพุทธศาสนา เขาบอกว่า ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ต่างชาติรุ่นใหม่หรือระดับชั้นนำของโลก ต่างให้ความสนใจเรื่องสมาธิ ผมยังนึกไม่ออกว่า คนไหนไม่ทำสมาธิ พวกเขาทำสมาธิ เพราะจะช่วยทำให้มองเห็นสิ่งที่ทำอยู่ คือ งานได้ทะลุทะลวง
    ก็เพราะการทำสมาธิจะทำให้มนุษย์สามารถสัมผัสความจริงในระดับสากลหรือจักรวาล ในบางศาสนาการทำสมาธิ ก็คือ การได้สัมผัสกับพระเจ้า คุณหมอย้ำว่า ถ้าเราทำจิตให้มีสมาธิ ก็จะสามารถมองเห็นบางอย่างที่ไม่อาจเห็นด้วยตา แต่อยู่ที่ว่าเราจะสัมผัสสิ่งเหล่านี้ได้ลึกซึ้งแค่ไหน คนส่วนใหญ่ยังไปไม่ถึงจุดนั้น แต่คนที่ไปถึงจุดนั้น ก็จะดึงปัญญามาใช้ได้ เหมือนเช่นพระพุทธเจ้าที่มีปัญญา
    “ผมอ่านหนังสือเป็นพันๆ เล่มเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ และนักวิทยาศาสตร์ชั้นหนึ่งของโลกก็พูดเหมือนกันหมด สอดคล้องต้องกันกับสิ่งที่พุทธศาสนากล่าว และไม่ได้แปลว่า จิตกับวิทยาศาสตร์เป็นอันเดียวกัน แต่มีเป้าหมายและทิศทางของความจริงเป็นหนึ่งเดียวกัน การทำสมาธิก็คือ การเชื่อมต่อของสนามพลังงานจิตของตัวเองกับสนามพลังจิตของจักรวาล เพราะทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกัน”
    เวลาเป็นวิทยากรรับเชิญในหลายๆ เวที ไม่ว่าใครจะเชิญให้พูดเรื่องใด คุณหมอประสานพูดคุยได้หมด และเป็นวิทยากรที่น่าสนใจ คุณหมอบอกว่า เวลาไปบรรยายไม่ต้องเตรียมตัวในการพูด สามารถทำได้เลย เพราะทุกอย่างได้เรียนรู้จนตกผลึก
    “ผมมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นนักฟิสิกส์รุ่นใหม่จบมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ คนนี้พูดคุยกันไปไกลถึงเรื่องญาณทัศนะ คนที่สนใจเรื่องพวกนี้มีไม่เยอะ ส่วนใหญ่มักมีกำแพง เพราะคิดว่า ความจริงต้องเป็นสิ่งที่มองเห็นเท่านั้น และมักคิดว่ามนุษย์ชาติเป็นศูนย์กลางจักรวาล สิ่งที่มนุษย์เห็นหรือได้ยินนั้นเป็นสิ่งถูกต้องแล้ว แต่บางอย่างที่มดหรือหมามองเห็น คนจะมองไม่เห็น อย่างหมาได้กลิ่นบางอย่างก็เห่าแล้ว มันมีสัญชาตญาณบางอย่าง หรือมีจอมปลวกอยู่ที่ไหน ต้นไม้ที่นั่นไม่ต้องรดน้ำ เพราะมีความชื้นตลอดเวลา ภูมิปัญญาชาวบ้านทั้งนั้น หรือต้นไม้บางชนิดช่วยกินแมลง มันเป็นวัฏจักรให้โลกสมดุล เรื่องที่ผมศึกษาเป็นวิทยาศาสตร์แนวใหม่ ไม่มีตรงไหนที่ตอบไม่ได้ ถ้ามองให้ทะลุจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ อย่างเรื่องที่พุทธศาสนาหรือทุกศาสนาสอนก็คือ สิ่งเดียวกันทั้งหมด ยกเว้นเรื่องพิธีกรรมหรือกะพี”
    คุณหมอคุยให้ฟังต่อว่า เพราะคนเรามีอัตตา ก็เลยคิดว่าศาสนาของเราดีกว่าศาสนาคนอื่น แต่ทุกอย่างในโลกนี้มีดุลยภาพคือ พอเพียง พอดี ยั่งยืน เคลื่อนที่ เชื่อมโยง เปลี่ยนแปลง ทุกอย่างเป็นธรรมชาติเปลี่ยนไปตามความเป็นจริงของโลก ถ้าเราเข้าใจเรื่องพวกนี้ ก็จะไม่ยึดติด ปล่อยวางได้จริง
    ย้อนไปถามเรื่องครอบครัว ลูกทั้งสามของคุณหมอก็ใช้ชีวิตไม่ต่างจากเขา มีความสนใจเรื่องศาสนา ลูกชายคนโตใช้ชีวิตอยู่อเมริกา เขาบอกว่า ลูกคนนี้หมั่นฝึกสมาธิอย่างต่อเนื่อง ส่วนลูกสาวเรียนจบปริญญาโท จากนั้นบวชเป็นภิกษุณีอยู่หกเดือน เพื่อเรียนรู้ว่าชีวิตนักบวชและการบิณฑบาต เป็นคนที่ทำสมาธิจริงจัง เคยไปนั่งสมาธิที่อินเดียเป็นเดือนๆ ตอนนี้เป็นครูสอนสมาธิที่โคเอนกา ทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นแค่เศษเสี้ยวของชีวิตที่ตกผลึกทางความคิดของคุณหมอประสาน.


    ที่มา
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มิถุนายน 2006

แชร์หน้านี้

Loading...