เรื่องเด่น ทำความดีโดยไม่ต้องนั่งกรรมฐาน จะตกนรกไหม?

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย โพธิสัตว์ ชาวพุทธ, 29 พฤษภาคม 2022.

  1. โพธิสัตว์ ชาวพุทธ

    โพธิสัตว์ ชาวพุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    5,319
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,274
    ค่าพลัง:
    +9,590
    tBcRy8dUPI9BPHeQsfjfH16-cJzQ1CSUNkLvhEBuzM4ugzK0MzYxpZJgzlheVVPp0WmI4PHs&_nc_ht=scontent.fbkk5-3.jpg


    ทำความดีโดยไม่ต้องนั่งกรรมฐาน จะตกนรกไหม?
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    “หลวงพ่อครับ ถ้ากระผมทำแต่ความดีโดยไม่ต้องนั่งกรรมฐาน
    จะมีสิทธิ์ตกนรกไหมครับ?”

    “มีสิทธิ์ตกแน่” หลวงพ่อตอบทันที

    “อ้าว ก็พระพุทธเจ้าสอนว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มิใช่หรือครับ?”
    ข้าพเจ้าแย้ง

    “ใช่ แต่คุณหรือคนธรรมดาทั่วๆ ไปจะมีใครกระทำแต่ความดี
    ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เล่า มีแต่ทำดีมากทำชั่วน้อย หรือทำชั่วมาก
    ทำดีน้อย จริงไหม? ไม่ใช่พระอรหันต์นี่ ท่านมีสติทุกลมหายใจ
    เข้าออกจึงจะทำความดีได้ทั้ง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์” หลวงพ่ออธิบาย

    “แต่หลวงพ่อเคยพูดไว้นี่ครับว่า การบำเพ็ญทานและรักษาศีลนั้น
    ถือเป็นความงามเบื้องต้นของพระพุทธศาสนา หากตายไปก็มีสิทธิ์
    ไปจุติเป็นเทวดา เสวยสุขในสวรรค์ได้” ข้าพเจ้าแย้งเพราะยังข้อง
    ใจอยู่

    “เก่งนี่ ที่จำได้ แต่นั่นต้องหมายความว่า ก่อนตาย จิตของคุณ
    ก่อนที่จะแยกจากกาย ต้องจับอยู่ในกุศลผลบุญของทาน ศีล
    ที่คุณทำมาด้วยนะ จึงจะไปเกิดเป็นเทวดาได้ แต่ถ้าจิตของคุณ
    ก่อนที่จะแยกจากกาย ไปจับอยู่ในกรรมชั่วแม้เพียงน้อยนิด คุณ
    ก็ต้องไปรับกรรมชั่วก่อน ต่อเมื่อชดใช้กรรมชั่วจบสิ้นแล้วนั่นแหละ
    คุณจึงจะมีสิทธิ์ไปเสวยผลแห่งกรรมดีได้นะ” หลวงพ่ออธิบาย

    “มีข้อแม้อย่างนี้ด้วยหรือครับ?” ข้าพเจ้าถามอ้อมแอ้ม

    “ใช่ บางคนอาจทำความดีถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ทำความชั่วเพียง
    ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ก็มิได้หมายความว่าจะลบล้างกันได้เหลือความดี
    อยู่ ๖๐ เปอร์เซ็นต์นะ กรรมดีและกรรมชั่วนั้นแยกกันโดยเด็ดขาด
    อยู่ที่ว่าจิตของคุณก่อนที่จะแยกจากกายนั้นไปจับอยู่ที่กรรมดีหรือ
    กรรมชั่วต่างหาก

    ถ้าบังเอิญก่อนตายจิตไปจับเอากรรมชั่วเพียงน้อยนิด ก็อาจลงนรก
    ก่อนได้ และในทำนองเดียวกันหากแม้คุณทำชั่วมา ๘๐ เปอร์เซ็นต์
    ทำความดีได้เพียง ๒๐ เปอร์เซ็นต์ หากจิตของคุณก่อนแยกจากกาย
    ไปจับเอากรรมดีเพียงน้อยนิดเข้า ก็สามารถไปเสวยสุขในสวรรค์ก่อนได้นะ
    ด้วยเหตุนี้คนเฒ่า คนแก่ จึงมักจะไปคอยให้สติแก่คนใกล้ตายเสมอ
    โดยให้คนใกล้ตายภาวนา “พุทโธ” บ้าง “สัมมาอะระหัง” บ้าง เป็นต้น
    แต่ไม่เป็นผลหรอกนะ ถ้าคนที่ใกล้จะตายผู้นั้นมิได้เคยฝึกกรรมฐานมาก่อน” หลวงพ่ออธิบาย

    “จริงครับหลวงพ่อ ขนาดผมมิได้เจ็บไข้ได้ป่วยสักนิด ยังทำจิต
    ให้สงบจับอยู่ในองค์พุทโธ เพียงแค่สัก ๒-๓ นาที ยังไม่ได้เลย
    ครับ” ข้าพเจ้ารีบสารภาพตามความเป็นจริง

    “ต้องฝึกให้ชำนาญนะ จึงจะทำได้ เหมือนเช่นนักมวยนั่นแหละ
    แม้จะมีพี่เลี้ยงไปยืนตะโกนสอนอยู่ข้างเวที ให้ฮุคขวา ฮุคซ้าย
    เตะก้านคอ ศอก เข่า เขาก็ทำไม่ได้นะ หากมิได้ฝึกซ้อมจนเกิด
    ความชำนาญมาก่อน

    ดังนั้นหากใครก็ตามสามารถฝึกกรรมฐานได้จนช่ำชอง ก็อาจ
    สามารถกำหนดจิตไปวางอยู่ ณ ที่ใดก็ได้นะ ยิ่งฝึก จิตก็ยิ่ง
    เชื่องนะ แม้ทำกรรมชั่วไว้มาก ทำกรรมดีไว้แต่เพียงน้อยนิด
    เขาก็สามารถกำหนดจิตของเขาไปวางไว้ในส่วนของกรรมดีได้
    โอกาสลงนรกเขาจึงไม่มี

    และเมื่อเขาได้มีโอกาสไปเสวยสุขก่อน ได้อยู่ในกลุ่มของคนดี
    เขาก็มีโอกาสสร้างกุศลผลบุญได้มาก และในทุกครั้งที่สร้าง
    กรรมดี ถ้าเขาอุทิศส่วนกุศลผลบุญให้แก่เจ้ากรรมนายเวรไป
    เรื่อยๆ หากเจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้นไม่ถือผูกโกรธ พยาบาท
    และอภัยให้ เขาก็อาจจะไม่ต้องไปชดใช้กรรมชั่วเลยก็ได้นะ
    เสมือนหนึ่งเจ้าหนี้ ซึ่งเห็นคุณงามความดีของคุณ แล้วไม่
    ติดใจทวงหนี้คืนจากคุณนั่นแหละ คุณก็ไม่ต้องหาเงินไป
    ใช้หนี้เขาใช่ไหม?

    ดังนั้นหากคุณฝึกนั่งกรรมฐานได้อย่างช่ำชอง คุณจะได้เปรียบ
    มากนะ อย่างน้อยที่สุด ก่อนตายคุณก็จะสามารถกำหนดจิต
    ของคุณ ไปวางอยู่ในกรรมดี แล้วไปเสวยสุขตามกุศลผลบุญ
    ที่คุณทำมาได้นะ อย่าลืมว่าการตายนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรกลัว
    แต่สิ่งที่ควรกลัวคือการเกิดต่างหาก ด้วยเหตุนี้ การนั่งกรรมฐาน
    จึงเป็นสิ่งจำเป็นมากนะ เพราะจะเป็นตัวกำหนดการเกิด ดังที่
    ฉันพูดมาแล้วได้ด้วย

    นอกจากนั้นประโยชน์ของการนั่งกรรมฐานยังมีอีกมาก อาทิเช่น
    หากสามารถทำจิตให้สงบเพียงชั่วระยะเวลาแค่ช้างกระดิกหู
    ก็ได้บุญ มากกว่าการให้ทานและรักษาศีลเสียอีก หากจิตสงบ
    เพียง ๕ นาที ๑๐ นาทีก็อิ่มเอิบกว่านอนหลับตั้งหลายชั่วโมง
    และถ้านำไปพิจารณาวิปัสสนาญาณก็จะเกิดปัญญา รู้แจ้ง
    เห็นจริง ละกิเลสตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม อันเป็น
    หนทางสู่โลกุตระ ซึ่งเป็นทางเดินของพระอริยเจ้าได้

    8998989.JPG


    ขอบคุณที่มา : ศูนย์พุทธศรัทธา สำนักปฏิบัติพระกรรมฐานสาขาวัดท่าซุง www.BuddhaSattha.com
     

แชร์หน้านี้

Loading...