บทสนทนาว่าด้วย ธรรมะ มายา และความตาย

ในห้อง 'พุทธศาสนากับคนดัง' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 13 เมษายน 2007.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    [FONT=Tahoma,][​IMG]"เป้าหมายของคนทั่วไปอาจจะเกิดมาแล้วอยากรวย อยากมีชื่อเสียง แต่ไหมอยากค้นพบความสุขภายใน..."

    แค่แสดงภาพยนตร์ "โคตรรักเอ็งเลย" เรื่องเดียวเท่านั้น "ไหม วิสา สารสาส" ก็กลายเป็นดาวเด่น และมีงานต่างๆ เข้ามาให้พิจารณาไม่ได้หยุด

    จนถึงล่าสุดที่รับคงมีเพียงภาพยนตร์ "ผีหิ้วหัว" ของ "พิง ลำพระเพลิง" พิธีกรรายการ "เดอะ ไดอารี่" ทางไอทีวี พรีเซ็นเตอร์โอเลย์ และเป็นแอมบาสซาเดอร์ให้คลื่นวิทยุ 93 คูล ฟาเรนไฮท์

    "แต่คิดๆ ไว้ว่าจะทำรายการโทรทัศน์ค่ะ" ไหมบอกพร้อมรอยยิ้มสดใส อันเป็นสิ่งที่เห็นได้ทุกครั้งที่เจอ

    รายการโทรทัศน์ที่ว่าไหมขอยังไม่บอกรายละเอียดอะไรมาก หากแถลงหลักการว่าจะเป็นรายการที่คืนกำไรให้สังคม

    "อยากให้ต่อค่ะ" เธอบอกเหตุผล

    "คือคุณพ่อจะปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก..."

    ดังนั้น ตั้งแต่ยังเล็กเธอจึงเห็นพ่อให้ทุนการศึกษาแก่หนูๆ ผู้ด้อยโอกาส รวมไปให้ในเรื่องอื่นอีกมากมาย เป็นการ "เห็น" พร้อมกับได้รับฟังว่า "ถ้าเรามี ต้องให้ต่อ"

    "เคยไปนั่งดูน้ำตกกับพ่อ พ่อถามว่ารู้ไหมทำไมน้ำตกถึงสวย"

    "ก็เพราะมันเป็นน้ำตก" เธอตอบแบบกำปั้นทุบดิน

    "หากพ่อกลับว่าที่น้ำตกสวยก็เพราะพอน้ำในชั้นที่ 1 เต็มแล้ว มันก็ "ให้ต่อ" ด้วยการไหลไปยังชั้นอื่นๆ เราจึงเห็นน้ำที่สวยงามไหลไปตามชั้น

    ต่างจากน้ำตกที่กั๊กไว้ เพราะในที่สุดน้ำจะเน่า

    เปรียบกับชีวิตเรา ฉันใดก็ฉันนั้น"

    "ไหมว่าที่ไหมเป็นแบบนี้ คิดได้อย่างนี้ ก็เพราะพ่อแม่นี่แหละ ไหมโชคดีที่เกิดมาในครอบครัวค่อนข้างพร้อม พ่อแม่เลี้ยงดูอย่างใกล้ชิด คนอาจจะคิดว่าพ่อแม่โยนตังค์ให้อย่างเดียว แต่ไม่ใช่"

    เพราะความจริงแล้วทั้งคู่สอนในหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่าง แต่ถ้าให้สรุปความสั้นๆคือ "สอนให้เป็นคนดี"

    "บอกให้พูดดี ทำดี คิดดีนะลูก แล้วลูกจะได้อยู่กับคนที่ดีๆ บอกว่าถ้าเจอกับคนที่ร้ายๆ ก็ต้องเข้มแข็ง แล้วอำนาจแห่งความดีจะคุ้มครองเอง"

    สอนแม้กระทั่งให้รู้จักฟัง "ศัตรู" เพราะขณะที่เพื่อนจะบอกแต่สิ่งที่ดีๆ ของเรา ศัตรูเขาจะบอกในเรื่องไม่ดี เรื่องที่ตรงกันข้าม ซึ่งเราสามารถนำไปปรับปรุงตัวได้
    <table style="border: 1px dotted rgb(255, 255, 255);" align="right" border="1" cellpadding="1" cellspacing="5" width="20%"><tbody><tr bgcolor="#ffe9ff"><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table>

    เป็นคำสอนที่รอบคอบและลึกล้ำจริงๆ

    สำหรับคุณๆ ที่ไม่ค่อยได้เจอะหรือไม่เคยเจอ อาจนึกไม่ออกว่า "ตัวจริง" ของวิสา สารสาส เป็นอย่างไร แต่สำหรับคนที่ได้สัมผัส เชื่อว่าทุกคนคงรู้สึกตรงกันว่าเธอช่างเป็นคนที่สดใสและดูจะมีความสุข ไร้ทุกข์อยู่ตลอดเวลา

    "ค่อนข้างค่ะ" ตอบรับด้วยรอยยิ้ม

    "โชคดีที่มีพ่อแม่เป็นที่ยึดที่ดี จะบอกตลอดว่ามนุษย์เกิดมาก็มีทุกข์อยู่แล้ว เหมือนกับสอนให้รู้ว่าต้องทำใจกับมัน และไม่มีใครเลิศเลอเพอร์เฟ็คต์ ทำให้เราไม่มีความคาดหวังมาก และเมื่อไม่คาดหวังมากก็จะมีความทุกข์น้อย"

    ขณะที่คนทั่วไปนั้น "ส่วนใหญ่จะคาดหวังมาก" ฉะนั้นพอไม่ได้ในสิ่งที่คาดหวังก็จะมีอาการ "ทำไมชีวิตฉันไม่เป็นอย่างนั้น อย่างนี้" บางคนรับไม่ได้ถึงขั้นฆ่าตัวตาย

    ซึ่งฟังแล้วบอกได้เลยว่าคนอย่างไหมไม่เป็น (อีก) แน่

    "มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ทุกข์มากๆ ไปหาพ่อ บอกไม่ไหวแล้ว อยากฆ่าตัวตาย พ่อก็ว่าฆ่าไปเลย พ่อไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว ซึ่งคนอื่นอาจจะคิดว่าคำนี้แรง แต่ไหมคิดว่า เออ จริงด้วย ถ้าเราเกิดมามีขนาดนี้แล้วยังจะฆ่าตัวตาย ก็สมควรตายไปเถอะ"

    ทุกวันนี้ไหมจึงเลิกคิดเรื่องฆ่า-ฆ่า

    "แม้แต่ยุงยังไม่ตบเลย" เธอบอก

    "กลัวกรรมค่ะ"

    "สมัยก่อนไหมก็เคยตียุงนะ จะมีเครื่องช็อร์ตแบบที่เป็นไม้แบด ช็อร์ตมันมากเลย มาเดี๋ยวนี้เวลามียุงในรถก็จะบอกพี่เลี้ยงว่า เปิดกระจกปล่อยน้องเขาออกไป เพราะตามหลักเขาบอกว่าถ้าเราผิดศีลข้อสุดท้ายแล้ว ข้ออื่นก็ทำได้ง่ายขึ้น"

    ฟังแล้วช่างเป็นคนที่สมบูรณ์แบบเสียนี่กระไร

    ได้ยินคำชมแทนที่จะปลื้ม ไหมกลับสั่นหน้า ปฏิเสธว่า

    "ไม่มีคำว่าสมบูรณ์แบบหรอกค่ะ คำว่าเพอร์เฟ็คต์ชั่นไม่มีในโลกนี้ แต่ถามว่ามีความสุขไหม แล้วพอหรือยังกับชีวิตนี้ ก็ตอบว่าแฮปปี้อย่างสูงสุดแล้ว ไม่ขออะไรมากกว่านี้แล้ว"

    รู้สึก "พอ" ตั้งแต่ตอนนี้ ตอนอายุ 23 ปีเลยละ

    "เป้าหมายของคนทั่วไปอาจจะเกิดมาแล้วอยากรวย อยากมีชื่อเสียง แต่ไหมอยากค้นพบความสุขภายใน และพ่อไหมจะบอกตลอดเวลาว่าความสุขที่แท้จริงซื้อไม่ได้ด้วยเงิน แล้วไหมโชคดีที่เจอธรรมะเร็วมาก ดังนั้น ณ จุดนี้ ขณะนี้จึงพอแล้ว เพราะวันสุดท้ายของชีวิตเราเอาไปได้แค่บุญและบาป"

    "แต่ไหมยังไม่ถึงขั้นบรรลุนะ" รีบออกตัว

    "ยังมีกิเลส มีอารมณ์ อยากได้ของ อยากขนตางอนเหมือนบาร์บี้ คือรู้ละว่าความสุขที่แท้จริงซื้อไม่ได้ด้วยเงิน แต่ตอนนี้ขอซื้อไว้ก่อน เพราะบางทีมันก็ทำให้หายเหนื่อยได้เหมือนกัน"

    "จากนั้นเมื่อสูงวัยขึ้น เธอเชื่อว่าความอยากเหล่านี้จะค่อยๆ ลดน้อยลง จนท้ายที่สุดก็จะสามารถออกบวชเป็นภิกษุณีตามที่คาดหวังไว้ได้"

    "รักของไหม"

    "พ่อแม่จะสอนไหมเกี่ยวกับเรื่องความรักมาก บอกมีรักก็ต้องมีทุกข์ พ่อแม่รักลูกขนาดนี้แต่วันสุดท้ายของชีวิตไหมก็เอาพ่อแม่ไปไม่ได้ ยึดพ่อไม่ไม่ได้ ดังนั้น จะเอาอะไรมากมายกับคนที่รัก ความคาดหวังในเรื่องนี้ของไหมก็เลยต่ำ เมื่อก่อนจะบอกว่าพี่ต่าย (ณัฐพล ลียะวณิช) ต้องเป็นแบบนี้สิ แบบนั้นสิ พอพ่อแม่สอนแบบนี้เลยเปลี่ยนไป ไม่คาดหวังว่าเขาจะมาขอแต่งงาน หรือพรุ่งนี้เขาจะมาหา"

    ต่างจากเมื่อก่อนราวฟ้ากับเหว

    "แต่ก่อนจะคิดได้แบบนี้ก็ต้องผ่านการผิดหวังมาแล้ว" ไหมบอกยิ้มๆ

    "เพราะตอนที่คิดว่าตัวเองอกหักจากพี่ต่ายก็ทุกข์มาก บอกพ่อว่าไม่ไหวแล้ว ขอบวชชี พ่อก็ว่าใจเย็นลูก ไปนั่งสมาธิก่อน ผ่านไปเป็นเดือนๆ ถึงรู้ว่าเพราะเราอกหัก ถึงเห็นธรรม"

    ดังนั้น ถ้าไม่อกหักไหมก็คาดว่าตัวเองคงเป็นเหมือนวัยรุ่นทั่วไปที่กลางคืนชอบเที่ยว กลางวันชอบช็อปปิ้ง อยู่ในโลกของการซื้อของและติดแบรนด์เนม

    "ก็ต้องขอบคุณเขาที่ทำให้เราเป็นแบบนี้"

    "ไหมบอกอีกว่า นอกจากเธอแล้ว ปัจจุบัน "พี่ต่าย" ก็เข้าหาธรรมะด้วยเหมือนกัน ดังนั้น กิจกรรมที่ทำด้วยกันเป็นประจำคือเข้าวัดทำบุญ ไม่ก็ไปปล่อยนก ปล่อยปลา"

    "สองด้านที่ต่างกัน"

    ทั้งๆ ที่เป็นคนใน "โลกของธรรม" อยู่กับความเป็นจริง แต่อีกซีกหนึ่งของชีวิตเธอก็ทำงานอยู่ในวงการบันเทิง ที่ใครๆ ก็ว่าเต็มไปด้วยมายามากมาย

    "แต่ยังไงๆ เราก็ต้องอยู่กับความจริงค่ะ เพราะถ้าอยู่ในวงการมายาแล้วหลงไปกับแสง สี ชื่อเสียง เงินทอง ทุกข์แน่ๆ เพราะของพวกนี้พรุ่งนี้อาจจะหายไปเลยก็ได้ เรียกว่าเป็นการอยู่ด้วยการทำลายชีวิตตัวเองอย่างไม่รู้ตัว ถ้าถามไหม ก็เหมือนการเอามีดคมมาเฉือนนิ้วตัวเองทีละนิ้ว แล้วได้แต่หลอกตัวเองอยู่ในแสงสีที่มีแต่ความไม่แน่นอน ขณะที่การมีธรรมะอยู่ก็เหมือนการมีชีวิตอยู่อย่างมีหลัก มีเสาแข็งๆ ให้จับ ไม่เขวไป ลมจะแรงเท่าไหร่พัดมาเลย ไหมไม่กลัวหรอก"

    "ไหมคิดแค่ว่าเรามาทำงาน ได้ประสบการณ์ ได้รู้จักคนมากมาย ทำให้ได้รู้จักคำว่ามนุษย์มากขึ้น แค่นั้น และอย่าไปยึดติดกับชื่อเสียงหรือเงินทอง ทำงานเสร็จก็กลับบ้านไปสวดมนต์ ทำจิตให้นิ่ง แล้วนอน

    "ส่วนเงินที่ได้มา พูดได้เต็มปากเลยว่า 70% ไหมทำบุญ ซึ่งเรื่องนี้ไหมรีบ เพราะไม่รู้ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไร พรุ่งนี้อาจจะตายก็ได้ ถ้าเราเกี่ยงเก็บเงินไว้ก่อน ตายไปแล้วใครจะช่วยได้ ไม่มี แล้วบุญที่คนส่งมาให้กับบุญที่เราทำเอง ทำเองน่าจะดีกว่า

    "แล้วไหมคิดว่าไหมตายเร็วแน่ๆ" นี่เธอวิเคราะห์เองเสร็จสรรพ โดยว่าคนไม่ชอบกินผัก ไม่รักผลไม้อย่างเธอสุขภาพคงไม่ดีนัก

    "แต่ไม่เป็นไร เพราะคิดว่าเราพร้อม

    "บางคนอาจจะคิดว่าฉันทำความดีมาพอหรือยัง จะขึ้นสวรรค์หรือลงนรก แต่ไหมทำบุญและอธิษฐานจิตมาตลอด ยังไงก็ขอขึ้นไปดุสิตธานี"

    ขอโทษทีอย่าเข้าใจผิดว่าเป็นชื่อโรงแรม เพราะ "ดุสิตธานี" ที่เธอเอ่ยถึงคือชื่อของสวรรค์ชั้นที่ 4 ชั้นเดียวในจำนวนทั้งหมด 6 ชั้นที่เธอเชื่อว่ามีการนั่งสมาธิกัน

    "ตายไปแล้วก็เหมือนเป็นการที่ต้องไปชดใช้ในสิ่งที่เราทำตอนเป็นคน การไปสวรรค์ก็เหมือนไปใช้บุญ ได้เสวยสุข เป็นเทวดา นางฟ้า คิดอะไร อยากได้อะไร ได้หมด พอหมดบุญแล้วก็ลงมาเกิดใหม่ แต่ชั้น 4 เป็นชั้นเดียวที่เทวดานั่งสมาธิ โดยเป้าหมายคือการไปสู่ที่สุดแห่งธรรม"

    "ซึ่งก็คือการได้บรรลุนิพพาน อันเป็นสิ่งเดียวที่ไหมต้องการอย่างแท้จริง"

    http://www.matichon.co.th


    [/FONT]
     

แชร์หน้านี้

Loading...