ปกิณกะธรรม โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย watnatangnok namai, 15 มีนาคม 2013.

  1. watnatangnok namai

    watnatangnok namai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    293
    ค่าพลัง:
    +3,986
    ปกิณกะธรรม

    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)



    ๑. หนี้กรรมการฆ่าสัตว์

    ให้จำไว้ด้วยว่า สัตว์ทุกประเภทเนื้อแท้จริงๆ เขาเป็นคน
    อาศัยคนที่ทำความชั่ว ทำตัวให้ตกให้บาปอกุศล
    เมื่อตกอบายภูมิ คือ นรกมาแล้ว
    ผ่านนรก ผ่านเปรต ผ่านอสุรกายมาแล้ว
    ก็มาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
    เป็นการชำระกรรมหนักขั้นสุดท้าย แต่ว่าไม่ใช่ชีวิตเดียวนะ

    ชำระกรรมหนักขั้นสุดท้ายนี้ไม่ใช่ครั้งเดียว
    เคยฆ่าปลามากี่ตัว ต้องเกิดเป็นปลาให้เขาฆ่าเท่านั้นครั้ง
    หนักใจตรงเกิดเป็นยุงละซี่
    จำไม่ได้ถือว่า ต้องใช้ชีวิตตามที่ฆ่าเขา
    พวกทำได้กำไรที่สุด คือ พวกเรือตังเก
    โอ้โฮ วันหนึ่งแกล่อเป็นลำๆ เลย ไปเห็นใจหายวาบ
    ไอ้สัตว์ทุกประเภท ก็คือ คน
    ก็รวมความว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกันใช่ไหม
    ร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก
    แล้วก็รักสุข เกลียดทุกข์เหมือนกัน


    ๒. อายุขัยและวิธีต่ออายุ

    การต่ออายุ ก็ต้องทำให้มันถูก
    ถ้าทำไม่ถูกแล้ว ก็เสียเงินเปล่า
    ถ้าบังเอิญเป็นอายุขัยต่อเท่าไร ก็ไม่สำเร็จผล
    เพราะเชื้อไฟเดิมดับ หมดบุญบารมีที่ทำมา
    การหมดบุญบารมีนั้น แม้อายุขัยก็ไม่แน่
    บางคนเป็นเด็กก็หมดอายุขัย
    บางคนเป็นหนุ่มเป็นสาว บางคนวัยกลางคน
    บางคนก็ถึงวัยแก่ อายุขัยนี่ไม่แน่นอนนัก
    คำว่าอายุขัย นี่หมายความว่า
    ก่อนที่จะเกิดกฎของกรรมดีหรือกรรมชั่ว
    กำหนดชีวิตให้มาเท่าไร
    ถ้ากำหนดชีวิตมา ๒๐ ปี ก็ต้องแค่ ๒๐ ปี
    ๑๐ ปี ก็ต้อง ๑๐ ปี
    ๓ วันก็ต้อง ๓ วัน
    นี่เป็นอายุขัย ต่อไม่ได้
    ถ้าตายก่อนนั้น เขาเรียก อุปฆาตกรรมหรือว่าอกาลมรณะ
    อย่างนี้ต่อไปได้ และถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย
    จะต่ออายุแบบนี้ ก็ต่อมันทุกวัน ก็หมดเรื่องกัน
    วิธีต่อทุกวัน ก็หมายความว่า
    ให้ทุกท่านมีความเคารพในพระรัตนตรัย
    คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์อย่างจริงจัง
    และต้องเว้นจากกรรมที่เป็นปาณาติบาต
    ถ้ามีเวลาเดินผ่านไป มีใครเขาหาปลาหาเต่า ที่เขาจะฆ่ามันให้ตาย
    ก็ซื้อพอกำลังที่เราจะซื้อ แล้วก็นำไปปล่อยในที่ปลอดภัย
    ไม่ใช่ปล่อยในหม้อข้าวหม้อแกงของเรานะ
    ไปปล่อยในสถานที่ที่เขาจะมีความสุข
    ในแม่น้ำก็ได้ในหนองคลองบึงก็ได้ ปล่อยให้เขารอดชีวิต

    ๓. วิธีต่ออายุป้องกันอุปฆาตกรรม

    ตามวิธีโบราณจารย์ ท่านสอนไว้อย่างนี้นะว่า วิธีต่ออายุใหญ่
    คือ ถึงปีหนึ่ง ถ้าเป็นวันเกิดหรือเป็นวันสำคัญของเรา
    วันไหนก็ได้ ทำกับข้าวทำอาหารพิเศษ ตามที่เราพอใจ
    เท่าที่ทุนจะพึงมี จัดการใส่บาตรแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
    แล้วก็ถ้าหากว่ามีเงิน ก็สร้างพระพุทธรูปสักองค์

    พระพุทธรูปนี้จะเป็นพระดินเหนียวก็ได้
    พระปูนซีเมนต์ก็ได้ เป็นปูนพลาสเตอร์ก็ได้
    หรือพระโลหะก็ได้ไม่จำกัด
    เพราะเป็นรูปพระแล้ว มีอานิสงส์เสมอกัน
    แต่ต้องมีหน้าตักไม่น้อยกว่า ๔ นิ้ว
    ถวายไว้เป็นสมบัติของสงฆ์

    หลังจากนั้นก็เอาสัตว์ที่จะพึงถูกฆ่าตาย
    อย่างที่เขานำเอามาขาย เพื่อแกงหรือที่เขาทอดแหสุ่มปลาได้
    ถ้ามีสตางค์ก็ไปซื้อเขาสักตัวสองตัวตามกำลัง แล้วปล่อยไป
    และก็อุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร
    และเทวดาที่ปกปักรักษาชีวิตเรา

    ท่านบอกว่าถ้าทำอย่างนี้เป็นนิจ
    คำว่าอุปฆาตกรรม คือ กรรมที่เข้ามาลิดรอนก่อนอายุขัยก็ดี
    และอกาลมรณะ การที่จะตายก่อนอายุขัยก็ดี
    จะไม่มีสำหรับผู้ที่ทำแบบนี้
    แต่ทว่าถ้ากรรมอย่างนี้เข้ามาถึง แค่ป่วยไม่มากก็เป็นของธรรมดา


    ๔. วิธีช่วยคนป่วยใกล้ตาย

    การช่วยคนป่วยหนักจริงๆ
    อย่าปล่อยให้หนัก จนกระทั่งไม่มีความรู้สึก
    ตอนที่สติยังดีอยู่ ให้นิมนต์พระไปสวดสักครั้งหนึ่ง
    ไม่ใช่สวดพระอภิธรรม แต่เป็นการสวดพระปริตร
    วงสายสิญจน์ล้อมรอบ
    ถ้าผู้ป่วยจะต้องตาย เพราะสิ้นอายุขัยก็ต้องตายแน่
    สายสิญจน์ป้องกันไม่ได้
    แต่ว่าถ้าท่านผู้นั้นจะตาย
    อย่าลืมว่าคนป่วย ก็เหมือนคนที่ตกน้ำ
    ว่ายน้ำไม่เป็น เราส่งอะไรให้เกาะ เขาก็จะเกาะ
    ส่งไม่ให้เกาะเธอก็เกาะ ส่งสุนัขเน่าให้เกาะเธอก็เกาะ
    เพราะต้องการมีชีวิตอยู่
    ก็เช่นกัน ถ้าคนป่วยเห็นพระสวดพระปริตร
    ก่อนสวดมีการสมาทานศีลจิตของคนป่วยในตอนนั้น
    ก็จะรับสมาทานศีลด้วยสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์
    ทำให้เป็นคนที่มีศีล
    เวลาที่มีการสวดพระปริตรจิต ก็จะฟังพระสวดด้วยความเคารพ
    จิตจะยึดอยู่กับพระ หลังจากพระกลับแล้ว
    จิตจะจับอารมณ์นั้นตลอด ในขณะป่วยไม่มีโอกาสทำลายศีล
    เพราะกำลังป่วย ไม่สามารถจะไปฆ่าใคร หรือไปลักขโมยใคร
    ถือว่าเป็นคนป่วยที่มีศีลบริสุทธิ์
    ถ้ามีการถวายทานด้วย ไม่ว่าทานนั้นจะเป็นธูปเทียน ดอกไม้
    ปัจจัยหรือโภชนาหารก็ตาม
    ถือว่าเป็นการถวายทานแก่พระสงฆ์
    กำลังของทานจะช่วยคนป่วยได้อีกแรงหนึ่ง

    อีกประการหนึ่ง ด้านอนุสสติ ถ้ามีพระพุทธรูปด้วย
    จิตของเธอจะจับพระพุทธรูปเป็นพุทธานุสสติ
    จำเสียงสวดมนต์เป็นธรรมานุสสติ
    การนึกถึงพระสงฆ์ที่สวดก็เป็นสังฆานุสสติ
    ถ้าเป็นอายุขัยที่จะพึงตาย
    บาปกรรมใดๆ ที่ทำมาแล้วในกาลก่อน
    จะไม่มีโอกาสให้ผลในเวลานั้น เหลือแต่บุญอย่างเดียว
    ที่จะประคับประคองคนนั้นให้ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก หรือไปนิพพาน


    ๕. อานิสงส์การถวายสังฆทาน

    การถวายสังฆทาน ๑ ครั้งในชีวิต
    และถวายด้วยจิตที่บริสุทธิ์มีศรัทธาแท้
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า
    ผลของสังฆทานนี้ จะดลบันดาลให้แก่บุคคลผู้ถวาย
    เกิดไปทุกชาติ ขึ้นชื่อว่า ความยากจนเข็ญใจไม่มี
    ในแดนใดที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากขัดสน
    คนที่ถวายสังฆทานแล้ว จะไม่ไปเกิดที่นั่น
    ผลที่ให้ไปไกลมาก กล่าวว่าแม้แต่พระพุทธญาณเอง
    ก็ยังไม่เห็นผลที่สุดของการถวายสังฆทาน

    คำว่าไม่เห็นที่สุดของการถวายสังฆทาน
    หมายความว่า แม้แต่บุคคลผู้เป็นเจ้าของสังฆทาน
    บำเพ็ญบารมีแล้วเกิดไปอีกกี่แสนชาติก็ตาม
    จนกระทั่งเข้าพระนิพพาน
    อานิสงส์นั้นก็ยังไม่หมด นี่เป็นอำนาจของการถวายสังฆทาน

    ทีนี้การถวายทานแก่พระ มีผลไม่เสมอกันอยู่อย่างหนึ่ง
    คือ หมายความว่า ถวายทานแก่พระที่มีจิตกำลังฟุ้งซ่าน
    ไปด้วยอำนาจของนิวรณ์ ๕ ประการอย่างนี้
    เราถวายกี่หมื่นกี่แสนอานิสงส์ก็ไม่มาก
    จะถวายสักเท่าไรอานิสงส์ได้แต่ว่าไม่มาก

    ถ้าหากว่าถวายแก่ท่านผู้ปฏิบัติกรรมฐาน
    ถ้าหากเข้าถึงจิตบริสุทธิ์ เรื่องบริสุทธิ์แค่ไหนก็ช่าง
    อย่างน้อยที่สุดก็มี ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ
    บางท่านก็เข้าถึงฌานสมาบัติ
    บางท่านก็เป็นพระอริยเจ้าก็เข้าถึงผลสมาบัติเป็นต้น
    อย่างนี้มีผลมาก


    ๖. วิหารทาน (การก่อสร้างถาวรวัตถุ)

    พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า การถวายทานกับพระองค์เอง ๑๐๐ ครั้ง
    มีผลไม่เท่ากับถวายสังฆทาน ๑ ครั้ง
    ถวายสังฆทาน ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายวิหารทาน ๑ ครั้ง
    นี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนี้

    แต่มีบางท่านบอกว่า พระนี่ไม่น่าจะทำการก่อสร้าง
    ควรจะสอนคนให้เป็นพระหรือสอนให้เป็นคน
    สอนคนให้เป็นคนน่ะไม่ต้องไปสอนเขา
    เขาเป็นคนกันอยู่แล้ว
    ทีนี้สอนคนให้เป็นมนุษย์น่ะสอนยาก
    สอนคนให้เป็นพระนี่สอนยาก
    ในเมื่อญาติโยมพุทธบริษัทมีใจเป็นพระขึ้นมา
    ทำไมจะต้องลิดรอนกำลังใจกัน
    เพราะการก่อสร้าง เป็นความดีของญาติโยม
    การทำบุญทุกอย่างเป็นเรื่องของพระ
    ถ้าคนจิตใจไม่ถึงพระนี่ทำบุญไม่ได้เลย


    ๗. วัตถุมงคล

    การแจกพระบางท่านอาจจะคิดว่า ไม่มีผลหรือทำให้คนติดวัตถุ
    ถ้าถือว่าเป็นวัตถุก็น่าติด แต่ถ้าถือว่าเป็นพระก็ต้องคิด
    ที่พ่อแจกพ่อไม่เคยโฆษณาว่า พระที่พ่อแจกไปมีอานุภาพอะไร
    มีความต้องการอยู่อย่างเดียวคือ ให้คนมีความรู้สึกว่ามีพระอยู่ที่ตัว
    อารมณ์ที่รู้สึกว่ามีพระอยู่กับตัว อารมณ์ย่อมเป็นกุศล
    กุศลนิดหน่อย ถ้ามีความรู้สึกบ่อย ๆ
    สามารถทำให้คนที่ตายไปแล้ว จิตนึกถึงพระอยู่เสมอ
    อย่างเบาก็เกิดเป็นเทวดา
    อย่างกลางก็เกิดเป็นพรหม อย่างสูงก็ไปนิพพาน

    แบบพ่อค้าที่หวังกำไรน้อย แต่ได้บ่อย ๆ ก็รวยได้ฉันนั้น
    แต่ทว่าความรู้สึกนึกคิดของคนอื่นเป็นอย่างไรนั้น พ่อไม่คำนึง
    คำนึงอย่างเดียว คือ สงเคราะห์คนบารมีอ่อน
    คนที่มีบารมีเป็นปรมัตถบารมี พ่อไม่ห่วง
    พวกนั้นท่านไม่ต้องเกาะราวหรือไม้เท้าก็เดินไหว
    สำหรับคนที่บารมีอ่อน ยังต้องเกาะราวและไม้เท้า
    จึงต้องอาศัยวัตถุ คือพระพุทธรูปสงเคราะห์


    ๘. การฟังธรรมในสมัยพุทธกาล

    คนสมัยนั้นท่านฟังเทศน์ครั้งเดียวก็จบกิจ
    ท่านไม่ได้ฟังเฉย ๆ หมายความว่า ฟังด้วยความตั้งใจ
    การตั้งใจจำถ้อยคำที่พระพุทธเจ้าเทศน์ ตัวนี้เป็นสมาธิ
    และเมื่อจำแล้วก็พยายามคิดตามไปด้วย ตัวนี้เป็นปัญญา
    ฉะนั้น เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์
    คนทุกคนพร้อมไปด้วยศีล หมายความว่า
    เวลานั้นใจเราบริสุทธิ์ ปราศจากปัญจเวร ๕ ประการ
    และมีความตั้งใจฟังคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา
    และคิดตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จ
    พระทรงสวัสดิ์โสภาคด้วยปัญญา
    เมื่อเทศน์จบ ใจท่านก็จบจากกิจของพระพุทธศาสนา
    นั่นคือ เป็นพระอรหันต์
    หากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน
    ทำได้อย่างนั้นก็เชื่อว่าจะมีผลเช่นเดียวกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 มีนาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...