บทความให้กำลังใจ(สิ่งที่น่ากลัวกว่าภัยพิบัติ)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    e5397.jpg
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    brilliant-cartoons-11.jpg
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    parted hair.jpg
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    พักผ่อนหย่อนใจคลายทุกข์
    TRAVEL AROUND ASIA (4K UHD) - Relaxing Music With Beautiful Nature Videos - 4K Video Ultra HD

    Wildlife Relaxation
    Oct 26, 2021
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    loveother.jpg
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    มีเรื่องLive Ep.19 - ออก...สึก (ศึก)

    Jomquan
    95,866 views Streamed live 14 hours ago
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    boon.jpg
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    พาไปดู"โลกของเรา"ค่ะ
    ทฤษฎี กำเนิดโลก ภาพยนตร์สารคดีที่ดีที่สุด Earth The Making of a Planet กดเลือกความละเอียดสูงสุด 720p

    PlanetSoft
    1,403,418 views Jul 12, 2020
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    e5764.jpg
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    e5774.jpg
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    e2131.jpg
    ฆราวาสธรรม 4 ประการ
    1. สัจจะ (ความซื่อสัตย์)
    2. ทมะ (การฝึกตน)
    3. ขันติ (การอดทน)
    4. จาคะ (การบริจาค/การเสียสละ)

    1. สัจจะ (ความซื่อสัตย์)
    สัจจะ ในฆราวาสธรรม 4 หมายถึง ความซื่อสัตย์ ซื่อตรง ด้วยกายจริง คือ ประพฤติด้วยความสุจริต ไม่คดโกง ไม่หลอกลวง วาจาจริง คือ พูดความจริง และใจจริง คือ มีความจริงใจ

    ลักษณะของสัจจะ
    – มีความจริง คือ เป็นเรื่องจริง
    – มีความตรง คือ ประพฤติสุจริตในกาย วาจา และใจ
    – มีความแท้ คือ ไม่เหลวไหล ไม่ล้อเล่น

    .jpg

    ชูชกโกหกพรานป่า เรื่องสาร

    สัจจะ 5 ประการ
    1. จริงต่อการงาน หมายถึง ทำอะไรต้องทำจริง ตั้งใจทำ ทำด้วยความมุ่งมั่นให้งานนั้นสำเร็จ และเกิดประโยชน์จริง
    2. จริงต่อหน้าที่ หมายถึง ทำจริงในงานที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งเรียกว่า “หน้าที่” ไม่ประมาทเลินเล่อ ไม่หละหลวม ไม่หลีกเลี่ยง เอาใจใส่ต่องานหรือหน้าที่เพื่อให้งานนั้นสำเร็จไปได้ด้วยดี

    3. จริงต่อวาจา หมายถึง รักษาวาจาตามที่ได้ตกลงกันไว้มิให้คลาดเคลื่อน พูดจริงทำจริง คนที่กล่าววาจาเท็จต่อตนเองจะไปจริงต่อคนอื่นได้อย่างไร เพราะฉะนั้นคนไม่จริงต่อวาจาก็คือ คนที่ไม่จริงต่อตนนั่นเอง
    4. จริงต่อบุคคล หมายถึง จริงใจต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง เช่น จริงใจต่อมิตรสหาย จริงต่อญาติมิตร เป็นต้น ซึ่งเรียกว่า “ซื่อตรง” ถ้าจริงต่อผู้บังคับบัญชาหรือเจ้านาย เรียกว่า “สวามิภักดิ์” แต่ถ้าจริงต่อผู้มีพระคุณ เช่น บิดา มารดา ครูอาจารย์ เรียกว่า“กตัญญูกตเวที”
    5. จริงต่อความดี หมายถึง มุ่งประพฤติความดีจนเป็นนิสัย ต่อหน้าประพฤติเช่นไรแม้ลับหลังก็ประพฤติเช่นนั้น มุ่งทำความดีเพื่อความดี อย่าทำความดีเพื่อให้ได้ลาภยศสรรเสริญหรือเพื่อวัตถุอื่นใด

    อานิสงส์ของการมีสัจจะ
    1. เป็นผู้มีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตน
    2. เป็นผู้มีความหนักแน่น มั่นคง
    3. เป็นผู้มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
    4. ผู้อื่นเคารพยกย่อง
    5. ผู้อื่นเชื่อถือ และยำเกรง
    6. สมาชิกในครอบครัวมีความสุข และมีความมั่นคง
    7. เป็นผู้ได้รับเกียรติ และมีชื่อเสียง
    โทษของการขาดสัจจะ
    1. เป็นผู้ไม่มีความรับผิดชอบ
    2. หาความเจริญในหน้าที่การงานไม่ได้
    3. เป็นคนไม่น่าเชื่อถือ
    4. ไร้ชื่อเสียง และเกียรติยศ


    2. ทมะ (การฝึกตน)
    ทมะ ในฆราวาสธรรม 4 หมายถึง การฝึกฝน การฝึกตน ให้มีการปรับปรุงตัวทั้งในด้านจิตใจ และการกระทำ ด้วยปัญญาเพื่อปรับปรุง แก้ไขข้อบกพร่องในหน้าที่การงานหรือสิ่งที่กระทำอยู่นั้น


    ทมะ เป็นธรรมที่มุ่งเน้นให้ใช้สติใคร่ครวญ และไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนที่จะกระทำการใดๆ โดยต้องคำนึงอยู่เสมอว่า มีประโยชน์มากกว่าโทษหรือมีดีมากกว่าชั่วจึงจะกระทำ โดยเฉพาะการเอาชนะความโกรธ เพราะเมื่อความโกรธเกิดขึ้นย่อมส่งผลให้จิตใจขุ่นมัว ผิวพรรณเศร้าหมอง เป็นเหตุให้เกิดผลเสียแก่ตนเองและผู้อื่น ทั้งนี้ เพราะผู้โกรธย่อมไม่รู้อรรถไม่รู้ธรรม ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี สามารถฆ่าได้แม้กระทั่งบิดามารดาของตน ผู้ที่ถูกความโกรธเข้าครอบงำย่อมเสียทรัพย์ เสื่อมลาภยศ หาที่พึ่งพิงได้ยาก ไร้ญาติขาดมิตร


    .jpg


    ทมะ แบ่งเป็น 2 ประการ คือ
    1. การฝึกฝนตนเอง เป็นความมุ่งหมายเพื่อสะกดกลั้น ฝึกฝน อบรมจิตใจของตนให้มีสภาพจิตใจดีขึ้น ให้เข้มแข็งมากขึ้น ฝึกข่มความรู้สึกเพื่อให้พร้อมกับสถานการณ์ต่าง ๆที่อาจเกิดขึ้นต้องข่มใจไม่ให้แสดงอาการรวนเร หวาดหวั่น เช่น ไม่พลั้งเผลอสติด่าว่าออกมาโดยไม่มีสติยับยั้งหรือ ข่มความประหม่าเมื่อต้องพูด หรือ แสดงออก


    อีกอย่างหนึ่ง ทมะนี้ ในความหมายที่ลึกซึ้งทางพระ หมายถึง การรู้จักฝึกอินทรีย์ (กายและใจ) ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ด้วยอำนาจของคุณธรรม ไม่ให้เป็นไปตามกำลังของกิเลสหรือความชั่วช้า การฝึกใจให้มีทมะ คือ การรู้จักใช้สติให้มาก เพื่อข่มความรู้สึกที่ไม่ดีไว้ และหาทางพัฒนาใจตนเองให้มั่นคงขึ้นด้วยวิธีการฝึกจิตใจ เช่น ฝึกสมาธิ ฝึกนั่งกรรมฐาน เป็นต้น
    2. การข่มใจตนเอง คือ การยับยั้ง และรู้จักควบคุมจิตใจของตนไม่ให้ติดอยู่ในวังวนแห่งอบายมุขแห่งโกธะ คือ ความโกรธ โมโหร้าย โลภะ คือ ความทะยานอยากที่จะนำไปสู่การสนองความต้องการของตนในทางสิ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และศีลธรรม และโมหะ คือ ความหลงกับความสุขที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่ไม่ยั่งยืนนั้น


    อานิสงส์ของการมีทมะ
    1. เป็นผู้รักการฝึกฝนตนอย่างสม่ำเสมอ
    2. เป็นผู้มีสมาธิ มีความรอบคอบ
    3. ไม่บาดหมาง และไม่มีศัตรู
    4. เป็นผู้มีความสามารถในการงาน
    5. เป็นผู้มีปัญญาเป็นเลิศ


    โทษของการขาดทมะ
    1. เป็นผู้ไม่รู้จักการฝึกฝนตน
    2. เป็นผู้มีโทสะง่าย
    3. ไม่เจริญในหน้าที่การงาน
    4. มักเป็นศัตรูกับผู้อื่น
    5. เป็นผู้เข้ากับคนอื่นหรือสังคมไม่ได้


    3. ขันติ (ความอดทน)
    ขันติ ในฆราวาสธรรม 4 หมายถึง ความอดทน อดกลั้นต่อปัญหาอุปสรรค รวมถึงอดทน อดกลั้นต่อสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาทางใจ อาทิ ความยากลำบากในการงาน คำด่าทอจากผู้อื่น ซึ่งความอดทนนี้ประกอบด้วย 4 ลักษณะ ได้แก่
    1. ความอดทน อดกลั้นต่อความยากลำบากตรากตรำทางธรรมชาติซึ่งเกิดขึ้นทางกายภาพ อาทิ ความร้อน ความหนาว ความหิวกระหาย และความเหนื่อยล้า
    2. ความอดทน อดกลั้นต่อทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นทางกาย อาทิ ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความทุกข์ทรมาน ก็รู้จักอดทนอดกลั้นเอาไว้ ไม่สร้างความทุกข์เพิ่มขึ้นอีก
    3. ความอดทน อดกลั้นต่อความเจ็บใจอันเกิดขึ้นทางจิตภาพ อาทิ วาจาส่อเสียด ถ้อยคำด่าว่าหยาบคายหรือคำกล่าวล่วงเกินก่อให้เกิดความเสียหาย สร้างความขุ่นเคืองใจอันไม่พึงปรารถนา
    4. ความอดทน อดกลั้นต่อพลังอำนาจบีบคั้นของกิเลส ได้แก่ ราคะ โทสะ โมหะ เป็นต้น ความอดทนอดกลั้นต่อกิเลสทั้งปวงเพื่อให้บรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งชีวิตที่ดีงาม


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กุมภาพันธ์ 2022
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    (ต่อ)
    ระดับขันติ
    1. ขันติระดับต่ำ ได้แก่ ความอดทนต่อความร้อน และความหนาวตามธรรมชาติ อดทนเมื่อยามเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเกิดทุกขเวทนา
    2. ขันติระดับสูงสุด ได้แก่ ความอดทนต่อแรงบีบคั้นของกิเลส ได้แก่ ราคะ โทสะ โมหะ ซึ่งคอยบีบคั้นเผาผลาญจิตใจ อำนาจของกิเลสนั้น หากเราเคยสังเกตดูเวลาที่ราคะเข้าครอบงำจิตใจจะทราบได้ว่า มันมีพลังอำนาจที่รุนแรงมาก ต้องใช้ความอดทนอดกลั้นเพื่อจะไม่กระทำตามใจที่อยาก การบีบคั้นของกิเลสสามารถแสดงตัวตนออกมาได้หลายแนวทาง อาทิ การเกิดความรักความเกลียด ความอิจฉาริษยาหรือความกลัว ความวิบัติพลัดพราก ความไม่สมปรารถนาหรือความผิดหวัง ซึ่งนับได้ว่าเป็นการบีบคั้นที่กัดกร่อนจิตใจอย่างถึงที่สุด เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องใช้ความอดทนขั้นสูงสุด


    อานิสงส์ของการมีขันติ
    1. เป็นผู้รู้จักใช้ความอดทน และมีความอดทนต่ออุปสรรค และปัญหาต่างๆ
    2. ทำงานได้สำเร็จ และมีประสิทธิภาพ
    3. สามารถปกครองบริวารได้ดี
    4. เป็นผู้ไม่มีศัตรู
    5. เป็นที่น่านับถือ และผู้อื่นให้ความเคารพ


    โทษของการขาดขันติ
    1. เป็นผู้มีจิตท้อแท้ง่าย ไม่มีความเข้มแข็ง
    2. ทำงานไม่สำเร็จ
    3. ปกครองบริวารไม่ได้
    4. มักมีศัตรูในทุกแห่ง
    5. เป็นผู้ที่ผู้อื่นไม่ให้ความเคารพ นับถือ
    6. เสื่อมในทรัพย์ได้ง่าย


    4. จาคะ (การบริจาค/ความเสียสละ)
    จาคะ ในฆราวาสธรรม 4 หมายถึง การบริจาคหรือความเสียสละจากความสุข และผลประโยชน์ของตน รวมถึงการละจากกิเลส ทำให้เป็นผู้มีความใจกว้าง รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และพร้อมที่จะเผชิญกับความทุกข์ร่วมกับผู้อื่น


    จาคะมีความหมายกว้างกว่าทาน เนื่องจากจาคะ คือ การสละทั้งสิ่งที่เป็นรูปธรรม และนามธรรม โดยไม่สนใจว่าจะมีผู้รับหรือไม่และมีความหมายโดยนัยทั้งในระดับโลกียะ และโลกุตระ


    .jpg


    ในระดับโลกียะเป็นการเสียสละ การให้ทาน การแบ่งปันเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น ทั้งในแง่วัตถุ และสิ่งที่เป็นนามธรรม ส่วนในระดับโลกุตระเป็นการสละในความยึดมั่นถือมั่น ความไม่ดีต่างๆ ที่อยู่ในจิตใจ ดังนั้นความเสียสละจึงมี 2 นัยด้วยกัน
    1. การเสียสละวัตถุสิ่งของ ได้แก่ ทรัพย์สิ่งของของตนเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น โดยไม่เกินกำลังความสามารถของตน
    2. การเสียสละสิ่งที่เป็นนามธรรม เช่น สละกิเลส สละความเห็นแก่ตัว สละอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่ดีต่างๆ ซึ่งการฝึกฝนให้มีจาคะย่อมทำให้จิตใจคลายความยึดมั่นถือมั่น และมีความเข้าใจในสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ทำให้มีความสุขด้วยใจของตนเอง มีจิตที่เป็นอิสระ ไม่ขึ้นต่อสิ่งอื่นใดมีความสุขได้แม้จะต้องสูญเสียอะไรบางสิ่งไป


    การยึดในหลักแห่งจาคะนั้น ความเมตตากรุณานับเป็นคุณธรรมที่เกื้อหนุนให้จาคะเกิดขึ้น เพราะผู้ให้ย่อมสละได้ซึ่งความรัก ความเมตตากรุณา และความปรารถนาดีต่อผู้รับ ส่งผลให้ผู้ให้มีความสุขได้ด้วยใจของตน ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเอาไว้ว่า ผู้มีจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจาคะย่อมได้รับความสุขใน ภพนี้และภพหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย
    อานิสงส์ของการมีจาคะ
    1. เป็นผู้มีจิตเมตตา รู้จักการให้ การเสียสละ
    2. ได้รับสิ่งตอบแทนจากผู้อื่นได้ง่าย
    3. เป็นผู้ที่คนอื่นให้ความเคารพ นับถือ
    4. ปกครองบริวารได้ง่าย
    5. คนรอบข้าง คนในครอบครัวมีความสุข


    โทษของการขาดจาคะ
    1. เป็นคนมีความตะหนี่
    2. ผู้อื่นติฉินนินทา
    3. ไม่มีผู้คบหา
    4. การงานหรือาชีพไม่เจริญก้าวหน้า
    5. ไม่มีผู้ช่วยเหลือในยามตกทุกข์ได้ยาก


    ประโยชน์ของฆราวาสธรรม 4
    1.สัจจะ ผู้อื่นให้ความเคารพเชื่อถือ เพราะเป็นผู้มีความจริงใจ รักษาคำพูด ไม่โลเลเพราะผู้ยึดมั่นในสัจจะย่อมสามารถจะปฏิบัติหน้าที่อย่างได้ผลทันเวลา และประสบความสำเร็จได้
    2.ทมะ ทำให้คนเราอยู่ร่วมกันกับคนอื่นในสังคมอย่างมีความสุข ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันโดยง่าย และรู้จักหลีกเลี่ยงอบายมุขทั้งหลายได้ เพราะรู้จักใช้สติเข้าข่ม ไม่หุนหันวู่วามโดยง่าย
    3.ขันติ จะทำให้หลีกเลี่ยงจากความเสื่อมจากเหตุต่างๆ เพราะมีจิตใจเข้มแข็ง มั่นคงอดทน อดกลั้น ไม่มัวเมากับสิ่งเย้ายวนต่างๆ เป็นหลักประกันในการสร้างฐานะและชีวิตตนเองการอดทนดังกล่าวเป็นความอดทนเพราะเกิดจากสิ่งเย้ายวนใจที่ได้พบเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรสและได้สัมผัส
    4.จาคะ เมื่อรู้จักการเป็นผู้ให้ ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น นั่นหมายความว่า เกิดความสามัคคีกัน ไม่ชิงดีชิงเด่นกัน เพราะทุกคนมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์ สังคมจะมีความสุขธรรมะ


    หลักฆราวาสธรรม 4 มีความสำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่งต่อการสร้างความสงบสุขในสังคม หากคนในสังคมทุกคนปฏิบัติตามหลักธรรมนี้แล้ว ย่อมอำนวยคุณประโยชน์ให้แก่ผู้ปฏิบัติตามทั้งในชาตินี้และในชาติหน้า ก่อให้เกิดความสุขสวัสดี มีความราบรื่นในการดำเนินชีวิต และยังทำให้องค์กรต่างๆ ตลอดจนสังคมเกิดความสงบเรียบร้อย และยังพบว่าหลักพุทธธรรมในข้อนี้ยังสามารถช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมายทำงานได้สำเร็จลุล่วงตามเป้าประสงค์ที่วางไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

    เพิ่มเติมจาก ร้อยตำรวจเอกนิธินันท์ ( 2552)(1)
    :- https://thaihealthlife.com/ฆราวาสธรรม4/
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    อยู่กับความทุกข์ให้เป็น
    พระไพศาล วิสาโล
    มนุษย์เราทุกคนล้วนรักความสุขเกลียดความทุกข์กันทั้งนั้น สิ่งที่มนุษย์พยายามทำกันตลอดชีวิตก็คือการเข้าหาความสุข พยายามหนีจากความทุกข์ เมื่อพบทุกข์ก็พยายามขจัดปัดเป่าออกไป หรือพยายามป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้น ถือว่าเราโชคดีกว่าคนสมัยก่อนเพราะเทคโนโลยีในการขจัดปัดเป่าความทุกข์มีมากขึ้น เวลาอากาศร้อนก็มีพัดลม มีเครื่องปรับอากาศ บรรเทาความร้อน อากาศหนาวก็มีผ้าห่ม ในบ้านหลายคนมีเครื่องทำน้ำอุ่น อยากจะดื่มน้ำร้อนก็ต้มได้รวดเร็ว จะเดินทางไปไหนมาไหนก็ไม่ต้องขี่เกวียนให้เหนื่อยเพราะมีรถยนต์ สิ่งเหล่านี้ก็ช่วยให้เราดำเนินชีวิตประจำวันได้สะดวกสบายขึ้น

    อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เราสามารถหนีความทุกข์ ขจัดปัดเป่า หรือบรรเทาความทุกข์ได้มากมายเพียงใด แต่ว่ายังมีความทุกข์อีกหลายอย่างที่เราหนีไม่พ้น เราทำได้เพียงชะลอหรือหน่วงเหนี่ยวให้เกิดขึ้นช้า ทุกวันนี้มี ความทุกข์แบบใหม่เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะร่ำรวยมีเงินมีทอง มีวาสนาบารมีมากแค่ไหนก็ต้องเจอกับความทุกข์อยู่นั่นเอง เช่น ถึงแม้ร่ำรวยก็ต้องเจอกับความสูญเสีย อาจจะเสียคนรักคนใกล้ชิด เพราะว่าไม่มีใครที่จะอยู่ค้ำฟ้าได้ ถึงอย่างไรเขาก็ต้องตายจากเราไปสักวัน พวกเราคงรู้จักทัชมาฮาล ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานที่พระเจ้าพระเจ้าชาห์จาฮาน ผู้ยิ่งใหญ่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับมเหสีคนรัก แต่ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ไม่สามารถหลีกหนีความสูญเสียคนรักไปได้


    ลูกตาย เมียตาย ผัวตาย เรื่องนี้เกิดได้กับทุกคน นอกจากนั้นยังต้องเจอกับคำนินทาว่ากล่าว ไม่ว่ายิ่งใหญ่แค่ไหนก็ต้องเจอกับความไม่สมหวัง ต้องเจอความแก่ความเจ็บความตาย อันนี้คือความทุกข์ที่ไม่มีใครหนีพ้น แม้ว่าเราจะตัดเรื่องความแก่ความเจ็บความตายออกไป ก็ยังเจอกับความทุกข์อีกหลายอย่าง เช่นงานการที่ไม่สำเร็จ หรือความผิดหวัง ถ้าคนเราคิดแต่จะหนีความทุกข์ หรือหาทางปัดเป่าบรรเทาความทุกข์ตลอดเวลา ก็เตรียมใจทุกข์ได้เลย เพราะว่ายังมีความทุกข์อีกหลายอย่างที่เราต้องเจออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขจัดปัดเป่าไปเพียงใดก็ไม่สำเร็จ


    ยกตัวอย่างง่ายๆ คนอยู่กรุงเทพ ฯ ก็ต้องเจอรถติดซึ่งเป็นความจริงที่หนีไม่พ้น หาที่จอดรถได้ยาก มีนักเขียนชาวอเมริกันคนหนึ่งเขียนประชดว่า “ตายไม่ยากเท่ากับหาที่จอดรถ” คนนี้เขาอยู่ที่นิวยอร์ค เป็นเมืองที่หาที่จอดรถยากยิ่งกว่ากรุงเทพฯ มันไม่ใช่เป็นความทุกข์ทางกาย แต่เป็นทุกข์ใจที่คนสมัยนี้เจอ เคยพูดแล้วว่าความทุกข์ทางกายเดี๋ยวนี้มีน้อยลง แต่ความทุกข์ทางใจไม่ได้ลดลงเลย ยังมีอยู่เรื่อยๆ เช่น หาที่จอดรถไม่ได้ก็ทุกข์ ต้องแย่งกันจนกระทั่งฆ่ากันตายก็มี


    ไม่ว่าเทคโนโลยีจะเจริญก้าวหน้าเพียงใด เราก็หนีความไม่สมหวังไม่พ้น ถ้ายิ่งร่ำรวยยิ่งมีเงินทองมากก็ยิ่งมีความอยากมากขึ้น เมื่อมีความอยากมากก็มีโอกาสไม่สมอยากมากเป็นเงาตามตัว มีคนพูดว่าเมื่อมีความอยากมากก็มีความทุกข์มาก เพราะความอยากกับความทุกข์มาด้วยกัน ก็ลองพิจารณาดู คนเราไม่ว่าจะหนีความทุกข์เพียงใดก็ต้องเจอความทุกข์วันยังค่ำ ความทุกข์ทางกาย แม้ว่าจะมีสิ่งระงับหรือบรรเทาอาการ แต่ในที่สุดก็ต้องเจอทุกขเวทนาอันแรงกล้าจนยาก็เอาไม่อยู่ อย่างเช่น โรคมะเร็ง ที่หลายๆ คนกลัว หรือแค่ปวดฟัน ปวดหัว ปวดท้อง พอมีอาการเกิดขึ้นแล้ว จะไปพึ่งยาอย่างเดียวก็ไม่ได้ ยิ่งมีความทุกข์ใจผสมโรงด้วยก็จะทุกข์มากยิ่งขึ้น


    ในเมื่อความทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่เราหนีไม่พ้น อย่างในบทสวดมนต์มีตอนหนึ่งกล่าวว่า ว่าเราถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว เรามีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว ถึงแม้ตอนนี้เราจะสุขสบาย ไม่ทุกข์ แต่นั่นเป็นเพราะมันยังไม่แสดงตัว แต่ก็รอโอกาสแสดงตัวอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่เรามีสุขภาพดีก็อย่าคิดว่าไม่มีความเจ็บป่วย แท้จริงแล้วความเจ็บป่วยอยู่กับเราตลอดเวลา พอเราเผลอเมื่อไหร่มันก็จะแสดงตัวออกมา ในทำนองเดียวกันความแก่ก็อยู่กับเราตลอดเวลา แม้ว่าตอนนี้เรายังหนุ่มยังสาวแต่มันก็รอโอกาสแสดงตัว เผลอเมื่อไหร่ก็ผิวหนังย่น ผมหงอก ตกกระ กำลังวังชาลดน้อยถอยลง ความตายก็เช่นเดียวกัน ถ้าเผลอเมื่อใดมันมาทันที เพียงแค่เดินลงบันไดไม่ระมัดระวัง ตกลงมาหัวฟาดพื้นก็ตาย มันมีโอกาสเกิดขึ้นกับเราตลอดเวลา


    พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ความแก่มีอยู่ในความหนุ่มสาว ความเจ็บป่วยมีอยู่ในความไม่ป่วย และความตายมีอยู่ในชีวิต มันไม่ได้แยกกัน อย่างเมื่อวานพวกเราจัดดอกไม้ได้สวยงาม แต่ในเวลาเดียวกันกิจกรรมนี้ก็เตือนให้เห็นถึงความโลภในใจเรา บางคนเอากิ่งไม้แห้งใบไม้แห้งมาจัด ทำให้เห็นว่าสิ่งไม่งามนั้นก็มีความงามอยู่ ในทางกลับกันคือ ในสิ่งที่สวยงามก็มีความไม่งามเช่นกัน ตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เลย
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    (ต่อ)

    ความสุขของเราก็เช่นกันจะมีความทุกข์แฝงอยู่ตลอดเวลา ดังที่กล่าวแล้วว่าความทุกข์เป็นสิ่งที่เราหนีไม่พ้น เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้ อย่างเช่น ตอนนี้เราเจอความหนาวเย็น เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันโดยไม่ทุกข์ ก็คือทุกข์กายแต่ไม่ทุกข์ใจ อันนี้เราทำได้ ถ้าเราทำไม่ได้ก็จะมีแต่ความหงุดหงิดความไม่พอใจเกิดขึ้น เพราะเราไม่สามารถบังคับหรือควบคุมให้ทุกอย่างเป็นตามใจเราได้ แม้กระทั่งร่างกายของเรา เรายังบังคับควบคุมให้ตัวเองไม่เจ็บไม่ป่วยไม่ได้


    การอยู่กับความทุกข์นั้นทำได้หลายวิธี ทั้งการมองในแง่บวก การปล่อยวางยอมรับมัน หรือการปรุงแต่งใจในทางที่ดี อย่างเช่น บุรุษไปรษณีย์คนหนึ่งนำพัสดุไปส่ง แต่ประตูบ้านปิดเขาจึงเรียกให้เจ้าของบ้านออกมารับ แต่เจ้าของบ้านไม่อยากออกมาเพราะว่าไม่อยากเจออากาศร้อน บุรุษไปรษณีย์ก็รอเจ้าของบ้านมารับ แต่แทนที่จะรอเฉย ๆ ก็ร้องเพลงไปด้วย จนกระทั่งในที่สุดเจ้าของบ้านต้องออกมารับพัสดุ เสร็จแล้วเธอก็ถามบุรุษไปรษณีย์ว่าอากาศร้อนๆ อย่างนี้ คุณมีอารมณ์ร้องเพลงได้อย่างไร เขาตอบว่า “โลกร้อน แต่ใจเราเย็น มันก็เย็นครับ ร้องเพลงเป็นความสุขของผมอย่างหนึ่ง ส่งไปร้องไป” นี่เป็นวิธีหนึ่งในการอยู่กับความร้อนได้โดยใจไม่ทุกข์ แม้เขาร้อนจนเหงื่อไหลชุ่ม แต่ใจเขาไม่ทุกข์ เพราะเขารู้วิธีผ่อนคลายด้วยการร้องเพลงให้ใจเย็น ความร้อนจึงไม่เป็นปัญหา


    อีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้อยู่กับความทุกข์ได้คือสติ เวลาเกิดทุกขเวทนาขึ้น ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการปรุงแต่งใจหรือปลอบใจตัวเองก็ได้ แต่ใช้สติคือรู้ทันจนปล่อยวางมันได้ ความปวดกายที่เกิดขึ้น ถ้าเราเผลอก็จะปวดใจตามมา เวลาเจออากาศร้อน ไม่ใช่ร้อนกายอย่างเดียวแต่ร้อนใจไปด้วย เพราะว่าจิตไม่ปล่อยวางความปวด แถมปรุงแต่งไปในทางลบอีก คนเราเวลาเจอทุกขเวทนาใจก็มักปรุงแต่ง บางทีแค่เห็นหรือสัมผัสนิดหน่อยก็เอาไปปรุงแต่งแล้ว กลายเป็นความทุกข์ทรมาน ทุกขเวทนาเป็นเรื่องของกาย ส่วนความทุกข์ทรมานเป็นเรื่องของใจ เวลาความทุกข์เกิดขึ้นกับเรา ถ้าเราปฏิเสธผลักไสก็ยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่ แต่ถ้าเรามีสติดูใจ คือดูความคิดที่ปรุงแต่ง เห็นใจที่ขุ่นเคืองตีโพยตีพาย หรือเห็นทุกขเวทนาจนปล่อยวางได้ เมื่อนั้นความทุกข์ก็จะคลายไป มีความสงบมาแทนที่


    เราควรเรียนรู้ที่จะอยู่กับทุกขเวทนาให้ได้ ที่วัดป่าสุคะโต ในช่วงเดือนธันวาคม ท้องฟ้าเปิด อากาศร้อนมาก เรามีการเดินธรรมยาตรา คนที่มางานนี้ต้องเดินกลางแดดวันละสี่ห้าชั่วโมงเพื่อรณรงค์ให้ผู้คนช่วยกันอนุรักษ์ธรรมชาติ ดูแลลำธาร รักษาป่า ขณะเดียวกันก็ฝึกตนให้อยู่กับทุกขเวทนาให้ได้ คืออยู่กับความร้อนแต่ใจไม่บ่น จึงมีคำขวัญว่า “กายร้อนแต่ใจไม่ร้อน” หรือ “ร้อนแต่กาย ใจสงบเย็น” ที่ทำอย่างนี้ไม่ใช่เป็นการหาความทุกข์ใส่ตัว แต่เป็นการเดินเข้าหาความทุกข์เพื่อฝึกใจให้อยู่กับความทุกข์ได้ คนที่มีปัญญาเมื่อรู้ว่าหนีสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่พ้นก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้ ความทุกข์เป็นสิ่งหนึ่งที่เราต้องรู้จักอยู่กับมันให้ได้ จนเห็นมันเป็นมิตร ถ้าเราเป็นมิตรกับทุกขเวทนาได้ เราก็ไม่ต้องร้อนใจ นี่เป็นเรื่องที่เราสามารถฝึกได้ในชีวิตประจำวัน


    นักปฏิบัติธรรมที่ดี ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับความทุกข์ให้ได้ แต่ไม่ใช่ด้วยความอดทน ดีกว่านั้นก็คืออยู่กับมันโดยอาศัยสติ คือรู้ทันใจที่ปรุงแต่งเวลามีความทุกข์กาย จนใจเป็นปกติได้แม้กายจะทุกข์ก็ตาม คนเราสามารถรักษาใจให้สงบแม้กายจะปวดได้ อาตมาเคยนำนักปฏิบัติธรรมกลุ่มหนึ่งเดินจงกรมทุกเช้า ไม่ได้เดินธรรมดา แต่เดินเท้าเปล่าตามทางที่มีกรวด เดินวันแรกหลายคนรู้สึกปวดเท้า แถมยังเจอยุงเวลาเดินผ่านสวน เวลายุงเกาะตามแขนตามตัว มันยังไม่ทันกัดเลย หลายคนก็ทุกข์ล่วงหน้าไปแล้ว นั่นเป็นเพราะใจปรุงแต่ง ยิ่งพอโดนมันกัด ก็ยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่ อาตมาก็แนะให้เขาดูความกลัวที่เกิดขึ้นเวลายุงเกาะ หรือดูใจที่ผลักไส ใจที่บ่นโวยวายเวลาเวลาโดนยุงกัด ที่จริงร่างกายเราทนได้แต่ใจต่างหากที่ทนไม่ได้ เพราะเราหนีความทุกข์อยู่ตลอดเวลา พอเจอเข้าก็ผลักไสอย่างเดียว ไม่รู้จักอยู่กับมันด้วยอาการสงบ หลังจากเดินได้สามสี่วัน หลายคนก็ทำใจได้ดีขึ้น รู้ทันเวลาใจมีปฏิกิริยาทางลบต่อทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น


    แต่อุปสรรคไม่ได้มีแค่นั้น พอใกล้ถึงวันสุดท้ายมีฝนตกพรำ ๆ แต่เช้า มดแตกรังออกมาเพ่นพ่านตลอดทาง พอเดินจงกรมผ่าน มดก็ไต่มาตามร่างกาย มีเสียงปัดมด บางคนคนก็กระทืบเท้าเพื่อสลัดมดออกไป ไม่มีอาการสำรวมเลย อาตมาจึงย้ำว่าที่จริงร่างกายเราทนได้ แต่ใจต่างหากที่ไม่ยอมทน ทั้ง ๆ ที่ทนได้เหมือนกัน จึงแนะให้เขาดูปฏิกิริยาของใจเวลาโดนมดกัด วันรุ่งขึ้นหลายคนก็ลองทำอย่างที่อาตมาแนะนำ ใจก็สงบมากขึ้น


    ผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มนี้เล่าให้ฟังว่า เธอเดินมาหยุดตรงรังมดพอดี เห็นความกลัวเกิดขึ้น เพราะมีสติเห็นความกลัว ความกลัวก็คลายไป ทีนี้พอมดกัด เธอก็เห็นความเจ็บเกิดขึ้น ทั้งเจ็บทั้งร้อน เหมือนโดนธูปจี้เธอก็ดูเวทนาที่เกิดขึ้น แล้วยังเห็นต่อไปด้วยว่ากล้ามเนื้อเกร็ง หัวใจเต้นแรงเร็วขึ้น เม้มปากกัดฟัน กะพริบตา แล้วเธอกลับมาดูใจ เห็นใจกระสับกระส่าย พอเห็นเท่านั้น ใจก็สงบลง


    ถ้าเป็นคนที่ยังไม่ผ่านการฝึกมา พอมดกัด ใจจะพุ่งไปที่มดด้วยความโกรธเคือง แต่นักปฏิบัติคนนี้ไม่ส่งจิตออกไปนอกตัว แต่กลับมาดูกายและใจของตน ทำให้ใจสงบ รู้สึกผ่อนคลาย ทั้ง ๆ ที่โดนมดกัด แม้รู้สึกเจ็บ แต่เมื่อมีสติใจก็สงบ ตอนแรกเธอก็แปลกใจว่าทำไมใจสงบได้ ทั้งๆ ที่ความเจ็บปวดยังมีอยู่ แล้วเธอก็รู้ว่ากายกับใจนั้นเป็นคนละส่วนกัน ความเจ็บเป็นเรื่องของกาย แต่ใจไม่จำเป็นต้องเจ็บด้วย เมื่อพบว่าใจสามารถสงบได้แม้กายจะปวด เธอก็ดีใจมาก บอกขอบคุณมด แทนที่จะโกรธมด เธอเรียกมดว่าเป็นอาจารย์ของเธอ


    ผู้หญิงคนนี้อยู่กับความเจ็บปวดได้ ไม่ใช่เพราะความอดทน แต่เพราะใช้สติเป็นเครื่องรักษาใจ ปกติเวลาเราเจอสถานการณ์แบบนี้ก็ต้องเดินหนีมด หรือไม่ก็ทำร้ายมด แต่เนื่องจากเธอต้องเดินจงกรมอยู่ในแถวจะเดินหนีมดก็ไม่ได้ ตบมดก็บาป ก็เลยต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเจ็บปวดให้ได้ นั่นก็คือใช้สติช่วยให้ปวดแต่กาย ใจไม่ปวด


    คนส่วนใหญ่เวลามีอะไรมากระทบกาย ใจก็ทุกข์ไปด้วย อันนี้รวมถึงเรื่องความไม่สมหวังด้วย แต่ถ้าหากไม่อยากเป็นทุกข์ เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับทุกข์ให้ได้โดยที่ใจไม่ทุกข์ ซึ่งรวมถึงเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเศร้า เรียนรู้ที่จะอยู่กับความเบื่อให้ได้ โดยไม่ต้องวิ่งหนีมัน เพราะการทำเช่นนั้นบางครั้งไม่ได้แก้ปัญหาจริง เพราะไป ๆ มา ๆ กลับวิ่งไปหาความทุกข์ มีลูกของเพื่อนคนหนึ่งมาปรึกษาว่าเพิ่งเลิกกับแฟน เพราะแฟนเป็นคนเจ้าชู้ แต่เธอก็ยังกลับไปหาเขา ทั้งๆ ที่รู้ว่าผู้ชายคนนี้คบไม่ได้ เธอบอกว่าอยู่คนเดียวไม่ได้ มันเหงา จึงอดไม่ได้ที่จะกดโทรศัพท์ไปคุยกับผู้ชายคนนั้น เธอบอกว่าทรมานใจมากเวลาอยู่คนเดียว เธอพยายามหนีความเหงาแต่กลับวิ่งไปหาคนที่ไม่ซื่อต่อเธอ ถ้าเอาแต่หนีความเหงาแบบนี้ก็ไม่มีทางที่จะพ้นทุกข์จากความเหงาได้


    เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเหงาให้ได้ ด้วยการมีสติเห็นมัน สติทำให้เราเห็นว่า ใจเหงา ไม่ใช่ฉันเหงา การปรุงแต่งจะไม่เกิดขึ้นถ้าเรามีสติ แต่ถ้าเรามีสติ ก็จะไม่ปรุงว่าฉันเหงา ฉันปวด ฉันเศร้า ที่จริงไม่มีฉันผู้เหงา ผู้ปวด ผู้เศร้า มันมีแต่ความเหงา ความปวด ความเศร้าเท่านั้นที่เกิดขึ้น วิธีการอยู่กับความทุกข์ด้วยสติ ต้องเริ่มต้นจากความตระหนักว่า ทุกข์เกิดขึ้นเพราะความเผลอ ความลืมตัว ความไม่มีสติ เมื่อใดที่เราลืมตัว ตัวตนก็เกิดขึ้น พูดอย่างนี้พอเข้าใจไหม ถ้าตอนนี้ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ให้ลองสังเกตดูว่าเมื่อใดที่ลืมตัว ตัวตนก็จะเกิดขึ้น เช่น เรารู้สึกเป็นทุกข์เป็นร้อนก็เพราะลืมตัว ถ้าใจไม่มีสติ ก็จะปรุงแต่งตัวตนให้เกิดขึ้น ดังนั้นจึงอยากให้เราหมั่นดูกาย ดูใจ ดูเวทนา ด้วยใจที่เป็นกลาง ๆ คือดูเฉย ๆ ไม่ยินดียินร้าย ไม่ผลักไสไม่ไขว่คว้า ถ้าเราดูกาย ดูใจ ดูเวทนาเวลามันเกิดขึ้นโดยไม่ปรุงแต่งมัน หรือไม่มีปฏิกิริยาต่อมัน ก็จะเห็นว่ามันมีอยู่ แต่ทำอะไรใจเราไม่ได้ แม้กายจะทุกข์ แต่ใจไม่ทุกข์ ต่อไปเราก็จะเป็นมิตรกับความทุกข์ ความเหงา ความเศร้าได้ เพราะต่างคนต่างอยู่ ไม่มารังควาญใจเรา


    ถ้าเรารู้จักอยู่กับความทุกข์ได้ เมื่อถึงคราวที่เราจะตาย เราก็จะยอมรับมันได้ ความตายก็ทำอะไรเราไม่ได้ เราสามารถเป็นมิตรกับความตายได้ ถึงตอนนั้นความตายจะไม่ใช่สิ่งน่ากลัวต่อไป อันนี้เป็นศิลปะในการดำเนินชีวิต อะไรก็ตามที่เราหนีไม่พ้น เราควรเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้ นี้คือศิลปะการอยู่ในโลกนี้อย่างไม่ทุกข์


    :- https://www.visalo.org/article/dhammamata6_2.htm
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    ทุกข์เป็นประตูสู่ธรรม





    images.jpg

    ที่จริงทุกข์กับธรรมเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด นักปฏิบัติธรรมจะต้องไม่กลัวทุกข์ เพราะเหตุว่าทุกข์กับธรรมนั้นใกล้กันมาก ที่จริงแล้ว สาเหตุที่คนจำนวนไม่น้อยเข้าหาธรรมก็เพราะเจอทุกข์ คนธรรมดาที่สุขสบาย ไม่มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ มีชีวิตราบรื่นเป็นปกติ น้อยคนนักที่จะสนใจธรรมหรือเข้าหาธรรม ก็ไม่รู้จะเข้าหาธรรมไปทำไมในเมื่อชีวิตสุขสบายราบรื่นอยู่แล้ว มีกินมีใช้ มีครอบครัว ที่อบอุ่น มีชื่อเสียงเกียรติยศ

    ดังนั้น เราจึงมักได้ยินคนจำนวนไม่น้อยพูดว่า จะเข้าวัดไปทำไมในเมื่อฉันยังไม่ได้มีความทุกข์อะไรเลย จะปฏิบัติธรรมไปทำไมในเมื่อฉันก็มีความสุขดีอยู่แล้ว ที่เขาพูดเช่นนี้มีส่วนจริงในแง่ที่สะท้อนให้เห็นปรากฏการณ์ที่ว่า คนเราถ้าไม่เจอทุกข์ก็ไม่สนใจธรรมะสำหรับคนเป็นแม่ อะไรจะเลวร้ายเท่ากับการสูญเสียลูก โดยเฉพาะลูกที่ยังเล็กน่ารัก เพียงต่อมาอีกไม่นานสามีของท่านก็เสียชีวิตลงอีกคน เรียกว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ไม่ต่างจากนางปฏาจาราในสมัยพุทธกาล ความทุกข์ที่ซัดกระหน่ำทำให้ท่านแทบจะมีชีวิตอยู่ไปไม่ได้ แต่ในที่สุดมีคนแนะนำให้ท่านลองไปปฏิบัติธรรม ท่านพบว่า ธรรมสามารถเยียวยาความทุกข์ ทำให้ได้พบกับความสุขที่ประเสริฐมาก เหมือนกับได้พบชีวิตใหม่จากการปฏิบัติธรรมภายหลังท่านได้กลายเป็นอาจารย์กรรมฐานที่มีชื่อเสียงมากของอินเดีย
    สำหรับคนทั่วไปหากอยู่ไกลธรรมะก็ยากที่จะเข้าถึงธรรมะได้จนกว่าจะเจอทุกข์แต่บางคนที่แม้จะอยู่ใกล้ธรรมะก็อาจมองไม่เห็นคุณค่าของธรรมะหรือการภาวนาได้เช่นกัน
    ขอบคุณความทุกข์ เรื่องราวแบบนี้เราคงรู้สึกคุ้นๆ เพราะคล้ายกับเรื่องราวที่เราเคยได้ยิน เช่น คนที่เคยสูญเสียลูก ป่วยเป็นมะเร็ง หรือพิการ มีความทุกข์มากจนต้องหันมาพึ่งธรรมะ เมื่อได้ปฏิบัติธรรม ทำสมาธิภาวนา ก็พบกับความสุขอันประเสริฐ หลุดพ้นจากความทุกข์ที่รุมเร้าได้
    เพราะฉะนั้น เมื่อเจอความทุกข์ก็อย่ามัวแต่กลุ้มอกกลุ้มใจหรือสับสนชะตากรรม อาจเป็นโชคของเราก็ได้ที่เจอทุกข์ เพราะทุกข์จะผลักให้เราปรับเปลี่ยนชีวิตหันหน้าเข้าหาธรรมจนพบกับสรณะและความสุขอันประเสริฐ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า เมื่อยังไม่เจอทุกข์ ผู้คนก็มักคิดว่าความเจริญ ความสุข ความสำเร็จ หรือเงินทองคือสรณะ ชื่อเสียงเกียรติยศคือสรณะ แต่เมื่อเจอความทุกข์ เจอความเจ็บปวด พลัดพรากสูญเสีย สามีขอหย่า ภรรยาทิ้ง เงินทองก็ช่วยให้หายทุกข์ไม่ได้เลย

    จากหนังสือเจอทุกข์พบธรรม พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล

    :- https://web.ybatnet.org/th/blog/detail.php?id=22&page=
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    e2180.jpg
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
  21. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    A Moonlight Night - The Most Beautiful Ukrainian Song (Dedicated to All Brave Ukrainian People)

    zevnikov
    2,702,731 viewsFeb 27, 2022
    This is Gimnazija Kranj Symphony Orchestra and Choir's dedication to brave Ukrainian people who suffer under the brutal Russian invasion. Our musicians performed this beautiful love song a couple of years ago. Diana Novak did an amazing arrangement. It was composed by Mykola Lysenko with lyrics written by Mykhailo Starytsky. Arrangement: Diana Novak, Soloists: Rok Zupanc, Lovro Krišelj, Chorus Master: Erik Šmid, Conductor: Nejc Bečan. PPZ production dedicates this beautiful love song to all brave Ukrainian people, who will never surrender. Their freedom is our freedom. Their lives are our lives! Just turn on English subtitles. English translation: Tog Hoath Gimnazija Kranj Symphony Orchestra
     
  22. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    introublehappy.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...