ประสบการณ์ลี้ลับ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Kingkong1, 5 พฤศจิกายน 2012.

  1. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    สัตว์ให้โชค

    เมื่อหลายปีมาแล้วผมท่องเที่ยวอยู่ทางภาคอีสาน ไปพบคุณตาคนหนึ่งที่สกลนคร แกเล่าว่า นกแต้วแตแว็ด หรือกระแตแต้แว็ด เป็นนกที่ให้โชค ถ้าใครเลี้ยงไว้จะมีทรัพย์สินเงินทองเพิ่มพูน เมื่อมันตายลงก็ให้เอากระดูกห่อด้วยผ้าขาวอย่างดี เก็บไว้ที่หิ้งพระ ก็จะประสบโชคลาภเงินทองไหลมาอยู่ร่ำไป

    ผมฟังแล้วก็แปลก ๆ ดี คนเราเกิดมาเป็นมนุษย์ก็ยังไปเคารพกราบไหว้สัตว์ เชื่อว่าสัตว์จะนำโชคลาภมาให้ สัตว์มันเกิดมาก็หากินไปตามประสา มีภัยสารพัดรอบตัว ยิ่งนกชนิดนี้แล้วยิ่งภัยมาก เพราะจับกิ่งไม้ไม่ได้ ต้องอยู่กับพื้นดิน วางไข่บนพื้นดิน นอนบนพื้นดิน เวลาภัยมาถึงก็บินว่อนอยู่ข้างบน ส่งเสียงแต้แว็ด ๆ ๆ ทำให้เขารู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหน แล้วมันจะอำนวยทรัพย์ได้ยังไง


    ต่อมาผมมาอยู่ปากช่อง ก็มาพบคนทางนี้มีความเชื่ออย่างเดียวกันว่าื นกกระแตแต้แว็ด เป็นนกนำโชค ถ้าหากมันจับกิ่งไม้ก็ให้ตัดเอากิ่งไม้นั้นมาเก็บไว้ในบ้าน จะทำให้มีโชคลาภเนืองนอง ความเชื่อนี้ยิ่งตลกไปกันใหญ่ เพราะนกชนิดนี้ไม่มีความสามารถจับกิ่งไม้ได้เลย คนพิเรนก็เลยแต่งเรื่องหลอกให้เขาหากิ่งไม้ที่นกชนิดนี้จับมาบูชา หลายคนก็เชื่อโดยไม่พิจารณาหาความจริง

    นกแต้วแตแว็ด มีมากที่ปากช่อง แต่ทางภาคเหนือไม่เคยพบเห็น แต่มาอยู่ที่นี่พบเห็นทุกวัน มันบินว่อนร้องแรกแหกกระเฌออยู่ไปมา แล้วโฉบลงหากินอยู่ตามสนามหญ้า หรือพื้นที่ที่มีน้ำขัง เพื่อหาไส้เดือนกิน เขาว่าเวลานอนมันนอนหงายเอาตีนชี้ฟ้า เพราะกลัวฟ้าจะถล่ม ช่างเหมือนคนอีกมากมายในระยะนี้ที่กลัวฟ้าจะถล่มเช่นกัน

    เมื่อคืน เจ้าเหมียวไปตะครุบนกมาตัวหนึ่ง ทีแรกผมนึกว่านกพิลาป เมื่อยึดมาจากไอ้เหมียวดำถึงรู้ว่าเป็นนกแต้วแตแว็ด มันคงไปตะครุบมาจากรังนอนในป่ามะม่วง นกยังไม่ตาย แต่มีเลือดออกตรงต้นขาไหลย้อยมาที่แข้งที่ยาวเก้งก้างของมัน เอายาใส่ให้แล้ว อีกไม่กี่วันก็คงปล่อยได้

    ก็ลองดูว่านกมาอยู่ด้วย ภายใน 1 เดือนนี้จะมีเงิน 10 ล้านเข้ามาหาหรือไม่ ถ้าเข้ามาแล้วจะเรียนให้ทุกท่านทราบ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2012
  2. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    นกกระแตแต้แว้ดชอบหากินตามที่โล่งๆพบได้บ่อยตามท้องนา ทุ่งหญ้า สนามหญ้า ริมห้วย หนอง คลอง แม่น้ำ ป่าละเมาะ โดยจะอยู่กันเป็นฝูงใหญ่นอกฤดูผสมพันธุ์ โดยมีได้ถึง20-30 ตัว แต่ถ้าเป็นช่วงฤดูผสมพันธุ์อาจจะพบว่าอยู่กันเป็นคู่ หรือครอบครัวเล็กๆพ่อแม่ลูก3-4ตัว
    ....อาหารของนกกระแตแต้แว้ดคือ หนอน แมลง ไส้เดือน ที่หาได้ตามพื้นดินโดยจะจิกกินทันทีเมื่อพบเหยื่อ.....
    .....นกกระแตแต้แว้ดเป็นนกที่มีการระวังภัยสูง หวงถิ่นและขี้ระแวง ถ้าเราเข้าใกล้มากเกินไปก็จะส่งเสียงร้องและบินหนีออกไปยังที่ใกล้ๆ บางทีก็บินขึ้นไปวนอยู่บนอากาศพลางร้องแต แต แต้แว้ด แต แต แต้แว้ด มีหลายครั้งที่ไปดูนกที่พุทธมณฑล ขณะที่กำลังย่องเข้าไปหานกชนิดอื่นๆอยู่ นกกระแตแต้แว้ดตาไวมองเห็นก่อนก็เลยร้องเสียงดังออกมาทำให้นกชนิดอื่นบินหนีไ....
    .....ช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายนเป็นช่วงที่นกกระแตแต้แว้ดทำรังวางไข่ ในช่วงนี้นกจะจับคู่และอาจมีการบินผาดโผนและร้องเพื่อเกี้ยวพาราสี นกชนิดนี้ไม่ทำรังเป็นรูปเป็นร่างรังอย่างนกหลายชนิด แต่จะเลือกพื้นดินโล่งๆ (หรือไม่โล่ง แต่คิดว่าเหมาะสม)เข้าสักที่หนึ่ง อาจเป็นที่ที่มีก้อนกรวดเล็กๆ พื้นดินที่มีหญ้า ไม้เลื้อยขึ้นอยู่เล็กน้อย ขุดเป็นแอ่งเล็กๆตื้นๆพอวางไข่และไข่ไม่กลิ้งออกไปนอกรัง หาหินหรือดิน เศษไม้ มาเรียงรอบเป็นขอบรังแล้วเริ่มวางไข่ โดยจะวางครั้งละ 3-4ฟอง เมื่อวางไข่ครบ นกทั้งสองเพศจะสลับกันเข้ากกไข่เป็นเวลา28วัน จากนั้นลูกนกเล็กๆที่ลืมตาได้แล้วและมีขนอุยปกคลุมลำตัวก็จะออกจากไข่ เมื่อลูกนกออกจากไข่ พ่อแม่นกจะคาบเปลือกไข่ไปทิ้งไกลๆเพื่อไม่ให้ศัตรูรู้ตำแหน่งของรัง ลูกนกจะอยู่ในบริเวณรังราว 24 ชั่วโมง จากนั้นก็จะออกเดินตามพ่อและแม่ออกหากินได้ (ที่มา http://www.taklong.com)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 8-1.jpg
      8-1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      71.5 KB
      เปิดดู:
      843
    • 4-2.jpg
      4-2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      90.9 KB
      เปิดดู:
      1,983
    • 2-10.jpg
      2-10.jpg
      ขนาดไฟล์:
      85.9 KB
      เปิดดู:
      1,175
    • DSC_0095.JPG
      DSC_0095.JPG
      ขนาดไฟล์:
      61.2 KB
      เปิดดู:
      368
    • redwattledlapwing6.jpg
      redwattledlapwing6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      44 KB
      เปิดดู:
      1,283
    • 5-6.jpg
      5-6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      73.8 KB
      เปิดดู:
      464
    • 6-5.jpg
      6-5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      92.5 KB
      เปิดดู:
      466
    • 5-5.jpg
      5-5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      56.4 KB
      เปิดดู:
      384
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2012
  3. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    งูหลามปากเป็ด

    ความจริงผมก็รู้มาอยู่บ้างเกี่ยวกับสัตว์บางชนิดที่ให้โชค นั่นคืองูหลามปากเป็ด

    เมื่อปี 2537-2538 ผมรู้จักกับหลวงพ่อดำ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของพ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์ นครศรีธรรมราช แต่ตอนนั้นหลวงพ่อดำอยู่วัดทับไทร อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี คุณเกรียงศักดิ์ เป็นคนไทยที่อยู่อเมริกา ไปรู้จักความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ก็เลยแนะนำให้ไปสัมภาษณ์ลงนิตยสารโลกทิพย์ ผมจึงชักชวนเพื่อนที่โลกทิพย์ขับรถไปส่ง ไปครั้งแรกก็ไปดู และสัมภาษณ์ประวัติท่านนำมาลง น่าจะเป็นนิตยสารโลกลี้ลับในเครือเดียวกันกับโลกทิพย์ จากนั้นมาผมก็ไปเอง เพื่อติดตามดูผลงานว่าจริงเท็จประการใด (เห็นครั้งแรกก็ประทับใจอยู่บางส่วนว่าศักดิ์สิทธิ์จริง)

    ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อดำคือ เมื่อมีคนป่วยไปหา ท่านให้นั่งเหยียดเท้าหันหน้าออกประตู แล้วเอานิ้วชี้ที่จุดเจ็บป่วย ท่านก็นั่งดูของท่านไป ท่องคาถาบ้าง นั่งเฉย ๆ บ้าง หลับตาบ้าง ลืมตาบ้าง เวลาผ่านไปพอสมควรท่านก็บอกให้เอามือออก แล้วถามว่าใครหายเจ็บหายปวดแล้วบ้าง หลาย ๆ คนก็ยกมือขึ้นว่าหายแล้ว บางคนยังไม่หายก็บอกว่ายังไม่หาย ท่านก็ให้ชี้ทำนองเดียวกันอีก แต่ไม่เกิน 3 คั้งแล้วให้มาหาท่านใหม่ นั่นคือความศักดิ์สสิทธิ์ที่ผมเห็นแล้วทึ่ง จึงเทียวไปมาอยู่รับใช้ท่านอยู่ระยะหนึ่ง จนมีคนขึ้นท่านเยอะขึ้นทุกวัน ท่านก็บอกว่าอยากสร้างโบสถ์ที่วัดท่ายาง อ.ทุ่งใหญ่ นครศรีธรรมราช บ้านเกิดของท่าน ผมก็ยุให้ท่านกลับไปอยู่บ้านเกิดตั้งแต่ปี 2539 โน่นแหละ

    ช่วงที่อยู่วัดทับไทรนั้น วันหนึ่งเมื่อผมไปหาท่าน เมื่อผู้คนกลับกันหมดแล้วท่านก็บอกว่ามีของดีจะอวด แล้วท่านก็นำพานสีทองลงมาจากแท่นบูชา เอามาให้ผมดูแล้วถามว่า "รู้จักมั้ย" ผมเห็นตัวอะไรคล้ายไส้เดือนสีดำ ๆ ขดงออยู่ ก็ถามว่า "ไส้เดือนหรือ" ท่านตอบว่า "ไม่ใช่ งูหลามปากเป็ด"

    "งูอะไรตัวเล็กนิดเดียว ที่บ้านผมก็มี เขาเรียกว่างูดิน เวลาขุดหญ้าก็มักพบมันมุดเข้ากองดินกองทรายอย่างรวดเร็ว"

    หลวงพ่อว่า "ไม่ใช่งูดิน มันคล้ายกัน นี่ไอ้หลามปากเป็ด ใครได้ไว้ครอบครองจะมั่งมีทรัพย์สินเงินทอง" ท่านว่างั้นนะ ท่า่นเล่าว่ามันขึ้นมาบนกุฏิ อยู่หน้าประตู ฉันเลยเอาก้านธูปเขี่ยใส่จาน ไม่กี่ชั่วโมงมันก็ตาย จึงเอาแป้งโรยไว้

    ต่อมาท่านก็ได้ไอ้หลามเพิ่มอีก 2 ตัว ท่านว่าเดี๋ยวจะแบ่งให้ตัวหนึ่ง

    ต่อมาท่านย้ายไปอยู่อ.ทุ่งใหญ่ ผมก็ตามไปเยี่ยมบ่อยครั้ง แล้วยังเขียนถึงท่านประจำ คนรู้ก็หลั่งไหลไปหาท่านที่นั่น ท่านจึงเริ่มสร้างโบสถ์ในวัดนั้น ต่อมาก็มีเหตุอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้นกับท่านหลายกรณีซึ่งผมไม่อยากพูดถึง แต่ไอ้หลามปากเป็ดของท่าน เมื่อผมถามถึงท่านว่ามีมือดีฉกเอาไปแล้ว และเงินอีก 8 หมื่นบาทก็ถูกเขาฉกเอาไป ทั้ง ๆ อยู่ในห้อง ใส่กุญแจเรียบร้อย ไม่มีร่องรอยงัดแงะ

    ก็เล่าเท่านี้พอนะ สรุปว่าพอหลามปากเป็ดหายชีวิตท่านก็ตกต่ำลงเรื่อย ๆ และท่านก็ไม่ได้แบ่งให้ผมตามที่พูด ผมก็ไม่ได้ไปหาท่านเลย เพราะชีวิตไม่ได้โสดเหมือนแต่แรกแล้ว ไร้อิสระก็ไปไหนไม่ได้เหมื่อนแต่ก่อนเก่า มารู้ข่าวอีกทีในปี 2546-2547 ว่าท่านมรณะภาพแล้ว ผมก็ไม่ได้ไปเผาศพท่านหรอก เพราะตัวผมก็ตกอับอยู่เมืองแพร่เช่นกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2012
  4. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ช่วงนั้นผมมักท่องเที่ยวอยู่ที่ภาคใต้ และมักไปนอนจำศีลภาวนาอยู่ที่ถ้ำเสือน้อย อ.อ่า่วลึก เพราะรู้จักกับพระที่นั่น เมื่อถามถึงงูหลามปากเป็ด พระที่นั่นเล่าว่า "โยมแอ๊ดก็มี 2-3 ตัว ตั้งแต่มีหลามปากเป็ดแกก็รวยเอา ๆ เดี๋ยวนี้แกมีรถตั้ง 2-3 คันแน่ะ คนท่างนี้เขานับถือเลยนะ ไอ้หลามปากเป็ดนี่ หากันจ๊น..." (โยมแอ๊ด เป็นครูผู้หญิงคนหนึ่งที่มาทำบุญที่วัดถ้ำเสือน้อยประจำ ผมก็พบหน้าบ่อย)

    ต่อมาเมื่อชีวิตของผมจะทะยานขึ้นบ้าง ก็มีเหตุ หลามปากเป็ดก็เลื้อยไปนอนอยู่หน้าประตูในบ้าน ผมก็ทำอย่างที่หลวงพ่อดำแนะนำ ตั้งแต่นั้นชีวิตผมก็พุ่งทะยานขึ้น...แต่ยังก่อน ผมได้รู้จักกับพระอาจารย์เกษมก่อน เพื่อนรุ่นพี่จากระนองชักชวนไปเที่ยวหาพระที่เพชรบูรณ์ ผมก็ไปด้วย จึงได้รู้จักกับพระรูปหนึ่ง ขากลับเพื่อนก็เปิดธรรมะของท่านให้ฟังตลอดทาง ผมฟังแล้วชักชอบแฮะ พูดจาไม่เหมือนใคร ตรงไปตรงมา เพื่อนก็เลยเอาแผ่นซีดีให้ (ซึ่งเตรียมไว้ให้แล้ว แกเคยส่งให้ อยากให้ผมเปิดฟังก็เลยแกล้งบอกว่าช่วยถอดเสียงเทศน์ออกเป็นตัวหนังสือที จะเอาไปพิมพ์ ผมก็ไม่ได้ทำให้แก เพราะชีวิตตกอับ คอม ฯ เสียก็ไม่มีเงินซ่อม)

    เมื่อผมเปิดฟังท่านพูดทั้งวันทั้งคืน (คือชอบมากเลยฟังจนแทบไม่ได้หลับได้นอน) ก็เลยได้วิชาส่งบุญให้เทวดาที่รักษาตัวเอง ส่งให้เจ้ากรรมนายเวร ส่งให้เทวดารักษาที่อยู่อาศัย ส่งให้ญาติทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว ผมก็ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดนะ แล้วชีวิตผมก็พลิกผัน ผมไปพบดงว่านขันหมาก ว่านที่หายากที่สุด อัศจรรย์ที่สุุด มันสุกแดงเต็มภูเขาหิน ผมก็เก็บได้เยอะ แล้วผมก็เขียนลงนิตยสารบางฉบับ และต่อมาก็เขียนลงเว็บไซต์ ตั้งแต่นั้นคนก็เริ่มรู้จักว่านขันหมากมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทุกวันนี้ว่านขันหมากก็กลายเป็นว่านมีชื่ออีกแล้ว เช่นเดียวกับกวาวเครือที่ไม่มีคนรู้จัก พอหยิบขึ้นมาเขียนติดต่อกันตั้งแต่ปี 2537 จนปี 2540 กวาวเครือก็ดังระเบิด ดังจนหน่วยงานของรัฐบางหน่วยทำให้มันดับด้วยข้อกล่าวหา "มะเร็ง ๆ ๆ " พอเขาพิสูจน์ว่านอกจากไม่ทำให้เกิดมะเร็งแล้วมันยังมีสารต้านอนุมูลอิสระได้ด้วย ก็ไม่เห็นหน่วยงานดังกล่าวออกมาแก้ตัวให้เลย (หน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคไง)

    ตั้งแต่มีลูกว่านขันหมากผมก็กลับมามีฐานะอีก ซื้อที่ดิน ซื้อรถเก๋งขี่ ในชั่วเวลาไม่ถึงครึ่งปี คนในหมู่บ้านหลายคนมองผมด้วยสายตาแปลก ๆ บางคนพูดออกปากว่าผมคงค้ายาบ้าถึงได้ร่ำรวยทันตา บางคนก็ว่าผมถูกล็อตเตอรี่

    แต่ที่จริงคือผลบุญตอบสนองผม เทวดาช่วยเหลือผม ผมได้หลามปากเป็ดมา ก็อาจเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่หนุนให้ผมรวย ก็อาจเป็นได้ ที่แน่นอน ผมไม่เคยลืมพระอาจารย์เกษม อาจิณณสีโล วัดป่าสามแยก อำเภอน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์ พระที่มีคนด่ามากที่สุดองค์หนึ่งในประเทศไทย แต่ผมเคารพท่านนะ ไม่กล้าด่าหรอก ใครคิดจะด่าพระเกษมให้นึกถึงพระจี้กงก่อนเน่อ แบบเดียวกันนั่นแหละ ลองไปหาประวัติพระจี้กงอ่านเสียก่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2012
  5. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ผมกลับไปอยู่เมืองแพร่บ้านเกิดด้วยอาการเหมือนคนกินจุแต่ท้องผูก มันไม่มีความสุข ถึงแม้จะมั่งมีศรีสุขขึ้นก็หาความสุขมิได้ เพราะที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ผมสมควรอยู่ มันไม่ใช่สิ่งแวดล้อมของคนถือศีลภาวนา มันทำให้ชีวิตของผมมัวหมอง มันเหมือนฤาษีอยู่ในดงอบายมุข มันเหมือนคนอาศัยอยู่ใกล้กองขยะ เนื้อตัวก็เหม็นเหมือนกองขยะ ผมจึงมีความทุกข์ จนหลังจากแม่จากไป เผาศพแม่เสร็จแล้วเพียงวันเดียว ผมก็เก็บของใ่ส่รถของเพื่อนซี้ชาวเชียงรายซึ่งไปช่วยงานศพแม่ด้วย ออกจากบ้านตั้งแต่บัดนั้น เข้ากรุงเทพ ฯ แล้วเร่ร่อนไปกับเพื่อนไปทั่ว ต่อมาก็ท่องไปผู้เดียวหาที่ภาวนา จนมาอยู่ที่ปากช่องในปลายปี 2549 จนถึงบัดนี้ แล้วจะมาเล่าต่อว่ามีอะไรเกิดขึ้นอีก
     
  6. ปะจะขะ

    ปะจะขะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    647
    ค่าพลัง:
    +4,409
    ปูเสือมานอนรอฟังครับ ได้ความรู้อะไรใหม่ๆๆๆๆ ดีครับ ถือ ว่า มาแชร์กันครับ

    ขอบคุณครับ
     
  7. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ผมมาอยู่ปากช่องด้วยการถูกเชิญจากองค์ญาณขององค์พ่อท้าวเวสสวัณ ตอนนั้นผมไปอาศัยวัดหนึ่งที่ศรีราชา องค์ญาณโทร.หารู้ว่ากลายเป็นเจ้าไร้ศาลแล้วก็เลยไปเยี่ยมถึงวัด จากนั้นก็เชิญมาอยู่ปากช่อง แต่แรกก็เช่าอพาร์ทเม้นท์ให้อยู่ ต่อมาก็หาบ้านให้อยู่ อย่หลังคลังแสงเก่า เป็นที่เปล่าเปลี่ยวน่ากลัว เพราะช่วงนั้นมีป่าตะโกปกคลุมทาง
    เข้า ผมก็อยู่ที่นั่นมา จนที่สุดก็ให้องค์ญาณมารับสานุศิษย์ที่บ้านหลังนี้

    ผมอยู่ที่นี่ไม่นานก็มีหลามปากเป็ดปีนขึ้นไปแหวกว่ายในถังน้ำสำหรับอาบในห้องน้ำ ไม่รู้ปีนขึ้นไปอย่างไร ลองนึกถึงงูตัวเล็กกว่าไส้เดือนอีก ไม่มีตีนเหมือนจิ้งจกตุ๊กแก ไม่มีท้องเหมือนทาก ถังในน้ำสี่เหลี่ยม สูงชันประมาณ 120 ซม. มันขึ้นไปได้อย่างไร แต่ก่อนหน้าที่มันจะเข้าไปแหวกว่ายผมเอาน้ำทิพย์ขององค์พ่อเวสวัณเทลงไปผสมเพื่ออาบล้างมลทิน

    เมื่อผมกลับจากธุระโผล่าห้องน้ำก็จ๊ะเอ๋ ต๊กกะใจ เป็นไปได้ไง อะไรมันแหวกว่ายอยู่ในอ่างน้ำอาบ ก็เลยเอาขันตัก แล้วเอาก้านธูปเขี่ยลงในพาน มันกระเสือกกระสนอยู่ในพานไม่นานก็ตายทิ้งร่างไว้ให้

    เมื่อหลามปากเป็ดมาอยู่ด้วย ชีวิตก็เฟื่องฟูขึ้นอีก องค์ญาณก็มาลงองค์ที่นี่ประจำ พอถึงปลายปีก็พบว่านขันหมากอีกมากมาย มากกว่าได้ที่แพร่อีก ก็เลยมีสินค้าจำหน่ายให้ผู้สนใจไม่เคยขาด
    ปีต่อมา 2551 ก็ได้ที่แถวบายพาส ก็มาสร้างบ้านหลังใหม่ ขายว่านไปสร้างไป ราวครึ่งปีก็เสร็จ จึงย้ายมาอยู่ที่บายพาสตลอด ฝ่ายองค์ญาณก็มาประจำอยู่บ้านหลังคลังแสง ชีัวิตก็มีความสุขดี ไม่มีสิ่งใดมารบกวน

    ต่อมาถึงปลายปี 2553 ก็ได้พระสมเด็จวัดพระแก้วมากมายจากท่านผู้อำนวยการการบินไทย ซึ่งท่านสะสมมาตั้งแต่เป็นหนุ่ม ก็คิดจะสร้างสำนักกรรมฐาน ก็เอาพระเหล่านั้นให้บูชา ได้เงินมาก็สร้างบุญสร้างกุศลไป ช่วยเด็กนักเรียนนักศึกษา ช่วยคนยากคนจน ช่วยสุนัขเร่ร่อน ได้มาใช้ไป ยังไม่ได้สร้างสำนักสักทีเพราะเป็นเบี้ยหัวแตก และที่ทางที่จะสร้างก็ยังไม่แน่นอน เปลี่ยนอยู่จนยังตัดสินใจไม่ได้ ตอนนี้ก็เหมือนจะแน่ว่าจะสร้างที่ดงพญาเย็น ก็ยังไม่แน่อีก ไว้แน่เมื่อไรจะแจ้งให้ทราบ

    ต่อมาก็ได้พระสมเด็จวัดระฆังกรุเพดานวัดพระแก้วมาอีกมากมายจากผู้พันอายุ 90 ปี ก็เหมือนบารมีแข็งกล้ายิ่งขึ้น ทั้งหมดนั้นก็เป็นเรื่องของบุญบารมี แม้หลามปากเป็ดก็มาเพิ่มอยู่เสมอ ถ้าจะมาก็พบอยู่ในห้อง เลื้อยดุกดิก ๆ เห็นก็รู้จักทันที มอบให้คนอื่นไปบ้าง แล้วแต่ใครจะมีบุญวาสนา องค์พ่อเวสวัณท่านมอบให้เอง ของที่ผมได้มาก็เหมือนเป็นของท่านทั้งนั้น เพราะท่านประทานให้ด้วยบารมีของท่านนำมา ตำราถึงว่าท้าวเวสวัณเป็นเทพผู้ปกครองขุมทรัพย์ในโลกนี้ แต่ท่านจะมอบให้ใครก็ขึ้นอยู่กับบุญบารมีของผู้นั้น
     
  8. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    มาอยู่ที่ปากช่องนี่การปฏิบัติธรรมก็เจริญก้าวหน้าดี จิตสงบ ปัญญารู้ทันจิตปรุงแต่ง รู้เท่าทันกิเลสตัณหามากขึ้น การยึดมั่นถือมั่นก็ลดลงมาก จิตก็ยิ่งสงบลงตามลำดับ ต่อมาก็ได้แนวปฏิบัติวิปัสนาของท่านโกเอ็นก้า ก็ดูจะยิ่งเข้าใจอะไร ๆ ดีขึ้นกว่าเก่ามาก แต่ดีอะไรจะดีเท่ารู้จักตัวเอง รู้อะไรจะดีเท่ารู้เท่าทันกิเลสตัณหาของตัวเองเป็นไม่มี

    ผมกำลังรออำนาจบุญบารมีที่เทวดาจะประทานที่ให้สักร้อยสองร้อยไร่ เพื่อสร้างอาศรมจิตราวนาปรัสถ์ เล็งไว้แล้ว ขอไว้แล้ว ท่านบอกว่าไม่เกินสิ้นปีนี้แล้วท่านจะมอบให้
     
  9. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ผมถามองค์พ่อเวสวัณว่า "งูหลามปากเป็ดเป็นสัตว์ที่แทบจะไม่เป็นสัตว์ มีบารมีเท่ากับไส้เดือนตัวหนึ่ง เป็นไปได้หรือว่าจะดลบันดาลให้คนประสบโชคลาภ มั่งมีทรัพย์สมบัติ" องค์พ่อตรัสตอบว่า "เขาเป็นเทพที่ต้องโทษลงมาเกิดใช้กรรมชั่วประเดี๋ยวประด๋าว เป็นเทพชั้นที่ 7 (สิบหกชั้นฟ้าสิบห้าชั้นดิน) เขาพอมีบุญบารมีสนับสุนให้ผู้ครอบครองเกิดโชคลาภได้ เพราะเมื่อได้ร่างของเขามาแล้วเขาก็จะตายไปเกิดเป็นเทพเหมือนเดิม ร่างนั้นก็เป็นสื่อถึงมนุษย์ที่ครอบครองสังขาร"

    (ในพลังจิตนี้มีเว็บ sanyasi.org ติดแปะอยู่นะครับ โดยGoogle ในเว็บนั้นมีเรื่องราวมากมายให้อ่าน ลองเข้าไปดูได้ครับถ้าพบโฆษณาโดยกูเกิ้ลแปะอยู่)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2012
  10. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะจิตคิด
    จิตคิดเพราะสัมผัสของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
    เมื่อเกิดสัมผัสเราไม่รู้ตัวจึงจับไปคิด
    เมื่ิอคิดเราก็หลงนึกว่าความคิดนั้นเป็นจริง
    เมื่อหลงก็ยึดถืออย่างจริงจัง
    รักก็รักเสียจริงจัง ชังก็ชังเสียจริงจีง
    โกรธก็โกรธเสียจริงจัง แค้นก็แค้นเสียจริงจัง
    ทุกข์จึงเกิดขึ้นเพราะหลงอยู่ในความคิดนั้น ๆ
    เพียงมีสติรู้ว่ามันเป็นเพียงความคิดนี่นา
    รู้แล้วเลิกคิด กลับมาอยู่กับปัจจุบันอารมณ์
    แล้วความทุกข์ทรมานจะหายไป
    แต่มันไม่ใช่จะทำได้ง่ายถ้าไม่ฝึก
     
  11. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    นกแต้วแต้แว็ดตายซะแล้ว ต้องสต๊าฟเก็บไว้ ต้องทดสอบให้ถึงที่สุด
     
  12. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    37,990
    ค่าพลัง:
    +146,269
    สาธุ ๆ ๆ จริงดังว่า.............
     
  13. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ถือศีลให้ทานมากมายตลอดชีวิต แต่ถ้าจิตสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก
    เมื่อความตายมาถึง จิตดิ่งไปสู่ความคิดอัปมงคล ปรุงแต่งในเรื่องบาปกรรม ไปนรกครับ

    ทำบาปกรรมมาหลายสิบปี ต่อมาเอาดีทางภาวนา
    เมื่อความตายมาถึง จิตดิ่งสู่กุศลธรรม ปรุงแต่ในเรื่องบุญกุศล ไปเกิดในสวรรค์ครับ

    เมื่อจิตปรุงแต่งว่าไปนิพพาน ๆ ๆ เห็นเมืองนิพพานอยู่บ่อย ๆ เมื่อตายไปก็ไปสู่สวรรค์ที่ชื่อนิพพานนั่นแล แต่มันอยู่ระดับไหนไม่รู้สิ เพราะยังไม่มีในตำรา

    ฝึกสมาธิภาวนาจนจิตดิ่งดับไปสู่ความเงียบอยู่เสมอ นั่นยังไม่เข้าถึงพระพุทธเจ้า
    เพราะพระพุทธเจ้าสอนให้เรารู้จักกระบวนการความคิดที่ก่อให้เกิดกิเลสตัณหา
    และเพิกถอนจิตออกจากการยึดมั่นในความคิดทั้งหลายทั้งฝ่ายกุศลและอกุศล

    สมาธิที่ดิ่งดับ ไม่รู้สึกตัว เป็นสมาธิของฤาษีที่สั่งสอนกันมาหลายยุคแล้ว เรียกมิจฉาสมาธิ พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ

    สัมมาสมาธิ คือความสงบที่ถูกต้อง เป็นความสงบที่มองเห็นธรรมชาติปรุงแต่งทั้งหลายที่ไหลเวียนไป มองเห็นการเกิดดับในความคิดและในสิ่งทั้งปวง จึงละความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวงเสียได้

    ผู้บรรลุถึงธรรมะของพระพุทธเจ้าจิตจะสงบเย็น ไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรม ดังนั้นท่านผู้บรรลุถึงจึงมีเมตตาต่อทุกคนทุกสรรพสัตว์ ไม่มีการเลือกที่รักมักที่ชัง ไม่ถือข้างเหลืองและแดง ถ้ายังถือข้างอยู่ก็เป็นไม่ได้แม้แต่โสดาบัน
     
  14. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ผ้าเหลือง ผ้าขาว ผ้าสีกลัก ไม่ได้มีความวิเศษในตัวที่จะทำให้คนถึงคุณวิเศษ

    คนที่โกนหัวแล้วห่มผ้าเหลือง ผ้าขาว ผ้าสีกลัก แล้วเข้าโบสถ์ ทำพิธีกรรมเป็นนักบวช
    คนที่โกนหัวแล้วห่มผ้าเหลือง ผ้าขาว ผ้าสีกลัก แต่ไม่ได้เข้าโบสถ์เพื่อทำพิธีกรรมเป็นนักบวช ทั้งสองนี้มีคุณค่าเท่ากัน ถ้าเขาตั้งใจรักษาศีลเขาก็เป็นคนดีเท่ากัน ถ้าเขาทำชั่วเขาก็เป็นคนชั่วเท่ากัน แต่แตกต่างกันที่ พวกหนึ่งดีโดยขึ้นทะเบียนเป็นสงฆ์ อีกพวกหนึ่งดีโดยไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นสงฆ์ ฝ่ายที่ชั่วก็ชั่วอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และอีกปฝ่ายก็ชั่วอย่างผิดกฎหมาย

    แก้ผ้านั่งภาวนา นุ่งผ้าสีเหลือง สีกลัก สีขาว นั่งภาวนา น่งห่มแบบชาวบ้านนั่งภาวนา ถ้าตั้งใจทำก็ทำให้จิตสงบเท่ากัน ถ้าเดินถูกมรรคมีองค์แปดก็บรรลุธรรมเท่ากัน

    ถ้าอยู่ในรูปแบบนักบวช ไม่ว่าเป็นพระภิกษุ สามเณร แม่ชี ฤาษี ชีผ้าขาว ถ้าตั้งใจที่อวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน แต่เพื่อให้คนหลงว่าตัวเองเป็นผู้มีคุณวิเศษที่เหนือมนุษย์ ล้วนมีความผิดเสมอกัน เข้าถึงนรกได้ระดับเดียวกัน

    ถ้าอยู่ในรูปแบบชาวบ้านแล้วอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน นรกจะบางเบากว่า ทั้งนี้เพราะความพยายามในการประกอบกรรมชั่วมีไม่มากพอ ถ้ามีมากก็ลงทุนบวชไปแล้ว

    ทำไมการอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตนเองจึงมีความผิดมหันต์ ก็เพราะมันเป็นการหลอกลวงคนเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตนเอง เป็นการกระทำของคนที่มีกิเลสหนาตัณหาจัด มีเจตนาที่จะหลอกลวงสูง จึงมีความผิดมาก ทั้งนี้หมายความว่าการหลอกลวงทุกชนิดล้วนมีความผิดเหมือนกัน แต่ในทางกฎหมายบ้านเมืองอาจได้รับโทษไม่เท่ากัน

    พระภิกษุ สามเณร ตามวัดบ้าน วัดในเมือง ทั่ว ๆ ไป ทำดีบ้าง ชั่วบ้าง ถูกบ้าง ผิดบ้าง โทษอาญาทางจิตก็เท่ากับชาวบ้านทั่ว ๆ ไป เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะหลอกลวงใคร นั่นเป็นเพียงลัทธิประเพณีที่ทำสืบ ๆ กันมา แต่ถ้าตั้งใจที่จะหลอกลวงเกิดขึ้นเมื่อไร อาญาทางจิตก็จะใหญ่ขึ้น นำไปสู่นรกมากขึ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2012
  15. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ขี้เมาหัวราน้ำบางคนอาจมีมโนธรรมสูงกว่าคนถือศีลกินเจบางคนก็ได้ ทำเป็นเล่นไป

    ไม่ถือเงินทอง แต่มีบัญชีเงินฝากในธนาคารมากมายเป็นของตน และยินดีในทรัพย์นั้น ก็หมายถึงขี้หกทั้งเพ หลอกกันนี่หว่า

    รับเงินถือทอง ได้มาก็แจกจ่ายไปให้คนที่เดือดร้อน สร้างกุฏิ วิหาร ศาลา โีรงเรียน โรงพยาบาล เลี้ยงหมาจรจัด สร้างสถานเด็กกำพร้า เลี้ยงคนเฒ่าชะแรแก่ชรา ไม่มีอะไรเป็นของตัวเองสักอย่าง นั่นแหละสุดยอดของผู้ทรงศีล เทพเจ้าในร่างคน

    แต่ถ้าทำดีแล้วป่าวประกาศผลงานของตัวเอง ทำตัวยิ่งใหญ่จนคับประเทศ ก็ไม่ใช่หรอกนะ มันเป็นมายาที่เจ้าของไม่เข้าใจต่างหาก และคนทั่วไปก็หลงเข้าใจผิดกันอยู่
     
  16. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ทาน ศีล ภาวนา อาจเป็นเพียงรูปแบบที่ทำให้คนเห็นว่าเป็นคนดีก็ได้ ถ้าคนประพฤติมีเจตนาไม่สุจริตโดยหวังผลให้คนเลื่อมใสศรัทธาเท่านั้น

    ถ้าไม่มีพระวินัยบัญญัติกำกับไว้ พระอรหันต์ผู้หลุดพ้นแล้วก็อาจจะทำอะไรบางอย่างให้คนปวดหัวเล่นก็ได้ การกระทำของท่านเหนือความคาดหมายของปุถุชนเสมอ ทั้งนี้เพราะท่านรู้ความจริง ในขณะที่คนส่วนมากยังหลงอยู่ในรูปแบบ ในประเพณีวัฒนธรรมที่สืบ ๆ กันมา
     
  17. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    คนติดบุหรี่ จะเลิกบุหรี่ได้ก็ต่อเมื่อเห็นโทษของการสูบบุหรี่ แล้วเบื่อบุหรี่ อยากเลิกบุหรี่ ตั้งจิตเจตนาอย่างแน่วแน่ที่จะเลิก เพียรพยายามที่จะเลิก ถึงแม้ทุกวันนี้จะสูบ ๆ เลิก ๆ แต่สักวันก็ต้องเลิกจนได้

    แม้คนติดเหล้า ติดกัญชา ติดยาฝิ่น ติดเฮโรอีน ติดยาบ้า ก็เช่นเดียวกัน ตราบใดที่ไม่เห็นโทษของมันก็ไม่มีทางที่จะเลิก จนถึงวันที่เห็นโทษของมันอย่างที่สุด เบื่อมันที่สุด แล้วจึงตั้งจิตที่จะเลิก สักวันก็เลิกได้ แต่ถ้าจิตเจตนาไม่เข้มข้นพอก็คงเลิกตอนหมดลมหายใจโน่นแหละ

    ศีล ๕ จะบริสุทธิ์ได้ก็ต่อเมื่อจิตได้เสพความสงบอย่างเพียงพอ รู้เห็นธรรมอย่างเพียงพอ เกิดเมตตาจิตต่อผู้อื่น จากใหญ่ลงมาหาเล็ก ยิ่งจิตสงบมาก รู้เห็นธรรมมาก ก็จะละเลิกการเบียดเบียนผู้อื่นและสัตว์อื่นแม้กระทั่งสัตว์แมลงตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ แม้แต่การเบียดเบียนผู้อื่นด้วยวาจาก็จะไม่ทำ แต่ถ้ายังด่า นินทา ว่าร้าย ผู้อื่นอยู่ ก็ยังรักษาศีล ๕ ไม่ได้ แล้วจะเป็นพระอริยเจ้าไปได้อย่างไร อย่าว่าแต่เป็นอรหันต์เลย แม้พระโสดาบันยังไม่ใช่

    ความชื่นชอบในสัมผัสระหว่างหญิงกับชาย หญิงกับหญิง ชายกับชาย และยึดติดในรสสัมผัสนี้ มันฝังลึกอยู่ในจิตของสัตว์โลกที่เวียนเวียนว่ายตายเกิดมาจนนับไม่ถ้วน เป็นสิ่งที่ละเลิกได้ยากที่สุด เพราะนอกจากมันเกิดจากความยึดติดของจิตแล้วมันยังถูกกระตุ้นจากฮอร์โมนอีกด้วย พอสัตว์หลุดออกมาจากท้องแม่ การไขว่คว้าหารสสัมผัสชนิดนี้ก็เป็นไปโดยธรรมชาติ ในสัตว์ทั่วไปนั้นเพื่อการสืบพันธุ์โดยเฉพาะ แต่ในมนุษย์นั้นเป็นการมุ่งหารสสัมผัสอันนี้โดยเฉพาะ จนอายุแปดสิบเก้าสิบก็ยังไม่รู้อิ่มในรสชนิดนี้

    แต่แท้จริงแล้วไม่ว่าอาการอยากในรสชนิดไหนมันก็เกิดจากจิตที่เข้าไปยึดติด และครุ่นคิดถึงมันทั้งนั้น ถ้าเราไม่คิดถึงมันมันก็ไม่อยาก มันจึงเป็นเครื่องวัดได้ว่าใครครุ่นคิดในเรื่องนี้มากที่สุด ก็แสวงหาเสพรสสัมผัสนี้มากที่สุด

    เชื่อมั้ยว่าถ้าเราได้ลิ้มรสความสุขอันเกิดจากความสงบ เราจะไม่ค่อยคิดถึงรสจากสัมผัสทางเพศ มันเกิดด้วย 3 เหตุผลคือ
    1. เราได้พบรสอันเลิศกว่า
    2. เราไม่ได้คิดคำนึงถึงการเสพกาม เราก็ไม่อยากที่จะเสพ
    3. เมื่อจิตได้รับการฝึกฝนจนสงบอย่างละเอียด เข้าถึงธรรมอันละเอียด สามารถแยกแยะธรรมชาติทั้งหลายได้ชัดเจน จิตจะคลายการยึดติดเรื่องหยาบ ๆ ไปโดยอัตโนมัติ

    อาการยึดติดความสุขจากเพศตรงข้าม หรือรสสัมผัสนี้ มันแสดงอาการออกมาในลักษณะของความเหงา คิดถึงเหลือเกินนะ เหงาเหลือเกินนะ อยากพบหน้า อยากชิดใกล้ ลองพิจารณาดู มันเกิดจากจิตคิดทั้งนั้นแหละ แต่ห้ามไม่ให้คิดถึงนี่มันช่างยากเย็นเหลือเกิน ทั้งนี้เพราะจิตมันเคยชินกับการคิด เราจึงต้องฝึกให้จิตอยู่กับปัจจุบันอารมณ์ให้มากที่สุด นั่นแหละคือจิตสงบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2012
  18. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    เมื่อพระป่าพบรัก

    หลวงปู่หลวงพ่อหลาย ๆ องค์เคยเล่าว่า สมัยที่ท่านยังหนุ่ม ยังเที่ยวกรรมฐานไปในที่ต่าง ๆ ก็มักไปพบกับผู้หญิงสาว แล้วก็เกิดอาการติดตาต้องใจ คิดถึงเธออยู่ทุกลมหายใจ สติสมาธิที่เคยมีก็หายไปหมด เกิดความทุกข์มหาศาลท่วมทับจิต คิดอยากจะสึกหาลาเพศไปอยู่กับเธอเสียจริง ๆ

    เกิดอะไรขึ้นกับพระกรรมฐาน

    แท้จริงแล้วมันอาจไม่ใช่เรื่องของบุพเพสันนิวาสก็ได้ แต่จิตนี้มันมีอุปนิสัยเสพอารมณ์ที่พึงพอใจ และไม่พึงพอใจด้วย

    เมื่อพระกรรมฐานอยู่ในสถานที่สงบ พยายามบังคับจิตให้อยู่กับปัจจุบันอารมณ์ อาจอยู่กับลมหายใจเข้า-ออก หรืออาจบังคับให้ท่องคำภาวนาคำใดคำหนึ่ง เพื่อไม่ให้จิตไปคิดเรื่องอื่น ๆ ในช่วงดังกล่าวจิตจะขาดอาหารอารมณ์ วันใดวันหนึ่งที่อารมณ์เข้ามาสู่จิตทางตาเห็นรูปก็ดี หูฟังเสียงก็ดี จมูกได้กลิ่นก็ดี ลิ้นได้รสที่ถูกใจหรือไม่ถูกใจก็ดี เป็นอารมณ์ที่โดดเด่นที่จิตไม่เคยสัมผัสมาก่อน ไม่ว่าทางดีหรือทางร้าย ทางชอบหรือไม่ชอบ จิตจะเข้าไปยึดเอาอารมณ์นั้นมาคิดอย่างถี่ยิบ จนกลายเป็นความฟุ้งซ่านรำคาญใจ ถ้าชอบใจก็ปรุงแต่งคิดไปทางที่จะเอาเข้ามาเป็นสมบัติของตัว ตัวเองคิดอยู่คนเดียวแท้ ๆ ยังหลงไปว่าคนที่ตัวเองคิดถึงก็คงคิดถึงตัวเองเช่นกัน คงมีเสน่หากับตัวเองเช่นกัน มันก็กลายเป็นความรู้สึกที่แปลก ๆ ทั้งสุขและทุกข์ เหมือนเพลงที่เขาแต่งว่า "ความสุขมีได้หลายอย่าง บางครั้งได้ร้องครวญครางหัวใจก็สุขเหลือเดา สุขที่ได้คิดได้นึกถึงเกี่ยวกับเขา แล้วค่อยสะอื้นเบา ๆ สงสารตัวเราเขาไม่ใยดี"

    พระป่าหลายท่านเอาชนะใจที่หลงติดกับดักกามารมณ์ด้วยวิธีทรมานตัวเอง ส่วนมากจะอดข้าวอดน้ำ เอาให้มันตายไปข้างหนึ่ง ถ้ายังรักเขาอยู่ก็ไม่ต้องกินข้าวกินน้ำกัน ต่อเมื่อหายคิดถึงแล้ว หรือคิดถึงก็ไม่รู้สึกว่าปวดแปลบแปลก ๆ ก็ถือว่าแก้ได้แล้ว แต่บางท่านแก้โดยรีบหนีไปจากสถานที่พบรักทันที ถ้ามันยังทรมานใจอยู่ก็ไปแก้เอาข้างหน้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2012
  19. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    สามเณรบุนนาคพบรัก

    เรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับการแก้อารมณ์รักของพระกรรมฐาน คือเรื่องของสามเณรบุนนาค ลองอ่านดู เอามาจากเว็บธรรมจักรhttp://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=20729

    พบคู่วาสนา

    พอค่ำวันนั้นประมาณ ๗ ทุ่มก็จำวัด ฝันเห็นพระหลวงตาแก่ ๆ มาบอกว่า จงระวัง เณร มาอยู่ที่นี้ แล้วอีก ๔ วันเณรจะเห็นคู่วาสนา แล้วเณรจะร้อน เพราะผู้หญิงคนนั้น ก็พอดีตื่นนอน ต่อนั้น อาตมาภาพก็ลุกขึ้นทำความเพียร เดินจงกรมไปตามเรื่อง อีก ๔ วันพอดี บิณฑบาตกลับมา เผอิญผู้ใหญ่บ้าน คิ้วมาทำบุญกับลูกสาวคนหนึ่งอายุ ๒๐ ปี พอมานั่งลงเท่านั้นมองเห็นหน้า หญิงคนนั้นยังไม่ได้พูดอะไร เกิดประหม่าใจขึ้น ดูเหมือนรักก็ไม่ใช่ เกลียดก็ ไม่เชิง ใจคอว้าเหว่จนรู้สึกว่าหายใจไม่รู้อิ่ม ใจคอก็ไม่หนักแน่นอย่างแต่ก่อน อาตมาภาพก็นั่งพิจารณาอยู่ จะเป็นนี้กระมังตรงความฝันของเราเมื่อวันที่ แล้วมานี้ว่าจะพบคู่วาสนา ต่อนั้นโยมผู้ใหญ่บ้านคนนั้นก็ถามหาบ้านเกิดเมือง เกิด ถามทั้งบิดามารดา แล้วแกก็ปรารภว่าไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร ผมเห็นคุณ เณรไปเที่ยวบิณฑบาตแต่วันมาถึงทีแรกจนบัดนี้รู้สึกคิดรักคุณเณรคล้ายกับ บุตรของตนจริง ๆ ดังนี้

    ส่วนหญิงหนุ่ม (หมายถึงรุ่นสาว) ลูกสาวคนนั้นพูดว่า "ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเป็น อย่างไรนับแต่วันได้เห็นท่านเข้าไปบิณฑบาตจนบัดนี้รู้สึกคิดรักท่านยิ่งกว่าพี่ ชายน้องชายของตน ท่านก็เป็นคนหนุ่ม ๆ ทำไมเที่ยวกรรมฐานนอนตามถ้ำ ตามเขาคนเดียว ข้อนี้เองยิ่งเป็นเหตุให้ดิฉันคิดสงสารมากขึ้น แทบน้ำตาจะ ร่วงออก" ดังนี้

    ต่อนี้ อาตมาภาพก็นั่งพิจารณาในใจว่า นับแต่วันเราเกิดเป็นมนุษย์มา ไม่มี เลยที่เราจะมาคิดชอบคิดรักกับคนจนหายใจไม่อิ่มอย่างนี้ไม่มีเลย แต่ไม่พูด อันนี้ เป็นแต่คิดในใจเท่านั้นแล้วพิจารณาต่อไปว่า เราจะหาคำพูดอันหนึ่งอัน ใดมิให้เป็นที่พอใจรักใคร่กันต่อไปอีก จึงนึกได้ขึ้นมาแล้วก็ข่มใจพูดดูประหนึ่ง ว่า ไม่มีความยินดีสักนิดเดียว พูดว่าโยมผู้ใหญ่พร้อมทั้งนางสาวนั้นเป็นคนโง่ หาปัญญามิได้ ทำไมจะมารักของทิ้งคือรูปโฉมทั้งสาระร่างกายนี้ ทั้งของโยม ทั้งสอง ทั้งของอาตมานี้ต่างก็จะพากันเอาไปฝังดินทิ้งอยู่แล้ว ก็ประโยชน์ อะไรมาคิดรักของทิ้งกันเล่นเปล่า ๆ ใครก็อยู่ไปจนกว่าจะเอาไปทิ้งเท่านั้น สิ่งที่ควรรักก็คือศีลธรรมเท่านั้น ไม่ควรรักร่างกายกระดูกคือรูปโฉมอันเป็น ของจะทิ้งลงสู่แผ่นดินทุกคนไป ว่าแล้วอาตมาภาพก็ฉันบิณฑบาตนั้นเรื่อยไป

    พออิ่มเสร็จแล้ว แกจึงถามว่า คุณเณรดูเหมือนจะไม่สึกสักทีแหละหรือ อาตมาภาพจึงตอบขึ้นในทันใดว่า อาตมาภาพไม่ได้บวชเพื่อจะสึก บวชเพื่อ จะบำเพ็ญกุศลบารมีเท่านั้น คืออาการของสึกยังไม่ได้คิดไว้เสียแล้ว อาตมา ได้คิดไว้แต่เพียงว่าการบวชของเรามีประโยชน์ และธุระจะบำเพ็ญส่วนกุศล เท่านั้น ธุระหรืออะไรนอกนั้นไม่ใช่การงานของนักบวชจึงมิได้คิดไว้ ว่าแล้ว อาตมาภาพก็ให้พรยถาสัพพี

    พอเสร็จหญิงหนุ่มคนนั้นพูดสอดขึ้นว่า คุณเณรมัวแต่จะสร้างบารมีนานเข้าจะ ลืมคิดสึก เดี๋ยวจะแก่เสียก่อน ดังนี้

    ต่อนั้น อาตมาภาพนึกขึ้นได้ว่าพูดในเรื่องเช่นนี้ จะเป็นอันตรายแก่ความสงบ ต่อนั้นก็นั่งสมาธิเรื่อยไปไม่พูด คนทั้งสองพ่อลูกเห็นอาการเช่นนั้นก็ชวนกัน กลับบ้าน

    ฝ่ายว่าอาตมาภาพ ทั้งนี้พอคนทั้งสองหลีกไปแล้ว ก็รู้สึกคิดถึงหญิงคนนั้นจน รู้สึกหายใจไม่อิ่ม และใจคอว้าเหว่มากนั่งไม่นาน นอนก็ไม่หลับ ฉันข้าวก็ไม่ ได้ เพราะปรากฏว่าลูกหัวใจแขวนเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา เป็นอยู่เช่นนี้ ๒ วัน รู้ สึกเป็นทุกข์มาก อาตมาภาพจึงดำริว่าประโยชน์อะไรเราจะอยู่ด้วยความเป็น ทุกข์เช่นนี้ เราตายเสียในเร็ว ๆ นี้จะไม่ดีกว่าหรือ หากเราจะสึกไปมีครอบ ครัวของฆราวาส ต้องทำปาณาติบาตเป็นอาชีพ เราก็จะสร้างบาปกรรมขึ้น อีกไม่ใช่เล่น สู้ว่าเราตายเสียก่อนอย่าให้ทันได้ทำบาปเลย ฉวยเอาศีลธรรมที่ เราได้ประพฤติมาแล้วนี้เป็นที่อาศัยไปเสียก่อนดีกว่า เราจะสึกออกไปสร้าง เอาบาปกรรมต่อไปอีกตั้งหลายปีหลายเดือนไปอีก


    ตัดความรักด้วยการอดข้าว

    เมื่อพิจารณาตกลงเช่นนี้แล้ว จึงตั้งสัจอธิษฐานว่าหากความรักกับหญิงคนนี้ ไม่ตายไปจากจิตจากใจของข้าพเจ้าแล้วขอให้ข้าพเจ้าจงได้ตายไปเสียก่อนภาย ใน ๑๐ วันนี้ ข้าพเจ้าจงอย่าทันได้สึกไปทำบาปทั้งหลายเหล่าอื่นต่อไปอีก เมื่ออธิษฐานเสร็จแล้วก็ตั้งใจว่า "หากไม่หายจากความรักหญิงคนนี้ เราจะไม่ ฉันข้าวแต่วันนี้เป็นต้นไป จนกว่าให้ชีวิตนี้ตายไปเสียก่อน"

    ต่อนั้น อาตมาภาพก็ตั้งหน้าไม่ฉันข้าวไปได้ ๕ วัน แต่ฉันน้ำอยู่ถึง ๕ วัน จึง สังเกตภายในจิตว่าความรักและคิดถึงเช่นนั้นเบาลงแล้วหรือยัง รู้สึกว่าหนัก แน่นอยู่เสมอเก่า จึงนึกขึ้นมาว่า เมื่อเรายังฉันน้ำอยู่ ชีวิตนี้ก็จะตั้งอยู่ได้นาน ความรักอันนี้จะกำเริบเรื่อยไป มิฉะนั้นอย่าเลย ต่อแต่นี้ไปเราจะไม่ฉันทั้งข้าว ทั้งน้ำ ให้ชีวิตนี้ตายไปเสียเร็ว ๆ หากความรักอันนี้ยังไม่เบาลงหรือหายไป จากสันดานของเราเมื่อไร เราก็จะไม่ฉันทั้งน้ำทั้งข้าวจนกว่าจะถึงวันตาย หรือ จนกว่าความรักจะหายไปจากสันดาน ต่อไปเมื่ออดทั้งข้าวทั้งน้ำอยู่อีกภายใน ๒ วัน รู้สึกว่าเมื่อนอนหลับไปหายใจเข้าออกลำคอแห้ง เสียงหายใจดังโวด ๆ ตื่นนอนขึ้นจึงพิจารณาต่อไปว่า "แม้ความรักใคร่และความกระสันอันนี้จะมี รากลึกลงไปแค่กับชีวิตนี้แหละหรือ ตกลงว่าเอาเถิดชีวิตกับความรักอันนี้จะ ถอนจากความเป็นอยู่ในชีวิตนี้พร้อมกันแล้วตายไปก็ตาม ขอแต่อย่าทันได้สึก ออกไปทำบาปกรรมเหล่าอื่นอีก หากเราตายไปเสียเวลานี้ยังดี เพราะเราเกิด มาในชาตินี้เรายังมิได้สร้างบาป บาปก็จะมิได้มีแต่เรา เราได้สร้างแต่ส่วนเป็น กุศลคือศีลธรรม ก็บุญกุศลคือธรรมที่เราสร้างไว้นี้ จะเป็นของเรา เพราะเรา ได้สร้างไว้แล้ว สู้ว่าเราตายไปแล้ว ฉวยเอาบุญไปสู่สุคติก่อน อย่าให้ทันให้ดึง เอาเราไปสร้างวัตถุที่เป็นบาปเลย"

    เมื่อพิจารณาเช่นนั้นแล้ว ก็ตั้งหน้าอดทนต่อความหิวนั้นอีกวันหนึ่ง จวนค่ำรู้ สึกหายใจไม่ไหวติงถึงสะดือเลย แต่อย่างนั้นความกระสันก็ปรากฏอยู่บ้างแต่ บางลง ที่สุดต่อไปตอนกลางคืนประมาณ ๕ ทุ่ม รู้สึกหายใจขัดไหล่ทั้งสอง หอบขึ้นด้วย คือ สูบเอาลมหายใจแรง ๆ ก็ไม่ปรากฏว่ามีลมเข้าไปปรากฏแต่ ลมออกเป็นส่วนมาก ขณะนั้นจึงรู้สึกว่าความกระสันหายไป เป็นเย็นขึ้นตาม เนื้อตามตัว สวิงสวายเป็นที่วิง ๆ เวียน ๆ คล้ายกับจะอาเจียนแต่ไม่อาเจียน เป็นแต่เย็นขึ้นมา ไม่ช้ารู้สึกหายใจสูบลมเข้าไปทั้งแรง รู้สึกถึงแค่หน้าอกขึ้น มาลำคอ ไม่ถึงท้องอย่างแต่ก่อน หนักเข้าหายใจเข้าออกทั้งแรงก็ปรากฏว่ามี ลมเข้าออกด้วย รู้สึกปลายจมูกตึง แล้วก็เหงื่อไหลออกที่ริมสบง และทั่วไปทั้ง ศีรษะรู้สึกว่า ความรักความกระสันเช่นนั้นขาดไปจากสันดาน คือความเป็น อยู่ในขณะนั้น ไม่ช้าปรากฏมีแสงคล้ายกับแสงหิ่งห้อยออกจากตา และลืม ตาอยู่ก็ไม่เห็นอันอื่น เห็นแต่แสงชนิดนั้นหลั่งไหลออกจากลูกตา มีทั้งสีแสด สีแดง, ดำ, ขาว, เขียว ครบทุกชนิดลอยขึ้นข้างบนลูกตาก็เหลือกขึ้นข้างบน ตามแสงอันนั้น รู้สึกว่าอันนี้ไม่ใช่อื่นวิญญาณทางตาของเราออกไปแล้ว ไม่ช้า วิญญาณทางหูก็จะดับ ก็เป็นอันว่าเราตายไปเท่านั้น ที่นี้ความกระสันยิ่งไม่ ปรากฏ จึงนึกทดลองน้ำใจดูว่าสึกไปเอานางสาวนั้นเถิด รู้สึกขณะนั้นจิตใจไม่ เกี่ยวข้องด้วยเลยเป็นอันขาด เป็นแต่สวิงสวายไปเท่านั้น จึงกำหนดได้ว่าเรา ยังไม่ตายความรักความกระสันเช่นนั้นตายไปก่อนแล้ว ฉะนั้น เราควรจะฉัน น้ำเสียในเวลานี้พอให้ชีวิตนี้ตั้งอยู่กว่าจะถึงเวลาเช้า จึงไปบิณฑบาตมาฉัน นึกแล้วก็คว้าเอาน้ำอยู่ในกระบอกไม้ไผ่มาฉัน เมื่อฉันน้ำลงไปในท้องรู้สึกท้อง สั่นดังวุบวับ ปรากฏลำไส้ข้างในครู้ยเป็นขด ๆ ขึ้นมา แล้วเรอออก ๒-๓ พัก รู้สึกหายใจสะดวกดี ลงถึงที่สะดือเมื่อหายใจสูบลงแรง ๆ ก็ดูเหมือนที่สะดือ พุ่งออกและหยุดเข้า รู้สึกมีกำลังพอที่จะดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ ต่อนั้นก็คลาน ไปที่บ่อน้ำฉันน้ำให้อิ่ม สรงน้ำพร้อมเสร็จแล้วแต่เช้าตรู่ยิ่งรู้สึกสบายขึ้น เดินได้ แข็งแรงพอสมควรก็ไปบิณฑบาตวันนั้น ต่อนั้นฉันข้าววันละ ๗ คำ อยู่ ๑๕ วัน รู้สึกเบากายเบาใจ หายจากความอาลัยในความกระสันรักใคร่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2012
  20. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    อุบายขจัดรักของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย

    ปี พ.ศ.2524 ผมเป็นพระหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยว วัยเบญจเพศพอดี ก็ไปหลงรักหญิงสาวอายุ 18 ปี โอ้โฮ ไม่มีอะไรที่จะทุกข์เท่าหลงรักเขาข้างเดียว บอกก็บอกไม่ได้ มันอึด ๆ อัด ๆ ยิ่งกว่าอึไม่ออก ตดไม่ออก เรอไม่ออก ทรมานมาก ๆ กรรมฐานที่เคยฝึกฝนภาวนามาไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย นั่งก็คิด นอนก็คิดถึงนงนุช ห้ามไม่หยุด ฉุดไม่ไหวหัวใจมันคลั่ง หลับตาไม่ลงมัวแต่พะวงพะว้าพะวัง.....

    อยู่มาวันหนึ่ง เพื่อนพระรุ่นพี่ชักชวนไปเที่ยวอีสาน เอารถตู้ไปกับญาติโยมแก่ ๆ เต็มคันรถ ไปหลายคืน นอนตามวัดหลวงปู่สายหลวงปู่มั่น คืนสุดท้ายขากลับก็รอนแรมมาเรื่อย ๆ มาพักค้างคืนที่วัดป่าสาละวัน นครราชสีมา ที่สามเณรบุนนาคมาอยู่นั่นแหละ

    หลวงพ่อท่านก็ต้อนรับที่กุฏิของท่าน ญาติโยมแต่ละคนก็สอบถามปัญหาการปฏิบัติกรรมฐาน จน 3 ทุ่มแล้วมั้ง ท่านมหาที่เป็นอาจารย์สอนกรรมฐานที่ไปด้วยกันขอไปเข้าห้องน้ำ ท่านก็บอกญาติโยมว่า "พวกโยมพากันไปนอนได้แล้ว ส่วนมหาอยู่คุยกับหลวงพ่อก่อน" ประโยคสุดท้ายท่านหันมาบอกผม

    เมื่อโยมหายไปหมดแล้วท่านก็เอ่ยว่า "ท่านมหา สมัยหลวงพ่อเป็นสามเณรหนุ่มหลวงพ่อก็เหมือนมหานี่แหละ หลวงพ่อหลงรักลูกสาวของแม่ชี" พอท่านพูดเท่านี้ผมก็ใจหายวาบเลย โอ้...ท่านรู้ใจผมม๊ด ก็ผมไม่ได้เอ่ยปากเล่าหรือถามอะไรสักอย่าง เพียงแต่เรื่องราวของผมมันก็ถูกปรุงแต่งอยู่ในหัวจิตหัวใจของเจ้าของที่เอง ทุกทิวาราตรี จนมันจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ไม่รู้จะแก้อย่างไร หลวงพ่อท่านมองทะลุเข้าไปถึงความคิดของผม โอ้โฮ..มันน่าตกอกตกใจ

    "ครับพ้ม" ผมยกมือไหว้น้อมรับ ถ้อยคำครับพ้ม เป็นวาจาที่พระป่าผู้เป็นศิษย์สายอีสานพูดกับครูบาอาจารย์ ผมมันท่องกรรมฐานมาหลายอาจารย์ ทั้งสายอีสาน สายพองหนอยุบหนอ กระทั่งสายสวนโมกข์ก็ไปอยู่มาแล้ว ก็พอจะปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้

    (ขอตัวไปธุระก่อนนะครับ เดี๋ยวจะมาเล่าใหม่ พอดีมีผู้มาเยือนตอนดึกซะแล้ว)
     

แชร์หน้านี้

Loading...