ถ้าคุณคิดจะฝึกเตโช(เพ่งไฟ)และ อาโปกสิณ(เพ่งน้ำ)กสิณต้องเตรียมอะไรบ้างจ้า ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย พระtoshi, 15 ตุลาคม 2016.

  1. พระtoshi

    พระtoshi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +270
    1.เตรียมใจให้พร้อมก่อน ด้วยการตัดความลังเลสงสัยใดๆ ในการฝึกกสิณ เพราะเมือคุณตั้งแง่สงสัยขึ้นมาค้านในใจทั้งๆที่ยังไม่ได้ลองฝึกดูจริงๆ จิตส่วนลึกคุณมันสั่งงานออกมารบกวนและค้านเองตอนที่คุณนั่งสมาธิจริงสักพักนึงนั่นแหล่ะ กวนใจคุณจนล้มเหลวไม่เป็นท่าในที่สุด
    2.ขอให้ระลึกไว้ว่า เตโชและอาโปกสิณ เป็นศาสตร์ความรู้แห่งการพ้นทุกข์ที่พระศาสดาท่านเคยรับรองไว้ด้วยตัวท่านเอง จึงสบายใจได้ว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับมนต์ดำของขลังแม้แต่น้อย กลับเป็นมหากุศลมหาศาล และที่เหนือกว่าอื่นใดคือ เกิดฤทธิ์ทางจิตเร็วมากที่สุดแม้ใครได้ทดลองฝึกจริงๆอย่างตั้งใจเพียงแค่ครั้งเดียว เป็นมหาอำนาจและมหาเสนห์ยิ่งกว่าสิ่งใดที่คุณเคยรู้จักมาก่อน หลวงพี่ก็รับรอง และก็ประสบผลเรื่องนี้มานับไม่ถ้วนแล้ว รวมทั้งกลุ่มลูกศิษย์หลวงพี่ทุกคนที่เรียนกับหลวงพี่โดยตรงจะรู้ดี เพียงแต่หลวงพี่สั่งห้ามไม่ใช้ใช้ฤทธิ์ทางจิตและห้ามอวดใคร นอกจากหลวงพี่ผู้สอนที่จะนำมาเผยแพร่ให้ผู้คนรับรู้เพื่อเชิญชวนมาเป็นแรงบันดาลใจในการปฎิบัติธรรมในบางครั้งเท่านั้น
    3.เตรียมความว่างของจิตไว้บ้าง เพราะสมาธิจำเป็นต้องอาศัยการตัดความวุ่นวายทางจิตออกให้ได้บางส่วน
    4.เตรียมสถานที่และร่างกายให้พร้อม เช่น ไร้ยุงแมลงรบกวน สถานที่สะอาดทำให้จิตสงบเร็วดี อากาศถ่ายเทพอใช้ได้ ไม่ร้อนและไม่หนาวเกิน หนาวห่มผ้านั่งสมาธิได้ ไม่บาป ร้อนเปิดพัดลมได้ แต่จะมีปัญหาตอนฝึกเตโชกสิณอยู่บ้างหันพัดลมไปทางอื่นแต่พอให้เราได้เย็นสบายอยู่บ้างก็โอเค
    5.เตรียมใจไว้ก่อนนั่งสมาธิกสิณคือการหาข้อมูลก่อนเกี่ยวกับการฝึกกสิณ หลวงพี่แนะนำวิธีการเตรียมความพร้อมให้คุณอ่านกันก่อน เพราะมันจะมีผลตอนที่คุณนั่งสมาธิแล้วเช่น เห็นอะไรในกสิณ ร่างกายเกิดอะไรขึ้น มองเห็นอะไรต่างจากที่เคยเห็น และอาจจะไม่เชื่อว่ามันจะเป็นไปได้ ฉะนั้นเมื่อเราอ่านการฝึกกสิณแล้วพอเข้าใจคุณจะไม่สนใจสิ่งใดนอกจากคงอยู่ในสมาธิเพราะเข้าใจมาก่อนแล้วจากการอ่านทำความเข้าใจ แต่ถ้าไม่อ่านไม่มีข้อมูลก่อนนั่งสมาธิรู้เห็นเกิดอาการอะไรก็ไม่เข้าใจ สงสัยลังเลจนไม่เป็นสมาธิ
    6.นั่งสมาธิคนเดียวตอนฝึกใหม่ๆจะดีที่สุดเรื่องที่คุณอาจจะไม่รู้คือ จิตคนมันเชื่อมต่อกันได้เมื่อเกิดสมาธิ ถ้าคุณฝึกใหม่ๆจิตจะสงสัยถึงคนอื่นที่นั่งสมาธิร่วมกับคุณ ทั้งๆที่มันได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลย ทำให้ไม่เป็นสมาธิเปล่าๆ
    7.ให้ใจคุณลืมการฝึกสมาธิรูปแบบอื่นหรือเคยฝึกมาจากที่อื่นแล้วไม่ได้ผล เพราะคนสอนไม่เหมือนกัน ยิ่งหลวงพี่ยิ่งแล้วใหญ่สอนสไตล์เฉพาะของหลวงพี่เองที่ไม่ได้เอามาจากใคร ดัดแปลงมาจากคำสอนของพระศาสดาและครูท่านต่างๆในอดีตที่หลวงพี่รักเคารพและศรัทธา รวมกับวิธีการคิดแบบใหม่ของหลวงพี่ที่ฝึกมาค้นคว้าแก้ไขในจุดที่ผิดพลาดมา จึงต่างจากคนอื่น ฉะนั้นปนกันไม่ได้เดี๋ยวมั่ว
    ........ไม่ยากหรอกแค่นี้......ขอให้เกิดสมาธิระดับญาณการหยั่งรู้ทุกท่าน ถ้าไปเที่ยวนรกสวรรค์แล้วมาเล่าให้หลวงพี่ฟังมั่งนะ หลวงพี่สอนพวกเขาทางโทรศัพท์มาหลายคนทั้งๆที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อนเลย แต่เพราะเขาเชื่อมั่นหลวงพี่ในตอนที่พาพวกเขานั่งสมาธิตามขั้นตอน จึงเห็นกันมาแทบทุกราย ดีที่สุดนะคุณฝึกเองรู้เองเห็นเองก็ไม่ยากนี่หน่า แล้วหลวงพี่จะมาสอนวิธีฝึกกสิณสไตล์หลวงพี่ที่ต่างจากที่เคยเรียนมาจ้า.....:cool:
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    เบรก แทบไม่ทันเลยทีเดียว กะจะมาช่วยตอบเท่าที่รู้เล็กๆน้อยๆ สำหรับท่านที่เข้ามาอ่าน นะครับ ก็ ไปดูใน utube search คำว่า กสิน 10 + หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
     
  3. Jera

    Jera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +2,040
    ถ้าเพ่งดวงอาทิตย์ นี่ใช้ได้หรือเปล่าครับ
     
  4. พระtoshi

    พระtoshi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +270
    สิ่งที่หลวงพี่ไม่ให้คนที่เรียนฝึกกสิณกับหลวงพี่เพ่งก็มี...
    -ห้ามเพ่งแสงจ้าโดยเด็ดขาด เช่นดวงอาทิตย์ พระจันทร์ในคืนข้างขึ้นหลวงพี่ก็ไม่แนะนำ เพราะการฝึกกสิณไม่ใช่การเอาตนเองไปทรมานแหงนหน้ามองพระจัทร์ แต่การฝึกกสิณเป็นการฝึกความสงบทางใจที่วุ่นวาย มันก็ไม่ได้ต่างจากการฝึกวิปัสสนาหรอก เพียงแต่เปลี่ยนจากกำหนดลมหายใจ มาเป็นการจำภาพในสมาธิแทน แต่ผลลัพธ์จากการฝึกทั้งสองอย่างจะต่างกันไปตอนฝึกเริ่มแรก สุดท้ายปลายทางจากการฝึกสมาธิถ้าคุณทำได้ในระดับที่ดีขึ้นไปเรื่อยๆก็ไม่ต่างกัน ดีทั้งคู่แล้วแต่ว่าใครชอบหรือถนัดทางการฝึกอย่างไหนก็อีกเรื่องนึง เมื่อเกิดสมาธิ เวลาคิดอะไรย่อมลึกซึ้งและถี่ถ้วนกว่า หลอดไฟที่มีแสงแรงจัดก็ไม่ได้ การเพ่งกสิณจริงๆแล้วมันไม่ได้หมายถึงการเพ่งมองแบบเอาเป็นเอาตาย เป็นแค่การมองแบบธรรมดาในลักษณะของการจำได้เท่านั้นเอง
    -เพ่งไฟ หลวงพี่ก็ไม่เคยสอนและห้ามคนที่ฝึกกับหลวงพี่เพ่งเทียนแบบจ้องแต่ตัวเปลวไฟอย่างเดียว จุดเสียคือ สายตาคุณมีสิทธิ์ที่จะเสื่อมอย่างถาวรได้ในอนาคต การเพ่งไฟก็คือมองไฟแบบธรรมดามองตัวเทียนบ้างมองที่เปลวไฟบ้างแบบผ่านๆมองแบบรวมๆแค่นั้นเองแล้วก็ใช้เวลาไม่นานแค่อย่างมาก 40 วินาทีเท่านั้น หลายคนมากๆที่เรียนฝึกกสิณกับหลวงพี่ บอกว่าตอนที่เขาฝึก เขาก็เพ่งไฟจนตาลาย พอหลับตาก็เห็นภาพติดตาเป็นลักษณะของจุดสีแดงเลือด ตอนแรกมันจะอยู่บริเวณหว่างคิ้วก่อน ภาพที่มืดตอนหลับตายิ่งทำให้จุดสีแดง เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดในเวลาอันรวดเร็ว แล้วที่แย่ไปกว่านั้นคือจุดสีแดงนั้นจะมีความรู้สึกที่มองแล้วอึดอัด และเริ่มลอยขึ้นไปสูงขึ้นเรื่อยๆตาของเรามันก็ต้องมองตามจนมันหายไปยิ่งไม่เป็นสมาธิ เสี่ยงสายตาเสียหลักคิดก็ไม่ได้ต่างจากการมองไฟเชื่อมเหล็ก ถึงแม้ว่าแสงเทียนที่คุณจุดแล้วไฟไม่สว่างก็จริง แต่เพ่งแต่ตัวไฟอย่างเดียวสักระยะนึง ก็เกิดอาการไม่ได้ต่างกันกับมองไฟเชื่อมเหล็ก สายตาเสี่ยงที่จะเสีย หลวงพี่ทดลองฝึกดูเองมาหลายวิธีแล้วตั้งแต่เพิ่งมาบวชใหม่ๆ ลองผิดลองถูกจนหาวิธีแก้ไขในการฝึกกสิณอย่างไม่มีอันตรายง่าย และเข้าถึงสมาธิได้เร็ว คุณลองเอาไปพิจารณาดูเองว่าจริงหรือไม่จ้า....:boo:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 ตุลาคม 2016
  5. Jera

    Jera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +2,040
    ขอถามต่อครับ ปกติถ้าเพ่งไฟ นิมิตร

    มันจะกลายเป็นสีน้ำเงินป่ะครับ
     
  6. พระtoshi

    พระtoshi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +270
    ไม่ใช่แค่สีน้ำเงินอย่างเดียว บางครั้งก็เป็นสีอื่นก็มี เป็นเหมือนกับก้อนกลมๆลอยเข้าหาก็มี บางคนก็เห็นเป็นสีขาว เป็นสายรุ้งก็มี หรืออย่างอื่นเยอะแยะ ตรงนั้นไม่ต้องไปสนใจมัน ไม่มีประโยชน์ในระหว่างนั้น ที่มองเห็นสีสันอะไรก็ตาม แสดงว่าจิตคุณเองมันเริ่มนิ่งในระดับเล็กๆแล้ว มองมันทั้งๆที่เห็นสีนั้นไป ไม่ต้องไปสนใจว่าจะเกิดฤทธิ์ทางจิต หรือมันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป คงอยู่กับสมาธิไว้เรื่อยๆ มันจะเกิดสมาธิที่นิ่งไปทีละระดับเอง หลายคนหลุดหรือล้มเหลวจากการฝึกสมาธิในทุกรูปแบบเพราะเห็นแล้วหลง เห็นแล้วสงสัย ของอย่างนี้มันเป็นภาพที่เกิดขึ้นก่อนที่จะเข้าสู่สมาธิที่นิ่งต่อไปเรื่อยๆ หลวงพี่เองตอนฝึกใหม่ๆ ก็หลงกับภาพที่เห็นเหมือนกัน พอคิดว่าเรากำลังรู้สึกว่าร่างกายสบายจิตก็เริ่มนื่งบ้างแล้ว ก็อยู่กับความคิดที่คงไว้กับสมาธิแค่นั้นเอง นิมิตรอะไรนั่นน่ะ หลวงพี่ไม่เคยสนใจหรอก มันก็แค่ของหลอกล่อแก่นของคุณคือสมาธิที่นิ่งต่อไป ความฝันของคนที่ฝึกสมาธิก็คือ อยากรู้ว่ามันจะไปถึงไหน คำตอบคือ ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้นมันจะเกิดของมันเอง อีกอย่างนึงถ้าภาพไฟที่เราเคยจำมันหายไป แต่เวลานั้นเรารู้ตัวเองว่าเริ่มนิ่งเบาสบายแล้ว ก็ไม่ต้องไปเรียกภาพไฟในสมาธิขึ้นมาอีก ไฟและวัตถุมันเป็นแค่ตัวล่อไม่ให้จิตมันฟุ้งซ่านเท่านั้นเอง ถ้านิ่งถ้าเกิดสมาธิคุณจะรู้ได้ด้วยตัวคุณเองจ้า
     
  7. Jera

    Jera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +2,040
    คือถ้าจิตเราสงบ เเต่ไม่มีนิมิตรไปปรากฏ หรือ ว่าเห็นนิมิตรไฟ เป็นบางครั้งเเวบเดียว
    การที่จิตเราสงบ จนไม่อยากลืมตา เเล้วพยายามดึงหรือ เค้นให้เห็นนิมิตร ไม่ถูกใช่ไหมครับ
    ถ้างั้นเราก็ไม่ต้องลืมตามาเพ่งไฟต่อเพียงเเค่ ให้จิตมันสงบจนดิ่งไปในสมาธิ เลย
    เเล้วงี้ เราตั้งใจที่จะทำสมาธิในกองกสิณ เพื่อยึดเอานิมิตรไฟเป็นองค์บริกรรม
    จะเรียกว่าเราสำเร็จกสิณได้หรือเปล่าครับ หรือว่าเเค่สำเร็จสมาธิเฉยๆ
     
  8. Jera

    Jera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +2,040
    อันนี้เป็นกระทู้ที่ผมตั้งเกี่ยวกับ ไว้หลายปีละครับ

    ช่วยนิมนต์หลวงพี่พิจารณาว่าต้องเเก้ไขยังไงครับ

    ผมอยากรู้ว่า อาโปกสิณ ใช้วิธีการนึกเอา หรือเวลาหลับตาเเล้วเห็นภาพครับ


    นิมิต เป็นอย่างไรครับ เป็นภาพที่ติดตาหรือ อย่างไรครับ
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    หลวงพี่รักษาคนได้ด้วย
    ถ้าว่างก็รบกวนเล่าเป็น
    วิทยาทานด้วยนะครับ
    นอกจากเครื่องรู้อื่นๆและพวกเกี่ยวกับตาพิเศษ
    และพวกการป้องกัน (^_^)

    ปล.เพื่อสมาชิกท่านอื่นๆจะได้เห็น
    ในหลายๆมุมมองครับ
     
  10. พระtoshi

    พระtoshi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +270
    ตอบคำถามที่ละอย่างนะ อย่างที่ถามมาเรื่องที่หลวงพี่เคยรักษาคน แนะนำว่าคุณมาเจอพวกเขาตัวจริงๆดีกว่า และพยานหลายคนเขาก็รู้เห็นนับสิบ สิ่งที่หลวงพี่รักษาพวกเขาหลวงพี่ไม่เคยใช้เวทย์มนต์อะไรเลยแม้แต่บทเดียว หลวงพี่ไม่ใช่หมอผี และไม่ชอบเรื่องคาถาอะไรทั้งนั้น ขอให้เข้าใจหลวงพี่ด้วย หลวงพี่เเค่พระสอนธรรมเท่านั้นเอง แล้วอีกอย่างนึงหลวงพี่ไม่เคยเรียกร้องเงินพวกเขาสักบาทเดียวและยังคงออกเร่ร่อนสอนธรรมไปเรื่อยๆไม่มีจุดหมาย ถ้าคิดว่าหลวงพี่แต่งเรื่องขึ้นมาก็รวมกันมาได้ หลวงพี่จะพาไปเอง อีกอย่างนึงหลวงพี่ช่วยพวกเขาด้วยเจตนาบริสุทธิ์ เขายังรักและศรัทธาหลวงพี่จนทุกวันนี้แม้หลวงพี่จะไม่มีชื่อเสียงใดๆก็ตาม การที่หลวงพี่เผยแพร่พระธรรมในรูปแบบของหลวงพี่เองเพียงอยากให้รู้ว่า สมาธิมันมีคุณประโยชน์มากมาย ไม่ใช่แค่เข้าถึงการดับทุกข์เท่านั้น ทุกข์ที่ใจกายก็ทุกข์ ทุกข์ที่กายใจก็ทุกข์ รักษาอย่างถูกวิธีการเเพทย์ปัจจุบันนี่คืออันดับแรกที่หลวงพี่คำนึงถึงการรักษาด้วยการแพทย์จากปัจจุบันด้วยหมอนั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง ต่อจากนั้นหลวงพี่จึงรักษาพวกเขาด้วยสมาธิอีกครั้งนึง ก็หายดีหลวงพี่ก็ไม่เคยมองตนเองว่าศักดิ์สิทธิ์หรือขลังแต่อย่างใด หลวงพี่เชื่อว่าคุณนพกานต์ มองเจตนาดของพระด้วยใจบริสุทธิ์เพราะเราล้วนเป็นชาวพุทธด้วยกัน
     
  11. พระtoshi

    พระtoshi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +270
    คราวนี้ในกรณีที่คุณ dota ถามหลวงพี่มาในการสอนของหลวงพี่จะตอบแบบเข้าใจง่ายๆนะ เพราะบางคนอ่านแล้วงง หลวงพี่จะกลั่นกรองให้ง่ายพอเข้าใจ คือนิมิตมันก็คือการเอาสิ่งที่เราตั้งใจจะเอามาเป็นศูนย์รวมในการคงอยู่กับมันในรูปแบบสั้นๆ คือไฟ ก็อยู่กับไฟ ไม่เหมือนกับมองนั่นมองนี่ไปทั่ว เลยพาจิตฟุ้งซ่าน วิปัสสนาก็เช่นกัน เหมือนกันทั้งคู่เลย เพียงแต่ต่างกันตรงจำ กับมอง ถ้าคุณฝึกเพ่งไฟอาจจะทนสักหน่อย ลองตั้งใจฝึกสัก4-5วันน่า...ตอนแรกนิมิต(ขี้เกียจเรียกแล้วนิมิต เรียกแบบง่ายๆสไตล์หลวงพี่แล้วกัน น้องๆคนรุ่นหลังที่เข้ามาอ่านจะเข้าใจง่ายนะ) คือภาพไฟที่คุณมองตอนฝึกแรกๆมันจะคงอยู่ไม่นานหรอก มองอย่างมากโดยทั่วไป(ต่างกันที่ความตั้งใจของแต่ละคนด้วยนะ) แค่30 วินาทีก็เริ่มเลือนแล้ว อย่างหลวงพี่สอนพวกเขาฝึกสมาธิหลวงพี่จะให้เขาคงอยู่กับภาพที่เห็นก่อน คนสอนจะรู้ได้เอง อนุญาตให้ลืมตามองได้อีกครั้งเดียว แล้วจะเห็นได้นานแค่ไหนก็จบกัน วันที่สองฝึกไปอีก วันที่สามฝึกไปอีกอย่าท้อ ภาพไฟนั้นถ้าคุณสังเกตุนะ มันจะชัดขึ้นและนานขึ้นกว่าเดิม ทำไปเรื่อยๆสักระยะนึง หลายคนที่หลวงพี่สอนเขาเพิ่งมารู้ตัวว่า ฝึกไปแล้ว5-6วันจำภาพไฟได้นานขึ้นได้ยังไงก็ไม่รู้ สมองมันมีส่วนช่วยเก็บความจำของภาพไว้ส่วนนึง จิตมีหน้าที่เรียกความจำจากสมองออกมาแปรเป็นภาพ ถ้าจำได้นานขึ้น ตอนนั้นคุณจะรู้ตัวเองว่าจิตเรามันเริ่มไม่อยากสนใจกับภาพไฟที่เคยจำแล้ว คือเริ่มเป็นสมาธิแล้ว ไม่ต้องเรียกมันมาอีก ไม่งั้นสมาธิที่นิ่งหรือเริ่มนิ่งแล้ว มันจะสะดุดและหยุดเหมือนกลับไปเริ่มต้นใหม่ทันที หลักง่ายๆคือ พอเป็นสมาธิแล้วคุณรู้ตัวว่าสบายว่านิ่งภาพไฟนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไป ก็บอกแล้วว่ามันเป็นแค่ตัวล่อ ง่ายไม๊? อธิบายสไตล์หลวงพี่ มีอีกอย่างนึงคือ เพ่งเอาตัวไฟเป็นอารมณ์จริงๆคือจะเอาแต่ภาพไฟ คุณอาจจะไม่เกิดลักษณะของญาณการมองเห็นหยั่งรู้โดยตรง แต่มันจะอยู่กับไฟจริงๆ คือจำแต่ไฟๆๆๆๆๆ ที่เห็น ถ้าไม่เกิดไฟในลักษณะไฟอยู่ความคิดตลอด เช่นภาพเทียนที่คุณเคยมองมัน จากภาพสองมิติแบบ แบนๆ มันจะหดลงเหมือนดูหนังสามมิติตรงหน้าเลย หรือ ภาพไฟที่คุณเคยมองมันเช่นตั้งไว้ระยะห่างตัวคุณที่เพ่งประมาณ 2-3เมตร ตอนแรกภาพไฟมันจะชัดอยู่นานมากสำหรับคนฝึกบ่อยๆจนชิน บางครั้งตัวเปลวไฟที่คุณมองมันจะวิ่งเข้าหาตัวคุณ กลายเป็นไฟล้อมตัว ไม่มีอันตรายดูเพลินตาจิตสงบสบายด้วยไม่ต้องกลัวหลวงพี่รับรอง ส่วนกรณีของอาโปกสิณหลวงพี่มักไม่ค่อยแนะนำเวลาที่สอนญาติโยมน้องๆ เพราะง่ายเกินแต่อย่างว่าเด็กผู้หญิงกับคนเฒ่าคนแก่เขาชอบฝึกกัน วิธีเรียกมันขึ้นมาล่ะ...? ง่ายครับ เพราะน้ำคือของไหลที่คุณเห็นมันจนชินตาและจำง่ายด้วย เอางี้สิตอนนี้คุณลองหาภาพน้ำอะไรก็ได้ดูดีหน่อยนะ ไม่ใช่น้ำเน่า มองดูสัก 30 วินาทีก็พอ ไม่ต้องหลับตา แล้วเอาความคิดคุณจำภาพน้ำที่คุณมองไว้นิ่งๆภาพนั้น สัก 1นาที เดี๋ยวเกิดอาการให้เห็นแน่ คือมันจะเกิดอุปจารสมาธิระดับเล็กๆ ตัวโยกสบาย งงๆ เล็กน้อย หลับตาก็ง่าย คนเราเห็นภาพน้ำภาพทะเลใต้ทะเลจนชินแล้วคุณไม่รู้ตัวเองว่ามันฝังในจิตคุณตลอดเวลาและชัดมากแม้หลับตาก็เห็นได้ และภาพจะไม่ค่อยหายไปง่ายๆ นั่นแหล่ะอาโปกสิณแค่ไหว้พระขอพรเป็นกำลังใจนั่งสมาธิ เรียกภาพน้ำแบบสบายๆขึ้นมา พอนิ่งสักเล็กน้อยก็เปลี่ยนภาพน้ำแบบอื่นๆ ไม่ต้องกลัวว่าสมาธิจะหลุด เอาอย่างนี้ หลวงพี่มีตัวอย่างเล็กๆให้คุณลองดู มองภาพนี้ที่หลวงพี่หามาให้ลองสัก 10-15 วินาทีก็พอมองแบบสบายๆไม่คิดอะไรมากมาย ก็น่าจะจำได้แล้วแล้วละจากภาพที่มอง เพราะถ้าคุณใช้ pc มองที่จอนานเกินอาจตาลาย จำได้แล้วลองมองไปทางอื่นแล้วเอาภาพน้ำที่คุณมองเนี่ย เรียกอยู่ในจิตมันจะอยู่ได้นานและตัวโยกเล็ก ๆสบายดีด้วย หรือมองไปที่ภาพน้ำนี่แหล่ะ สัก 1นาทีมองไปเรือยๆสบายตาไม่ต้องคิดเรื่องอื่นเลย เดี๋ยวก็รู้เอง ก็บอกแล้วว่ามันไม่ได้ยากเหมือนกับไฟคนละเรื่องกันเลย คุณจะรู้ตัวคุณเองค่อนข้างเร็วว่า เป็นสมาธิแล้วไม่อยากเห็นอะไรแล้ว คราวนี้น้ำก็ไม่มีประโยชน์ที่คุณจะเรียกมันมาอีกต่อไป หลักคล้ายกับไฟ แต่ง่ายกว่าหลายเท่าเลยล่ะ เพราะอย่างนี้หลวงพี่จึงไม่ค่อยชอบสอนอาโปกสิณแบบง่ายๆ ฝึกจากง่ายๆไปก่อนทำให้ได้ก่อนหลวงพี่ยินดีถ้าคุณๆลองฝึกดูแล้วมีอะไรที่ดีขึ้นในสมาธิ หลวงพี่ก็ดีใจแล้วล่ะ....:boo:
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    รับทราบครับ จริงๆส่วนตัวพอจะทราบครับ และพอรู้ว่าท่านหลวงพี่
    ไม่ใช่หมอผี ไม่ใช้เวทมนต์ และไม่หวังในลาภ ยศ สุข ครับ
    และไม่ต้องไปพิสูจน์เพื่อให้ยืนยันสิ่งที่หลวงพี่พูดด้วยครับ
    เพราะรู้ว่า หลวงพี่ไม่เป็น ไม่ทำอกุศลอยู่แล้วหละครับ
    และพอทราบว่า ผลของสมาธิที่ใช้รักษาก็มาจากครูบาร์
    อาจารย์ข้างบนท่านช่วยหนุนด้วยครับ..
    เอาเป็นว่า ไม่ได้สงสัยอะไรเชิงอกุศลในตัวหลวงพี่เลยครับ..

    เพียงแค่อยากจะทราบว่า(หากสามารถเล่าได้หรือถ่ายทอดได้นะครับ)
    หลวงพี่ มีทริคมีหลักอะไรยังไงในการรักษา
    สงเคราะห์บุคคล ส่วนตัวเข้าใจว่า หลักการของหลวงพี่
    และการได้รับคำแนะนำจากหลวงพี่ น่าจะเกิดประโยชน์
    และเข้าถึงได้ง่ายกว่าสำหรับสมาธิบางท่านที่สนใจแนวทางนี้บ้าง
    เรียกว่า เป็นอีกหนึ่งวิธีการ เป็นอีกหนึ่งทางเลือก
    ให้สมาชิกได้พิจารณาครับ แม้ว่าจะมีอีกหลายๆวิธี
    ที่สามารถทำให้เกิดผลได้เหมือนกัน แต่ว่าอาจจะเข้าถึงได้ยาก
    สำหรับบุคคลทั่วๆไปเท่านั้นเองครับ
    และก็พอทราบว่า หลวงพี่เน้นย้ำเรื่อง
    หลักสำคัญทางพุทธศาสนาอยู่แล้วครับ
    ปล พอเข้าใจเจตนาของผู้เขียนนะครับ (^_^)
     
  13. พระtoshi

    พระtoshi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +270
    หลวงพี่อาจจะเข้ามาตอบได้อีกแค่ครั้งเดียว เพราะจอคอมพ์ที่หลวงพี่ใช้งานมาหลายปีเสียแล้ว พอที่จะเปิดมาครั้งนี้ก็ถือว่าโชคดีแล้ว ถ้าหลวงพี่ไม่ได้มาตอบอะไรอีกแสดงว่าจอคอมพ์หลวงพี่เสียและไม่สามารถใช้งานเผยแพร่พระธรรม ทางเน็ตได้อีกต่อไป ในกรณีของคุณนพกานต์อยากรู้ว่าสมาธิสามารถรักษาคนได้จริงๆหรือ ตอบใช่ครับ หลวงพี่เคยสอนญาติโยมที่เคยเรียนกับหลวงพี่ทางเฟสบุ๊ค เขาก็เคยทดลองรักษาด้วยสมาธิก็หายดี ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องพระดังพระขลังอะไรหรอก ใครๆก็ทำได้หลวงพี่มองว่ามันก็แค่ฤทธิ์ทางจิตเท่านั้นเอง คุณก็ทำได้ฝึกได้มันไม่ได้ยากเย็นอะไร อาจเคยได้ยินกันมาบ้างเรื่องของพวกโยคีที่ใช้อำนาจจิตรักษาคน หลักการล้วนไม่ได้ต่างกันคือมาจากการฝึกสมาธิทั้งนั้น เหนืออื่นใด ถ้าเข้าใจว่า ศาสนาคือวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริงแล้ว คนฝึกสมาธิเองจะเกิดปัญญาพิจารณาได้ด้วยเหตุผล ธรรมะคือธรรมชาติ หลักของธรรมะก็คือหลักของการเรียนรู้ธรรมชาติ เรืองผีเรื่องวิญญาณโลกหลังความตายการเวียนว่ายตายเกิด ก็คือธรรมชาติอีกประเภทนึง ที่ไม่ได้อยู่ในโลกแห่งความจริง แต่ศาสนาพุทธค้นพบสิ่งนี้และมองมันว่าเป็นเรื่องธรรมดา หลวงพี่ฝึกปฎิบัติธรรมมา จึงพอเข้าใจว่าทุกอย่างล้วนมีที่มาและเหตุผลทั้งนั้น (อิทัปปัจยตา) มีที่มาที่ไปไม่มีอะไรที่หลวงพี่มองว่าขลังหรือศักดิ์สิทธิ์ คิดได้แบบนี้ นั่นแหล่ะชาวพุทธที่แท้จริง เมื่อไม่รู้ค้นหาปฎิบัติดูให้รู้กันไปสักทีนึง หลวงพี่ฝึกตนมาสอนคนมาก็เยอะ วิชาแบบนี้สอนได้ไม่ยาก แต่ไม่มีใครเอา เพราะจ้องแต่จะขอความศักดิ์สิทธิ์ในองค์พระบ้าง ขออภินิหารหลวงพ่อบ้าง แทนที่จะเรียนรู้เองคนสอนเขาก็มีแต่ชอบง่ายๆ แล้วถ้าจะถามว่าหลวงพี่ไม่ได้สอนวิธีช่วยเหลือหรือรักษาคนด้วยสมาธิหรือ ตอบก็สอนไง ในเฟสบุ๊ค มีทางเวปพลังจิตแนะนำการฝึกกสิณแบบง่ายๆ แต่ไม่มีใครเอาเอง ถ้าใครๆได้เคยเห็นคนเจ็บอยู่ต่อหน้าหลวงพี่ในสภาพที่น่าสงสารประเภทนอนรอความความตายทุกข์ทรมาน หรือประเภทอุ้มลูกน้อยมาหาหลวงพี่ต่อหน้า คนเป็นแม่เองลักษณะเหมือนคนใกล้ตายสงสารเด็กน้อยลูกเล็กๆที่แม่อยู่ในสภาพคนใกล้ตาย คนที่ใจอ่อนที่ได้เห็นสภาพนั้น อาจถึงกับน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัวก็ได้ ถ้าเป็นคุณนพกานต์จะยอมทอดทิ้งพวกเขาให้ทุกข์ทรมานต่อไม๊? ทั้งๆที่เขาเป็นแค่ชาวนาคนยากคนจน ไม่มีเงินไปหาหมอผีหมอพระอะไร และเรารู้เราทำได้ให้เขาพ้นจากความทุกข์นี้ หลวงพี่ทานข้าวปลาอาหารของพวกเขา ยากจนยังไงเขารักก็ศรัทธาใส่ข้าวปลาอาหารเล็กๆน้อยๆพออยู่ได้ หลวงพี่จึงรักษาเขา พอหายดีเขาก็มีสติครบถ้วนร่างกายเจ็บป่วยก็หายเป็นปกติ เธอก็กลับไปทำงานหาเลี้ยงลูกน้อยไม่เป็นภาระกับครอบครัวต่อไป เงินทองก็ไม่ได้และไม่ได้สนใจด้วย สอนธรรมวัดนี้จบแล้วก็เร่ร่อนต่อไม่มีหลักแหล่ง ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่รู้จักใครเลย โชคดีก็ได้สอนธรรมให้ชาวบ้าน โชคร้ายก็ถูกพระเจ้าถิ่นคิดร้ายใส่ความ เสี่ยงทั้งลูกปืนก็มี หลวงพี่ก็เคยมียศมีตำแหน่งมาก่อน แต่เพราะเห็นว่าถ้ายังคงหลงยึดกับมัน คงสอนใครไม่ได้เพราะวนอยู่กับความอยากที่มันมากขึ้น เรียนน่ะมันไม่ยากหรอกเด็กยังเรียนยังทำได้เลย ถ้าละทิฎฐิลงแล้วมองด้วยใจเป็นธรรมว่า แม้หลวงพี่เป็นแค่พระบ้านนอกไม่มีชื่อเสียงใดๆ อย่างน้อยก็มีจิตกุศลสอนธรรมแบบง่ายๆในสไตล์ที่ใครๆก็เข้าถึงได้ไม่ยาก คิดได้อย่างนี้เจริญในธรรม ฝึกไปสักระยะนึงก็พอที่จะเข้าใจได้แล้ว ก็จะรู้เอง ลองเอาที่หลวงพี่ลงไว้ให้ไปทดลองฝึกกันง่ายๆดูก่อน ไม่ใช่วันเดียวก็เลิกแล้วฝึกให้ตายก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ส่วนเรื่องที่จะเข้ามาค้านมาโต้เถียงหลวงพี่ไม่ได้มีหน้าที่มาแก้ตัวอะไร ตอบให้เข้าใจได้แค่นั้นเอง ถ้าไม่เข้ามาตอบอะไรก็คือจอคอมพ์เสียก็จบกัน.........:boo:
     
  14. TheEnd

    TheEnd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    297
    ค่าพลัง:
    +787
    หลวงพี่ครับ ผมขออนุญาติถามหน่อยครับ คือผมอยากฝึกกสินไฟ ใช้การมองรูปเทียน แทนการจุดเทียนจริงได้ไหมครับ แล้วควรจะเพ่งมอง นานแค่ไหนจึงค่อยหลับตาครับ แล้วเวลาหลับตาแล้วภาพหายไป เราต้องลืมตาดูใหม่ทำวนๆซ้ำ กี่รอบดีครับ ผมลองทำดู มาสองวัน ภาพเปลวเทียนติดตาแค่แป๊ปเดียว กะหายไปแล้วครับ เวลาภาพหายไป เราพยายามยนึกหัยกลับมานี่ฝึกถูกไหมครับ ถ้าไม่ลืมตาดูกะนึกภาพเปลวเทียนไม่มาเลยครับ
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    สงสัยว่าจอคอมหลวงพี่อาจจะไม่ค่อยดีครับ
    เลยอาจจะแปลเจตนาผู้เขียนคลาดเคลื่อนไป
    โดยสรุป. ก็คือ อยากจะทราบเทคนิคในการรักษาของหลวงพี่ครับ
    ถ้าเล่าได้นะครับ และไม่ได้มาถามเพื่อที่เรียนรู้ในเรื่องการรักษากับหลวงพี่
    คือ ขอฟังแค่เทคนิคในการรักษาหรือวิธีการรักษาเฉยๆครับ
    เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้สมาชิกได้พิจารณาเพราะเห็นว่า
    วิธีการของหลวงพี่ ค่อนข้างเข้าถึงได้ง่ายครับ
    และส่วนตัวบอกแล้ว พอทราบว่า ท่าน ไม่ได้ติด ในลาภ ยศ และสุข
    และไม่ได้คิดเชิงอกุศลอะไรครับ..และไม่ต้องจำเป็นจะต้องไปพิสูจน์
    อะไรที่ท่านเคยทำมาในอดีต หรือว่าเคยรักษาใครมา
    อยากจะทราบเพียงเทคนิควิธีการที่ใช้ในการรักษาเท่านั้นครับ
    ถ้าเล่าได้นะครับ ส่วนท่านจะแนะนำใครอะไรอย่างไรเป็นเรื่องส่วนตัว
    ของท่านครับ (^_^)

    หวังว่าจะเข้าใจที่สื่อนะครับ
     
  16. พระtoshi

    พระtoshi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +270
    ตอบคำถามของคุณ theend ครับ โชคดีที่ยังพอเปิดคอมพ์แล้วจอยังพอทำงานได้อยู่ ไม่แปลกที่ในการเพ่งไฟ(หลวงพี่เรียกง่ายๆว่ามองเพื่อจำดีกว่า)ในครั้งแรกๆ ภาพไฟจะหายไปเร็วมากแค่ไม่ถึงนาที ในการสอนของหลวงพี่จะให้ลืมตาขึ้นมามองภาพไฟได้อีกครั้งเดียวเท่านั้น แค่ไม่เกิน 40 วินาที หลังจากนั้นภาพหายไปสังเกตุว่าจะช้ากว่าเดิมเล็กน้อย แต่ยังไงภาพไฟนั้นก็จะหายไปอยู่ดี วันต่อมาให้ทำแบบนี้อีก วิธีทำแบบนี้เหมือนกับบังคับให้จิตคุณเองจำอยู่กับภาพไฟบ้าง ให้นานขึ้นทีละน้อย อดทนหน่อยนึงทำไปทุกวัน สัก5-6วัน แล้วลองสังเกตุดุว่า ภาพไฟจะคงอยู่ในสมาธิได้นานขึ้น หลายคนถอดใจก็ตอนนี้แหล่ะ ฝึกไปสองวันก็ไม่เอาแล้ว แต่ขอให้ฝึกดูสัก5-6วันก่อน จุดที่สังเกตุได้คือตอนที่ภาพไฟหายไปในช่วงที่ฝึกไป5-6วันนั้นจะเริ่มน้อยลง ตัวคุณเองอาจจะรู้สึกว่านิ่งขึ้นกว่าเดิมโดยที่ไม่รู้ตัว แต่ห้ามนึกว่าจะเกิดอะไรในสมาธิต้องเกิดนั่นเกิดนี่ ก็คืออย่าอยากรู้อยากเห็นอะไร อยู่กับไฟก็พอ แล้วในช่วงหลังจากนั้นแม้จะคงมองเห็นภาพไฟในสมาธิได้นานขึ้นแล้ว ถึงภาพไฟจะเลือนและหายไป แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าเริ่มนิ่งเริ่มเป็นสมาธิแล้วก็ปล่อยให้จิตคุณเองนิ่งอยู่กับสมาธิที่เกิด ไม่ต้องไปเรียกไฟขึ้นมาอีก บอกให้เป็นกำลังใจก็ได้..ถ้าคุณตั้งใจฝึกไปเรื่อยๆภาพไฟจะไม่หายไปมันจะคงอยู่อย่างนั้น และภาพที่คุณเห็นมันจะย่อส่วนลงมาความชัดเทียบง่ายๆเหมือนกับดูหนัง full hd นั่นแหล่ะ หลวงพี่เข้าใจดีว่าคนฝึกใหม่ๆถอดใจง่าย หลวงพี่ก็เป็นมาก่อนลองคิดแบง่ายๆดู เช่นในบ้านคุณรกของเกลื่อนกลาด ถ้าคุณมองมันว่า โห..เยอะขนาดนี้นี้จะเก็บกวาดยังไงไหว คุณก็ปล่อยมันไปอย่างนั้นไม่ทำเลย หรือ มองภาพรวมกว้างๆว่า เราควรเริ่มเก็บกวาดจากตรงไหนก่อน แล้วลงมือเก็บกวาด เมื่อทำไประยะแรกๆ มันก็ท้อก็เมื่อย แต่...คุณลองหันกลับไปมองที่คุณได้เก็บกวาดมันไปเยอะแล้ว กำลังใจก็เกิด แล้วอดทนอีกสักหน่อยเก็บกวาดต่อไป ในที่สุดมันก็สะอาดหมดทั้งบ้าน หลวงพี่ใช้วิธีคิดแบบนี้ลานวัดมันกว้างมองภาพรวมว่าจะทำจากตรงไหนก่อน กวาดไปเรื่อยๆจากตรงหน้าอดทนสักระยะ เหงื่อท่วมถอดใจ เพราะต้องทำอยู่คนเดียว แต่พอหันมามองกลับไป มันสะอาดมากแล้ว กำลังใจเกิดในที่สุดก็เก็บกวาดได้จนหมด ลองนำวิธีคิดของหลวงพี่ไปพิจารณาดู ขอให้อดทนสักระยะนึงเท่านั้น ถ้าคุณได้ฝึกมาหลายวันยังไงมันก็ดีขึ้นไปเอง ท้อใจลองสังเกตุความแตกต่างจากวันแรกที่คุณฝึก เราก็ทำได้นี่หน่า...เชื่อมั่นในตัวคุณเองว่าทำได้แล้วฝึกต่อไป ยังไงคุณจะรู้ได้ด้วยตัวคุณเองแน่นอน คราวนี้วิธีที่สอง หลวงพี่เอาภาพไฟให้คุณดู จำมันไว้ติดตา และไม่เท่านั้นต้องติดไว้ในใจด้วย ในเวลาที่คุณมองไฟแล้วหายไปภาพที่คุณเคยจำได้ ลองเรียกมันขึ้นมาในจิตคุณ ภาพจะไม่ค่อยชัดในตอนแรก แต่ตั้งใจจินตนาการให้ภาพมันชัดขึ้นในจิต มันจะค่อยๆชัดขึ้นมาเอง แล้วเพ่งภาพที่อยู่ในจิตก็พอใช้ได้ แต่ภาพที่เราสรา้งในจิตมันจะไม่อยู่ตรงหน้าเรา แต่มันจะไปอยู่ที่เหนือหัวบริเวณกระหม่อมแทน ลองทำดูก็ได้ เรียกไฟขึ้นมาเท่าที่คุณจำได้ ถ้าภาพนั้นอยู่ในจิตคุณจะพบว่ามันไม่อยู่ตรงหน้า แต่มันอยู่เหนือหัวเราไปเล็กน้อยแทน หลวงพี่ก็ใช้วิธีแบบนี้เหมือนกัน แต่พอรู้ตัวว่าเริ่มนิ่งแล้วก็ไม่เรียกหรือเอาภาพไฟมาอยู่ในความคิดอีก ปล่อยมันแล้วสมาธิมันก็จะเกิดทีละขั้นของมันเอง ยกเว้นที่หลวงพี่ไปสอนต่อหน้าตามหมู่บ้านหรือเรียนกับหลวงพี่ตรงๆ ก็อีกเรื่องนึงลองฝึกดู เชื่อว่าคุณทำได้จ้า...:boo:
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. TheEnd

    TheEnd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    297
    ค่าพลัง:
    +787
    ขอบพระคุณหลวงพี่มากครับ ที่ได้แนะนำวิธีปฏิบัติแก่ผม _/\_
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2016
  18. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    อิฉันขอกราบเรีบนอย่างนี้นะคะ
    จงยึดศิลให้เหมือน แขน ขา หัว ตีบ ม้าม ปอด
    นะคะ

    หากได้แล้วไม่มีศิลเอาไปส่องพลังเพื่อทำร้ายคนอื่น
    อย่างที่เห็นกันเกลื่อนกราด

    หรือมีออเดอร์ถึงบ้าน
    ตอนเมียเพลอ

    แม้ในเว็บนี้ก็เพียบ
    ก็คงจะเสียชาติเกิด
    ฟรีฟรี
    อีกชาติละคะท่านทุกท่าน
     
  19. พระtoshi

    พระtoshi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +270
    ถ้าคุณคิดจะด่าว่าพระ เพราะเจตนาดีเพื่อสอนธรรมแบบง่ายๆ หลวงพี่ก็คงปล่อยให้ด่าว่าได้ตามสบาย หลวงพี่สอนคนมามากมาย แต่นึกไม่ถึงว่ากลับถูกเหน็บแนมปรามาสกันถึงขนาดนี้ทั้งๆที่คุณเองหรือใครๆก็ยังไม่เคยเห็นหน้า ชาวบ้านนอกหมู่บ้านเล็กๆในภาคอีสานเขาก็ได้มาเรียนปฎิบัติธรรมกับหลวงพี่ ก็ไม่เคยมาด่าว่าหลวงพี่ ต่อไปพระรุ่นใหม่ๆที่ฝึกปฎิบัติธรรมเรียนรู้คำสอนจากพระศาสดา เพื่อนำความรู้ทางธรรมที่ทรงคุณค่า ไปเผยแพร่ให้คนทั่วไปได้เข้าถึงบ้าง คงสาบสูญไปในอนาคตกาลจริงๆ ไม่ต่างจากคำทำนายของพระศาสดาที่กล่าวไว้ไม่ผิดเลย ตุ่มน้ำใบใหญ่มีคนเติมน้ำจนล้น แต่ตุ่มน้ำใบเล็กๆกลับแทบจะไม่คนเหลียวแลแม้แต่น้อย เปรียบเหมือนพระที่ไม่มีชื่อเสียงที่ไร้คนศรัทธา เสียดายจริงๆ ถ้าห้ามเผยแพร่พระธรรมก็น่าจะตั้งกฎไว้ตั้งแต่ทีแรกหลวงพี่จะได้ไม่เข้ามา พอเริ่มยังไม่ทันสอนอะไรเลยก็ทั้งด่าทั้งเสียดสีล้อเลียนพระกันเเล้ว......:boo:
     
  20. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ข้าพเจ้าขอนมัสการครับ

    สงบใจไว้ครับหลวงพี่ เข้มแข็งไว้ครับ

    บางคนเค้าก็แค่ต้องการความรู้หรือให้เผยแพร่แนะนำ เท่านั้นเองครับ (ทำความเข้าใจกับข้อความดีๆครับ). ส่วนบางคนก็ช่างเค้าเถอะครับ โลกมันก็มีหลากหลายเช่นนี้แหละครับ

    ดูพระพุทธเจ้าท่านสิครับ ประเสริฐขนาดนั้น ยังมีทั้งมิตรและศัตรู มีผู้ศรัทธาและดูถูก มีผู้ชื่นชมและก่นด่า

    ข้าพเจ้าเองก็มีเพื่อนเป็นพระป่าเหมือนกันครับ พระป่าจริงๆครับ ท่านไม่นอนตามบ้านคน แม้ตามวัด ท่านจะนอนตามป่า เขา ถ้ำ ป่าช้า หรือวัดร้าง และท่านจะธุดงค์ไปเรื่อยๆ ไม่อยู่ประจำที่ไหน

    และท่านก็ยังเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เดี๋ยวนี้คนศรัทธาพระกันน้อยลงเรื่อยๆ เห็นพระก็ซุบซิบกันก่อนแล้ว ใช่พระจริงรึเปล่า พวกหากินรึเปล่า หรือไม่ก็ มาหาเรี่ยไรเงินผ้าป่าเหรอ สารพัดครับ. และในไทยนี้ก็ไม่มีป่าที่แท้จริงแล้ว ไม่ว่าจะป่าไหน ก็เจอแต่คน

    เพราะอะไร ก็เพราะเราเสื่อมจากศาสนากันลงไปทุกวัน แม้แต่สิ่งที่มีกำหนดไว้ว่าห้ามบุคคลประเภทใดบวชบ้าง ก็ยังปล่อยให้บวช เอาคนติดยามาบวชหวังจะให้เลิกยา กลับตัวเป็นคนดี สุดท้าย มาขายยาในวัด ปล่อยให้กระเทยบวช จนมีหลายแก๊งค์ในวัด และหลายคนมีตำแหน่งใหญ่โต ให้ผู้หญิงบวชภิกขุณี โดยไม่มีพระอรหันต์เป็นผู้ดำเนินการ. แถมยังก่อตั้งวัดเฉพาะภิกขุณีเสียอีก

    อีกอย่างนึง มีแก้คำสอน ดัดแปลงคำสอน โดยอ้างว่า เพื่อให้เข้ากับยุคสมัย ทั้งๆที่เรื่องของธรรมชาติ มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามสังคมของมนุษย์ ธรรมชาติของเหตุเกิดจากอะไร ก็ยังคงเกิดอย่างนั้น ธรรมชาติของผลมาจากอะไร ก็ยังคงมาอย่างนั้น ไฟที่ร้อน ก็ยังคงร้อน น้ำที่เย็น ก็ยังคงเย็นอยู่อย่างนั้น มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่เปลี่ยนไป.

    และอีกสารพัด ฯลฯ

    ไม่ว่าจะอย่างไรเสีย ต่อให้มีผู้พยายามรักษาศาสนาเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นล้านๆคน ศาสนาก็จักต้องเสื่อมไปตามคำนายที่พระพุทธองค์กล่าวไว้ไม่มีเปลี่ยน. ใช่หรือไม่

    ฉะนั้น ปล่อยวางเรื่องนี้แล้วทำตามความตั้งใจของหลวงพี่ต่อไปเถอะครับ

    แนวทางของหลวงพี่ไปทางเอาสงบเป็นหลัก. เพราะทิ้งหลักยึดไปเรื่อยๆจนหลือหนึ่งเดียว
    ถ้าเอาฤทธิ์ จะไปในทางรู้จักลักษณะธาตุเป็นหลัก

    อยู่ที่ความตั้งใจที่จะทำแต่แรก

    ข้าพเจ้ากราบขอขมา หากมีการล่วงเกินหลวงพี่ครับ

    สุดท้ายนี้ขออย่าได้เชื่อถือหรือยึดมั่นในสิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปเลย

    ขอนมัสการครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2016

แชร์หน้านี้

Loading...