ผมเกิดอาการแปลกๆ ตั้งแต่ต้นปี ช่วยผมหน่อยคับ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย sakchai2001, 16 มกราคม 2011.

  1. sakchai2001

    sakchai2001 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2011
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +7
    แนะนำตัวครับ ผมชื่อ ต้อง คับ อายุ22 ปีนี้ ขอคำแนะนำด้วยครับ
    เรื่อง คือตั้งแต่ต้นปีวันที่1 ม.ค.เป็นต้นมา ผมไข้ขึ้น ปวดท้อง ไปหาหมอก้อบอกว่าเป็นโรคกระเพาะ แต่ กิน ไป ก้อ ไม่ได้หาย รู้สึกเจบล่างๆท้องละก้อลมเต็มท้อง หลังจากนั้นก้อมีสิ่งแปลกๆ เกิดขึ้นมากมายรบกวนผู้ รู้ชีแนะด้วยคับ ผมสับสนเหมือนอะไรเยอะแยะเพิ่มเข้ามาในปีนี้ ผมไม่ได้นั่งสมาธิ ทุกสิ่งนี้เกิดจากท่านอนคับ เริ่มแรกผม รู้สึกได้เหมือนงูที่มองไม่เห็นเลื้อยผ่านตัวผม วันแรกมาตัวเล็ก วันที่ 2เปนตัวใหญ่ขนาดประมานงูหลามพันๆๆตัวผม แล้วก้อรัดตึง แล้วก้อผ่านไป พอผมหลับตานอน ผมรู้สึกว่าผมไม่รู้สึกอะไรสักอย่า ไม่รู้สึกว่าหายใจอยู่ ผมเห็นจุดแสงเล็กๆสีขาวจ้า แล้ว ขยายใหญ่ขึ้นจนวิบๆ แล้วผม รู้ตัวอีกที ผมลอยอยู่บนฟ้า ตอนกลางคืน ไม่ใช่ฝันแน่ๆคับเป็น ผมรู้ว่าผมหลับตาอยู่และนอนอยู่ จำได้ตั้งแต่ต้นเรื่องยันจบ ความรู้สึกจริงรู้สึกถึงกระแส ลม รู้สึก จมน้ำจริง ร้องไห้ แบบ ในโลกจริงๆเรย ครับ แล้ว ก้อเจ็บก้อเจบจริงเหนื่อย ก้อเหนื่อยจริง ผมให้เมืองข้างล่างสวยมากก มีแสงไฟแบบเรืองแสงหลายๆสี พอเห็นแล้วหัวใจมันพองโตมีความสุขมากก อยากจะไปอีก สักพักผมก้อเห็นชาย 2 คนในชุดบอดี้กาด ลอยขึ้นมาตรง หน้าผม ผมกลัวเค้าจะมาจับละออกไปไม่ได้ จึง เด้งตัวเองออกมาก่อน คับ(กรณีนี้เหนื่อยมากครับตอนตื่น) อันนี้คือวันแรกครับ วันที่ 2 เหมือนเดิมเรยครับกึ่งหลับกึ่งตื่นเห็นไฟสีขาวตรงกลางดวงเดิม คราว นี้ลองเข้าไปเอง แสงขยายขึ้น แล้วห่อคลุมรอบตัวผม จากนั้นเหมือนโลกกลับหัว คล้ายคล้ายกับนอนอยู่แล้วพลิกกลับ แล้วม่านก้อเปิด คราวนี้ไปโผล่ ในรถคับ มองออกไปนอกหน้าต่าง เป็น บ้านขนาดใหญ่ที่บนหลังคามีเสาขนาดใหญ่ตรงกลางหลังคา คล้ายส่วนปลายของเจดีย์ครับ แบบสะท้อนแสงด้วยครับ ผมไปเจอแม่ของผมแม่ผมพาไปเจอเด็กคนนึง แม่ผมบอกว่าพ่อของน้องเค้าตายไปแล้ว ผมยื่นมือไปจับหน้าน้อง ผมรู้ชื่อน้องเค้า ชื่อแม่น้องเค้า แล้วผมก้อร้องไห้เหมือนโลกจริงเรยครับ ความรู้สึกที่พุ่งเข้ามาคือไอพ่อคนที่ตายอะผมเอง ยังไม่จบครับในนั้น นอกจากนี้ ในนั้นผมมีแฟน สวยมากก แต่ผมก้อแอบส่งจดหมายให้อีกคนนึง ตั้งแต่ คบกันกับแฟน 2-3 ปี แฟนผมเสียใจมาก แล้วอยู่ๆม่าน ที่เปิดตอนแรกก้อปิดลง คับ(อันนี้กรณีหมดเวลาปกติไม่เหนื่อยตอนตื่น) แต่เมืองวันที่2ไม่รู้สึกมีความสุขเหมือนวันแรกครับ วันที่ 3 ผมไปโผล่ ในโลกของนิยาย ครับแฟนตาซีมาก มีตัวบีเวอร์ หน้าตาไม่คงที่เปลี่ยนหน้าได้ แต่ก้อเหนื่อยจริงเจ็บ จริงเหมือนเดิม.+อีกอย่าง ปูไปรยา มา ปนได้ไงไม่รู้???..แต่ผมว่าอันนี้ไม่ใช่โลกที่ไปเหมือนทุกครั้งอะครับ ผมคิดว่าวันปลอม วันที่สี่จากเหตุการณ์ปวดท้องไข้ขึ้น ผม กะจะไปเที่ยวแบบทุกครั้ง แต่คราวนี้ จากดวงไฟสว่าง เป็นหลุมดำดูดๆ คล้ายๆแบล็กโฮล แทน ครับผมไม่กล้าเข้าไป พ่อเตือนว่าอย่าเข้าหลุมสีดำ..ยังไม่จบครับ พอเย็นเพื่อนชวนไปกิน เหล้าผมก็ไปครับแต่ ผมไม่อยากกิน เรยสั่งโค๊กมากกินเป็นเพื่อนพวกเพื่อน แปลกมากเรยครับหลังเกิดเหตุการณ์นี้ ผมเลิกกินเหล้าถาวร จนเพื่อนแปลกใจ ผมมองเห็นอะไร ก้อคิดถึงเหตุผลไปหมด เช่นเห็นผู้คนให้ดอกไม้กันในร้านเหล้า ผมคิดว่าทำไมต้องให้ดอกไม้ ดอกไม้ไม่ได้ทำให้คนเค้ามารักเราสักหน่อย ผมรู้สึกสงสาน เวทนาคนที่มานั่งกินเหล้าแบบบอกไม่ถูก ประมานว่ามันมีความสุขที่มากกว่านั่งกินเหล้าฟังเพลงอีกนะ มัวแต่หลงเพลิดเพลิน กะความสุขแค่นี้ทำไม..

    ต่อมาอีกวันระหว่างขี่มอไซจะไปเล่นเกมกะเพื่อนแถวๆในเมืองเชียงใหม่ รู้ตัวอีกทีขี่เรยมาหลังม.ช. ขี่เลยไปเลยมาหลายรอบ ไม่รู้เป็นอะไรครับ อยู่ดีดีน้ำตาก้อไหล อะไรไม่รู้ไหลเข้าสมองเยอะแยะเรยครับ ประมานว่า ต้องช่วยให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ภาระอะไรแบบหนักมาก .อย่างน้อยเพื่อนหรือคนที่รู้จักผมต้องรอด อะไรประมานั้นอะครับ ผม ก้อไม่รู้ว่าอะไร ผมปวดหัวมากหัวแทบระเบิดเหมือนอะไรมายัดเต็มหัววันเดียวทั้งๆที่ไม่ได้อ่านหนังสือหนัก ..ฟังดูเหมือนผมบ้าแต่ผมไม่ได้บ้านะครับ...โลกในตอนหลับ ตาของผมออกแนวแฟนตาซี จน แยกไม่ค่อยออกว่าสิ่งไหนจริง หรือผมสร้างจากสิ่งที่ผมชอบ มีวิธีสังเกตอย่างไรครับ...

    เหตุการณ์ แปลกๆเริ่มทวีเข้ามาทุกวัน บ้างครั้งก็มีผู้ หญิง2 คนเอา ขนมมาให้ ผมถามว่าขนมอะไรเค้าก็บอกคล้ายๆช๊อกโกแลต อะครับ

    วันต่อมา พอไปถามเพื่อน เพื่อนบอกให้มานอนที่ห้อง เค้าใช้ให้ผมหลับ เพื่อนผมบอกว่าเค้า เป็นสายรักษา งี้อะครับ นอนยังไงก้อนอนกันไม่หลับทั้งคู่ นอนเข้าสมาธิก็ยากสงสัยไม่ชินที่รึเปล่า... ตื่นมาตอนตอนบ่ายผมรู้สึกเหนื่อยแทบตาย เรยขอตัวมานอนที่บ้านผม หลังจากนั้น ก็นอนยาวตื่น 6 โมงเยน เพื่อนผมโทรมาบอกว่าเพิ่งตื่นตอน6โมงเหมือนกัน ผมก็ว่าเรื่องแบบนี้มันแปลกดี

    รบกวนถามหน่อยคับ
    1.สิ่งที่เห็นบางครั้งผมหลุดไปอยู่ในนิยาย
    2.หลังผมเปิดประตูโลกแปลกๆนี้เป็น ผมก็ไปเที่ยวตลอด แต่เค้าแรนด้อมที่ให้แบบกำหนดเองไม่ได้ว่าจะไปที่ไหน ..เที่ยวบ่อยจะเป็นบ้าไม๊ครับผมอยากมีความสุขเหมือนตอนลอยอยู่อีกสักรอบ
    3.ถ้าวันนั้นไม่เด้งตัวเองออก ผมโดนจับไปจะเกิดอะไรขึ้นกะตัวผมที่โลกปกติไม๊ครับ
    4.บางครั้งผมคิดว่าอีกโลกจริง แต่ ทำไมเทวดาข้อง ผม ใส่ สูทคล้ายบอดี้กาดเรยครับ -*-..
    5.ทำยังไง ปิดประตูหรอครับ เปิด เป็นแต่ ปิด ไม่เป็น
    6.ยิ่ง สงสัย ยิ่ง ปวด หัว ครับ ทำยัง ไงให้ ปกติครับ
    7.โลกแปลกๆ ทำไมต้องเปป็นแฟนตาซี เหาะได้ จมน้ำ รู้สึกจริงคับ
    8.อั้มพัชราภา กะ ปู ไปร ยา โผล่มาได้ ไง-*-..
    9.เพื่อนผมบอกว่าผมพูดเหมือนพี่เค้าเรย แต่พี่ เค้าเป็นบ้า ถ้าไม่ระวังผมจะบ้าไม๊ครับ
    10.เงาดำให้ห้องนอนของผมตอนอยู่ในตอนที่จะเข้าสู่สมาธิ ผม ไม่ชอบที่จะเห็นมันเรยคับ
    11.ช่วงนี้ผมป่วยมากเป็นไข้ เจ็บข้างล่างท้องหาสาเหตุไม่ได้ แน่นท้องลมเต็มท้อง สุขภาพไม่ดรี เรยคับ เพื่อนผมคนที่บอกว่าเป้นสายรักษาแนะนำเวปนี้ให้ผม เค้าเป็นคนเดียวที่เชื่อผมตอนนี้ เค้าบอกว่าอาจเป็นเพราะแกนโลกอะครับ

    ผมไม่ได้ฝันจริงนะครับ ผมไม่ได้นั่งสมาธิ ผมนอน เข้าทุกครั้งถ้าจะไปเที่ยวเมืองแปลกๆนั้น
    ถ้านั่งสมาธิ ผม ทำ แบบนี้ไม่ได้ -*-..

    ขอรับรองว่าทุกเรื่องเกิดกับข้าพเจ้าจริงทุกประการ
    รบกวนผู้รู้ขอคำแนะนำด้วยครับ ผมไม่รู้จะคุยกะใคร
    **ใช้คำพูดไม่เหมาะสม ขออภัยด้วยนะครับ ผมชอบหลุดพิมพภาษาเด็กๆครับ

    รบกวนช่วยตอบเหตุการณ์ให้เดกอนุบาล มือใหม่หัดไปเที่ยวด้วยนะครับ
    ขอคุณล่วงหน้าคับ

    มีข้อระวังภัยอะไรรบกวนแจ้งให้ผมทราบทีครับ
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  2. ตายแน่!

    ตายแน่! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +509
    ..........น่าสนใจดีครับรอผู้รู้มาตอบครับ
     
  3. darkload

    darkload เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +162
    นอนสมาธิแล้วเห็น น่าจะเป็นนิมิต แต่รอผู้รู้จริงมาตอบดีกว่าครับ

    ผมว่าจขกท.น่าจะลองมาศึกษาธรรมะและปฏิบัติธรรมดูนะ จะได้รู้เพิ่มเติมในเรื่องแปลกๆแบบนี้
     
  4. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    สิ่งที่เป็นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เป็นอาการ จิตเเยกออกจากกาย หรือ การถอดกายทิพย์

    เพราะการถอดกายทิพย์ เราจะมีสติครบถ้วนบริบูรณ์เเละรู้สึกตัวว่าฝัน ให้ลองฝึกจริงจังดูนะคะ

    จิต คือ วิญญาณ ความคิด เเละ จินตนาการ

    จิตสามารถเดินทางไปได้ทุกที่ เเละ สามารถสัมผัสทุกอย่างได้จริง มากกว่า ร่างกายของเรา

    ร่างกายของเรา คือ ยานพาหนะที่กักขังจิตวิญญาณดั้งเดิมของเรา

    ขอให้น้องทำใจเย็นๆ สบายๆ ไม่ต้องกลัว หรือ กังวล เป็นสัมผัสพิเศษของตัวเอง

    สิ่งใดๆก็ตามที่น้องเห็น คือ มโนจิต หรือ จินตนาการที่มีืพื้นฐานจากอดีต

    อาการความสงสัย คือ การไม่เข้าใจตัวตนที่เป็นจริงของตัวเอง

    ระลึกเสมอว่า เรา คือ จิตวิญญาณ เเละ เราสามารถไปไหนก็ได้อย่างอิสระเสรี

    โดยมีพื้นฐานจากความคิดของจิตสำนึกเเละจิตใต้สำนึก

    จงอยู่กับปัจจุบัน ระลึกรู้ เเละ มีสติ ถ้าสงสัยก็จงรู้ว่าสงสัย

    ถ้าอยากทำอะไรก็จงมีสติอยู่เสมอ ทุกคำพูดที่พูดออกมา ให้เราฟังเเต่อย่าจมดิ่่งกับความคิดที่กำลังเกิดขึ้น

    เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ตัวเราเเสดงพฤติกรรมเเปลกๆ พูดเเปลกๆ ให้เปลี่ยนจากผู้ควบคุมเป็นผู้สังเกตการณ์ทุกกิริยาท่าทางของเรา

    ไม่ว่าจะเห็นอะไร ได้ยินอะไร คิดอะไร หรือ รู้สึกอะไร ปล่อยตัวตามสบาย

    ถ้าอยากเชื่อก็จงเชื่อ ถ้าไม่อยากเชื่อก็จงปฏิเสธ เเต่เมื่อรับรู้เเล้วให้ปล่อยวางให้เร็วที่สุด

    เช่น ความฝันทั้ง 4 วัน มันผ่านมาเเล้ว ไม่ต้องเก็บมาคิด เเต่เตรียมสังเกตความฝันของคืนนี้เเทน

    เมื่อรู้เเล้วว่าฝันอะไรก็ให้จดบันทึก ทั้งความฝันเเละอาการเเปลกๆทั้งการเจ็บป่วยทางกายเเละทางจิต

    ทำตัวเหมือนจิตเเพทย์เเละเฝ้าสังเกตตัวเราเองอยู่ห่างๆ ไม่ต้องกังวลอะไร

    ทำไปวันต่อวัน เจ็บก็รู้ว่าเจ็บ รักษาหายหรือไม่หายก็บันทึกให้หมด

    เเม้เเต่ความรู้สึกว่า บ้าก็เขียนบันทึกว่า วันนี้เรารู้สึกว่าเรากำลังบ้า

    เมื่อเรามีโอกาสพิเศษที่ได้เจอเหตุการณ์มหัศจรรย์จงทำตัวเป็นนักวิทยาศาสตร์

    เเละมองเห็นว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
    เป็นเรื่องราวของเราที่น่าติดตามจริงๆ

    ถ้าสงสัยอะไรก็เข้ามาอ่านในนี้บ่อยๆ เเละที่สำคัญ Google ช่วยน้องได้ทุกกรณี

    สำหรับมือใหม่ เวลาที่ทุกข์กายเเละทุกข์ใจ ไม่สามารถหาทางเเก้ได้

    ให้เริ่มต้นจากการสวดมนต์ นั่งสมาธิ ขอขมากรรมกับเจ้ากรรมนายเวรก่อนนะคะ

    ส่วนที่เหลือปล่อยให้จิตวิญญาณเเละสัญชาตญาณเป็นคนนำทางค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มกราคม 2011
  5. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    มันคืออะไร? รอผู้รู้จริงเถอะ (อ่านแล้วก็สับสนตาม)
     
  6. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ตัวอย่างการบำเพ็ญบารมีด้วยการถอดกายทิพย์

    <!-- google_ad_section_start --> <script type="text/javascript"><!-- document.write('<s'+'cript type="text/javascript" src="http://ads.palungjit.org/show.php?z=16&j=1&code='+new Date().getTime()+'"></s'+'cript>'); // --></script><script type="text/javascript" src="http://ads.palungjit.org/show.php?z=16&j=1&code=1295186021264"></script><iframe onfocus="track_image1331.src='http://ads.palungjit.org/click.php?a=133&x=TVRJNU5URTROVFl5TkMwMU9DNDVMakl3TkM0eU1qaz0=&z=16&c=1&ix=1'" src="http://ads.palungjit.org/show_i.php?a=133&x=TVRJNU5URTROVFl5TkMwMU9DNDVMakl3TkM0eU1qaz0=&z=16&c=1&target=_blank" marginwidth="0" marginheight="0" hspace="0" vspace="0" width="350" frameborder="0" height="250" scrolling="no"></iframe> [​IMG] <noscript> <iframe src="http://ads.palungjit.org/show.php?z=16" width="350" height="250" marginwidth="0" marginheight="0" hspace="0" vspace="0" frameborder="0" scrolling="no"></iframe> </noscript>
    [​IMG]




    ๑) การ ถอดกายทิพย์ไปยังที่ต่างๆ ทุกสถานที่จะมีเจ้าของ มีเจ้าที่ มีคนเฝ้าอยู่ ดังนั้น หากเราได้กายทิพย์ที่ไม่ค่อยมีบารมี อาจไม่ได้รับการต้อนรับ หรือไปยังสถานที่นั้นไม่ได้ เทพเทวดาที่เฝ้าประตูไม่ยอมให้เข้าไปบ้าง ฯลฯ วิธีการคือ ต้องไปกับผู้ที่สามารถถอดกายทิพย์ได้ และมีกายทิพย์ที่มีบารมีพอ หรืออาราธนาพระพุทธเจ้า หรือท่านที่มีบารมีมากให้ช่วยนำพาไปชม


    ๒) การ ถอดกายทิพย์ขึ้นสวรรค์ ให้ระวังสวรรค์ชั้นห้าและหก เพราะเสี่ยงต่อมารแทรกและดึงเข้าเป็นพวก จะทำให้มีจิตมารได้ หลงเพลินสวรรค์ จนละเลยการปฏิบัติจิตเพื่อละโลภ, โกรธ, หลง ได้ ดังนั้น ให้พึงถอดกายทิพย์ไปยังสวรรค์ชั้นอื่นๆ ที่ไม่ใช่สวรรค์ชั้นห้าและหก ทั้งนี้สวรรค์ มีสามส่วน คือ ส่วนที่อยู่ในระบบสามภพ คือ สวรรค์ทั้งหกชั้น, พรหมโลก (แยกต่างหากขึ้นไป), สุขาวดีโลก มีทิศตะวันออกและตก อยู่สูงที่สุดเหนือพรหมโลกขึ้นไป ใกล้แดนนิพพาน และแดนนิพพาน ที่ไม่ได้มีไว้ให้เสพสุขนอนกินเล่น แต่หากไปสู่แดนนิพพาน ควรไปยังสถานที่เก็บอัฐิของพระพุทธเจ้าพระองค์ต่างๆ จะปลงสังเวชลัดตรงนิพพานได้


    ๓) การ ถอดกายทิพย์ลงนรก ไม่สามารถทำได้หากไม่มีกายทิพย์ที่มีบารมีมาก กายทิพย์ที่ถอดลงนรกได้ มีสี่ประเภท คือ พระยายมและบริวาร หนึ่ง, พระพุทธเจ้า หนึ่ง, พระโพธิสัตว์องค์ใหญ่ หนึ่ง และพระอรหันต์เบื้องล่าง หนึ่ง อนึ่ง คำว่าพระอรหันต์เบื้องล่าง หมายถึงพระกษิติครรภ์และบริวารของท่าน ที่มีหน้าที่ไปโปรดสัตว์นรกโดยเฉพาะ นอกจากนี้แล้ว ไปกายอื่น ก็จะถูกไล่ ถูกห้ามไม่ให้ผ่านได้


    ๔) สถาน ที่ในสวรรค์ชั้นต่างๆ ที่ควรไป เช่น สวรรค์ชั้นที่สี่ ให้ไปกราบพระโพธิสัตว์องค์ใดก็ได้หนึ่งองค์ ขอให้ท่านสอนการบำเพ็ญบารมี หรือขอเป็นศิษย์ท่าน ก็ได้ หรือขอไปดูสระบัวสวรรค์ ที่จะเกิดเมื่อบุคคลมีโพธิจิต และสวนท้อเซียนที่จะเกิดเมื่อบุคคลทำกิจโปรดสัตว์สำเร็จ, สวรรค์ชั้นที่สาม จะเห็นเทวดาสองเหล่าสำคัญ คือ เหล่ากษัตริย์นักรบชั้นดี และเหล่าพระ (ห่มจีวรเหลือง), สวรรค์ชั้นที่สอง เมื่อเข้าเฝ้าพระอินทร์แล้ว ให้ไปกราบพระจุฬามณีเจดียสถาน ส่วนสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง อยู่ติดกับพื้นโลก และสถานที่สำคัญอื่นๆ เช่น ให้ไปกราบองค์นาราย ที่สะดือทะเล ถามท่านว่า ท่านนับถือพระพุทธศาสนาหรือไม่, กราบองค์ศิวะบนยอดเขาพระสุเมรุ แล้วขอท่านอาบน้ำทิพย์ที่ตีนเขา, เข้าป่าหิมพานต์ อย่าแตะต้องของที่เขาไม่อนุญาต ให้ไปดูฤษีที่บำเพ็ญตบะ อย่าส่งเสียงดังรบกวนท่าน ฯลฯ


    ๕) สถาน ที่สำคัญบนพื้นโลกที่ควรไป เช่น สุสานต่างๆ ให้ไปทำการแผ่พลังจิต แผ่เมตตาส่งดวงวิญญาณปลดปล่อยให้ท่านที่หลงอยู่ ไปสู่สุขคติภูมิ, พระธาตุต่างๆ ของประเทศหรือนอกประเทศ ให้ไปกราบพระธาตุ แล้วดึงพลังพระธาตุเข้ากายทิพย์ ก็จะมีความรู้สึกชุมเย็น จิตสงบสงัด ปฏิบัติธรรม ละกิเลสได้ง่ายขึ้น ไปเมืองบาดาล อย่าไปรบกวนนาค ให้ไปให้กำลังใจเขาในการบำเพ็ญเพียร ในการรักษาพระพุทธศาสนา ให้เกิดไมตรีจิตร่วมกัน อย่าติดนิสัยมนุษย์ เสียมารยาท


    ๖) ทำ บุญแล้วอธิษฐานผลบุญ ให้ผลบุญนั้นปรากฏในกายทิพย์เรา เช่น ถวายอาหารแล้วให้อาหารปรากฏในมือของกายทิพย์เรา จากนั้น สามารถนำอาหารทิพย์นั้นไปให้เทพเทวดาอื่นๆ ที่เราไปเยี่ยมเยียนท่านได้ ถ้าจะให้ดี ให้ถวายดอกไม้ แล้วนำดอกไม้ที่เกิดจากผลบุญนี้ไปสร้างไมตรีกับเทพเทวดาทั้งหลาย


    ๗) ทดลอง บำเพ็ญบุญบารมี แต่ละแบบ แล้วตรวจดูกายทิพย์ของเราว่า มีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นหรือไม่ เช่น เปลี่ยนจากกายดำนิลเป็นกายขาวใส, เปลี่ยนจากกายเทวดาแต่งชุดคล้ายลิเก เป็นเทวดาองค์สีทอง, เปลี่ยนจากเทวดาองค์สีทองเป็นองค์สีเพชรใส ฯลฯ ให้ทดลองแล้วพัฒนาวิธีบำเพ็ญบารมี

    ๘) ทุก ครั้งที่พบเห็นโลกทิพย์ ให้ถามท่านนั้นๆ ก่อน อย่าเพิ่งเชื่อหรือสรุปเอาเอง และไม่ต้องลังเลสงสัย เช่น เห็นพระเยซู อย่าเพิ่งสรุปว่าท่านคือพระเยซูองค์ที่เรารู้จักบนโลก ให้ถามท่านก่อนว่า ท่านเป็นพระเยซูองค์ที่เท่าไร องค์ปฐมหรือไม่ แล้วองค์ปฐมไปที่ใด ก็จะเข้าใจว่า สิ่งที่เราเข้าใจ แท้แล้วจริงหรือไม่


    ที่มา http://www.oknation.net/blog/buddhab.../09/09/entry-2
     
  7. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    การฝึกถอดกายทิพย์

    ศีล ๕
    เบื้องต้นของผู้ที่จะฝึกหัดถอดกายทิพย์ให้ได้ผล ควรสำรวมระวังในศีล ๕ อย่างสมบูรณ์ คือ​
    ๑.ไม่ฆ่าสัตว์โดยเจตนา รวมถึงการทำร้ายสัตว์ด้วยมือและเท้าของตน ไม่สั่งให้ใครให้ฆ่าสัตว์เหล่านั้นให้ตายเพราะเรา​
    ๒.ไม่ถือเอาของผู้อื่นโดยที่เขาไม่เต็มใจให้ คือเขาไม่อนุญาต แม้กระทั่งถือเอาโดยวิสาสะ ความคุ้นเคยก็ตามที​
    ๓.ไม่จีบหรือร่วมเพศกับหญิงชายอื่นซึ่งไม่ใช่ภรรยาสามีของตน ถ้ารักษาอย่างละเอียดแม้โสเภณีย่อมไม่ได้​
    ๔.ไม่พูดคำเท็จ พูดคำหยาบต่อสังคม พูดเพ้อเจ้อ (พูดเรื่อยเปื่อยไม่พูดเป็นหลักเป็นฐานหาสาระไม่ได้) พูดส่อเสียด (พูดแซวผู้อื่นให้ละอาย)​
    ๕.ไม่ดื่มสุรา น้ำดื่มแอลกอฮอลล์ทั้งปวง แม้น้อยนิดย่อมไม่ได้ (ไม่สูบบุหรี่ ยาเสพติดทั้งปวง)​
    ศีลเบื้องต้นนี้ผู้ใดปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด จะทำให้ผู้นั้นฝึกภาวนามีแต่รุดหน้า ไม่เป็นผู้มักเสื่อมจากคุณธรรมที่ตนเองทำอยู่ ภาวนาซึ่งพระพุทธองค์ทรงสอนจะเจริญงอกงามจากผู้สำรวมอยู่ในศีลสิกขาบทเบื้องต้นเป็นหลัก ผู้ตั้งมั่นในศีลหากฝึกถอดกายทิพย์สำเร็จ จะมีเทพประจำตนคือบิดามารดาญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้วให้ความคุ้มครอง ในขณะเป็นผู้ท่องไปในโลกวิญญาณนั้นด้วย​
    การสำรวมอินทรีย์ทั้งปวง
    [​IMG]

    อินทรีย์ในที่นี้หมายถึง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจทวารหรือช่องประตูทางเข้าของเรื่องราวต่างๆจากเรื่องภายนอกทั้งปวงล้วนไหลเข้ามาตามช่องเหล่านี้ และทำให้เราผู้ปฏิบัติฟุ้งซ่านแม้ภาวนาบทใดอยู่ย่อมล้มเหลวต้องเริ่มต้นใหม่ได้ง่าย การได้ระมัดระวังให้สิ่งต่างๆไหลเข้ามาน้อยลง หรือปิดบ้างเปิดบ้างย่อมทำให้ภาวนาที่อ่อนกำลังอยู่เข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ

    วิธีสำรวมตา ฝึกทอดสายตาลงชั่วแอกคือ มองห่างจากตัวเราไม่เกิน ๔ เมตร เป็นหลัก เพื่อสำรวมให้เห็นภาพเฉพาะจำเป็น ถึงแม้จะมองไม่ถึง ๔ เมตร แต่เรายังสามารถมองในสายตาปรกติได้ในคราวคับขัน หลายครั้งความฟุ้งซ่านโดยใช่เหตุเกิดมาจากการมองสิ่งที่เราพอใจนั่นเอง นึกในใจว่า “ภาพก็เป็นเพียงภาพ แล้วก็หายไป ไม่อยู่นาน”

    วิธีสำรวมหู ฝึกภาวนาที่ทำอย่างสม่ำเสมอ เมื่อได้ยินเสียงใดไม่พยายามสืบสาวในเสียงทั้งที่พอใจและทำให้ขัดเคืองโมโห พอ ใจมากก็ฟุ้งซ่านเพลิดเพลินคิดคำนึงถึงแต่ต้นเสียงนั้น ไม่พอใจก็ฟุ้งซ่านเคียดแค้นวนไปวนมากับการหาทางแก้แค้นเจ้าของ เสียงนั้น เมื่อได้ยินเสียงใดๆ นึกในใจว่า “เสียงก็เป็นเพียงเสียง แล้วก็หายไป ไม่อยู่นาน”

    วิธีสำรวมจมูก สำรวมเช่นเดียวกัน เมื่อได้กลิ่นที่หอมพึงใจและเหม็นน่าสะอิดสะเอียน นึกในใจว่า “กลิ่นก็เป็นเพียงกลิ่น แล้วก็หายไป ไม่อยู่นาน”

    วิธีสำรวมลิ้น เมื่อลิ้มรสอาหารคาวหวานใดๆ มักกินอย่างเมามัน แม้พระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงหลายท่านสำรวมอินทรีย์ได้ทั้งหมด แต่พอเห็นอาหารที่ท่านชอบท่านยังฉันอย่างเมามัน ก่อนมรณกรรมภาพท่านบอกกับศิษย์ผู้ใกล้ชิดว่าท่านติดในรสอาหารจะต้องเกิดเป็นพรหมชั้นอนาคามี หลวงปู่องค์นี้กล่าวกันว่าท่านหายตัว และเหาะได้ อจ.รู้จักดี​
    วิธีการสำรวมก็คือ เมื่อตักอาการเข้าปากให้กลั้นน้ำลายไม่ให้ไหลเข้าคอ แล้วเคี้ยวคำข้าวนั้นให้ละเอียดจนหมดรสแล้ว ค่อยกลืน แล้วคอยตั้งสติที่คำข้าวให้ไหลลงจนถึงกระเพาะก่อนจึงตักคำใหม่ วันใดที่จะภาวนาจนถึงฌาน ๔,ถอดกายทิพย์ หรือบรรลุมรรคผลเข้าประหารกิเลสทีละขั้น จะสังเกตเห็นว่าวันนั้นเราต้องมีสติอย่างสมบูรณ์และกินอาหารละเอียดอย่างที่กล่าวข้างต้นด้วย

    วิธีสำรวมกาย เมื่อกายสัมผัสของอ่อนนุ่มหรือแข็ง ทำให้เราพึงพอใจและไม่พึงพอใจ ก็ให้นึกในใจว่า “นุ่มก็สักว่านุ่ม แล้วก็หายไป ไม่อยู่นาน” หรือ “แข็งก็สักว่าแข็ง แล้วก็หายไป ไม่อยู่นาน”​
    วิธีสำรวมใจ การสำรวมใจคล้ายกับการฝึกสมาธิ เพียงแต่ใจก็คือตัวเราที่ครุ่นคิดและเป็นตัวเรามาแต่กำเนิดโดยที่ใจกับกายสัมพันธ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ตั้งแต่เล็กจนโตเมื่อใจคิดสั่งอะไรกายจะทำตามอย่างเต็มกำลังเสมือนเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ แต่ครั้นเรามาปฏิบัติแล้ว เราจะเริ่มเห็นว่าใจเป็นอย่างหนึ่ง กายเป็นอย่างหนึ่ง ใจนั้นหมายรวมถึงกิเลสหมองคล้ำหลายชนิด, ธาตุรู้ภายใน,อารมณ์ที่เกิดกับใจ​
    วิธีการสำรวมก็คือ ใจคิดรัก,ใจคิดโกรธ, ให้นึกในใจว่า “รักก็สักว่ารัก แล้วรักนั้นก็หายไป ไม่อยู่นาน”​
    ”โกรธก็สักว่า โกรธ แล้วโกรธนั้นก็หายไป ไม่ตั้งอยู่นาน”

    ฝึกหัดลมหายใจพื้นฐานของการถอดกายทิพย์
    ลมหายใจนั้นยังชีวิตนี้ให้ตั้งอยู่ได้ ทำให้เกิดไออุ่นแก่ร่างกาย ลมหายใจอาศัยหลักคือความเกิดดับเป็นและตายอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้มีชีวิตอยู่ได้ หากความต่อเนื่องขาดไปหรือนานเกินไปกายสังขารนี้ย่อมไม่สามารถตั้งอยู่ได้ ธาตุทั้ง ๔ จะเริ่มการแยกจากกันกลับสู่ธาตุแม่ทันทีและวิญญาณผู้ถือครองจะล่องลอยไปตาม ภูมิแห่งจิตที่ฝึกฝนสั่งสมมาสุดแต่ว่าอาสันนกรรม(กรรมก่อนตายจะเป็นอะไรมา แทรกหรือไม่) ถ้าไม่มีอาสันนกรรมมาแทรกต้องไปตามภูมิแห่งจิตแน่นอน

    ลมหายใจของผู้คนที่ต้องทำมาหากิน มีความเร่งรัดในการหาเลี้ยงชีพนั้น แทบทุกคนล้วนหายใจเข้าและออกแล้ว มักจะกลั้นลมหายใจสลับกันไปมา แม้กระทั่งพูดยิ่งคนพูดเร็วไม่มีเว้นวรรค มักต้องกลั้นลมหายใจบ่อยครั้งเสมอ เมื่อเป็นเช่นนั้นอารมณ์และอุปนิสัยของผู้คนย่อมแตกต่างกัน โดยมาจากหลายสาเหตุและในหลายสาเหตุนั้นมีการหายใจเกี่ยวอยู่ด้วย​
    พระพุทธองค์ท่านฝึกลมหายใจอย่างช่ำชองแม้ก่อนที่จะทรมานกายท่านฝึกลมหายใจจนเข้าสู่ความสงบขั้นที่ ๘ แล้วจึงหันไปทรมานกาย ภายหลังเลิกจากการทรมานกาย พระองค์ทรงพักฟื้นพระวรกายด้วยอานาปานสติ และพิจารณาธรรมทั้งปวงจนบรรลุอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    วิธีฝึกลมหายใจ เราควรปรับลมหายใจที่มีนิสัยต่างๆกันคือสั้นบ้างยาวบ้าง ให้เป็นอย่างเดียว

    ๑.เมื่อฝึกครั้งแรกให้ฝึกลมหายใจให้ยาว เข้ายาว ออกยาว​
    ๒.ลมหายใจที่เข้าและออก ฝึกให้ละเอียดคือเบา ไม่กระแทกกระทั้น​
    ๓.เมื่อลมหายใจเข้าจนสุด หรือออกจนสุด ให้ฝึกหยุด ไม่ใช่กลั้นลมหายใจ แต่เหมือนตั้งสติพระพุทธองค์ทรงเรียกว่า “กายระงับ” ทางการพิจารณาวิปัสสนาเรียกว่า “ดูความดับของลมหายใจ”​
    ๔.ถ้าใครจะพิจารณาดูความเกิดของลมหายใจ คือรู้สึกลมหายใจเข้า ให้พิจารณาว่า “เราหรือกายนี้เกิดมีชีวิต”และ รู้สึกลมหายใจหยุดเคลื่อนไหว ให้พิจารณาว่า “เราหรือกายนี้ดับไม่มีชีวิต” ย่อมไม่เสียหลายบางท่านสามารถบรรลุถึงอรหัตผลมาแล้ว​
    ๕.ครั้งแรกเมื่อเราเริ่ม ฝึกหัดลมหายใจทุกครั้งสังเกตดูว่า เราฟุ้งซ่านมากหรือไม่ คือคิดเรื่องราวต่างๆไม่จบสิ้น​
    ทางการปฏิบัติเรียกว่า จิตหยาบ ขอแนะนำให้ท่องพุทโธ กำกับลมหายใจเข้าและออก แต่มีเทคนิคคือ ต้องสังเกตว่า เสียงบริกรรมในใจนั้น ดังตรงส่วนใดภายในกายนี้ ซึ่งศูนย์กลางการบริกรรมอาจเคลื่อนไหวไม่แน่นอนในแต่ละวัน เมื่อรู้ว่าเสียงบริกรรมอยู่ตรงส่วนใดให้เอาความจดจ่อไปนิ่งที่ตรงนั้น ไม่ช้าจิตที่หยาบจะสงบขึ้น แล้วค่อยวางบริกรรมมากำหนดรู้ลมหายใจอย่างเดียว​
    ๖.ขอบอกไว้อีกครั้งว่า การฝึกลมหายใจไม่ละเอียดพอ ย่อมไม่สามารถถอดกายทิพย์ได้

    การฝึกถอดกายทิพย์ขณะนอน

    ๑.ให้นอนหลับในท่านอนหงายปล่อยตัวตามสบาย ไม่ซ้อนเท้ากัน แล้วกำหนดลมหายใจเข้าและออก ให้รู้สึกลมหายใจเข้าและออกยาว และให้ฝึกรู้ลมหายใจตอนหยุด ให้ละเอียด คำว่าละเอียดหมายถึง เบานุ่ม ไม่กระแทกกระทั้น นำไปกำหนดรู้ในเวลาตื่นอยู่ด้วย ทำให้มากที่สุดเท่าที่นึกได้

    ๒.ขณะนอนเมื่อหลับตาลงหลังจากกำหนดรู้ลมหายใจระยะหนึ่งแล้ว ให้วาดภาพว่ามีร่างกายเรานอนเหนือขึ้นไปประมาณ ๒ เมตร (ถ้าจะเปรียบเหมือนกายเรานอนบนเตียงชั้นล่าง แต่กายที่วาดขึ้นนอนอยู่บนเตียงชั้นบนเหนือขึ้นไป) มีรูปร่างเหมือนกับตัวเรา พยายามใส่รายละเอียดในร่างนั้น วาดรอบร่างนั้น ถ่ายเทความรู้สึกจากร่างที่นอนขึ้นไปร่างบน และถ่ายเทร่างบนลงสู่ร่างที่นอนสลับไปสลับมา ขณะเดียวกันให้ทำความรู้สึกลมหายใจไปด้วย (ถ้ากำหนดลมหายใจไม่ชำนาญ อย่าเพิ่งถ่ายความรู้สึกขึ้นลง เพราะอาจทำให้เราไปบีบรัดลมหายใจ ทำให้อึดอัด ควรฝึกลมหายใจจนกายเบาก่อน จึงฝึกถ่ายความรู้สึก)​
    ๓.เมื่อทำสักระยะแล้วให้กำหนดภาพของเราให้เป็นร่างสีขาว นอนหงายสูงขึ้นไป ซ้อนขึ้นไป จนสุดหูลูกตา(หมายถึงขณะนอนหลับตาอยู่) และฝึกถ่ายความรู้สึกขึ้นไปสู่กายบนสุดนั้นให้ทำอยู่อย่างนี้ วันใดที่ใจสงบที่สุด เมื่อนอนทำ วันนั้นจะถอดได้ แต่ก่อนถอดครั้งแรกนั้นเราต้องฝ่าความตาย ต้องคอยถามตัวเราว่ายินดีจะฝ่าความตายเหมือนเราขาดใจตายอย่างนั้นแหละ ต้องจำไว้ว่า การถอดกายทิพย์จากการนอนนี้ต้องอาศัยการฝึกลมหายใจเป็นหลัก เพราะฉะนั้นต้องฝึกลมหายใจทุกอิริยาบถตลอดเวลาที่นึกได้

    ผู้มีราตรีเดียวเจริญ พระพุทธองค์มักทรงเรียกบุตรของพระองค์ผู้กำหนดกัมมัฏฐานแม้ขณะนอนหลับว่า ผู้มีราตรีเดียวเจริญเพราะว่า เมื่อทำมากๆเข้า กายนี้หลับแต่บางทีเรารู้สึกเหมือนตื่นอยู่ตลอดเวลา แท้ที่จริงแล้วกายทิพย์นั้นไม่จำเป็นต้องหลับ ในโลกสวรรค์นั้นไม่มีหลับเนื่องด้วยไม่ต้องใช้กายที่เปื่อยเน่านี้ เพราะกายนี้ต้องเสื่อมและต้องพักฟื้นทุกวัน ในโลกวิญญาณนั้นบางสถานที่มีแต่ความเพลิดเพลิน ยิ่งอยู่นานยิ่งหนุ่มสาวขึ้น มิได้แก่ลงเหมือนในโลก บางท่านมีแสงสว่างออกจากกายมาก ไปที่ไหนแสงมาก่อน บางทีถ้ามาเยี่ยมเราผู้ปฏิบัติอยู่ขณะนอนนั้นแม้เราหลับอยู่เหมือนกับสว่างไสวไปหมด กายทิพย์ของผู้ปฏิบัตินั้นส่วนใหญ่จะมีแสงแล้วแต่ภูมิแห่งสมาธิที่ทำมาก่อน

    ข้อมูลโดย อาจารย์กอบเกียรติ
     
  8. sakchai2001

    sakchai2001 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2011
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +7
    ขอบคุณครับ พี่ ผมจะพยายามฝึกครับ.. ขอบรบกวนอีกเรื่องครับหลุมดำคล้ายน้ำวนเข้าไปได้ไม๊ครับ ความสงสัยผมเยอะจริงๆครับ แรกๆกลัวจนไม่กล้าทำจิตว่าง เดี่ยวนี้ผมลุยละครับจะเจออะไร ผมจะค้นหาคำตอบที่ผมสงสัย ผมจะตั้งใจสังเกตครับ.แบบนักวิทยาศาสตร์.. สุดท้าย แล้วจะรู้ได้ไงครับว่าผม มาสวรรค์ชั้นไหน -*-..กลัวเผลอไปลงชั้น 5 ผมกำหนดไม่ได้ครับว่าจะไปไหน เค้าสุ่มให้ผมไปโผล่ครับ ผมก้อไปตามเค้า
     
  9. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ถ้าอยากไปก็ไปเลยค่ะเเต่ สำหรับมือใหม่กล้าๆกลัวๆ ให้ไปกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรามั่นใจว่าไปเเล้วจะปลอดภัยเเน่นอน

    วิธีการอัญเชิญก็เเค่จินตนาการถึงครูบาอาจารย์ที่เรานับถือองค์นั้นๆ

    พยายามเเผ่เมตตาเวลาเข้าไปหลุมดำ หรือ มิติไหนที่เราไม่เเน่ใจเเละรู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่มีเหตุผล

    จงเชื่อสัญชาตญาณตัวเองนะคะ ความหวาดกลัวของจิตเรา

    คือ มิติที่จิตวิญญาณเหล่านั้นกำลังหลงทางหาทางออกไม่เจอจากภพภูมิที่เขาอยู่เเละเป็น

    เช่น ภพภูมิมนุษย์หลังความตาย ที่มีผี เเละ ปีศาจ วิญญาณที่ไม่รู้ว่าเขาเสียชีวิตเเล้ว

    ความกลัว คือ การสื่อสารผ่านร่างกายของผู้มีประสาทสัมผัสที่หก

    ที่สำคัญอย่าลืมอุทิศส่วนกุศลเวลาเจอฝันร้าย (เจ้ากรรมนายเวรของเราเขามาทวงหนี้)

    ยิ่งเเผ่เมตตาให้เขาบุญเรายิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆเหมือนการต่อบุญเพิ่มบุญนั้นเองค่ะ

    ถ้าเขาได้รับบุญเเล้ว เราจะรู้สึกมีความสุข อิ่มเอมใจ เเละจะฝันดีเเทน เช่นฝันเห็นเทพยาดา นางฟ้า ของสวยๆงามๆ

    ตรงกันข้ามกับเวลาที่เจ้ากรรมนายเวรมาทวงหนี้ค่ะ

    ถ้าไม่เเน่ใจอะไร หรือ ลงไปในที่เราเริ่มกลัวไม่ว่าจะในโลก หรือ ในฝัน

    ก็ภาวนา พุทโธ ก่อนเลย เพราะ พุทโธ สั้นๆเเต่อานิสงค์เหลือประมาณ

    มีพุทโธเป็นที่พึ่ง มีพุทโธนำทาง การบริกรรมพุทโธ คือ การระลึกถึงพระพุทธองค์อยู่กับเราตลอดเวลา

    ปลอดภัยทั้งกาย ปลอดภัยทั้งจิตเเน่นอนค่ะ

    เวลาที่ฝันมีสติ ก็เหมือนกับการมีชีวิตอยู่ในมิติเเห่งจิตวิญญาณ อยากรู้อะไรก็ถามเลย

    ส่วนคำตอบจะเป็นอะไร ก็ตั้งใจฟังเเล้วจำให้ได้ เตรียมสมุดบันทึกไว้ข้างที่นอน ตื่นมาจะได้จดบันทึกได้ทันที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มกราคม 2011
  10. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ที่สำคัญอย่าลืมว่า ร่างกายของเราเป็น ยานพาหนะของจิตวิญญาณ

    ถ้าเราไม่มีเรา เราจะมองเห็นการเกิดดับของจิตต่างๆมากมายทั้งวันทั้งคืน

    เเต่ถ้าน้องเป็นตัวน้อง เเละคิดควบคุมตัวเองตลอด 24 ชั่วโมง

    น้องก็จะมองไม่เห็นการทำงานของจิตวิญญาณ

    คนที่มีสัมผัสที่หก คือ ผู้สังเกตจิต (ความคิดเเละจินตนาการ) สังเกตร่างกายเคลื่อนไหว

    จริงๆเเล้วพวกเรา ไม่ใช่ทั้ง จิตเเละร่างกาย

    พวกเรามีหน้าที่ในการดูความคิดเเละร่างกายกำลังทำงาน หรือว่า สิงเราทั้งชีวิตนั้นเอง

    ตอนนี้น้องเเยกได้เเล้ว จิตกับร่างกายของน้องก็เลยกำลังป่วนน้องให้กลับมาคุมร่างกายเหมือนเมื่อก่อนก็เเค่นั้นเอง

    คนที่เเยกจิตได้เเล้ว จะโดนการทดสอบหนักกว่าคนที่ยังมีอัตตา(จิตวิญญาณเดียว)

    เมื่อเราไม่คุม เราไม่คิด อะไรๆก็เป็นอิสระ ที่นี้ทั้งดีเเละชั่ว (จิต/ความคิด) พาไปไหนก็ตั้งใจดูละกันนะคะ

    เช่น หันไปพูดกับต้นไม้ หรือ เดินไปในที่เราไม่รู้ทาง หรือ กินเจ เวลาได้กลิ่นเนื้อสัตว์ก็อาเจียน

    อะไรก็ได้ที่น้องไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไปทำไม

    พฤติกรรมเเปลกๆเเบบนี้ เรียกว่า การตื่นรู้ของจิต การสัมผัสด้วยจิต จะมองเห็นด้วยใจ

    เพราะฉะนั้น พูดอะไร ได้ยินอะไร ก็สักเเต่ว่ารู้เห็น คนที่พัฒนาเร็ว คือ พวกไม่สงสัยดูจริงๆ ดูเฉยๆ ดูนิ่งๆ

    เดี๋ยวจิตอยากรู้ก็ทุรนทรายหาคำตอบมาประเคนให้เองค่ะ

    คนน้อยคนจะทำเเบบน้องได้ เเต่น้องทำได้ด้วยความไม่รู้ เพราะการเปิดใจ

    ขอเป็นกำลังใจให้......ท่องไว้ว่า จงตั้งใจอดทนในการดู เเละจงอดทนการพฤติกรรมที่เเปลกไปของเรา

    พวกเราไม่มีตัวตนมาตั้งเเต่ต้นเเละไม่มีวันที่เราจะเป็น

    ไม่ต้องสนใจคนรอบรอบข้างว่าเขาคิดอะไรกับเรา

    จงเชื่อมั่นในสิ่งที่เราเป็นว่าเป็นสิ่งที่ดี จงยอมรับตัวเอง ทำความเข้าใจกับตัวเองโดยปราศจากอคติ

    ถ้าเราเชื่อมั่นในตัวเรามากเท่าไร จิตของเราจะพัฒนาเร็วมากขึ้นเท่านั้น

    เเละเมื่อไรที่น้องเข้าใจตัวเองเเล้ว อนาคตน้องก็จะสามารถอธิบายคำตอบให้กับคนอื่นฟังได้เอง

    เหมือนกับการเล่นละครประวัิติศาสตร์ของตัวเองตั้งเเต่เกิดจนโต

    ประสบการณ์ทางจิตวิญญาณก่อนที่จะเล่าให้ใครฟังได้ต้องเริ่มจากตัวเราเข้าใจตัวเองเเละยอมรับการเปลี่ยนเเปลงด้วยดีค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มกราคม 2011
  11. kony

    kony Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +57
    อาการคล้าย ๆ กัน ชอบออกไปเที่ยวเล่น แต่ของผมไม่เห็นจะมีประตูอย่างที่ว่า จิตอยากไปไหนก็ไป เป็นเช่นนั้นเลย ส่วนใหญ่เป็นการไปเที่ยวโดยการชักนำไป เช่นไปเที่ยววัด วาอาราม บางทีเราก็ไปยังโลกคู่ขนาน ไปพบกับตัวเองในอีกเวลา เหมือนเป็นการท่องภพเวลา แล้วเราจะรู้สึกตัวว่าเหตุการณ์นี้เคยผ่านมาแล้ว หรือที่ฝรั่งเรียก dejawoo บางทีที่คุณได้ไปนั้นอาจจะเกิดจากจินตนาการของคุณก็ได้ เช่นอยากจะไปอยู่ในโลกนิยายเรื่องนั้นเรื่องนี้ คุณก็สามารถไปได้ ตามความอยากชั่วขณะจิตก่อนจะหลับ การเห็นบุคคลที่เป็นเพศตรงข้ามอย่างอั้ม อย่างปู เข้าไปอยู่ในฝันด้วยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เป็นความอยากของจิตใต้สำนึกของเราที่สร้างจินตภาพให้เกิดขึ้น อย่างการมีเพศสัมพันธ์กัน ของบุคคลที่เราชอบ เราปรารถนา อยากได้ แนวเชิงวิทยาศาสตร์เช่นการฝันเปียกของผู้ชายไวกำหนัดทุกคน ส่วนอาการป่วยของคุณ คุณลองเข้าวัดไปทำบุญสังฆทาน แล้วอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของคุณซะบ้าง ถ้าจะให้ดี นั่งสมาธิแล้วอุทิศส่วนกุศลให้เขาด้วย ฝึกจิตให้เข้มแข็งเมื่อ จิตดีร่างกายก็จะดีตาม เรื่องการปวดท้องคุณเคยไปทำไรไว้กับผู้หญิงหรือเปล่า ถ้าใช่ก็ไปขอเข้ากรรมฐานกับครูบาอาจารย์ซะ จะได้ลดแรงจากหนักเป็นเบา และจะได้ลดอาการฟุ้งซ่านของจิตจากการชักนำจากบางสิ่งให้ลดน้อยลง อาการจิตตกของคุณอาจจะได้ดีขึ้นบ้าง เงาดำในห้องก็จะได้หายไป ถ้าเป็นสิ่งดีเขาจะไม่มาในลักษณะเงาดำดำละนะ
    ดี - ชั่ว ขาว - ดำ เป็นของคู่กัน
    เรื่องหลุดไปอยู่ในนิยายผมก็เป็นเหมือนกัน อ่านนิยายแล้วก็ไปฝันอยู่บ่อยๆ เรียกว่าการฟุ้งซ่านของจิต เดี๋ยวนี้ไม่เป็นแล้ว ฝึกสมาธิ กำหนดรู้บ่อยๆ ก็จะหาย อ่านแล้วก็ปล่อย เวลาฝันก็จะไม่หลุดไปอยู่ในนิยาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มกราคม 2011
  12. sakchai2001

    sakchai2001 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2011
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +7
    ผมมีอาการแปลกหลังที่ได้เจอเหตุการณ์นี้อย่างที่พี่พี่สันโดษว่าจริงๆ ครับ เหล้าใส่แก้ววางข้างหน้ากลับไม่กิน เห็นผู้หญิงน่ารักๆแต่งตัว ยั่วยวนผมรู้สึกเฉยๆ(แต่ผมไม่ได้ชอบผู้ชายนะครับ) เห็นคนนั่งกินเหล้ากันเห็นแล้วเกิดเวทนา อยากให้คนเหล่านี้รู้ว่ามีอะไรที่มันมีความสุขกว่านั่งสังสรรคฟังเพลง ทำไมต้องให้ดอกไม้กันในร้านเหล้า ทำไมถึงอยากลุกไปบอกอะไรที่จิตใจเราเข้าใจกะเค้า เจออะไรก้อเกิดคำถามขึ้นในใจ ต่อมาก้อนึกเป็นเหตุผลว่าให้ทำไมเพื่ออะไร แล้วก้อคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะได้ความรักจากผู้หญิงจริงหรอ พอเห็นผู้หญิงเขิลอาย จิตผมก้อคิดว่าเธอเข้าใจผิดแล้วล่ะ จากหลายเหตุผลที่ผุดขึ้นในใจ จิตผมแย้งการกระทำนั้นแบบ ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมเจออะไรเดียวนี้ผมใช้จิตคิดแทนสมอง ผมคิดว่าจิตฉลาดกว่าสมอง อะไรคือความอยากรู้มากมายของผม อย่างที่พี่ว่าผมก้อทำแบบที่พี่สอนคับผมสังเกตผมได้ จิ๊กซอว์ มาต่อทีละชิ้น เริ่มเข้าใจเรื่องบางเรื่อง ยิ่งผมค้นหาสงสัยคำตอบหาไม่เจอ แต่เมื่องผมนิ่งคำตอบมาประเคนถึงที่ บางเรื่องก้อเป็นพรมลิขิต คือเพื่อนของผมที่มีพลังรักษาที่อยู่ด้วยกันละนอนไม่หลับเค้าก้อพลอยหลุดไปด้วยกะผมเวลาผมไปนอนห้องเค้า แต่เค้าไปได้ไม่ไกลเท่าผม เค้าไปได้ประมานไม่เกิน 1-1.5 กิโลเมตร พอผมนอนกะเค้าเหมือนถอดจิตได้ไม่100%คับ ในฝันก้อจำได้นิดเดียว เหมือนเราไปทำภาระกิจอะไรด้วยกัน ละเหมือนผมจะเจบตัวแทนเพื่อนผม ตื่นมาผมแทบขาดใจตายคับ แต่เค้าบอกเวลาที่นอนหมอนที่ผมนอน เค้าหลุดไปเรื่อยๆเรยครับ


    ผมมีอาการอย่าที่บอกตรงกะที่พี่บอกเรยครับคือ เหมือนเวลาขี่มอเตอร์ไซมันก้อไปตามสัญชาตญาน ล่องลอย....ตอนนั้นตามหาเหตุผลครับว่าเราเป็นใคร เกิดอะไรขึ้น สับสนไปหมด อยู่ดี ดีร้องไห้

    ขอบคุนพี่ที่บอกว่าไม่ต้องสนใจใคร ครับ

    ***ณ ตอนนี้ผมสบายขึ้นละครับ อะไรจะเกิดก้อต้อง เกิด แต่ผมก้อยังละความสงสัยไม่ได้เหมือนเดิม ผมจะรอเฝ้าดูคำตอบคับ จะต่อรูปนี้ให้เสร็จให้ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2011
  13. O๐.AnGle.๐O

    O๐.AnGle.๐O เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    974
    ค่าพลัง:
    +861
    อ่านไม่จบ อ่ะ ยาว

    แนะนำให้ไปหา หมอ นะ ^
     
  14. sakchai2001

    sakchai2001 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2011
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +7

    ผมไม่ได้บ้า ไปหาหมอทำไมอะพี่
    ผม เริ่มเข้าใจทีละอย่างละครับ ถ้าพี่ชอบวิทยาศาสตร์ มันมีจุด ที่มันเชื่อมกันอะพี่ ลองนั่งสมาธิดูครับ หรือจะนอนดูแบบผมก้อได้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2011
  15. sakchai2001

    sakchai2001 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2011
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +7
    ผมไม่รู้จักพี่ ผมไม่รู้ว่าพี่เป็นใคร แต่พี่อธิบายช่วยผมมากเรย พี่ดีกับผมจัง ผมขอบคุณพี่มากเรยครับที่สละเวลานั่งพิมพให้ผม ขอบคุณที่เชื่อผม ขอบคุณที่แนะนำผมครับ ถ้าไม่เจอพี่ผมจะทำยังไงต่อก็ไม่รู้ ถ้าผมจะค่อยๆต่อจิ๊กซอว์ทีละชิ้น ที่พี่ให้ผมเข้าถึงสัจธรรมสิ่งใด ขอให้ผลบุญนั้นตกอยู่กับพี่ด้วยครับผม ก่อนหน้านี้ผมรู้สึกโดดเดี่ยว แปลกประหลาด สับสน หลงทาง เป็นบ้าในสายตาเพื่อนๆ ค้นหาคำตอบ...ต่อมอยากรู้ทำงานหนัก ต้องการเข้าใจทุกอย่าง พี่ช่วยผมได้เยอะเรยครับ ผมรู้สึกเหมือนพี่เป็นเดกมหาวิทยาลัยผมเป็นเดกอนุบาล ที่บังเอิญถอดกายทิพย์ ได้ ขอบคุณความรู้จากพี่นะครับ ศีล5 ผมติดข้อเดียว กะลังแก้ไขคับ ข้อพูดโกหก ครับ แค่เรื่องเดี่ยวครับ...นอกนั้นทำได้หมดครับ
    ตอนแรกผมกลัวว่าฝึกต่อละจะเห็นสิ่งที่ผมไม่ต้องการเห็น แต่ผมคิดว่าผมจะไม่เห็นสิ่งนั้นถ้าผมไม่ออกจากกายหยาบ สรุปผมจะฝึกต่อครับ จะเจออะไรมันก็ต้องได้เจอ ผมจะฝึกควบคุมมันจะไปอย่างใจปรารถนาให้ได้ครับ ถ้าถึงระดับสูงหมดสิ้นหนทางผมจะมาหาพี่ใหม่ครับ...ขอบคุณครับ
    Facebook ผมครับ Magictong phetcharat... ถ้าพี่แอดมาผมจะขอบคุณมากเรยครับ ไม่แอดผมก็ขอบคุณเช่นกันครับ ขอบคุณครับพี่สันโดษ

    ผมก้อไม่รู้ว่าผมถึงขั้นไหน แต่ผมใช้จิตคิดแทนสมอง ผมคิดว่าจิตมันฉลาดกว่าสมอง ในฝันผมเห็นคนมาเม้นคนแรกให้ผมบรรทัดเดียว <---มีอะไรแปลกๆโผล่มากอีกละครับ สนุกดีเหมือนกัน จะเจออะไรอีกนะ ขอพี่อยู่ดูเป็นกำลังใจนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2011
  16. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    อยากจะขอเล่าแบบ "ไม่ใช่ผู้รู้" นะคะ ^^

    mamboo เคยเป็นเหมือนคุณ Sakchai เด๊ะ!! >< และก็มีพี่อีกคนหนึ่ง ก็เป็นแบบพวกเราเหมือนกัน...

    จะไม่เล่ายาวนะคะ เนื่องจากไม่ใช่ผู้รู้ .. แต่ที่จะเล่า เพราะก็เคยเป็นเหมือนกัน

    ที่คุณเห็น จุดสว่างขาวๆแล้วมันขยายมากลืนคุณอ่ะ .. จริงๆมันก็คือ อันเดียวกันกับหลุมดำอ่ะแหละค่ะ ^^

    ก่อนที่เราจะเห็นจุดสว่างขาวๆ มันคือหลุมดำก่อน(แต่บางครั้งที่คุณไม่เห็นท่อดำๆ คุณไปที่แสงขาวๆเลย เพราะมันเร็ว .. คำว่า "เร็ว" ในที่นี้ ยังไม่อธิบายนะคะ เด๋วยาว)

    แล้วที่คุณเห็นทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการลอยตัวในอากาศ หรือเหตุการณ์ต่างๆ จะบอกให้เลยว่า .. มันเป็น ลักษณะเดียวกับ "ความฝัน" ค่ะ ^^ ลักษณะเดียวกันเลย เพียงแต่ก่อนที่จะฝัน เรามีสติรู้ตัวว่า เรากำลังนอนอยู่ และเราเห็นจุดสว่างขาวๆ

    แล้วไอ้ที่บอกว่า โลกมันกลับหัว มันปลิ้นมาอีกที mamboo เข้าใจทุกอย่างที่คุณพูดเลย เพราะเป็นมาหมดแล้ว..

    สาเหตุนะคะ .. ของอาการแบบนี้คือ .. ร่างกายของคุณ อ่อนเพลีย มาก.. แต่ .. จิตใจของคุณ มีความกระตือรือร้น(เล่าสั้นๆก่อน ไว้ค่อยจะมายาวๆต่ออีก อิอิ ^^)

    ส่วนเรื่องที่ เข้าไปในแสงขาวๆแล้ว .. ถ้าคุณไม่ได้กำหนด ไม่ได้ตั้งจิตให้เปลี่ยนฉาก หรือตั้งเป้าว่าจะไปที่ไหน มันก็จะไปมั่วๆ และสร้างโลกแห่งความฝันขึ้นมามั่วๆ

    ที่จริงเรียกว่าโลกแห่งความฝันก็ไม่ถูกซะทีเดียวหรอกค่ะ แต่ไม่รู้จะเรียกอะไรดี อิอิ ^^

    จิตของคุณออกจากร่าง ตั้งแต่ที่คุณยังไม่หลับ .. แต่คุณไม่ได้จอจ่อไปที่โลกทางกายภาพ มันจึงไปสร้างเป็นโลกแห่งการสร้างสรรค์ ตามข้อมูลความรู้สึกที่บรรจุอยู่ภายในจิตวิญญาณ(ต่างจากความฝันนะ เพราะความฝัน เราจะไม่รู้ตัวว่า จิตของเราออกจากร่างแล้ว เราจะลืมตัวว่า ร่างจริงๆเรากำลังนอน)

    คราวหน้าถ้าเป็นอีกนะคะ ^^

    มันก็มีอะไรให้เล่นหลายอย่าง(แล้วแต่กำลังของสติสัมปชัญญะ) เช่น.. ก่อนที่จะเข้าไปในแสงขาว คุณกำหนดจิตไปที่ๆคุณอยากจะไป ถ้ากำลังของสติไม่แข็งพอ การจดจ่อไม่พอ มันก็จะไปมั่วอีกนะ ><

    หรือถ้าคุณจะไม่ไปที่ไหนเลย .. ให้ถอยออกมาจากจุดขาวๆนั้น.. แต่อย่าเพิ่งตื่นรู้ตัว

    พอถอยออกมาจากจุดขาวๆ คุณจะมาอยู่ที่ อุโมงค์ดำๆหมุนๆ(ที่คุณเรียกว่า หลุมดำอ่ะแหละ)

    แล้วที่หลุมดำ คุณก็คิดเอาว่า จะทำอะไร อย่าเพิ่งลืมตา อย่าเพิ่งออกจากภาวนะนี้ ลองลุกขึ้นยืนดูนะ มันจะหนักตัวหน่อย ถ้ายืนได้แสดงว่า .. กายทิพย์เรา ออกจากร่างมาสู่โลกทางกายภาพ .. แต่ถ้าเราเข้าไปในจุดขาวๆ มันจะเป็นโลกความฝัน .. ^^
     
  17. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    จะขอเล่าอีกหน่อยได้ไหมคะ ^^ ไม่รู้ว่า อยากจะฟังไหม .. เนื่องจากว่า mamboo มีประสบการณ์พวกนี้เยอะ แล้ว mamboo ก็ชอบศึกษาเรื่องพวกนี้ด้วย ว่า.. มันคืออะไร และเป็นเพราะอะไร ?? ><
     
  18. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    mamboo ไม่ใช่ผู้รู้นะคะ.. แต่จากประสบการณ์และการศึกษาเรื่องของจิตวิญญาณและร่างกายเนื้อหนังนี้.. mamboo ก็พอจะมองเห็นอะไร.. บางอย่าง ..

    ----

    อาการที่คุณ sakchai2001 เป็น .. กับเวลาที่เราอยู่ในโลกความฝัน .. กับเวลาที่เราถอดจิต และ.. อื่นๆอีกมากมาย ฯลฯ .. มันจะเป็นคนละแบบ แต่คล้ายๆกัน ..

    ร่างกายนี้.. มีจิตวิญญาณสิงอยู่ .. และทุกๆครั้งที่พวกเรา "หลับ" จิตวิญญาณก็จะออกไปโลดแล่นในโลกแห่งความฝัน ตามระดับของ สติสัมปชัญญะ .. ถ้าสติสัมปชัญญะน้อยๆ ส่วนมาก โลกความฝันจะเป็นไปตามข้อมูลที่บรรจุอยู่ในจิตใต้สำนึก..

    ความฝัน มีทั้ง มั่วซั่ว และ จริงใจ .. แล้วแต่ระดับของสติสัมปชัญญะในขณะที่ฝัน..

    จากการศึกษาของ mamboo และประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ..

    mamboo ได้รู้ว่า.. ตั้งแต่ เสี้ยววินาทีแรก ที่เราเริ่ม "หลับ" .. สติมันจะค่อยๆหายไป..

    คนเราเวลาเหนื่อยๆ ง่วงนอน จะปล่อยให้ความคิดและร่างกาย ล่องลอยไป สติก็เริ่มหายไป

    ตอนแรก มันจะยังเป็น background สีดำๆ(ของเปลือกตา) แต่มีภาพต่างๆลอยขึ้นมา เหมือนเรากำลังดูหนัง ดูภาพยนต์

    พอสติเริ่มหายแวบๆๆๆๆ มันก็จะดูดความรู้สึกจากร่างกายเนื้อหนังเราไปหมดเลย ไล่มาตั้งแต่ เท้า ขึ้นมาข้างบนเรื่อยๆ จนมาสุดอยู่ที่ จุดกึ่งกลางระหว่างคิ้ว

    แล้วเราก็จะโดนดูดเข้าในโลกของความฝัน

    ถ้าเราไม่ยอมให้โลกความฝันดูดเราเข้าไป.. เราลองชะงักอยู่ที่ ภาวะที่จิตเคลิ้มออกจากร่างแล้ว ... ถ้าเราสามารถมีสติในภาวะนี้ได้.. นั่นคือ กายทิพย์เรา กำลังผสาน(แบบไม่แนบสนิท)อยู่กับกายเนื้อ..

    คนเราเวลาเข้าไปในความฝัน จะไม่ค่อยมีสติ สติจะเริ่มๆหายตั้งแต่ตอนที่เริ่มๆเคลิ้มหลับ

    จากการศึกษาเรื่องนี้ mamboo พบว่า.. พวกเรามักจะจำความฝันได้เฉพาะเวลาที่ใกล้จะตื่น .. เพราะสมองส่วนที่ทำหน้าที่ในการจดจำ มันเริ่มจะกลับมาทำงาน และร่างกายส่วนต่างๆ ก็เริ่มกลับมาทำงานควบคู่ไปกับจิตวิญญาณ

    --------

    ส่วนเรื่องที่เห็นหลุมดำนั้น .. ถ้าเราไปแบบเร็วๆ มันจะลัดขั้นตอนของหลุมดำและจุดสว่างขาวๆไปเลย

    mamboo เคยหลับตาปุ๊บ ก็เข้าไปในความฝันปั๊บเลยก็มี ... เพราะมันไปเร็ว.. แต่ถ้ามันช้า .. ถ้าเรามีสตินิ่งๆ ค่อยๆไป.. มันก็จะเริ่มจาก .. หลุมดำหมุนติ้วๆ ถ้าเราเพ่งไปที่ปลายหลุมดำ ความรู้สึกที่อยู่กับร่างกายเนื้อหนัง จะเริ่มหายไป ไล่มาจากเท้า ..

    แล้วถ้าเราเพ่งไปที่จุดสว่างขาวๆที่ปลายหลุมดำ จุดนั้นจะขยายใหญ่ขึ้น และจะดูดเราเข้าไป

    เราจะยอมให้จุดนั้นดูดเราหรือไม่ก็ได้ แล้วแต่เรา(ที่พูดได้ เพราะ mamboo เคยเป็นมาแล้ว)

    อาการเช่นนี้ ส่วนมากจะเกิดกับคนที่.. ชอบคิดชอบทำอะไร จดจ่อๆในชีวิตประจำวัน และเป็นคนที่ คิดเยอะ มีเรื่องให้กังวลใจอยู่ตลอดเวลา

    ประมาณว่า .. จะนอนก็ไม่อยากนอน .. เพราะมันยังมีเรื่องที่ต้องทำ ต้องคิด

    แต่ร่างกาย มันอ่อนเพลีย มันไม่ไหวจะเคลียร์แล้ว ><

    ดังนั้น.. เราจึงเข้าไปในหลุมดำ โดยที่เรายังมีสติรู้ตัวว่า ร่างของเรา กำลังนอนอยู่ ><

    -----

    เรื่องนี้ สามารถอธิบายเรื่อง อาการของ "ผีอำ" ได้ด้วย (mamboo เคยเป็นมาหมดแล้ว เลยกล้าพูด)

    ผีอำ คือลักษณะที่ จิตไม่ประสานกับกาย .. สติของเรามันตื่นรู้แล้ว บางคนจะลืมตาได้ ขยับร่างกายส่วนอื่นๆไม่ได้ บางคนลืมตาก็ไม่ได้ แต่ได้ยินเสียง บางคนจะขยับร่างกายบางส่วนได้ แต่ขยับไม่ได้ทั้งหมด

    ที่เป็นเช่นนั้นเพราะ ร่างกายของคุณ กำลังต้องการการพักผ่อน(จากที่คุณหักโหมกับการใช้แรงมาทั้งวัน หรือหลายวัน ติดกัน นอนน้อย)

    ร่างกายกับจิต ไม่ผสานกัน .. มันเข้าล็อคกันแค่บางส่วน แต่ไม่ทั้งหมด .. แล้วที่ส่วนมากเราจะลืมตาได้ .. ก็เพราะว่า .. จุดเชื่อมต่อสุดท้ายของจิต อยู่ที่กึ่งกลางระหว่างคิ้ว ดังนั้น ส่วนที่มี percent ที่จะยังขยับได้ จึงเป็นแถวๆหัว เช่น ลืมตาได้ ได้ยินเสียง

    แต่ก็แล้วแต่คน บางคนจิตอาจจะเชื่อมไปที่ปลายนิ้วแล้ว แต่ส่วนอื่นของร่างกาย ยังผสานไม่แนบสนิท

    ------

    อาการผีอำนี้.. ถ้าใครฝืนขยับร่างกายแบบ แรงๆ(แบบสะบัดแรงๆทั้งตัว) บางคน กายทิพย์เด้งออกจากร่างก็มี .. (ส่วนมาก mamboo จะใช้วิธีขยับปลายนิ้วค่ะ พอขยับปลายนิ้วได้ ส่วนอื่นก็จะขยับได้หมด)

    ก่อนที่จะขยับปลายนิ้ว ต้องตั้งสติก่อน.. อย่าหายใจแรง (เวลาผีอำ บางคนหัวใจเต้นเร็วด้วย) ทำจิตให้นิ่งๆ จับลมหายใจเข้าออก พุทธ-โธ แล้วใช้สติ ทำให้ปลายนิ้วขยับ .. แค่นี้ก็ได้แล้วค่ะ ^^

    บางคนขยับได้แล้ว เป็นอีกก็มี ติดกัน ก็ทำแบบเดิม เด๋วก็หาย

    ---------

    ส่วนเรื่องที่ ทำไมเวลาเกิดอาการผีอำ ถึงได้ "เห็นผี" หรือ เห็นอะไรแปลกๆ ได้ยินเสียงแปลก ได้ยินนู่นนี่ เหมือนดังมาจากในหู เห็นวิญญาณอยู่ในห้องนอน..

    mamboo จะบอกว่า .. เวลาที่เราเกิดอาการผีอำ .. จิตวิญญาณของเรา ยังไม่ประสานกับร่างกายอย่างแนบสนิท เพราะฉะนั้น .. การทำงานของจิต(นอกร่างกาย) มันก็ยังคงทำงานอยู่

    แต่ก็แล้วแต่สถานการณ์ของใครของมันนะคะ

    (ที่ mamboo กล้าพูด เพราะเป็นบ่อย และเห็นมาหมดแล้ว)

    มันจะเป็นภาพของ คนอื่นๆ มาซ้อนกับโลกของความเป็นจริง

    ขณะที่จิตเรา สร้างโลกความฝัน จิตเราไม่ได้ทำงานร่วมกับร่างกายแล้ว แต่ในฝัน เราเดินไปจับโต๊ะ เราได้กลิ่น เราเจ็บ เรามองเห็น ได้เหมือนอย่างที่เราเป็นในโลกทางกายภาพ

    แต่พอเราตื่น จิตกลับเข้าร่าง จิตจะทำงานร่วมกับ ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของร่างกาย ทำให้เรามองไม่เห็นมิติอื่นๆ

    แต่ในขณะที่เราโดนผีอำ หรือเข้าอุโมงค์ดำๆ หรืออะไรก็ตามที่อยู่ในภาวะที่จิตกับกายยังไม่ประสานกันดี .. จิตก็ยังคง มีพลังที่จะ สร้างภาพ หรือบางทีอาจไม่ได้สร้างภาพ แต่เห็นสิ่งต่างๆที่อยู่อีกมิติหนึ่ง ได้ยินสิ่งต่างๆที่อยู่อีกมิติหนึ่ง หรือบางที อาจจะสร้างภาพ(สร้างมั่วๆ หรือสร้างจากจิตใต้สำนึก) ขึ้นมาซ้อนกับโลกความเป็นจริงเลยก็มี

    -------

    ส่วนเรื่องการนั่งสมาธิถอดจิตนี้.. จะคล้ายๆกับคนที่เจอหลุมดำ.. การนั่งสมาธิ คือการมีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา .. จะไม่เหมือนเวลาที่เราฝัน

    การทำสมาธิ คือการจับจิตไว้ที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย .. พอจิตเคลื่อนออกจากร่างกายแล้ว จิตก็ไม่ได้ไปสร้างโลกแห่งความฝัน หรือไปสร้างโลกอะไร เพราะคนที่ทำสมาธิ จะเอาจิตไว้กับตัว ไม่ให้ปล่อยไปไหน

    แล้วถ้าคนที่ทำสมาธิจนจิตเคลื่อนออกจากกายแล้ว .. ถ้าไม่ไปตามแสงขาวหรือไปอีกโลกหนึ่ง .. แต่ลุกออกจากปัจจุบัน(จากท่านั่งสมาธิ) ก็จะกลายเป็น ร่างทิพย์ ที่อยู่ในโลกทางกายภาพ(โลกสีน้ำเงิน) นี้แหละค่ะ ^^

    คนที่นั่งสมาธิแล้วถอดจิตได้ จึงไปได้ทั้งโลกทางกายภาพ และ โลกอื่นๆ .. เพราะมีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา (ไปอย่างช้าๆ ไม่ลัดวงจร)

    -------

    และนี่คือ สิ่งที่ mamboo ได้เจอมากับตัวเอง และ mamboo ชอบศึกษาเรื่อง จิตวิญญาณ และความเป็นจริง ของสรรพสิ่ง ในเอกภพ ค่ะ ^_^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2011
  19. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    ที่คุณ sakchai2001 พยายามปฏิเสธว่า ไม่ใช่ความฝัน เพราะ.. คุณมีสติในระหว่างที่เกิดเรื่องราวเหล่านี้...

    จริงๆแล้ว ความฝัน มันก็คือ โลกความเป็นจริงโลกหนึ่ง .. ที่อยู่นอกเหนือการรับรู้โดยประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของมนุษย์

    เอกภพนี้มีอะไรซับซ้อนนะคะ ^^

    ประโยชน์จากการเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับคุณ .. mamboo ว่า อย่างน้อยก็ทำให้คุณได้รู้เห็นว่า .. โลกวิญญาณ .. โลกหลากมิติ ที่ไม่กินเนื้อที่ ไม่กินระยะทาง ไม่ขึ้นกับเวลา มันมีอยู่จริงๆนะคะ

    และถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับคุณ sakchai2001อีก(จริงๆ คุณเป็นน้องเรานะ อิอิ ^^ แต่เรียกคุณๆนี่แหละ ง่ายดี)

    ให้คุณ กำหนดจิตไปเลย.. คุณอยากไปที่ไหน.. ถ้าเป็น mamboo นะ mamboo จะกำหนดจิตไปเที่ยว Galaxy ทางช้างเผือก..

    แต่มันจะแล้วแต่ ความเข้มของสติสัมปชัญญะในตอนนั้นนะคะ .. ถ้าสติของคุณยังไม่คมเข้มพอ ต่อให้คุณตั้งจิตว่า จะไปเที่ยว ทางช้างเผือก มันก็จะเป็น ทางช้างเผือกที่จิตของคุณ สร้างขึ้นมาเอง

    แต่ถ้าอยากไปเจอ ของจริง .. ก็ต้องตั้งสติให้มั่นๆ และควบคุมได้ ..

    ควบคุมได้ ก็อย่างเช่น คุณสามารถควบคุมภาวะนั้นได้ว่า.. จะยังให้จิตวิญญาณอยู่กับร่างกายทุกส่วน.. หรือจะเริ่มปล่อยไปที่หลุมดำ . หรือจะเริ่มเข้าไปในจุดขาวๆ

    ก่อนเข้าไปในจุดขาวๆ ก็กำหนดก่อนว่าจะไปที่ไหน มันก็ไปที่นั่น.. แต่มันจะเป็นของจริงหรือไม่จริง อยู่ที่ระดับความเข้มข้นของสติสัมปชัญญะ ณ ตอนนั้น

    แล้วที่คุณเป็นแบบนี้ mamboo เดาเล่นๆ ก็รู้เลยว่า เป็นเพราะ คุณป่วย เป็นโรคกระเพราะที่คุณว่า..

    ทำไมคุณไม่กินข้าว ?? ><

    มีอะไร ให้ต้องทำ ต้องสะสาง ต้องคิด เยอะแยะเต็มไปหมดใช่ไหมคะ ??? ^^

    เวลาจะนอน รู้สึกว่า มันเสียเวลาใช่ไหม ?? คือ อยากจะทำงานให้มันเสร็จๆ

    ใช้กำลังเกินแรงของร่างกายตัวเอง + บวกกับ คุณกำลังไม่สบายด้วยแหละ .. ก็เลยทำให้ร่างกายอ่อนเพลียได้ง่าย

    -------

    บางคนร่างกายอ่อนเพลีย ต้องการการพักผ่อน แต่เขาก็ไม่ได้เจอหลุมดำก็มีนะคะ เพราะว่า... ตอนที่เขายังไม่หลับนั้น ... เขาไม่ได้ใช้ชีวิตแบบ จดจ่อกับบางสิ่งบางอย่าง การตื่นรู้ของสติ ยังไม่เข้มข้นและจริงจัง ดังนั้น เวลาหลับ จึงหลับปกติ ... คือค่อยๆหลับ สติจะค่อยๆเลือนหายไป จิตออกจากกาย แล้วไปสร้างเป็นโลกความฝัน แล้วก็ควบคุมความฝันไม่ได้ เพราะไม่รู้ตัวว่าฝัน

    แต่สำหรับคนที่ ใช้ชีวิตแบบจดจ่อกับบางสิ่งบางอย่าง หรืออาจจะหลายอย่าง และเป็นคนที่ตื่นรู้อยู่ตลอดเวลา .. มีสติรู้ตัวตลอดเวลา และไม่อยากจะนอนเพราะ อยากจะทำอย่างอื่นมากกว่า .. แต่ที่ยอมนอน เพราะมันเหนื่อย --'

    คนแบบที่ว่านี้.. มักจะมีอาการ "ผีอำ" หรือ เห็นอุโมงค์ดำๆ เพราะมีสติรู้ตัวตอนที่ จิตกำลังจะออกจากร่างกาย

    การควบคุมโลกที่จิตสร้างขึ้น จะเป็นไปกึ่งๆว่า ได้บ้างไม่ได้บ้าง

    -------

    พวกเราทุกคน 1 วันมี 24 ชม. จิตของเรา ออกจากร่างกาย ทุกวันนะคะ ^_^ แต่อยู่ที่ว่า คุณจะมีสติรู้ตัวไหม ตอนที่มันออกไป แค่นั้นเอง อิอิ ^^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2011
  20. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    ลืมบอกอีกอย่างหนึ่ง

    ถ้าคุณเป็นแบบนี้อีก พยายามรวบรวมกำลัง ตั้งจิตให้มั่น และจดจ่อ .. พยายามควบคุมภาวะต่างๆให้ได้

    แล้วคุณลองไปเยือน โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ สิ่คะ ^^

    ลองไปดู อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต ของตัวเอง

    อดีตชาติ อนาคตชาติ ไปดูวงเวียนของกฎวัฏสงสาร

    ลองไปดูนอกโลกสิ่ ... แต่ถ้าดูแบบจิตใต้สำนึก(ถ้าใช้จิตสำนึก หรือจิตใต้สำนึกดู จะยังมองเห็นเป็นโครงสร้าง 3 มิติ)

    ในห้วงอวกาศ เต็มไปด้วย มิติที่ทับซ้อนมากมาย เราจะไปที่ไหน แห่งไหนก็ได้ กำหนดจิตไป

    ที่พวกนักวิทยาศาสตร์มองเห็นด้วยตาเปล่า หรือเอากล้องไปส่อง มันเป็นเพียง เศษเสี้ยวแห่งความจริง

    เราตั้งจิต ทำจิตให้วางไม่มีสิ่งที่ติดจากโลกทางกายภาพมาเจือปน

    พอจิตว่าง จิตก็จะเกิดปัญญา สามารถมองเห็นโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ

    ลองจินตนาการให้ guide นำเที่ยว พาเราท่องภพภูมิต่างๆ

    แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้.. อยู่ที่กำลังของสติสัมปชัญญะนะคะ ถ้ามีมาก ก็ทำได้ เห็นหมด

    แต่ถ้ามีน้อย บางทีมันจะสร้างโลกของเราขึ้นมาเอง ที่ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด

    ลองดูนะ ^^

    สงสัยอะไร ในสิ่งที่ผู้ใหญ่บอกเล่ามา นรก-สวรรค์ ก็ลองไปเยือนให้หมดเลย

    อยากจะเจอใครที่ลาโลกนี้ไปแล้ว ก็ตั้งใจให้มั่น ก็จะได้เจอกัน

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็อย่างที่บอกคือ ทุกสิ่ง ขึ้นอยู่กับ กำลังของสติสัมปชัญญะ นะจ้ะ ^^

    ขอให้โชคดีนะจ้ะ ^^
     

แชร์หน้านี้

Loading...