ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม วันพ่อแห่งชาติ วันที่ ๕ - ๑๐ ธันวาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 14 มกราคม 2025 at 22:48.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,193
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,596
    ค่าพลัง:
    +26,443
    ก่อนทำวัตรเย็น วันอาทิตย์ที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๗


    เรื่องของการปฏิบัติธรรม เป็นเรื่องของตัวใครตัวมันที่ชัดเจนที่สุด ไม่สามารถที่จะทำแทนกันได้ ใครทำคนนั้นได้ พอ ๆ กับกินข้าว มีคนอื่นกินแล้วเราอิ่มบ้างไหม ? ไม่มี..เราต้องกินเอง

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้นถ้าหากว่าร่างกายนี้หิวง่าย ต้องกินทั้งวัน แล้วเราก็ไปกินเช้า-เย็นบ้าง เช้า-กลางวัน-เย็นบ้าง ก็แปลว่าตอบสนองความต้องการของร่างกายไม่ทัน นี่เปรียบให้ฟังว่า ถ้าเราสู้กับกิเลสแค่เช้า-กลางวัน-เย็น โอกาสชนะไม่มี ต้องสู้กันชนิดเอาชีวิตเข้าแลกทั้งวันทั้งคืน จะหลับ จะตื่น จะยืน จะนั่ง ต้องพร้อมที่จะรบราฆ่าฟันห้ำหั่นกับกิเลสอยู่เสมอ ก็คือรบด้วยศีล รบด้วยสมาธิ รบด้วยปัญญา

    มีคนถามว่า "องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าห้ามไม่ให้พระมีเพศสัมพันธ์ ไม่เป็นการผิดธรรมชาติหรือ ?" ต้องถามว่า "ธรรมชาติแบบไหน ?" ธรรมชาติแบบสมมติทางโลกหรือเป็นธรรมชาติของธรรมแท้ พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามเรื่องราคะอย่างเดียวนะ พวกเราอย่าเข้าใจผิด..!

    อุปะสัมปันเนนะ ภิกขุนา อะทินนัง เถยยะสังขาตัง นะ อาทาตัพพัง อุปสัมบันคือผู้บวชทั้งหลาย ต้องละเว้นจากการลักขโมย ห้ามอะไร ?
    ห้ามความโลภ

    สัญจิจจะ ปาโณ ชีวิตา นะ โวโรเปตัพโพ อุปสัมบันทั้งหลายพึงละจากการเบียดเบียน ตัดซึ่งชีวิตของผู้อื่น ห้ามอะไร ?
    ห้ามโทสะ

    แล้วคราวนี้ถึงจะไปโน่น อุปะสัมปันเนนะ ภิกขุนา เมถุนโน ธัมโม นะ ปะฏิเสวิตัพโพ อุปสัมบันทั้งหลาย พึงเว้นจากการเสพเมถุนธรรม คือเรื่องของคนคู่ ห้ามเรื่องอะไร ?
    ห้ามราคะ

    ถ้าสามารถละเว้นทั้งหมดนี้ได้ก็แปลว่าโมหะไม่มี ก็แปลว่ากิเลสใหญ่ที่มีหน้าตาชัด ๆ ก็คือสามตัว ราคะ โลภะ โทสะ ท่านไม่ได้ห้ามเฉพาะเรื่องของกามารมณ์ที่เป็นส่วนของราคะ แต่ห้ามทุกอย่าง

    เพียงแต่กามารมณ์เป็นเรื่องของการสร้างโลก ซึ่งธรรมชาติจะบังคับพวกเราเองโดยอัตโนมัติ ถึงเวลาระบบร่างกายจะกระตุ้นให้ต้องการสืบพันธุ์ แต่ไม่ได้หมายความว่าถึงเวลาแล้วสภาพของเราจะไม่บังคับให้เราโลภ ไม่ได้บังคับให้เราโกรธ ก็บังคับอยู่เป็นปกติ เพราะว่าถ้าไม่ไขว่คว้ามาเราอาจจะไม่มีอะไรไว้อุปโภคบริโภค ก็คือถึงแก่ความตาย ถ้าหากว่าไม่โกรธเกรี้ยวเข่นฆ่าล้างทำลายกัน เราอาจไม่มีพื้นที่สำหรับดำรงชีวิต..ตาย ก็แปลว่าเรื่องของรัก โลภ โกรธ เป็นเรื่องปกติ
     
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,193
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,596
    ค่าพลัง:
    +26,443
    คราวนี้ในเรื่องของทางธรรมเราจำเป็นต้องเว้นจากกิเลสใหญ่ทั้งหลายเหล่านี้ทุกประการ ไม่ใช่เว้นเฉพาะกามารมณ์ โปรดอย่าเข้าใจผิด พระพุทธเจ้าให้เราเว้นทุกอย่าง

    การปฏิบัติธรรมเป็นการทวนกระแสโลก แรก ๆ เราไม่แข็งแรงทวนกระแสไม่ไหวหรอก ไหลตามน้ำตลอดเวลา หลังจากพยายามต่อสู้ฝึกฝนไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มแข็งแรงบ้าง ว่ายทวนน้ำได้บ้าง หมดแรงรามือเมื่อไรก็ลอยตามน้ำไปอีก จึงต้องฝึกฝนตนเองอยู่ทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที เพื่อที่จะต่อต้าน รัก โลภ โกรธ หลง แต่ท้ายที่สุดยิ่งต่อต้านยิ่งแพ้ เพราะเราไม่เข้าใจว่ามันเกิดได้อย่างไร

    รัก โลภ โกรธ หลง มีทุกคนเป็นปกติ เพียงแต่ว่าเราต้องคอยระมัดระวัง ตาเห็นรูปห้ามคิด หูได้ยินเสียงห้ามคิด จมูกได้กลิ่นห้ามคิด ลิ้นได้รสห้ามคิด กายสัมผัสห้ามคิด คิดเมื่อไรถ้าไม่เป็นราคะก็เป็นโทสะ ถ้าเป็นราคะ..เกิดความยินดี ก็จะโลภะ..อยากมีอยากได้ เจ้าสองตัวนี้มาด้วยกัน ถ้าหากว่าไม่ชอบใจ..ก็เป็นโทสะ กินเราทั้งขึ้นทั้งล่อง

    ดังนั้น..ถ้าหากว่าเราจะคิด ต้องคิดแบบคนมีปัญญา คือคิดอย่างไรให้คุณงามความดีเจริญ ไม่ใช่คิดให้กิเลสเจริญ

    ก็แปลว่าอันดับแรกเราต้องมีสติ รู้ให้ทันว่าตอนนี้ราคะเกิด ตอนนี้โทสะเกิด ตอนนี้โลภะเกิด แล้วก็ใช้กำลังสมาธิหักห้ามตัวเอง ไม่ให้คล้อยตามราคะโลภะโทสะนั้น ๆ นี่แค่เบื้องต้น

    หักห้ามตนเองได้แล้วทำอย่างไรจึงจะดึงตัวเองให้ออกห่างมาได้ ? ตอนนี้งานหนักกว่าเดิม ไม่ใช่ทวนกระแสเฉย ๆ ต้องตัดกระแสให้ได้ด้วย

    ถ้าหากว่าสติของเราอยู่กับปัจจุบันตรงหน้า ไม่ไปไหน อยู่กับลมหายใจเข้าออกแค่นี้ ยืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม กิน คิด พูด ทำ ความรู้สึกทั้งหมดอยู่กับลมหายใจเข้าออกแค่นี้ กิเลสจะกินเราไม่ได้ เพราะว่ากิเลสเกิดจากการที่เราหวนหาอาลัยในอดีตหรือฟุ้งซ่านในอนาคต "คนโน้นหล่อดีนะ..เป็นแฟนเราก็ดี"
    นี่เป็นอนาคต "เคยมีแฟนหล่อแบบนี้ ตอนนี้เขาไปมีคนใหม่แล้ว" นี่เป็นอดีต
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,193
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,596
    ค่าพลัง:
    +26,443
    อยู่ตรงนี้ หยุดคิดให้ได้ อยู่กับลมหายใจเข้าออกให้ได้ ถ้าหยุดอยู่กับปัจจุบันได้ กิเลสทั้งหมดเกิดไม่ได้ ก็จะดับหมดโดยอัตโนมัติ แต่..แต่ดับได้ชั่วคราว พุท..ดับ ยังไม่ทันจะ โธ เลย..เกิดแล้ว..! เพราะว่าสติของเราไม่เท่าทัน ไปปรุงแต่งตอนไหนไม่รู้ ? เราจึงต้องมาฝึกฝนสมาธิ

    สมาธิเข้มข้นเท่าไร สติจะว่องไวแหลมคมเท่านั้น

    สติ สมาธิ ว่องไวแหลมคมหนักแน่นเท่าไร ปัญญาจะเกิดมากเท่านั้น


    อันดับแรกหยุดอยู่ตรงนี้ อยู่กับลมหายใจเข้าออกก่อน ไม่ต้องไปไหน เผลอหลุดไปเมื่อไร รีบดึงกลับมา ดึงหูมันกลับมา กลับมาอยู่ตรงนี้ กับลมหายใจเข้าออก มาภาวนากับเรานี่ มาทำวัตรเย็นกันก่อน..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,193
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,596
    ค่าพลัง:
    +26,443
    ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า วันจันทร์ที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๖๗


    ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังคงสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ ผู้ใดปฏิบัติตามย่อมได้รับผลมากน้อยตามแต่วาสนาของตน คราวนี้การที่จะได้รับผลนั้น จะต้องทุ่มเทจนสุดความสามารถของตัวเอง ไม่ใช่เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ ก็เหมือนกับวิ่งแข่งชิงเหรียญทองโอลิมปิก ถ้าเราไม่พยายามจนเต็มที่ วินาทีสุดท้ายอาจจะโดนคนอื่นปาดหน้าตรงเส้นชัย นำเอาเหรียญทองไปแทน ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็โทษใครไม่ได้..!

    คราวนี้พวกเราทั้งหลายอยู่ในลักษณะของคนที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อเอาผล แต่ถ้าหากว่าการปฏิบัติเพื่อเอาผลแล้ว เรามีกำลังใจในการฝึกฝนตนเองแค่นี้ ก็เป็นที่น่าหนักใจว่า "ผลนั้นจะเกิดชาติไหนกันแน่ ?"

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ให้พวกเราหวังชาติอื่น โดยเฉพาะพระองค์ท่านสอนให้เราอยู่กับปัจจุบัน ดังบาลีที่ว่า อตีตํ นานุโสจนฺโต นปฺปชปฺปนฺนาคตํ ปจฺจุปฺปนฺเนน ยาเปนฺโต ก็คือไม่ให้หวนหาอาลัยอดีต ไม่ให้ฟุ้งซ่านไปในอนาคต ให้จดจ่ออยู่กับปัจจุบันตรงหน้านี้เท่านั้น

    พวกเราส่วนใหญ่แล้วความฟุ้งซ่านมีมาก ถามว่ามากแค่ไหน ? ก็แค่จะเดินมาปฏิบัติธรรม ยังเรียกคนโน้น ตะโกนหาคนนี้ มาไม่ทันก็เรื่องของแม่งสิ..! เราก็ไปของเรา เพราะว่าในเรื่องของการปฏิบัติธรรมก็เหมือนกับเรากินข้าว กินแทนกันไม่ได้ คนอื่นกินเราก็ไม่อิ่ม

    ในขณะเดียวกันคนอื่นปฏิบัติธรรมผลก็เกิดแก่เขา ไม่ใช่เกิดแก่เรา จึงเป็นเรื่องที่เลิกห่วงคนอื่นได้แล้ว ถ้าจะห่วงก็ห่วงตัวเองเถอะ ว่าตัวเราชาตินี้จะรอดจากนรกหรือเปล่า ?! ชั่วมาเสียเยอะเสียแยะแล้ว ทำดีแค่นี้ไม่มีกำลังใจที่จะต่อสู้ฟันฝ่า ก็ดูท่าจะไม่รอดแน่..! เราต้องเตือนตัวเราเอง พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนแล้ว อัตตนา โจทยัตตานัง จงกล่าวโทษโจทก์ตนเองเอาไว้เสมอ
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,193
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,596
    ค่าพลัง:
    +26,443
    หลวงปู่เจ้าคุณนรรัตนราชมานิต (ธมฺมวิตกฺโก) วัดเทพศิรินทราวาส ท่านบอกว่า

    ผิดหนึ่งพึงจดไว้...............ในสมอง
    เร่งระวังผิดสอง..................ภายหน้า
    สามผิดเร่งคิดรอง.......จงหนัก เพื่อนเอย
    ถึงสี่อีกทีห้า...............หกซ้ำ อภัยไฉน !


    ก็คือผิดแล้วต้องเอามาเป็นครู เอามาเป็นบทเรียน เราจะต้องไม่ผิดในลักษณะนั้นอีก คราวนี้ของพวกเรา "ผิดเป็นครู" บ่อยเกินไป ปัจจุบันนี้ผิดจนเป็นศาสตราจารย์พิเศษไปแล้ว..! เฉพาะเงินค่าวิชาการนี่ท่วมเงินเดือนเลย..! เพราะว่าเราไม่จดไม่จำแล้วก็ไม่เข็ด กับการที่ตกเป็นทาส โดนกิเลสจูงจมูกมาชาติแล้วชาติเล่าแม้แต่ชาตินี้ แค่ตั้งใจจะลดน้ำหนักยังโดนจูงจมูกให้เราไปกิน ลดไม่ได้จนทุกวันนี้ แล้วจะไปทำอย่างอื่นได้อย่างไร ? อันนี้ไม่ได้ว่าใครนะ..ว่าตัวเอง..!

    เราจะไปโทษคนอื่นไม่ได้ทั้งสิ้น โทษดิน โทษฟ้า โทษอะไรไม่ได้ โทษได้แต่ตัวเอง ทุกวันนี้เราเกิดมาเพราะเราทำเอง มนุษย์เรานี่โคตรเก่งเลย สร้างสวรรค์ สร้างพรหม สร้างนิพพานได้ ที่เก่งสุดก็คือสร้างนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานไว้เพียบเลย..!

    เคยไปดูเขาตีอวนไหม ? ถึงเวลาดึงปลาขึ้นมาทีหนึ่ง ๕ ตัน ๑๐ ตัน เทลงไปนับตัวไม่ถ้วนว่ากี่ล้านตัว แต่ละตัวเท่านิ้วมือ นั่นหนึ่งตัวก็คือหนึ่งชีวิตที่ต้องไปชดใช้กรรม อะไรจะทำกรรมกันได้มากมายมหาศาลขนาดนั้น..!

    มีหลวงตาอยู่รูปหนึ่งท่านบอกกระผม/อาตมภาพว่า "ท่านเล็ก..รู้ไหมว่าทำไมพวกสัตว์ทะเลไม่หมดไปสักที ? ก็เพราะว่าคนเรามีสภาพจิตที่ไหลลงต่ำ เหมือนอย่างกับน้ำที่ไหลลงทะเล ในเมื่อเป็นเช่นนั้นถึงเวลาฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไว้ ก็เลยลงไปเกิดอยู่ในทะเลกันเสียมากต่อมาก"

    อาตมภาพฟังแล้วก็ "เออ..หลวงตาพูดดี แต่ไม่ถูก" เพราะว่าสิ่งที่แท้จริงนั้นก็คือ
    เราฆ่าสัตว์อะไรไว้กี่ตัว เราต้องไปเกิดเพื่อชดใช้กรรมที่ฆ่าเขาจำนวนเท่าที่ได้ฆ่าเอาไว้ ไม่ใช่ว่าใครฆ่าสัตว์แล้วต้องลงทะเลเสียหมด บินอยู่บนฟ้า มุดรูอยู่ใต้ดิน วิ่งอยู่ในป่าเยอะแยะไป สำคัญที่ว่าฆ่าตัวอะไรไว้บ้างต่างหาก
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,193
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,596
    ค่าพลัง:
    +26,443
    สมัยนี้ไม่ค่อยได้ฆ่า "เบื้อ" กันแล้วกระมัง อาตมาได้ยินข่าวครั้งสุดท้ายน่าจะเกือบ ๔๐ ปีแล้ว อยู่ที่ป่าภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ เบื้อเป็นสัตว์ตระกูลโฮโมเซเปียนนี่แหละ เพียงแต่พัฒนาการไม่สมบูรณ์ จึงไม่มีหัวเข่า รูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกอย่างแต่คล้าย ๆ กับพวกคนป่า มีเปลือกไม้นุ่งบ้าง ไม่มีบ้าง

    ส่วนใหญ่แล้วคนเวลาล้อมล่าเบื้อ ก็จะเอาเถาวัลย์ไปขึงไว้ระดับหน้าแข้ง ขึงเอาไว้รอบ ๆ บริเวณที่เบื้ออยู่ แล้วก็เฮกันเข้าไป เจ้าพวกเบื้อพอวิ่งหนีไป ก็จะสะดุดเถาวัลย์ล้ม แล้วลุกขึ้นไม่ได้เพราะไม่มีหัวเข่า ต้องตะเกียกตะกายดึงตัวเองไปจนเจอต้นไม้ แล้วเกาะต้นไม้ลุกขึ้นค่อยวิ่งต่อ แต่ถ้าวิ่งได้นี่จะเร็วกว่าเรามาก

    สมัยก่อนเขาจับมาทำอาหาร อาตมาไม่เคยเห็นคาตา ได้ยินแต่เขาเล่าว่า บางทีคนก็จับตัวเมียมาข่มขืน เพราะก็เหมือนกับคนดี ๆ นี่แหละ เพียงแต่เป็นคนป่า อาตมาไม่เคยเห็นเขากินเบื้อ แต่เคยเห็นเขาจับลิงถอดเสื้อ ถึงเวลาก็ตัดหัว ตัดมือ ตัดตีน เอามีดกรีดหน้าอก กรีดมาทางแขน กรีดทางขา ลอก คว่าก..! อย่างกับจับเด็กถอดเสื้อ

    ตอนนั้นพาโยมขึ้นไป ๔ - ๕ คน เขาถอดเสื้อเสร็จก็จัดแจงปิ้งกันตรงนั้นเลย สุมไฟอ่อน ๆ รมควันไว้ทั้งคืน แล้วกลิ่นก็เข้ามาทางที่นอน ๔ - ๕ คนที่ไปด้วยไม่มีใครนอนหลับเลย เขาบอกว่า "ภาพมันติดตา เหมือนกับเด็กไม่ได้ใส่เสื้อ..!" อย่างนั้นก็ต้องไปเกิดใช้เขาชาติละตัวตามจำนวนที่ฆ่าเอาไว้
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,193
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,596
    ค่าพลัง:
    +26,443
    การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ใน ๓๑ ภพภูมินั้นน่ากลัวมาก เพราะเราไม่ว่าจะเกิดอยู่ในภพไหนภูมิไหนก็มีแต่ความทุกข์ ไม่ว่าจะอยู่ในภูมิของฉกามาวจร (เทวดานางฟ้า ๖ ชั้น) อยู่ในภูมิของรูปพรหม ๑๖ ชั้น ก็รอดไปได้แค่ ๕ ชั้น อยู่ในภูมิของอรูปพรหม ๔ ชั้น ไม่รอดสักชั้น..! รูปพรหม ๑๖ ชั้น รอดไปได้ ๕ ขั้นเพราะว่าสุทธาวาสพรหม ๕ ชั้นท่านเป็นพระอนาคามี ไม่ต้องลงมาทุกข์ข้างล่างอีก ทุกข์อยู่ข้างบนแค่รอว่าเมื่อไรจะบรรลุ เฮ้อ..นานโคตร ๆ..! ๕ ชั้นเขาแบ่งเป็น

    อันตราปรินิพพายี ปรินิพพานเสียในระหว่างอายุ ก็คือจะช่วงไหนก็ได้
    อุปหัจจปรินิพพายี ปรินิพพานเมื่ออายุได้กึ่งหนึ่ง สมมุติว่ารูปพรหมชั้นนั้นอายุสองหมื่นมหากัป ได้หนึ่งหมื่นมหากัปถึงจะบรรลุ โอ้..พระเจ้า นานแค่ไหนวะ ?
    สสังขาราปรินิพพายี ใช้ความเพียรพยายามมากเพื่อบรรลุ
    อสังขาราปรินิพพายี ไม่ต้องใช้ความเพียรพยายามมาก
    อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี อันสุดท้ายยากที่สุด ค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นไป ถึงยอดเขาเอเวอเรสต์เมื่อไรก็บรรลุ แล้วจะไม่ทุกข์ได้อย่างไร รอนานขนาดนั้น ?!

    เพราะฉะนั้น..ต่อให้เป็นสุทธาวาสพรหมก็ยังมีทุกข์ ก็คือต้องเพียรพยายามเพื่อความหลุดพ้น ส่วนพวกเราต่ำเตี้ยเรี่ยดินอยู่แค่นี้ ไม่คิดจะพยายามทำอะไรเลย ? จะใช้คำว่า "สมควรตาย" ก็ไม่ใช่ "สมควรเกิดต่อไป..!"

    ใช้คำว่า ทุกขา ชาติ ปุนัปปุนัง เกิดเมื่อไรก็ทุกข์แล้วทุกข์อีก
    เย จะ โข สัมมะทักขาเต ธัมเม ธัมมานุวัตติโน
    เต ชะนา ปาระเมสสันติ มัจจุเธยยัง สุทุตตะรัง

    ไม่มีใครรอดฝีมือมัจจุราชได้เลย..!

    กัณหัง ธัมมัง วิปปะหายะ สุกกัง ภาเวถะ ปัณฑิโต
    บัณฑิตจึงพยายามประพฤติในกรรมอันขาว ละกรรมอันดำเสีย ก็คือทำดีละชั่ว

    โอกา อะโนกะมาคัมมะ วิเวเก ยัตถะ ทูระมัง
    เพื่อที่จะข้ามฝั่งแห่งโอฆะ ก็คือห้วงน้ำแห่งกิเลสนี้ให้ได้
     
  8. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,193
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,596
    ค่าพลัง:
    +26,443
    มีใครว่ายน้ำไม่เป็นบ้าง ? ห้วงโอฆะหรือห้วงน้ำแห่งกิเลสนี้ ว่ายไม่เป็นก็จมตาย ว่ายเป็นก็จมตาย เพราะว่าใหญ่เหลือเกิน มีอย่างเดียวก็คือต้องขึ้นฝั่งให้ได้ ถ้าขึ้นฝั่งไม่ได้ มีเกาะให้ขึ้นก็ยังรอดได้ชั่วคราว ประมาณพวกทรงฌาน ทรงสมาบัติ เกิดเป็นพรหมบ้าง เป็นอรูปพรหมบ้าง แต่พลาดลงไปเมื่อไรก็เรียบร้อย จมห้วงโอฆะต่อไป ฟังแล้วเครียด..!

    ดังนั้น
    ..เวลา ทุกนาที ทุกวินาที ต้องอยู่กับการปฏิบัติธรรม ต่อให้เข้าถึงมรรคผลชาตินี้ไม่ได้ ก็ขอให้เส้นทางการข้ามทะเลทุกข์นี้เหลือให้สั้นที่สุดเท่าที่จะสั้นได้ ไม่อย่างนั้นแล้วก็ทรมานกันไม่รู้จบ ตกเป็นเหยื่อของวังวนบ้าง ของคลื่นลมบ้าง ของปลาร้ายบ้าง ไม่มีโอกาสได้รอดพ้นขึ้นมาสักที

    เคยดูหนูถีบจักรไหม ? สมัยนี้เขาเรียกหนูแฮมสเตอร์ สมัยอาตมภาพเล็ก ๆ เขาเรียกหนูถีบจักรบ้าง หนูตะเภาบ้าง แต่เจ้าพวกนั้นไม่ใช่แฮมสเตอร์ตัวเล็ก ตัวใหญ่กว่าหน่อยหนึ่ง ถึงเวลาเขาก็ทำกงล้อให้ ขึ้นไปมันก็วิ่ง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ เหมือนอย่างกับวิ่งได้ไกลมากเลย แต่..อยู่กับที่..!

    พวกเราก็คล้าย ๆ อย่างนั้นแหละ มีทางเดียวที่จะรอดคือออกจากวงเวียนนั้นเสีย ไม่ใช่วิ่งไปเรื่อย ๆ พระพุทธเจ้าของเราสุดยอดมาก ที่มองว่าต้องออกจากวงเวียนนี้ ไม่ใช่ต้องวิ่งไปข้างหน้า แล้วพระองค์ก็แสวงหาทางออกได้สำเร็จ หลังจากนั้นเอามาบอก พวกเราก็ฟังผ่านหู สิ่งที่ท่านบอกมาเข้าท่าดี แต่ตอนนี้วิ่งกำลังมันอยู่เลย ขอวิ่งอีกหน่อยแล้วกัน สมควรเกิดไม่ใช่สมควรตาย..!
     
  9. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,193
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,596
    ค่าพลัง:
    +26,443
    เดี๋ยววันนี้พวกเราปฏิบัติธรรมก็เต็มวัน พรุ่งนี้ตี ๓ ภาวนาพระคาถาเงินล้าน หลังจากนั้นแล้วมีใส่บาตรพิเศษที่ตลาดริมแคว เพราะว่าเพื่อนพระอุปัชฌาย์จะพาญาติโยมมา ที่มารวม ๆ กันอายุก็น่าจะเกินพันปี..! อาตมภาพต้องไปต้อนรับขับสู้เพื่อนฝูง แล้วก็ต้องจัดประชุม พวกเราช่วงสายปฏิบัติธรรมกันอีกหนึ่งรอบ แล้วกลับบ้านได้

    เหลือกันอยู่แค่นี้ ที่เหลืออยู่แค่นี้ไม่ใช่ดีนะ มาทีหลังก็มี ส่วนที่มาก่อนอุตส่าห์ลงทุนสมัครมา ไม่เจอหน้าเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนเลยหนีกลับบ้าน กิเลสเฟื่องฟู เจอหน้าเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนกิเลสหงอย ๆ หน่อยไม่มีแรงจะวิ่ง ก็ไม่ว่ากัน ต่างคนต่างไป เขาไปตามทางของเขา เราไปตามทางของเรา

    ใครเป็นคนเหนือบ้าง ? คนเหนือเขามีภาษิตว่า "ตางหนูหนูไต่ ตางไหน่ไหน่เตียว" ก็คือหนูไปตามทางของหนู กระรอกกระแตก็ไปตามทางของกระรอกกระแต เกิดไม่ทัน ไม่เคยได้ยินใช่ไหม ? ของโบร่ำโบราณดี ๆ เยอะแยะ หายหมด..!

    พ่อแม่ปู่ย่าตาทวดของเราท่านสร้างสมบุญกันทุกวัน สวดมนต์ ไหว้พระ ใส่บาตร รักษาศีล กราบหมอนก่อนนอน อยู่กับความดีทั้งวัน แล้วสมัยนี้เราทำอะไรบ้าง ? ถ้าไม่ได้มาวัดปฏิบัติธรรมนี่ไม่ได้อยู่ใกล้ความดีบ้างเลย แล้วจะไปสู้คนโบราณเขาได้อย่างไร ?

    คนโบราณเขาสะสมความดีกันทั้งวันทั้งคืน ตื่นเช้าขึ้นมาก็เข้าห้องพระสวดมนต์ไหว้พระก่อน บางท่านเจริญภาวนาอีกต่างหาก ทำอาหารเช้าเสร็จ ถวายข้าวพระ แล้วไปใส่บาตร หลังจากนั้นค่อยออกไปทำไร่ไถนาหรือว่าเดินทางไปทำงานในเมืองกัน บางคนเคร่งครัดกว่านั้นอีก จะกินก็ภาวนา จะนอนก็ภาวนา ส่วนเราอะไรก็ไม่เอา เดินห้างดีกว่า..! แทนที่จะภาวนาจับภาพพระ ก็อุตส่าห์สมัครเน็ตฟลิกซ์ เสียสตางค์ไปแล้วนั่งดูซะหน่อย ว่าจะดูหน่อยแต่ล่อไปเสีย ๓ ชั่วโมง..! ทีจะนั่งกรรมฐานสัก ๓๐ นาที ได้ ๓ นาทีก็ไม่เอาแล้ว ทำไมกำลังใจถึงต่างกันขนาดนั้น..! สรุปว่าทำชั่วง่ายกว่า..ใช่ไหม ?

    เราไปกอบโกยเอาสิ่งที่ไม่ดีมาทับถมตัวเอง ยิ่งถมก็ยิ่งหนา ขุดออกยาก คราวนี้พอขุดยากก็ต้องใช้ความเพียรพยายาม ขุดแล้ว ขุดเล่า ขุดไม่เลิก กว่าที่จะหลุดออกมาได้ แต่ของเรานี่ขุดสามทีแล้วกูก็นอนดีกว่า..! ก็น่าจะโดนฝังไว้ในนั้นต่อไป ทำแค่นั้นจะไปไหนได้ล่ะ ? ฟังหลวงพ่อบ่นแล้วเซ็ง..ใช่ไหม ?

    โดยเฉพาะของเรา เมื่อเช้าญาติโยมมากันครบ พระมา ๔ รูป ที่เหลือค่อย ๆ ขยับมาตามเวลา พอเลิกกรรมฐานก็มากันเกือบครบ..ดีมากเลย..! จะต้องเป็นผู้นำชาวบ้านเขา แต่กำลังใจมีแค่นั้น ชาวบ้านเขาจะเคารพพระเพราะว่าพระมีสิ่งที่แปลกแยกและดีเด่นกว่า แต่ถ้าทำอะไรไม่ต่างจากญาติโยมสักอย่างเดียว แล้วจะเอาอะไรมาดีเด่นกว่าเขา ?

    เดี๋ยวพวกเราสมาทานพระกรรมฐานแล้วเข้าสู่การปฏิบัติรอบสายกัน
     
  10. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,193
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,596
    ค่าพลัง:
    +26,443
    ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันจันทร์ที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๖๗


    (เสียงตามสายหลวงพ่อวัดท่าซุงจบ) เมื่อครู่นี้ฟังชัดไหม ? เรื่องเนรคุณ เนร มาจากศัพท์ว่า นิร (นิ-ระ) แปลว่า ไม่, ไม่มี เนรคุณก็คือไม่มีคุณด้วย..!

    ในส่วนนี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงบุคคลผู้หาได้ยากสองประเภท ประเภท ประเภทแรกเรียกว่าบุรพการี คนไทยเราเรียกง่าย ๆ ว่าบุพการี ก็คือผู้กระทำคุณแก่เราก่อน

    ประเภทที่สองเรียกว่ากตัญญูกตเวที ก็คือผู้รู้คุณแล้วก็ตอบแทนท่าน อย่างเช่นว่า พระพุทธเจ้าทำคุณกับพุทธศาสนิกชนก่อน พุทธศาสนิกชนรู้คุณก็ปีนเสา เอ๊ย..ไม่ใช่..! ก็ตอบแทนท่านด้วยการช่วยปกป้องพระพุทธศาสนา

    พระมหากษัตริย์ทำคุณกับพสกนิกรก่อน พสกนิกรก็เทิดทูนพระองค์ท่าน รักใคร่สามัคคี สร้างความเป็นปึกแผ่นแก่ประเทศชาติ ครูบาอาจารย์ทำคุณแก่พวกเราก่อน เราก็เคารพกราบไหว้ ให้การรับใช้

    ตรงนี้ต้องเข้าใจสภาพสังคมสมัยก่อน ก็คือการเรียนวิชาสมัยก่อน เขาไปอยู่กับครูเลย ในเมื่อไปอยู่กับครู ก็ต้องมีการช่วยเหลืองานของครูเป็นปกติ ทำการบ้านการเรือน ทำเรือกสวนไร่นา เวลาที่เหลือก็มาศึกษาวิชาการ แบบเดียวกับพระอภัยมณีกับศรีสุวรรณที่ไปเรียนวิชากับอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เรียนกันมาลืมหมดหรือยัง ?

    แต่ปางหลังยังมีกรุงกษัตริย์
    สมมุติวงศ์ทรงนามท้าวสุทัศน์.............ผ่านสมบัติรัตนานามธานี
    อันกรุงไกรใหญ่ยาวสิบเก้าโยชน์.............ภูเขาโขดเป็นกำแพงบุรีศรี
    สะพรึบพร้อมไพร่ฟ้าประชาชี........................ชาวบุรีหรรษาสถาวร
    มีเอกองค์นงลักษณ์อัครราช..............พระนางนาฏนามปทุมเกสร
    สนมนางแสนสุรางคนิกร...........................ดังกินนรน่ารักลักขณา
    มีโอรสสององค์ล้วนทรงลักษณ์..........ประไพพักตร์เพียงเทพเลขา
    ชื่ออภัยมณีเป็นพี่ยา..............................พึ่งแรกรุ่นชันษาสิบห้าปี
    อันกุมารศรีสุวรรณนั้นเป็นน้อง............เนื้อดังทองนพคุณจำรูญศรี
    เพิ่งโสกันต์ชันษาสิบสามปี......................พระชนนีรักใคร่ดังนัยนาฯ​
     
  11. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,193
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,596
    ค่าพลัง:
    +26,443
    อาตมาว่าเริ่มเรียนตอนอายุ ๘ ขวบแล้วนะ ส่วนพระอภัยมณีเรียนวิชาช้ามาก เรียนตอนอายุ ๑๕ ปี ศรีสุวรรณ ๑๓ ปี สมัยก่อนเขาไม่มีกำหนดตายตัว อาตมาคิดว่ามีอยู่อย่างเดียวที่ควรจะเรียนตั้งแต่เด็กคือเรื่องของภาษา ถ้าหากว่าเด็กอายุเกิน ๔ - ๕ ขวบไปแล้ว ลิ้นจะไม่ได้แล้ว ภาษาอังกฤษเขาว่า Mother ธongue ก็คือไม่ได้ลิ้นของภาษาแม่แล้ว ถ้าหากว่าใครจะเรียนภาษาไหนให้แตกฉาน ควรที่จะเรียนตั้งแต่ก่อน ๕ ขวบ ก็จะได้สำนวน ได้สำเนียง ได้อะไรทั้งหมด

    แต่ก็แปลกตรงที่ว่าฝรั่งพูดไทยไม่ชัดสักราย แต่เว้าลาวคักขนาด..! เป็นเพราะอะไร ? เขาบอกภาษาลาวเป็นภาษาสากล สำเนียงจึงได้ แต่ภาษาไทยเป็นภาษาเฉพาะ ก็น่าจะใช่..เรื่องที่ว่าลาวเป็นสากลนี่เราต้องยอมรับ เพราะว่าทุกคนมีไหปลาร้า..! ในเมื่อทุกคนมีไหปลาร้า ความเป็นสากลนี่ชัดเจนมาก..ใช่หรือเปล่า ? นี่ก็ว่าไปเรื่อย..!

    ย้อนกลับมาใหม่ เรื่องของการกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี บาลีเขาบอกว่า ภูมิ เว สปฺปุริสานํ กตญฺญูกตเวทิตา ไม่เคยได้ยินบาลีบทนี้..ใช่ไหม พวกเราเคยได้ยินบทไหน ? เจอบาลีบทอื่นเข้า ไปไม่เป็นกันเลย..!

    ส่วนใหญ่พวกเราจะเคยชินกับ นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญูกตเวทิตา ความกตัญญูคือรู้คุณท่าน และกตเวทิตาคือตอบแทนท่านนั้น เป็นเครื่องหมายของคนดี

    ส่วน ภูมิ เว สปฺปุริสานํ กตญฺญูกตเวทิตา ท่านบอกว่าความกตัญญูคือรู้คุณท่าน กตเวทิตาการตอบแทนคุณท่านนั้น เป็นพื้นฐานของสัตบุรุษทั้งหลาย คำว่าสัตบุรุษแปลง่าย ๆ ว่าคนดี อย่าไปแปลว่าผู้ชาย จะแปลว่าผู้ชายไม่ได้

    ความกตัญญูที่ชัดเจนที่สุดสมัยก่อนต้องคนจีน หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านบอกว่า "ให้สังเกตว่าคนจีนไปอยู่ที่ไหนไม่นานก็จะเจริญรุ่งเรือง เพราะว่าคนจีนมีความกตัญญูเป็นปกติ" อันนี้โดนครอบงำด้วยลัทธิหยู คำว่าหยูนี่คือบัณฑิต หรือนักศึกษา ก็คือเป็นลัทธิที่ขงจื่อ ที่คนไทยชินกับคำว่าขงจื๊อ
     
  12. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,193
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,596
    ค่าพลัง:
    +26,443
    ขงจื๊อเป็นอะไรกับขงเบ้ง ? ไม่ได้เป็นอะไรหรอก คนหนึ่งแซ่ขง อีกคนหนึ่งแซ่จูกั๊วะ ขงเบ้งคือจูกั๊วะเหลียง แต่ว่าชื่อรองคือข่งหมิง คือจีนเขาจะมีชื่อรองตอนโตแล้ว คล้าย ๆ กับชื่อเล่นของคนไทย ถ้าไม่คุ้นกันเขาจะไม่เรียกกันด้วยชื่อรอง บ้านเราชินกับสำนวนจีนฮกเกี้ยนของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ก็เลยกลายเป็นขงเบ้ง แบบเดียวกับที่เราเรียกเล่าปี่ แต่คนจีนไม่รู้จักหรอก รู้จักแต่หลิวเป้ย กวนอูคนจีนก็ไม่รู้จัก เขารู้จักแต่กวนกง เตียวหุยก็ไม่รู้จัก รู้จักแต่จางเฟย

    คนจีนมีความกตัญญูเพราะว่าโดนครอบงำด้วยแนวคิดของขงจื่อ ซึ่งท่านกำหนดเอาไว้ว่า "อกตัญญูมีอยู่สาม ไร้บุตรหลานอยู่อันดับหนึ่ง" ไม่สืบทอดตระกูล..โคตรอกตัญญูเลย..! อาตมาจัดอยู่ในประเภทนี้เลย เพราะว่าไม่แต่งงาน ไม่มีลูกไม่มีหลาน..ใช่ไหม ?

    สมัยก่อนคนโน้นก็โดน คนนี้ก็โดน "เมื่อไรจะแต่งงานสักที ?" "เมื่อไรจะให้พ่อแม่ได้อุ้มหลาน ?" "ปู่ย่าตาทวดอยากจะมีเหลน" อยากมีแล้วทำไมไม่หาเอง..?! ทำไมต้องมาหาจากเรา ? คนจีนกตัญญูอยู่ในสายเลือด เขาจะมีตัวอย่าง ๒๔ กตัญญู ลองไปศึกษาดูบ้างนะ เผื่อว่าใครทำตามแบบได้

    การที่เราจะกตัญญูต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็อย่างที่เรากำลังทำกันอยู่นี่ ก็คือศึกษาและปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม เขาใช้คำว่า ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ

    คำว่า สมควรแก่ธรรม ก็คือ ทำให้เกิดผล ท้าพิสูจน์ได้ ถึงเวลาใครกล่าวตู่ว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าทำไปก็ไม่มีผลหรอก เราจะได้ไปนั่งแก้ตัวให้ได้ เป็นทนายแก้ต่างให้กับพระพุทธศาสนา

    ดังนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ไม่ใช่มานั่งพักผ่อนกัน ไม่ใช่มาฟังหลวงพ่อคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่คือการรักษาอารมณ์ใจตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้ามาในวัด จนก้าวสุดท้ายที่ออกจากวัด แล้วก็ไม่ได้จบแค่นั้น เพราะว่ากิเลสกินเราทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที ก็แปลว่าเราจะต้องรักษาอารมณ์ใจให้อยู่ในด้านดีให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เหตุที่ใช้คำนี้ก็เพราะว่า พวกเรายังไม่สามารถที่จะรักษาอารมณ์ใจให้สม่ำเสมอได้ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน..!
     
  13. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,193
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,596
    ค่าพลัง:
    +26,443
    พวกเราส่วนใหญ่แล้วกลางวันระมัดระวังตัวเอง ไม่ละเมิดศีล ไม่พูดในสิ่งที่ไร้ประโยชน์ พยายามทรงอารมณ์อยู่กับปัจจุบันตรงหน้า แต่พอกลางคืนสมาธิหลุด เผลอสติหลับ คราวนี้ศีลกี่ข้อก็ขาดกระจาย..!

    ใครมายั่วโมโหในความฝันนี่ตบกระจาย..! ตรงไหนยังขยับได้ กระทืบให้นิ่งให้ได้ โห..สะใจมาก..! ลืมไปว่าตัวเองเป็นผู้ปฏิบัติธรรม บางคนกลางวันสำรวมมาก ก้มหน้าก้มตา เพศตรงข้ามไม่อยากมอง กลางคืนหลับหน่อยเดียว เผลอปล้ำลูกชาวบ้านไปเรียบร้อยแล้ว..!

    นั่นคือความจริงของจิตใจของเรา กิเลสในใจของเราคือลักษณะอย่างนั้น ตอนฝันนี่เราขาดสติ เราควบคุมไม่ได้ เราจะได้รู้ว่าของแท้นี่กิเลสท่วมหัวเราอยู่ ต้องระมัดระวังคอยประคับประคองบังคับไว้

    อันดับแรกก็คือ อย่าสร้างกรรมใหม่ เมื่อหยุดการกระทำของใหม่ได้ คราวนี้ก็ค่อย ๆ ขัดเกลาของเก่า บาลีท่านใช้คำว่า สัลเลขตา เป็นผู้ขัดเกลา

    พยายามปรับปรุงกายของเราให้ดีขึ้น ก็คือไม่ไปฆ่าสัตว์ ไม่ไปลักทรัพย์ ไม่ไปประพฤติผิดในกาม ไม่ไปดื่มสุราหรือว่าติดยาเสพติด

    ขัดเกลาวาจาของเรา ก็คือนอกจากไม่โกหกแล้ว ยังไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดวาจาเพ้อเจ้อไร้ประโยชน์ อาจารย์นิกายเซ็นถามลูกศิษย์ว่า "เธอรู้ไหม ทำไมเวลาคนโกรธกันแล้วต้องตะโกนใส่หน้ากันด้วย ?" ลูกศิษย์ตอบว่า "เป็นการระบายโทสะออกมาครับ" อาจารย์ก็ถามต่อว่า "ระบายโทสะอยู่ใกล้แค่นั้น พูดเบา ๆ ก็รู้แล้ว ทำไมต้องตะโกนด้วย ?" ลูกศิษย์ตอบไม่ได้

    อาจารย์ท่านบอกว่า "เพราะว่าตอนที่เราโกรธกันนั้น สภาพจิตใจของเราห่างไกลกันมาก จนต้องตะโกนเพื่อให้ดังไปถึงใจของอีกฝ่ายหนึ่ง" แปลว่าโดนกิเลสทับเอาไว้หนาไปหน่อย ต้องตะโกนใส่กัน แต่ถ้าหากว่าคนเรารักกันนี่ใจเราอยู่ใกล้กันมาก กระซิบข้างหูก็รู้เรื่องแล้ว..! ไม่ต้องเสียงดังหรอก นี่พระอาจารย์พูดเรื่องอะไรวะ ? เอ้าไปต่อ..เราพูดเรื่องของการขัดเกลากาย ขัดเกลาวาจา ออกนอกทางหน่อยเดียว หลงไปเตลิดเปิดเปิงแล้ว..!
     
  14. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,193
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,596
    ค่าพลัง:
    +26,443
    ขัดเกลาในใจ สำหรับพวกเราแล้วง่ายหน่อย..ใช่ไหม ? ไม่คิดโกรธแค้นอาฆาตคนอื่น โกรธได้นะ..แต่ไม่อาฆาต ก็คือไม่ผูกโกรธ ไม่เพ่งเล็งอยากได้ทรัพย์สินคนอื่น อยากได้อะไรต้องหามาถูกต้องตามทำนองคลองธรรม มีสัมมาทิฏฐิ เห็นว่าสิ่งทั้งหลายที่พระพุทธเจ้าสอนมาเป็นของดีเป็นของแท้ เราพึงประพฤติปฏิบัติตาม

    นี่คือการขัดเกลาตัวเอง คราวนี้พวกเราต้องทบทวนว่า เรามาปฏิบัติธรรมที่นี่ ๕ วัน ๔ คืนผ่านไปแล้ว หนีเตลิดกลับบ้านไปหลายราย ที่เหลือมีอะไรดีขึ้นบ้าง ? ชั่วเท่าเดิม ? ชั่วกว่าเดิม ? อันนี้แย่แล้ว เท่าเดิมนี่ยังพอรับได้ หรือมีใครดีขึ้นบ้าง ?

    ถึงเวลาเพื่อนเจ็บไข้ได้ป่วย ไปถึงถาม "เป็นอย่างไรบ้าง ?" เพื่อนตอบ "ค่อยยังชั่วแล้ว" ทำไมไม่บอกว่าค่อยยังดีแล้ว ? แปลว่าอะไร ? ก็แปลว่าชั่วเหมือนเดิม..ใช่ไหม ? เพราะว่าร่างกายเราาหาดีไม่ได้ อยู่กับร่างกายมีแต่ความทุกข์ ก็เลยต้องค่อยยังชั่วแล้ว ก็คือชั่วเหมือนเดิมนั่นแหละ..! ถ้าชั่วเหมือนเดิมแปลว่าดีขึ้น ตอนที่ป่วยร่างกายไปทำอะไรไม่ได้ คิดชั่วได้ แต่พูดชั่วไหวไหม ? เรี่ยวแรงก็ไม่มี ทำชั่วนี่ไม่ต้องพูดเลย..ทำอะไรไม่ได้หรอก ก็เลยดีขึ้น ในเมื่อทำชั่วไม่ได้ก็เลยดีขึ้น ..!

    คราวนี้พอเขาถามว่า "หายแล้วใช่ไหม ?" ตอบไปว่า "ค่อยยังชั่วแล้ว" ก็คือกลับไปชั่วเหมือนเดิมนั่นแหละ..! อย่าไปอธิบายให้คนอื่นเขาฟังอย่างนี้นะ ถ้าเราไม่เข้าใจชัดเจน พูดไปนี่คนฟังไม่รู้เรื่องหรอก ภาษาไทยสนุกมากเลย..ถ้าเรียนถึง..!
     
  15. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,193
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,596
    ค่าพลัง:
    +26,443
    คราวนี้พวกเรามาขัดเกลาแล้ว เราต้องทบทวนให้แน่ใจด้วย พระพุทธเจ้าท่านมีญาณ ๓ อยู่ก็คือ
    สัจจญาณ รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร ?
    กิจจญาณ ทำให้ได้ตามความจริงนั้น ๆ
    กตญาณ ทบทวนว่าเราได้จริงแล้วหรือไม่ ?

    เพราะฉะนั้น..พระพุทธเจ้าท่านเป็นพระวิชชาสาม ท่านบอกว่า

    ปฐมยาม ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ด้วยทิพจักขุญาณอันประเสริฐ สามารถระลึกชาติย้อนหลังได้โดยไม่จำกัด

    มัชฌิมยาม ทรงบรรลุจุตูปปาตญาณ ทราบว่าสัตว์ทั้งหลายก่อนเกิดมาจากไหน ? ตายแล้วจะไปไหน ? ด้วยทิพจักขุญาณอันประเสริฐล่วงมนุษย์ทั้งปวง ก็คือเจ๋งกว่าเขาทั้งหมดนั่นเอง

    ปัจฉิมยาม ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ ชำระจิตใจของพระองค์ท่านผ่องใสจากกิเลสทั้งปวง ปราศจากอาสวะโดยสิ้นเชิงแล้ว

    พระพุทธเจ้าบรรลุแค่วิชชาสามเอง ไม่เห็นเรียนเยอะเลย..! พระอรหันต์ไล่ขึ้นไปก็มีพระสุกขวิปัสสโก พระวิชชา ๓ พระอภิญญา ๖ พระปฏิสัมภิทาญาณ ๔

    มีผู้ตั้งคำถามว่า "พระพุทธเจ้าเป็นพระวิชชาสาม ทำไมสอนลูกศิษย์เป็นอภิญญากับปฏิสัมภิทาญาณเยอะแยะไปหมด ?" หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ตอบง่าย ๆ ว่า "วิชชาสามของช้างกับอภิญญาของมด..!" มดถึงจะเจ๋งขนาดไหน..เผลอเมื่อไรโดนช้างทับก็แบนแต๋..!

    เพราะฉะนั้น..อย่าเสียเวลาไปสงสัย คำว่า "พุทธวิสัย" ไม่ใช่สิ่งที่เราจะเข้าถึงได้ เพราะว่าพระองค์ประกอบด้วยทศพลญาณ ญาณทั้ง ๑๐ ประการ
     
  16. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,193
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,596
    ค่าพลัง:
    +26,443
    ถ้าเคยฝึกมโนมยิทธิมาจะเป็นญาณ ๘ แต่ความจริงมีแค่ ๗ เพราะว่าทิพจักขุญาณนั้นเป็นตัวแม่ ใช้ดูอดีตเขาเรียกอตีตังสญาณ ใช้ทิพจักขุญาณดูอนาคตเขาเรียกอนาคตังสญาณ รวมจนกระทั่งหมดแล้วจริง ๆ มีอยู่แค่ ๗ ตัว หรือจะย่อเหลือตัวเดียวคือทิพจักขุญาณนั่นเอง แล้วแต่ว่าเอาไปใช้อย่างไหน

    แต่พระพุทธเจ้ามีตั้ง ๑๐ อย่าง โดยเฉพาะอินทริยปโรปริยัตตญาณ รู้อินทรีย์ของบุคคลก็คือความแก่กล้าของสติ สมาธิ ปัญญา ของแต่ละบุคคล ว่ามีมากน้อยเท่าไร แล้วจะประทานหลักธรรมอะไรให้เหมาะสมกับผู้นั้น นี่ถึงจะเป็นสุดยอดพ่อครัว รู้ว่าคนกินหิวอะไร ทำอาหารให้แบบนั้น เพราะฉะนั้น..อาหารจะอร่อยทุกมื้อ กินอิ่มพอดี สังเกตไหมว่าตอนเราหิว อร่อยทุกอย่างเลย แต่ตอนอิ่มแล้วดีแค่ไหนก็ไม่เอาแล้ว..ใช่ไหม ? กินเยอะไปก็แหวะอีกต่างหาก..!

    ดังนั้น..ในส่วนของการขัดเกลาตนเอง ไม่ว่าจะด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจก็ตาม ส่วนหนึ่งก็คือเพื่อพร้อมที่จะกตเวทิตาต่อพระพุทธศาสนา ก็คือตอบแทนพระพุทธศาสนาที่ให้หลักธรรมอันประเสริฐแก่เรา ทำให้เราสามารถที่จะส่งตนเองจากอบายภูมิ เบื้องต่ำ ๆ เลยคือนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานขึ้นมา ตอนนี้เป็นมนุษย์ เราสามารถส่งตัวขึ้นไปได้สูงกว่านั้นอีก เป็นเทวดา เป็นพรหม จนเข้าสู่พระนิพพานได้

    เมื่อพระองค์ท่านประทานหลักธรรมอันสุดวิเศษมาเพื่อให้เราขัดเกลาตนเอง ส่งเสริมตนเอง พัฒนาตนเองขึ้นไป เรามีโอกาสก็กตเวทิตา เขาบอกว่าพระพุทธเจ้าไม่ให้เราเคารพกราบไหว้ท่าน แต่เราเคารพกราบไหว้ท่านเพราะความกตัญญู ก็คือรู้คุณ ก็เลยกตเวทิตา ทำสิ่งดี ๆ ตอบแทนคุณนั้น
     
  17. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,193
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,596
    ค่าพลัง:
    +26,443
    ถ้าหากว่ามีมากกว่านั้นอีกก็คือ ช่วยกันส่งเสริมพระพุทธศาสนาของเราให้เจริญรุ่งเรือง คำว่าส่งเสริมให้รุ่งเรืองก็คือ ต้องรุ่งเรืองให้ถูกทาง เราดูว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนอะไร ? ปริยัติ.การศึกษา ปฏิบัติ..การทำให้เกิดผล

    ดังนั้น..ที่ไหนมีการศึกษาปริยัติธรรม มีการปฏิบัติธรรม เราก็ไปช่วยกันส่งเสริม ไปเรียนรู้ด้วยตนเอง ก็คือเรียนปริยัติธรรม

    เรียนในลักษณะเอามาใช้งานจริงบ้าง เรียนในลักษณะกำหนดจดจำไว้เพื่อบอกต่อบ้าง ปฏิบัติเพื่อให้เกิดผล จะได้บอกเล่าให้คนที่มาทีหลังได้ถูกว่า ทางนี้ต้องเดินไปตรงนี้ถึงจะปลอดภัย เดินไปตรงนี้มีอันตรายน้อย ต้องหลบหลีกอย่างนี้ เดินไปตรงนี้มีอันตรายมาก ต้องหลบหลีกอย่างนี้ เราถึงจะปลอดภัย ไปสู่จุดหมายได้

    ไปไกลเกินไปไหม ? ตั้งใจมาปฏิบัติธรรม มานั่งนิ่ง ๆ มาฟังหลวงพ่อเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟัง แล้วทำไมมาโยนงานให้ขนาดนี้..! อย่างนั้นก็ปฏิบัติธรรมกันเถอะ ใกล้เวลาแล้ว สมาทานพระกรรมฐานกันก่อนนะ
     
  18. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,193
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,596
    ค่าพลัง:
    +26,443
    ก่อนสวดพระคาถาเงินล้าน วันอังคารที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๖๗


    เวลาเช้ามืดเป็นเวลาที่เหมาะสมต่อการเจริญพระกรรมฐานที่สุด เนื่องเพราะว่าสภาพจิตของเราที่ฟุ้งซ่านมาตลอดในตอนกลางวัน เมื่อได้รับการพักผ่อนก็เริ่มสงบระงับลงเองโดยอัตโนมัติ เนื่องเพราะว่าการนอนหลับนั้นเป็นไปด้วยกำลังของปฐมฌานหยาบ เมื่อสามารถหลับได้ ถ้าสภาพจิตไม่ฟุ้งซ่านเกินไปนัก ก็จะไม่มีการฝัน สงบลงโดยอัตโนมัติ

    สภาพจิตของเราที่เสวยความดีความชั่วนั้นเร็วมาก แต่ก็ยังมีข้อดีก็คือเหมือนกับเก้าอี้ที่นั่งได้คนเดียว ถ้าหากว่าความดีเข้าไปความชั่วก็เข้าไม่ได้ ถ้าความชั่วเข้าไปความดีก็เข้าได้ยากเช่นกัน จึงเป็นเรื่องที่พวกเราจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องรีบนำความดีเข้าสู่ใจของเราก่อนที่ความชั่วจะเข้า ไม่ใช่เอาแต่นอนสบาย รอให้กิเลสตื่นก่อนเรา..!

    ถ้าใครทำแบบนั้น โอกาสที่จะเอาดียากมาก เพราะว่าในแต่ละวันสภาพจิตจะฟุ้งซ่านด้วยอำนาจของกิเลสไปแล้ว เหมือนอย่างกับเราปล่อยให้ข้าศึกมาตี แล้วค่อยป้องกันเมือง โอกาสที่จะรอดน้อยมาก เราต้องป้องกันไม่ให้ข้าศึกเข้ามาตีเมือง แล้วค่อยหาทางทำลายข้าศึกทีหลัง จึงจะเหนื่อยน้อย

    พร้อมแล้ว..เริ่มภาวนาพระคาถาเงินล้านกันเลย
     
  19. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,193
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,596
    ค่าพลัง:
    +26,443
    ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า วันอังคารที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๖๗​

    ช่วงเวลาการปฏิบัติรวมกัน มีความดีอยู่สองประการ ประการแรกที่เห็นชัด ๆ เลยก็คือต้องทำพร้อมกับคนอื่น เราจะเห็นว่าถ้าเราผิดพลาดเมื่อไร จะไม่พร้อมคนอื่นเขา ข้อบกพร่องตรงนั้นจะปรากฎชัดเจนมาก ประการที่สองก็คือคนหมู่ใหญ่อยู่ด้วยกัน กำลังใจไปทางเดียวกัน ในเมื่อไม่ขัดกัน กระแสจะดึงกันเองได้ จะทำให้เรารู้สึกเบาแรง ใจสงบเร็วขึ้น มีใครฟุ้งซ่านมากขึ้นไหม ? ต่างคนต่างฟุ้ง..ใช่ไหม ? มาเจอกันจึงฟุ้งกันใหญ่เลย..!

    การปฏิบัติธรรมส่วนรวมจะได้แค่รูปแบบ เพราะว่าความจริงแล้วแต่ละคนความถนัดในการปฏิบัติภาวนาไม่เหมือนกัน บางคนก็ถนัดย่อง ประมาณว่ากลัวเหยียบมดตาย..! บางคนก็จะก้าวยาวจนกระทั่งไปติดคนข้างหน้าอีกแล้ว ก็เลยทำให้เราได้แค่รูปแบบ พอถึงเวลาก็ต้องทำพร้อม ๆ กัน

    แต่ถ้าจะเอาให้ได้ผลจริง ๆ ต้องใส่เดี่ยว..คนเดียวไปเลย ต้องการเร็ว ต้องการช้า จะภาวนาอะไรอยู่ที่เรา แต่ก็มีบุคคลอีกจำพวกหนึ่ง ถ้าไม่มีเพื่อน รู้สึกไม่มีอารมณ์จะปฏิบัติ พอมีเพื่อนแล้วค่อยมีกำลังใจหน่อย ประเภทนั้นเรียกว่าต้องมีกัลยาณมิตร
     
  20. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,193
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,596
    ค่าพลัง:
    +26,443
    อาตมาเองสมัยเป็นฆราวาส มีเพื่อนผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง เก่งมาก ยอมรับว่าเก่งมาก เขามีแต่นำเรา ไม่ใช่เราไปนำเขา แต่ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ตรงที่ว่า พอถึงเวลาเขาทำอะไรได้ ภายใน ๑ - ๒ วัน อาตมาจะทำแบบนั้นได้ แล้วพอซักซ้อมได้คล่องตัว ก็จะเจอหน้ากันพอดี แล้วมาธัมมัสสากัจฉากัน เขาก็จะถามตรงจุดนี้ อาตมาก็จะตอบได้ทุกที ทั้ง ๆ ที่เพิ่งมาทำได้แค่ ๒ - ๓ วัน

    ทำเอาเขาโมโหแทบจะบีบคออาตมาตาย..! ก็คือพอเขาถามหมดอาตมาก็หมดกระเป๋าพอดี ไม่มีที่ให้ถอยแล้ว ส่วนเขาก็เดินหน้าไม่ได้เพราะว่าเขาหมดแล้วเหมือนกัน เขาก็คิดว่าอาตมามีมากกว่า จะโดนบีบคอตายมาหลายหนแล้ว เพราะเขาว่าอาตมาปกปิดความสามารถ ไม่ยอมบอกว่าทำอะไรได้บ้าง..!

    พอเขาทำได้มากกว่าเดิมปุ๊บ สัก ๒ - ๓ วัน อาตมาก็จะทำได้บ้าง พอซ้อมได้คล่องตัวก็เจอหน้ากันพอดีอีกแล้ว เขาถามขึ้นมา อาตมาก็ตอบได้อีก..! เขาเลยว่าคราวที่แล้วโกหก..! ไหนว่าทำได้แค่นี้ ? ความจริงแล้วอาตมาเพิ่งจะทำได้เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง

    ถ้าหากว่ามีเพื่อนร่วมปฏิบัติลักษณะอย่างนั้น ก็จะกระตุ้นให้เราขยันมาก เพราะถ้าเผลอเขาจะแซง การมีเพื่อน ในบาลีเขาใช้คำว่า กัลยาณมิตรเกือบจะเป็นทุกอย่างในชีวิต พระพุทธเจ้าแสดงคุณสมบัติของกัลยาณมิตรไว้ว่า
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...