ตอบปัญหาทานกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ...กุศลชนิดใดที่มีอานิสงส์มากกว่าวิหารทานบ้างครับ ?

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 1 เมษายน 2009.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    [​IMG]


    เรื่องของ " ทาน" ตั้งแต่ตอนนี้ไป จะรวบรวมปัญหาที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่อง"ทาน" ซึ่งมีผู้เรียนถาม ท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน ( หลวงพ่อพระมหาวีระถาวโร ) แห่งวัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี มาเสนอการตอบของหลวงพ่อพระมหาวีระ ท่านจะตอบด้วยถ้อยคำ สำนวนแบบชาวบ้าน เข้าใจง่ายๆ...เชิญติดตามได้เลยครับ

    <O:p
    ผู้ถาม "หลวงพ่อครับ กุศลชนิดใดที่มีอานิสงส์มากกว่าวิหารทานบ้างครับ ?"


    หลวงพ่อ "สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ......การให้ธรรมะเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง ให้ธรรมทานซีคุณ หนังสือเรียนของเด็ก หนังสือเรียนของผู้ใหญ่หนังสือเรียนของพระหนังสือธรรมะต่างๆ ดูตัวอย่างพระสารีบุตร ให้ปัญญากับประชาชนทั้งหลาย เพราะอานิสงส์ได้เคยสร้างพระธรรม ซึ่งเป็นถ้อยคำที่มีประโยชน์ถวายพระพุทธเจ้า เกิดมาชาติหลังสุด จึงทำให้เป็นพระที่มีปัญญามาก อย่างเงินที่เขาถวายฉันไว้นี่ พอกลับไปถึงวัดก็เรียบร้อย เลี้ยงอาหารพระบ้าง ค่ากระแสไฟฟ้าบ้าง ค่าก่อสร้างบ้าง รวมความว่า ที่ท่านตั้งใจนี่มีผล ๔ อย่าง
    <O:p</O:p
    ๑. สร้างพระพุทธรูป <O:p</O:p
    ๒. วิหารทาน <O:p</O:p
    ๓. สังฆทาน <O:p</O:p
    ๔. ธรรมทาน

    <O:p
    ทั้งหมดนี้ ใช้ทุนไม่ต้องมากก็ได้ เอาสัก ๕๐ สตางค์ เป็นอันว่า การทำบุญเอาแค่พอสมควร แต่ให้มันเป็นบุญใหญ่ เขามุ่งแบบนั้นนะ คือเราเอาไปผสมกับเขาก็แล้วกันไม่ต้องสร้างทั้งหลัง"

    <O:p</O:p
    ผู้ถาม "กระผมสงสัยเรื่องการทำบุญ บางคนก็ทำช้า บางคนก็ทำไว อยากเรียนถามหลวงพ่อว่า การทำบุญช้าบ้าง เร็วบ้าง ยืดยาดบ้าง อานิสงส์ จะต่างกันหรือไม่ขอรับ ?"
    </O:p
    หลวงพ่อ "ต่างกัน คือได้ช้า ได้เร็ว ต่างกันก็เหมือนท่าน จูเฬกสาฎก ท่านฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า ตั้งใจถวายทานตั้งแต่ยามต้น และยามที่ ๒ จิตเป็นห่วงยายที่บ้าน ไม่มีโอกาสจะฟังเทศน์ เพราะไม่มีผ้าห่ม พอยามที่ ๓ ใกล้สว่าง จึงตัดสินใจถวาย แล้วประกาศว่า

    <O:p</O:p
    "ชิตัง เม ชิตัง เม" พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ยิน ก็ทราบว่า ชนะความตระหนี่ จึงนำผ้าสาฎก และทรัพย์สินต่างๆมาให้ มีฐานะเป็นคหบดีคนหนึ่งต่อมาพระพุทธเจ้าตรัสว่า "ถ้าพราหมณ์นี้ถวายในยามต้น จะได้เป็นมหาเศรษฐีถ้าถวายยามที่ ๒ จะได้เป็นอนุเศรษฐี ยามที่ ๓ จะได้เป็นคหบดีใหญ่ที่ได้น้อย เพราะถวายช้าเกินไป พระองค์จึงตรัสว่า การบำเพ็ญกุศลผล ความดีในศาสนาของเรานี้ จงอย่าให้เนิ่นช้า ต้อง ตุลิตะ ตุลิตัง สีฆะ สีฆัง คือเร็วๆ ไวๆ"

    <O:p

    โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ



    ------------------------------------------------------------------------------









    [​IMG]


    <O:p
    หั ว ข้ อ เ รื่ อ ง ที่ ๒๓ : สารพันปัญหาว่าด้วยเรื่องทาน ( ๑๑ )

    <O:p
    ที่มา?ҹ : Dhamma Department Store : Dhammathai.org

    <O:p
    ผู้ถาม "หลวงพ่อคะ ถวายสังฆทานให้พระองค์เดียวได้ไหมคะ ?"<O:p</O:p


    <O:pหลวงพ่อ</B>"ได้ แต่พระไปฉันองค์เดียว พระองค์นั้นลงนรก นี้เรื่องจริงนะอย่างฉันรับนี่ ฉันรับองค์เดียว แต่ว่าองค์เดียวนี่ ถือว่าเป็นผู้แทนคณะสงฆ์นะอย่าไปกินไปใช้แต่ผู้เดียว นี่ไม่ได้ ของเขาย่อมมีอานิสงส์สมบูรณ์แบบพระองค์เดียวหรือพระ ๓ องค์ ถือว่าเป็นผู้แทนสงฆ์ พระ ๓ องค์ ก็แบ่งไปใช้แค่ ๓ องค์ไม่ได้จะต้องไปรวมทั้งคณะ คำว่า สังฆทาน สังฆะ เขาแปลว่า หมู่ "<O:p</O:p


    <O:p"ลูกเป็นคนยากจน มีเงินน้อย อยากจะได้อานิสงส์มากๆ จะทำบุญอย่างไรดีคะ?" <O:p</O:p


    <O:pหลวงพ่อ</B> "คืออานิสงส์จริงๆ ต้องทำบุญให้มากที่สุดเท่าที่จะพึงทำได้ สมมติว่าเรามีเงินอยู่ ๑๐ บาท จะไปมาที่นี่ เสียค่ารถ ๖ บาทกินก๋วยเตี๋ยว ได้ครึ่งชามแล้ว หมดไป ๙ บาท เหลือ ๑ บาทเขียนที่หน้าซองเลยว่าเงินนี้ถวายสังฆทาน วิหารทานและธรรมทานคนนี้อานิสงส์มากเหลือเกิน จำนวนเงินเขาไม่จำกัด เขาจำกัดกำลังใจถ้ากำลังใจมุ่งด้านดีนะ การทำบุญมากๆ คำว่า "ทำมาก" หมายความว่า ทำบ่อยๆ แต่คำว่า "บ่อย" ไม่ต้องทุกวันก็ได้นะ คำว่า "มาก" หมายความว่า ทำเต็มกำลังที่พึงทำไม่ใช่ขนเงินมามากเวลาทำบุญ ต้องดูก่อนว่า ค่าใช้จ่าย เรามีความจำเป็นเพียงไรเงินที่มีความจำเป็น อย่านำมาทำบุญ มันจะเดือดร้อนภายหลังและให้เหลือส่วนนั้นไว้บ้าง แล้วแบ่งทำบุญพอสมควรและประการที่ ๒ การทำบุญถ้าใช้วัตถุมาก แต่กำลังใจน้อย ก็มีอานิสงส์น้อยถ้าหากใช้วัตถุน้อย กำลังใจมีมากก็มีอานิสงส์มาก อย่างถวายสังฆทาน ที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทนำมานี่ ลงทุนไม่มากแต่อานิสงส์มหาศาล ความจริงถ้าจะพูดถึงอานิสงส์กันจริงๆล่ะก็รู้สึกว่าจะมากกว่าจัดงานที่บ้าน หรือที่วัดตั้งเยอะแยะทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าถวายสังฆทาน เราทำกันแบบเงียบๆ ไม่มีกังวลการ

    <O:pเพราะว่าจิตที่เราเข้าสู่กุศลมันห่วงงานอื่นมากกว่าไม่ตั้งจิตโดยเฉพาะและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การถวายสังฆทานในหมู่สงฆ์ ตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ตามพระวินัยท่านเรียกกันว่า คณะสงฆ์ ถ้าต่ำกว่านั้น เป็น คณะบุคคล ถ้าบุคคลเดียว เป็นปาฏิปุคคลิกทาน โดยเฉพาะ ทีนี้การถวายสังฆทานแก่พระสงฆ์เป็นหมู่นี้มีอานิสงส์มากเรื่องนี้ก็มีตัวอย่าง คนที่มีทรัพย์น้อย ทรัพย์มาก อย่างท่านอินทกะเทพบุตรกับท่านอังกุระ - เทพบุตร ไงล่ะ ท่านอังกุระเทพบุตร ทำบุญนอกเขตพระพุทธศาสนาเวลานั้นพระพุทธศาสนาไม่มี ตั้งโรงทาน ๘๐ โรง ให้ทานถึง ๒ หมื่นปี เลี้ยงคนกำพร้าคนตกยาก คนเดินทาง พอตายจากความเป็นคน ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นเทวดาที่มีบุญน้อยที่สุดเพราะเขตของบุญเล็กไป คนไร้ศีลไร้ธรรม ใช่ไหมตรงกันข้ามท่านอินทกะเทพบุตร เกิดเป็นคนจน พ่อตาย ตัดฟืนเลี้ยงแม่ก็ไม่ได้ตัดขายมากมาย เอาแค่วันๆ พอกินพอใช้ไปวันๆวันหนึ่งพระสงฆ์เดินผ่านไปที่นั้น ท่านมีโอกาสได้ถวายทานในฐานะที่ไม่ได้เตรียมตัวไว้ก่อนคนจนจะมีอะไรมากนักใช่ไหมล่ะเพียงแค่ครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้นอาศัยคุณ คือความกตัญญูรู้คุณอย่างหนึ่งแล้วก็ถวายสังฆทานหนึ่ง สองอย่างด้วยกัน ตายแล้วไปเป็นเทวดาที่มีบุญมากที่สุดในดาวดึงส์ นอกจากพระอินทร์แล้วไม่มีใครโตกว่า"<O:p</O:p


    โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ



    [​IMG]




    หั ว ข้ อ เ รื่ อ ง ที่ ๒๓ : สารพันปัญหาว่าด้วยเรื่องทาน<O:p</O:p


    <O:p
    ผู้ถาม"หลวงพ่อคะ การทอดผ้าป่า กับการทอดกฐินอย่างไหนจะได้อานิสงส์มากน้อยกว่ากัน คะ ?" <O:p</O:p

    <O:pหลวงพ่อ</B>"ความจริง ผ้าป่า กับ กฐินก็เป็นสังฆทานด้วยกันทั้งคู่นะ แต่ทว่าอานิสงส์ โดยเฉพาะ กฐิน ได้มากกว่าเพราะว่ากฐินมีเวลาจำกัด คือจะทอดได้ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงกลางเดือน ๑๒แต่อานิสงส์ได้ทั้งสองฝ่าย คือผู้ทอดก็ได้ พระผู้รับก็ได้พระผู้รับมีอำนาจคุ้มครองพระวินัยได้หลายสิกขาบท ทำให้สบายขึ้น ต้นเหตุแห่งการทอดกฐินนี้ ก็มีนางวิสาขาเป็นคนแรก ในสมัยนั้นพระพุทธเจ้าท่านทรงบัญญัติการจำพรรษา เพื่อป้องกันพระไปเดินเหยียบต้นพืช ต้นข้าวที่ชาวบ้านเขาปลูกไว้ในฤดูฝน ไม่ให้เสียหาย ครั้นเมื่อออกพรรษาแล้ว ภิกษุชาวปาฐา ๓๐รูป เดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ซึ่งในเวลานั้น พระสงฆ์ทั้งหลายมีผ้าจำกัดเพียง ๓ผืนเท่านั้น เมื่อมาถึง ในขณะที่นางวิสาขาเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่พอดีเห็นพระมีผ้าสบงจีวรเปียกโชก ด้วยน้ำฝนและน้ำค้างจึงได้กราบทูลขอพรแด่พระพุทธเจ้าว่า

    <O:p[COLOR=#990000]"[/COLOR]</B>[B][COLOR=#990000]หลังจากออกพรรษาแล้ว[/COLOR][/B][B][COLOR=#990000]ขอบรรดาประชาชนทั้งหลายจงมีโอกาสถวายผ้าไตรจีวร แก่คณะสงฆ์ด้วยเถิด"[/COLOR][/B][COLOR=#990000]พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุมัติ ส่วนผ้าป่าก็เป็นสังฆทาน แต่อานิสงส์จะน้อยไปนิดหนึ่ง[/COLOR][COLOR=#990000]แต่ทั้งสองอย่างก็เป็นสังฆทานเหมือนกัน แต่เป็นสังฆทานเฉพาะกิจ[/COLOR][COLOR=#990000]กับสังฆทานไม่เฉพาะกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผ้าป่า ผู้ให้ก็ได้อานิสงส์[/COLOR][COLOR=#990000]ผู้รับก็มีอานิสงส์แต่เพียงแค่ใช้ เป็นอันว่า ทั้งสองอย่างนี้ ถือว่าอานิสงส์[/COLOR][COLOR=#990000]การทอดกฐินมากกว่าผ้าป่า"[/COLOR]


    [SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=black][B]ผู้ถาม[/B][/COLOR][COLOR=#996600]"[/COLOR][COLOR=#996600]แล้วองค์กฐินที่แท้จริงเป็นอย่างไรคะ [/COLOR][COLOR=#996600]?"[/COLOR][COLOR=black] <O:p</O:p[/COLOR][/FONT][/SIZE]

    [COLOR=black]<O:p[SIZE=3][SIZE=4][FONT=Verdana]หลวงพ่อ</B>[COLOR=#990000]"[/COLOR][COLOR=#990000]องค์กฐินจริงๆ คือผ้าไตร นอกนั้นเป็นบริวาร[/COLOR][COLOR=#990000]เวลากรานกฐินจริงๆ เรากรานกันแต่ผ้า การถวายก็ไม่ยาก เรามีผ้าจีวรผืนหนึ่ง[/COLOR][COLOR=#990000]หรือว่าสบงผืนหนึ่งหรือว่าสังฆาฏิผืนหนึ่งอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ เขาเรียกว่า[/COLOR][COLOR=#990000]จุลกฐิน หรือจะถวาย ทั้งไตรก็ได้ เขาเรียกว่า ปกติกฐิน แต่ถ้าถวายไตรจีวรครบทั้งวัด[/COLOR][COLOR=#990000]เขาเรียกว่า มหากฐิน ฉะนั้น ถวายมากก็ได้ ถวายน้อยก็ได้อานิสงส์เหมือนกัน[/COLOR]<O:p</O:p[/FONT][/SIZE]

    [COLOR=black]<O:p[SIZE=3][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=#990000]คือพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระปทุมมุตตระ ท่านเคยเทศน์ไว้วาระหนึ่ง[/COLOR][COLOR=#990000]สมัยที่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเกิดเป็นมหาทุคคตะ คำว่า "มหาทุคคตะ" นี้คือจนยาก[/COLOR][COLOR=#990000]เป็นทาสของท่านคหบดีได้ไปฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า ว่าอานิสงส์กฐินนี้มีมาก[/COLOR][COLOR=#990000]ท่านจึงกลับไปชวนนาย แต่นายก็มอบหมายทรัพย์สมบัติให้ท่านเป็นผู้จัดการทุกอย่าง[/COLOR][COLOR=#990000]ท่านมหาทุคคตะ อยากมีส่วนร่วมในทานนี้ด้วย แต่ไม่มีอะไรมีแต่เสื้อผ้าเก่าๆของตน[/COLOR][COLOR=#990000]ที่มีติดตัวอยู่เพียงชุดเดียว จึงนำไปแลกที่ร้านในตลาด มีด้าย ๑ กลุ่ม เข็ม ๑[/COLOR][COLOR=#990000]เล่มเอามาร่วมในการทอดกฐินกับนาย เพื่อปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล[/COLOR][COLOR=#990000]พระองค์ตรัสว่า คนถวายผ้ากฐิน หรือร่วม ในการถวายกฐินทานครั้งหนึ่งจะปรารถนาเป็น[/COLOR][COLOR=#990000]พระพุทธเจ้าก็ได้ จะปรารถนาเป็น พระอัครสาวกก็ได้ จะปรารถนาเป็นพระอรหันต์ก็ได้[/COLOR][COLOR=#990000]แต่ถ้าหากว่า ยังไม่ถึงพระนิพพาน[/COLOR][COLOR=#990000]เพียงใดอานิสงส์จะให้ผลแก่ท่านผู้นั้นเมื่อตายจากความเป็นคน[/COLOR][COLOR=#990000]ไปเกิดเป็นเทวดาแล้วก็จะลงมาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก ๕๐๐ ชาติ[/COLOR][COLOR=#990000]เมื่อบุญน้อยลงมา จะเป็นพระมหากษัตริย์ ๕๐๐ ชาติ เป็นมหาเศรษฐี ๕๐๐ ชาติ[/COLOR][COLOR=#990000]เป็นอนุเศรษฐี ๕๐๐ ชาติ เป็นคหบดี ๕๐๐ ชาติ แต่คนที่ทอดกฐิน[/COLOR][COLOR=#990000]หรือว่าร่วมในการทอดกฐินครั้งหนึ่งก็ดี บุญบารมีส่วนนี้ยังไม่ทันจะหมด ก็ปรากฏว่า[/COLOR][COLOR=#990000]ท่านเจ้าของทาน ไปนิพพานก่อน"[/COLOR]<O:p</O:p[/FONT][/SIZE][/SIZE]

    [COLOR=black]<O:p[SIZE=3][FONT=Verdana][SIZE=4][COLOR=darkorange]โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ[/COLOR][/SIZE][/FONT]</B>



    [CENTER][FONT=Verdana][SIZE=4][IMG]http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/580/1580/images/temple/benjamabopit-c.jpg[/IMG][/SIZE][/FONT][/CENTER]



    [COLOR=black][COLOR=black][B][FONT=Verdana][SIZE=4][COLOR=purple]หั ว ข้ อ เ รื่ อ ง ที่ ๒๓ : สารพันปัญหาว่าด้วยเรื่องทาน[/COLOR][/SIZE][/FONT][/B][/COLOR]<O:p</O:p




    [COLOR=black][COLOR=black]<O:p[SIZE=3][SIZE=4][FONT=Verdana]ผู้ถาม</B>[COLOR=#996600]"[/COLOR][COLOR=#996600]การที่เราทำบุญใส่บาตรตามหน้าบ้านกับพระที่เรารู้จักตามวัดกับการไปทำที่วัด[/COLOR][COLOR=#996600]อันไหนจะมีอานิสงส์มากกว่ากันเจ้าคะ [/COLOR][COLOR=#996600]?"[/COLOR][/FONT][/SIZE]
    [COLOR=black][COLOR=black][FONT=Verdana][SIZE=4][COLOR=black]<O:p</O:p[/COLOR][/SIZE][/FONT]

    [COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=black][B]หลวงพ่อ[/B][/COLOR][COLOR=#990000]"[/COLOR][COLOR=#990000]คือว่าการใส่บาตรตามหน้าบ้าน ไม่เฉพาะเจาะจง[/COLOR][COLOR=#990000]พระอะไรมาก็ใส่อย่างนี้ก็เป็นสังฆทาน ทีนี้ไปใส่บาตรตามพระที่ชอบใช่ไหม [/COLOR][COLOR=#990000]?"[/COLOR][/FONT][/SIZE]

    [COLOR=black][FONT=Verdana][SIZE=4]<O:p</O:p[/SIZE][/FONT][/COLOR]
    [SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=black]ผู้ถาม[/COLOR][COLOR=#996600]"[/COLOR][COLOR=#996600]ไม่ใช่ชอบค่ะ คือว่าศรัทธาค่ะ"[/COLOR]<O:p</O:p[/FONT][/SIZE]

    [COLOR=black]<O:p[SIZE=3][SIZE=4][FONT=Verdana]หลวงพ่อ</B>[COLOR=#990000]"[COLOR=#990000]ชอบกับศรัทธาก็ครือกันล่ะ ถ้าศรัทธาฉันตั้งแต่ ๔[/COLOR][COLOR=#990000]รูปขึ้นไป เป็นสังฆทาน มีอานิสงส์เหมือนกัน แต่ถ้าหากท่านฉันตั้งแต่ ๑ รูป ถึง ๓[/COLOR][COLOR=#990000]รูป อย่างนี้เป็นปาฏิปุคคลิกทาน"[/COLOR][/COLOR][/FONT][/SIZE]

    [COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=black][B]ผู้ถาม[/B][/COLOR][COLOR=#996600]"[/COLOR][COLOR=#996600]มีอานิสงส์มากไหมคะ [/COLOR][COLOR=#996600]?"[/COLOR][COLOR=black] <O:p</O:p[/COLOR][/FONT][/SIZE]

    [COLOR=black]<O:p[SIZE=3][SIZE=4][FONT=Verdana]หลวงพ่อ</B>[COLOR=#990000]"[/COLOR][COLOR=#990000]มีโยม ถ้าเป็นปาฏิปุคคลิกทาน[/COLOR][COLOR=#990000]ถ้าจัดกันตามลำดับแย่นะ ไล่เบี้ยตั้งแต่ให้ทานกับคน ไม่มีศีล จนถึงพระอรหันต์[/COLOR][COLOR=#990000]มีอานิสงส์ไม่เท่ากัน แต่จะพูดสรุปโดยย่อว่าถวายทานกับพระอรหันต์ ๑๐๐ ครั้ง[/COLOR][COLOR=#990000]มีผลไม่เท่ากับถวายทานกับพระพุทธเจ้า ๑ ครั้งถวายทานกับพระพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง[/COLOR][COLOR=#990000]มีผลไม่เท่ากับถวายสังฆทาน ๑ ครั้งและถ้าถวายสังฆทาน ๑๐๐ ครั้ง[/COLOR][COLOR=#990000]มีผลไม่เท่าถวายวิหารทาน ๑ ครั้ง คือสร้างวิหาร มีการก่อสร้าง เช่นสร้างส้วม[/COLOR][COLOR=#990000]ศาลาการเปรียญ กุฏิ โบสถ์ วิหาร เป็นต้นการถวายสังฆทาน ๑ ครั้งในชีวิต[/COLOR][COLOR=#990000]และถวายด้วยจิตที่บริสุทธิ์ มีศรัทธาแท้ พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า ผลของสังฆทานนี้[/COLOR][COLOR=#990000]จะดลบันดาลให้แก่บุคคลผู้ถวาย เกิดไปทุกชาติ[/COLOR][COLOR=#990000]ขึ้นชื่อว่าความยากจนเข็ญใจไม่มีในแดนใดที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากขัดสน[/COLOR][/FONT][/SIZE]

    [COLOR=black]<O:p[SIZE=3][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=#990000]ท่านกล่าวว่าแม้แต่พระพุทธญาณเอง[/COLOR][COLOR=#990000]ก็ยังไม่เห็นผลที่สุดของการถวายสังฆทานคำว่า"ไม่เห็นที่สุดของการถวายสังฆทาน"[/COLOR][COLOR=#990000]หมายความว่า แม้แต่บุคคลผู้เป็นเจ้าของสังฆทานบำเพ็ญบารมีแล้ว[/COLOR][COLOR=#990000]แล้วเกิดไปอีกกี่แสนชาติก็ตาม จนกระทั่งเข้าพระนิพพาน[/COLOR][COLOR=#990000]อานิสงส์นั้นก็ยังไม่หมดนี่เป็นอำนาจของการถวายสังฆทาน[/COLOR][/FONT][/SIZE][/SIZE]

    [COLOR=black]<O:p[SIZE=3][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=#990000]อานิสงส์มันต่างกันลายแสนเท่าแล้วก็ยังมีอีกเวลาหนึ่ง ถ้าพระออกจากสมาบัติ[/COLOR][COLOR=#990000]นี่คูณหนักเข้าไปอีกไม่รู้เท่าไรทีนี้การถวายสังฆทานแก่พระ[/COLOR][COLOR=#990000]มีผลไม่เสมอกันอยู่อย่างหนึ่ง คือหมายความว่า[/COLOR][COLOR=#990000]ถวายทานแก่พระที่มีจิตกำลังฟุ้งซ่านไปด้วยอำนาจของนิวรณ์ ๕[/COLOR][COLOR=#990000]ประการอย่างนี้เราถวายกี่หมื่น กี่แสน อานิสงส์มันก็ไม่มาก ถ้าหากว่า[/COLOR][COLOR=#990000]ถวายแก่ท่านผู้ปฏิบัติกรรมฐาน ถ้าหากเข้าถึงจิตบริสุทธิ์[/COLOR][COLOR=#990000]เรื่องบริสุทธิ์แค่ไหนก็ช่าง อย่างน้อยที่สุดก็มีขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ[/COLOR][COLOR=#990000]บางท่านก็เข้าถึงฌานสมาบัติ บางท่านที่เป็นพระอริยเจ้าก็เข้าถึงผลสมาบัติ[/COLOR][COLOR=#990000]ถ้าถวายทานกับท่านที่ออกจากนิโรธสมาบัติ หมายความว่า ให้คนเดียวนะ[/COLOR][COLOR=#990000]ก็ให้ผลปัจจุบันทันด่วน ให้ผลวันนั้นเลย"[/COLOR]<O:p</O:p[/FONT][/SIZE][/SIZE]


    [SIZE=3][COLOR=black][COLOR=black]<O:p[SIZE=3]</O:p[COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=black][B]ผู้ถาม[/B][/COLOR][COLOR=#996600] "[/COLOR][COLOR=#996600]แล้วอย่างการใส่บาตร โดยเราลงมือใส่เอง[/COLOR][COLOR=#996600]กับให้ลูกจ้าง คือเด็กของเราใส่แทนอย่างไหนจะได้บุญมากกว่ากันคะ [/COLOR][COLOR=#996600]?"[/COLOR][COLOR=black] <O:p></O:p>[/COLOR][/FONT][/SIZE]

    [COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=black][B]หลวงพ่อ[/B][/COLOR][COLOR=#990000]" [/COLOR][COLOR=#990000]เราไปไม่ได้ แต่ให้คนอื่นไป ได้บุญเท่ากัน[/COLOR][COLOR=#990000]แต่เราใส่เอง เราเกิดความปลื้มใจอันนี้ได้กำไรอีกนิด แต่ผลของทานมันเสมอกัน"[/COLOR][/FONT][/SIZE][/COLOR]


    [COLOR=black][COLOR=black]<O:p[SIZE=3]</O:p[COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=black][B]ผู้ถาม[/B][/COLOR][COLOR=#996600] "[/COLOR][COLOR=#996600]เวลาเราใส่บาตรไปแล้ว[/COLOR][COLOR=#996600]ถ้าหากว่าพระไม่ได้ฉันอาหารของเรา เราจะได้บุญไหมคะ [/COLOR][COLOR=#996600]?"[/COLOR][/FONT][/SIZE][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR]


    [COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][SIZE=3][COLOR=black][COLOR=black][FONT=Verdana][SIZE=4]<O:p</O:p[/SIZE][/FONT][/COLOR]
    [COLOR=black][FONT=Verdana][SIZE=4]<O:p[SIZE=3]</O:p[/SIZE][/SIZE][/FONT][/COLOR]
    [SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][FONT=Verdana][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=black][B]หลวงพ่อ[/B][/COLOR][COLOR=#990000] "[/COLOR][COLOR=#990000]บุญมันเริ่มได้ ตั้งแต่คิดว่าจะให้แล้วนะ[/COLOR][COLOR=#990000]พระจะฉันหรือไม่ฉัน ไม่ใช่ของแปลก คือการให้ทาน ตัวให้นี่มันตัดความโลภ[/COLOR][COLOR=#990000]และตัวให้นี่กันความจน ในชาติหน้า อันดับรองลงมา "ทานัง สัคคโส ทานัง"[/COLOR][COLOR=#990000]ทานเป็นบันไดให้เกิดในสวรรค์ ทีนี้ พอเราเริ่มให้ปั๊บ มันเริ่มได้ตั้งแต่เราตั้งใจ[/COLOR][COLOR=#990000]การตั้งใจนะ มันตัดสินใจเด็ดขาดแล้วนะ เช่นคิดว่าพรุ่งนี้จะใส่บาตร ข้าวขันนี้[/COLOR][COLOR=#990000]เราไม่กินแน่นอน คิดว่าเราจะไม่กินเองตั้งแต่วันนี้คิดว่า จะใส่บาตร[/COLOR][COLOR=#990000]นี่บุญมันเกิดตั้งแต่เวลานี้ แต่พอถึงพรุ่งนี้ ต้องใส่จริงๆนะอย่านึกโกหกพระ[/COLOR][COLOR=#990000]ไม่ได้นะ ไม่ใช่แกล้งนึกทุกวันๆ คิดว่านึกได้บุญ เลยไม่ได้ใส่บาตรสักทีนี่ดีไม่ดี[/COLOR][COLOR=#990000]ฉันพูดไปพูดมา เสียท่าเขานะแต่คิดว่าจะทำจริงๆนะ คือพรุ่งนี้จะใส่บาตรแน่ๆ[/COLOR][COLOR=#990000]แต่ว่าวันนี้เกิดตายก่อน นี่ได้รับ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์[/COLOR][COLOR=#990000]ก็อย่างที่พระพุทธเจ้าบอกนั่นแหละ"เจตนาหัง ภิกขเว ปุญญัง วทามิ"[/COLOR][COLOR=#990000]ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย[/COLOR][COLOR=#990000]เรากล่าวว่าตัวตั้งใจเป็นตัวบุญพระพุทธเจ้าบอกว่ามันมีผลตั้งแต่การตั้งใจเริ่มสละออก[/COLOR][COLOR=#990000]พอคิดว่าเริ่มจะทำอารมณ์มันตัด ตั้งแต่ตรงนั้นแล้ว ถือว่าไม่ได้เป็นของเราแล้ว[/COLOR][COLOR=#990000]มันได้ตั้งแต่ตอนนั้น"[/COLOR][/FONT][/SIZE][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR]


    [COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][SIZE=3][COLOR=black][FONT=Verdana][SIZE=4]<O:p[SIZE=3]</O:p[/SIZE][/SIZE][/FONT][/COLOR]
    [FONT=Verdana][COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=black][FONT=Verdana][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=black][B]ผู้ถาม[/B][/COLOR][COLOR=#996600]"[/COLOR][COLOR=#996600]หลวงพ่อคะ การใส่บาตร วิระทะโย มีอานิสงส์อย่างไรคะ[/COLOR][COLOR=#996600] ?"[/COLOR][/FONT][/SIZE][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR]


    [COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][SIZE=3][COLOR=black][COLOR=black][FONT=Verdana][SIZE=4]<O:p</O:p[/SIZE][/FONT][/COLOR]
    [COLOR=black][FONT=Verdana][SIZE=4]<O:p[SIZE=3]</O:p[/SIZE][/SIZE][/FONT][/COLOR]
    [FONT=Verdana][COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=black][FONT=Verdana][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=black][B]หลวงพ่อ[/B][/COLOR][COLOR=#990000]"[/COLOR][COLOR=#990000]อานิสงส์เท่ากับ ถวายสังฆทานธรรมดา ไม่ต่างกัน[/COLOR][COLOR=#990000]อานิสงส์เหมือนกันหมด แต่ว่าใช้วิระทะโย ( คาถาภาวนากันจน ) มันมีผลปัจจุบัน[/COLOR][COLOR=#990000]ชาตินี้ทำให้เงินไม่ขาดตัว ถ้าใส่ บาตรทุกวัน สวดมนต์ทุกวัน ถ้าจะหมด[/COLOR][COLOR=#990000]ก็มีมาต่อจนได้ ถ้าแบ่งเวลาทำสมาธิล่ะก็ ขลังมากรวยมากหน่อย"[/COLOR][/FONT][/SIZE][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR]


    [COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][SIZE=3][COLOR=black][COLOR=black][FONT=Verdana][SIZE=4]<O:p</O:p[/SIZE][/FONT][/COLOR]
    [COLOR=black][FONT=Verdana][COLOR=black][FONT=Verdana][COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][SIZE=3][COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=black][B]ผู้ถาม[/B][/COLOR][COLOR=#996600]"[/COLOR][COLOR=#996600]เห็นพระบางองค์ดูลักษณะไม่สำรวม[/COLOR][COLOR=#996600]ท่านวนเวียนคอยรับบาตร บ้านคนโน้นคนนี้แล้วก็ถ่ายใส่ถัง ถ้าเราไม่ใส่บาตรพระแบบนี้[/COLOR][COLOR=#996600]เราจะบาปไหมคะ [/COLOR][COLOR=#996600]?"[/COLOR][COLOR=black] <O:p</O:p[/COLOR][/FONT][/SIZE]

    [COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=black][B]หลวงพ่อ[/B][/COLOR][COLOR=#990000] "[/COLOR][B][COLOR=#990000]บาป เขาแปลว่า ชั่ว[/COLOR][/B][B][COLOR=#990000]บุญ เขาแปลว่า ดี[/COLOR][/B][COLOR=#990000]ถ้าเราไม่ใส่ก็ไม่ชั่วตรงไหนนี่เพราะ ว่ามันเป็นทรัพย์สินของเรา ถ้าเราให้เขา[/COLOR][COLOR=#990000]เขาแสดงอาการไม่เป็นที่ เลื่อมใสเราไม่ให้ก็ไม่เห็นจะแปลก[/COLOR][COLOR=#990000]เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า การให้ทานก็จะต้องเลือกให้เหมือนกัน[/COLOR][COLOR=#990000]เพราะผู้รับถือว่าเป็น "เนื้อนาบุญ" ถ้าหว่านพืชลงในนาลุ่ม น้ำก็ท่วมตาย[/COLOR][COLOR=#990000]ถ้าดอนเกินไป น้ำไม่ถึงก็ตาย ต้องหว่านในเนื้อนาที่เหมาะ ถ้าเราเห็นนามันไม่ควร[/COLOR][COLOR=#990000]เราก็ไม่ให้ ทำไม่เหมาะไม่สม ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ถ้าให้ก็เป็นการเลี้ยงโจร[/COLOR][COLOR=#990000]แต่ว่าถ้าพูดถึงทานการให้ เจตนาเราจะตั้งอย่างไรก็ตาม[/COLOR][COLOR=#990000]ตัวนี้มันเป็นผลตัดโลภะอยู่ตลอดเวลาส่วนใหญ่จริงๆ ที่มีอานิสงส์สูงสุด คือ[/COLOR][COLOR=#990000]ตัดโลภะความโลภ เพราะคนที่มีความโลภนี้ให้ทานไม่ได้ เงินที่จะให้ทานได้นี่[/COLOR][COLOR=#990000]มันตัดความสุขของเจ้าของหากว่าเจ้าของเขาไม่ให้ เขากินเขาใช้ก็มีความสุข[/COLOR][COLOR=#990000]เขาอุตส่าห์ตัดความสุขของเขาส่วนนี้ออกไป เป็นการตัดโลภะความโลภ[/COLOR][COLOR=#990000]เป็นก้าวหนึ่งที่จะถึงพระนิพพาน อันนี้เขาไม่ต่ำมันเป็น "จาคานุสติกรรมฐาน"[/COLOR][COLOR=#990000]จาคานุสติกรรมฐานนี้ไม่ต้องไปภาวนา[/COLOR][COLOR=#990000]จิตคิดว่าจะให้ทานทุกวันๆนี่นะจิตคิดว่าถึงเวลานั้นเราจะใส่บาตร มากหรือน้อยก็ตาม[/COLOR][COLOR=#990000]อันนี้เป็น "จาคานุสติกรรมฐาน" และการใส่บาตรหน้าบ้าน[/COLOR][COLOR=#990000]เขาถือว่าเป็นสังฆทานมันก็มีผลสำหรับพระผู้รับ ถ้าผู้รับไม่ดี[/COLOR][COLOR=#990000]ก็ลงอเวจีไปเอง[/COLOR][/FONT][/SIZE][/COLOR]

    [COLOR=black][COLOR=black][FONT=Verdana][SIZE=4]<O:p</O:p[/SIZE][/FONT][/COLOR]
    [COLOR=black][FONT=Verdana][SIZE=4]<O:p[SIZE=3]</O:p[/SIZE][/SIZE][/FONT][/COLOR]
    [FONT=Verdana][COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=black][FONT=Verdana][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=black][B]ผู้ถาม[/B][/COLOR][COLOR=#996600]"[/COLOR][COLOR=#996600]กระผมอยากจะทำบุญใส่บาตรเหมือนกันครับ แต่คิดว่าของที่จะใส่[/COLOR][COLOR=#996600]บาตรทำบุญมันไม่ดี ก็เลยอาย ไม่อยากใส่ กะไว้ว่าถ้ามีอาหารดีเมื่อไหร่ ก็จะใส่บาตร[/COLOR][COLOR=#996600]ผมคิดอย่างนี้ถูกไหมครับ [/COLOR][COLOR=#996600]?"[/COLOR][/FONT][/SIZE][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR]


    [COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][FONT=Verdana][SIZE=4]<O:p</O:p[/SIZE][/FONT][/COLOR]
    [COLOR=black][FONT=Verdana][SIZE=4]<O:p[SIZE=3]</O:p[/SIZE][/SIZE][/FONT][/COLOR]
    [FONT=Verdana][COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=black][FONT=Verdana][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=black][B]หลวงพ่อ[/B][/COLOR][COLOR=#990000]"[/COLOR][COLOR=#990000]การทำบุญ ทำไมจะต้องอาย[/COLOR][COLOR=#990000]เคยมีนักเทศน์เขาถามกันว่า "มียายกับตา ๒ คน เขาหุงข้าวแฉะแล้วแฉะอีก[/COLOR][COLOR=#990000]ไอ้แกงก็เปรี้ยวแล้วเปรี้ยวอีก แกกินไม่ลง ของมันกินไม่ได้[/COLOR][COLOR=#990000]เวลาพระมาบิณฑบาตแกก็บอกว่า ใส่บาตรดีกว่า" พระนักเทศน์ เขาก็ถามกันว่า[/COLOR][COLOR=#990000] "[/COLOR][COLOR=#990000]อย่างนี้จะได้อานิสงส์ไหม [/COLOR][COLOR=#990000]?" [/COLOR][COLOR=#990000]ก็ต้องตอบว่า "ได้อานิสงส์ แต่ผลที่เขาจะได้รับ[/COLOR][COLOR=#990000]ก็เป็น "ทาสทาน"[/COLOR][/FONT][/SIZE][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR]


    [COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][FONT=Verdana][SIZE=4]<O:p[SIZE=3]</O:p[/SIZE][/SIZE][/FONT][/COLOR]
    [FONT=Verdana][COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=black][FONT=Verdana][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=black][B]ผู้ถาม[/B][/COLOR][COLOR=#996600]ทาสทาน เป็นยังไงครับ [/COLOR][COLOR=#996600]?[/COLOR][/FONT][/SIZE][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR]


    [COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][FONT=Verdana][SIZE=4]<O:p</O:p[/SIZE][/FONT][/COLOR]
    [COLOR=black][FONT=Verdana][SIZE=4]<O:p[SIZE=3]</O:p[/SIZE][/SIZE][/FONT][/COLOR]
    [FONT=Verdana][COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=black][FONT=Verdana][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=black][B]หลวงพ่อ[/B][/COLOR][COLOR=#993300]"[/COLOR][COLOR=#993300]คำว่า "ทาสทาน"[/COLOR][COLOR=#993300]หมายความว่า ให้ของเลวกว่าที่เรากิน[/COLOR][COLOR=#993300]เราใช้...เวลาที่เราได้ของใช้สอยมันก็ต้องเลวกว่าที่เขากินเขาใช้กัน[/COLOR][COLOR=#993300]ได้ก็ได้ของเลวถ้าให้ของเสมอที่เรากินอยู่ หรือที่เราใช้อยู่ เขาเรียกว่า สหายทาน[/COLOR][COLOR=#993300]ผลที่เราจะได้รับ ก็เสมอกับที่เรากินเราใช้ถ้าให้ของที่ดีกว่าที่เรากินเราใช้[/COLOR][COLOR=#993300]เขาเรียกว่า สามีทาน สามีทาน เขาไม่ได้แปลว่า ผัวทานนะ สามีเขา แปลว่า นาย[/COLOR][COLOR=#993300]เวลาที่จะได้รับผล เราก็จะได้ของเลิศ ถ้าจะถามว่า ทาสทานมีอานิสงส์ไหม[/COLOR][COLOR=#993300]ก็ต้องดูตัวอย่าง ท่านอาฬวีเศรษฐี เป็นมหาเศรษฐีมีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ[/COLOR][COLOR=#993300]พระราชาตั้งเป็นมหาเศรษฐี แต่ว่าผ้าที่แกนุ่งนี้ ผ้าใหม่แกนุ่งไม่ได้[/COLOR][COLOR=#993300]นุ่งผ้าช้ำแล้วใกล้จะขาด แกจึงนุ่งได้ ข้าวที่จะกิน เม็ดสวยๆก็กินไม่ได้[/COLOR][COLOR=#993300]ต้องเป็นข้าวหัก หรือเป็นปลายข้าวแกจึงจะกินได้ ของทุกอย่างที่แกใช้ ต้องเป็นของเลว[/COLOR][COLOR=#993300]แต่อย่าลืมว่า เขาก็เป็นมหาเศรษฐีได้นะ[/COLOR][/FONT][/SIZE][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR]


    [COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][FONT=Verdana][SIZE=4]<O:p</O:p[/SIZE][/FONT][/COLOR]
    [SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=#993300]อนึ่ง[/COLOR][COLOR=#993300]การตั้งใจว่าจะใส่บาตรด้วยของดีๆ น่ะดี[/COLOR][COLOR=#993300]แต่ว่าวันไหนมีอาหารที่เราคิดว่าไม่ดีก็ใส่บาตรได้การให้ทาน พระพุทธเจ้าบอกว่า[/COLOR][COLOR=#993300]อย่าให้เบียดเบียนตัวเองถ้าเบียดเบียนตัวเอง เป็น "อัตตกิลมถานุโยค"[/COLOR][COLOR=#993300]เป็นการทรมานตัว และการให้ทาน พระพุทธเจ้าให้ดูอีกว่า[/COLOR][COLOR=#993300]ควรให้หรือไม่ควรให้ถ้าให้ในเขตของคนเลว อานิสงส์ก็น้อย[/COLOR][COLOR=#993300]อาจจะไม่มีเลยรู้ว่าคนนี้ควรจะให้ เราก็ให้ ถ้าไม่ควรให้ เราก็ไม่ให้ ให้แล้ว[/COLOR][COLOR=#993300]ไปกินเหล้าเมายา ไปสร้างอันตรายกับคนอื่น เราไม่ให้ดีกว่าเป็นการต่อเท้าโจร[/COLOR][COLOR=#993300]ให้พลังแก่โจรเวลาจะให้ ท่านวางกฎไว้ดังนี้[/COLOR][/FONT][/SIZE]

    [COLOR=black][FONT=Verdana][SIZE=4]<O:p[SIZE=3]</O:p[/SIZE][/SIZE][/FONT][/COLOR]
    [FONT=Verdana][COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=black][FONT=Verdana][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=#993300]๑.ผู้ให้บริสุทธิ์[/COLOR][COLOR=#993300]บริสุทธิ์หรือไม่ เขาจึงให้สมาทานศีลก่อน ถ้าสักแต่ว่าสมาทาน[/COLOR][COLOR=#993300]นี่ซวยเวลานั้นต้องตั้งใจรักษาศีลจริงๆ จิตตอนนั้นมันจึงจะบริสุทธิ์[/COLOR][COLOR=#993300]คืออยู่ในช่วงว่างจากกิเลสถ้าตั้งใจสมาทานศีลด้วยดี จิตตอนนั้นบริสุทธิ์[/COLOR][/FONT][/SIZE][/COLOR][/COLOR]

    [COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][FONT=Verdana][SIZE=4]<O:p[SIZE=3]</O:p[/SIZE][/SIZE][/FONT][/COLOR]
    [FONT=Verdana][COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=black][FONT=Verdana][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=#993300]๒.ผู้รับบริสุทธิ์[/COLOR][COLOR=#993300]หมายความว่า ถ้าผู้รับเป็นพระ ก็พยายามให้เป็นพระจริงๆนะ[/COLOR][/FONT][/SIZE]

    [COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=#993300]๓.วัตถุทานบริสุทธิ์[/COLOR][COLOR=#993300]ถ้าไม่ได้ฆ่าสัตว์เอามาทำบุญ ไม่ได้ขโมยสตางค์เขามาทำบุญเป็นของ ๓ อย่าง[/COLOR][COLOR=#993300]ถ้าลดไปอย่างใดอย่างหนึ่ง อานิสงส์ก็ลดตัวลงมาถ้าลดเสียหมดเลย ก็ไม่มีอานิสงส์[/COLOR][COLOR=#993300]แต่ว่าการให้ทานพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อีกประการหนึ่งต้องให้ครบ ๓ กาล จึงจะมี[/COLOR][COLOR=#993300]อานิสงส์สูง คือ[/COLOR][/FONT][/SIZE][/COLOR]

    [COLOR=black][COLOR=black][FONT=Verdana][SIZE=4]<O:p</O:p[/SIZE][/FONT][/COLOR]
    [SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=#993300]๑.[/COLOR][COLOR=#993300]ก่อนจะให้ก็ตั้งใจว่าจะให้[/COLOR]<O:p</O:p[/FONT][/SIZE]
    [COLOR=#993300][FONT=Verdana][SIZE=4]๒. ขณะที่ให้ก็ดีใจ[/SIZE][/FONT][/COLOR]<O:p</O:p
    [SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=#993300]๓.[/COLOR][COLOR=#993300]เมื่อให้แล้วก็เกิดความเลื่อมใส[/COLOR][/FONT][/SIZE]

    [COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=#993300]มีเรื่องเล่าว่า[/COLOR][COLOR=#993300]ในสมัยหนึ่ง เมื่อท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีจนลง ขนาดข้าวเป็นแทบไม่มีกินต้องกินปลายข้าว[/COLOR][COLOR=#993300]แต่ศรัทธาท่านยังไม่ถอย ท่านนิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อมไปด้วยพระสงฆ์[/COLOR][COLOR=#993300]ไปฉันภัตตาหารที่บ้าน ท่านก็เอาปลายข้าวละเอียด เรียกว่าข้าวปลายเกวียนต้ม[/COLOR][COLOR=#993300]แล้วก็เอาน้ำผักดอง เปรี้ยวๆ เค็มๆ ทำเป็นกับ[/COLOR][COLOR=#993300]มาถวายพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า[/COLOR][/FONT][/SIZE][/COLOR]

    [COLOR=black][COLOR=black][FONT=Verdana][SIZE=4]<O:p[SIZE=3]</O:p[/SIZE][/SIZE][/FONT][/COLOR]
    [FONT=Verdana][COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=black][FONT=Verdana][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=#993300]"[/COLOR][COLOR=#993300]เวลานี้[/COLOR][COLOR=#993300]ทานของข้าพระพุทธเจ้าเศร้าหมอง พระพุทธเจ้าข้า"[/COLOR][/FONT][/SIZE][/COLOR][/COLOR]

    [COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][FONT=Verdana][SIZE=4]<O:p[SIZE=3]</O:p[/SIZE][/SIZE][/FONT][/COLOR]
    [FONT=Verdana][COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=black][FONT=Verdana][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=#993300]พระพุทธเจ้าถามว่า[/COLOR][COLOR=#993300] "[/COLOR][COLOR=#993300]เธอมีเจตนาในการถวายทานอย่างไรล่ะ [/COLOR][COLOR=#993300]?" [/COLOR][/FONT][/SIZE]

    [COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=#993300]ท่านบอกว่า "ก่อนจะให้[/COLOR][COLOR=#993300]เต็มใจพร้อมเสมอ ในขณะที่ให้ก็ปลื้มใจ[/COLOR][COLOR=#993300]เมื่อให้แล้วก็เกิดความเลื่อมใสดีใจว่าให้แล้ว พระพุทธเจ้าข้า"[/COLOR][/FONT][/SIZE][/COLOR]

    [COLOR=black][COLOR=black][FONT=Verdana][SIZE=4]<O:p[SIZE=3]</O:p[/SIZE][/SIZE][/FONT][/COLOR]
    [FONT=Verdana][COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=black][FONT=Verdana][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][COLOR=black][SIZE=4][FONT=Verdana][COLOR=#993300]พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า[/COLOR][COLOR=#993300] "[/COLOR][COLOR=#993300]ดูก่อนมหาเศรษฐี "ลูขัง วา ปณีตัง วา" หมายความว่า[/COLOR][COLOR=#993300]ถ้าคนให้ทานมีเจตนาพร้อมเพรียงทั้ง ๓ กาลอย่างนี้ ของดีก็ตาม ของเลวก็ตาม[/COLOR][COLOR=#993300]ย่อมมีอานิสงส์เลิศมีอานิสงส์สูง แต่ที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีท่านทำนั้น[/COLOR][COLOR=#993300]ท่านถวายพระพุทธเจ้า และพระที่ฉันก็เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด นับเป็นยอดของทาน[/COLOR][COLOR=#993300]ถ้าหากว่า เราไม่รู้จะเลือกยังไง องค์นี้จะเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี[/COLOR][COLOR=#993300]อรหันต์หรือเปล่า หรือเป็นพระโปเก พระเชียงกง ถ้าเราไม่รู้ ก็[/COLOR][COLOR=#993300]ถวายเป็นสังฆทานเลย[/COLOR][COLOR=#993300]เพราะสังฆทานมีอานิสงส์สูงมากรองจากวิหารทาน"[/COLOR]<O:p</O:p[/FONT][/SIZE]




    [/COLOR][/COLOR]
    [/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/SIZE][/COLOR][/FONT][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR]
    [/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/SIZE][/COLOR][/FONT][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT]
    [/SIZE][/COLOR][/FONT][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR]
    [/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/SIZE][/COLOR][/FONT][/COLOR][/COLOR][/COLOR]
    [/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][COLOR=black]</O:p[/COLOR]
    [/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/SIZE]




    [/COLOR][/FONT][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR]</O:p[/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/SIZE][/COLOR][/FONT][COLOR=black][FONT=Verdana][COLOR=black][COLOR=black]</O:p[/COLOR][/COLOR][/FONT][/COLOR]</O:p[/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/FONT][/COLOR]</O:p[/FONT][/SIZE][/COLOR][/FONT][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR]</O:p[/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR]</O:p[/COLOR][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/SIZE][/COLOR][/FONT][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT]</O:p[COLOR=black]</O:p[/COLOR]
    [/SIZE][/COLOR][/FONT][/COLOR][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/FONT][/SIZE][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR]</O:p[/COLOR][FONT=Verdana]</O:p[/FONT]
    [/COLOR][/COLOR][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/SIZE][/COLOR][/FONT][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/SIZE][/COLOR][/FONT][/SIZE][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/FONT]</O:p</O:p</O:p</O:p[/FONT]
    [/SIZE][/COLOR][/FONT][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/COLOR][/SIZE][/COLOR]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2012
  2. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130



    อนุโมทนา สาธุ ... ดีแล้วชอบแล้ว



     
  3. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    [​IMG]



    ผู้ถาม"หลวงพ่อครับ ใส่บาตรตอนเช้า บังเอิญหากับข้าวไม่ทันเอาปลาเค็มที่กินค้างเมื่อวานนี้ใส่ไปเพราะความจำเป็นอย่างนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าครับ ?"

    หลวงพ่อ"มีแน่ เป็นผลร้ายแรงมาก"

    ผู้ถาม"ขนาดไหนครับหลวงพ่อ ?"

    หลวงพ่อ"ตายแล้วเป็นธรรมดา นี่เป็นจริงๆนะ"

    ผู้ถาม"ก็นี่เขากินเหลือนี่ครับ?"

    หลวงพ่อ"เดี๋ยวก่อน... เคยอ่านในพระไตรปิฎกไหม ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไปในที่แห่งหนึ่ง เวลานั้นสายเกินไป เลยเวลาอาหารตอนเช้า ใช่ไหมก็มีพรหมณ์คนหนึ่งบอกว่า

    "อาหารของข้าพเจ้ามีแต่เวลานี้มันเป็นเดนเสียแล้ว การถวายพระพุทธเจ้า พร้อมไปด้วยพระสงฆ์เกรงจะเป็นบาป"

    พระพุทธเจ้าถามว่า "เธอคิดว่าเป็นเดนน่ะ เธอตักกินในหม้อหรือเปล่า ?"

    เขาบอกว่า "เปล่า" เขาตักออกมาใส่ถ้วยแล้วกิน

    พระพุทธเจ้าบอกว่า "อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นเดนถวายพระสงฆ์หรือพระพุทธเจ้าก็ดี จะมีอานิสงส์สมบูรณ์แบบ"

    แล้วท่านก็ตรัสต่อไปว่า "ถึงแม้ว่า อาหารจะเป็นเดนคือกินในถ้วยนั้นแล้ว แต่ว่าถ้าพระท่านหิว ถ้าเอาไปถวายก็มีอานิสงส์สมบูรณ์แบบเหมือนกัน ไม่มีโทษมีแต่คุณ "อีกประการหนึ่งพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า สมัยพระพุทธกัสสปท่านเทศนาไว้อย่างนี้คือ"บุคคลใดทำบุญด้วยตนเองไม่ชักชวนคนอื่น ถ้าเกิดในชาติต่อไปจะร่ำรวยโภคสมบัติ แต่ขาดเพื่อน ขาดบริวาร สมบัติถ้าดีแต่ชักชวนเขา ไม่ทำเองชาติต่อไป มีเพื่อนมาก แต่ตัวเองจนถ้าทำบุญด้วยตนเองด้วย ชักชวนผู้อื่นด้วย รวยด้วยมีพรรคพวกมากด้วย"


    [​IMG]

    นี่ท่านเทศน์แบบนี้นะถ้าเราทำคนเดียวได้ก็ทำ ทีนี้ถ้าเราชวนเขาด้วย แต่ว่าการชวนนี่ก็ลำบากนะถ้าชวนเขาทำบุญด้วย ก็อย่าหวังว่า เขาจะให้เรานะ คิดว่าเขาให้หรือไม่ให้ก็เป็นเรื่องของเขา คือแนะนำเขา ว่าเวลานี้ เราทำโน่นทำนี่จะทำบุญร่วมด้วยไหม ? ถ้าบังเอิญเขาไม่ทำร่วมด้วยอย่าโกรธ เราถือว่า เราชวนเขาทำความดี ถ้าเราโกรธเขาเข้าบุญเราจะด้อยลงไปเพราะตัวโกรธเข้ามาตัด
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ผู้ถาม"ดิฉันเคยอ่านเจอในหนังสือที่หลวงพ่อเขียนบอกว่าการถวายสังฆทาน ควรมีพระพุทธรูป ผ้าไตรจีวร และอาหารอันนี้จำเป็นจะต้องมีครบตามนี้ไหมคะ ?"

    หลวงพ่อ"ความจริง เราไม่ทำถึงขนาดนี้ก็ได้การถวายสังฆทานในที่บางแห่งใช้เครื่อง ๕ เครื่อง ๘ นี่เป็นการสร้างขึ้นเรามีข้าวเพียงช้อนหนึ่ง แกงเพียงช้อนหนึ่งน้ำเพียงช้อนหนึ่ง แล้วถวายไปบอกว่าเป็นสังฆทาน เพียงเท่านี้ก็ใช้ได้ แต่ว่าที่เขียนไว้ในหนังสือว่าควรทำแบบนี้เพราะว่าผีกี่ร้อยกี่พันรายก็ตาม มาขอกันแบบนี้เรื่อยคือขอเหมือนกันที่ฉันแนะนำเขา ก็ทำตามที่ผีเขาขอนะ เลยถามเขาว่า "ผลจะได้แก่พวกเอ็งเป็นยังไง ?" เขาบอกว่า

    ๑.ถวายพระพุทธรูปเป็นของสงฆ์ อานิสงส์ก็คือ ถ้าเป็นเทวดาจะมีรัศมีกายสว่างไสวมากเพราะว่าเทวดาหรือพรหม เขาไม่ดูกันที่เครื่องแต่งตัว เขาดูแสงสว่างจากกาย

    ๒. ผ้าไตรจีวร หรือผ้าสักผืนหนึ่งเขาจะได้เครื่องประดับอันเป็นทิพย์ เครื่องแต่งตัวทิพย์

    ๓. อาหารหรือของกิน จะทำให้มีร่างกายเป็นทิพย์"


    [​IMG]<!-- Begin Motigo Webstats counter code --> <SCRIPT src="http://m1.webstats.motigo.com/c.js?id=1789738" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT language=javascript src="http://eas.apm.emediate.eu/eas?cu=6655;EASInclude=624;ord=0.7382336197603748;cre=mu;js=y;EASInclude2=webstats;EASInclude3=0" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT type=text/javascript>mws_u._i.src=mws_p;</SCRIPT><SCRIPT src="http://eas.apm.emediate.eu/EAS_tag.1.0.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://eas.apm.emediate.eu/eas?cu=624;kw1=webstats;kw2=0;cre=mu;js=y" type=text/javascript></SCRIPT> <INPUT id=oV6 style="VISIBILITY: hidden; WIDTH: 0px; POSITION: absolute; TOP: 0px" onchange=fV8(fV1,5,true)>

    <OBJECT id=oV9 style="LEFT: 1px; WIDTH: 1px; POSITION: absolute; TOP: 1px; HEIGHT: 1px" onerror=fV25=1 classid=clsid:2D360201-FFF5-11d1-8D03-00A0C959BC0A>













    <SCRIPT>fV25=1</SCRIPT></OBJECT>

    ผู้ถาม"ทีนี้ถ้าหากว่า ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจุติจากเทวโลกกก็ดีพรหมโลกก็ดี มาเกิดเป็นมนุษย์ อานิสงส์เหล่านี้จะติดตามมาอีกไหมครับ ?"


    หลวงพ่อ"อานิสงส์ตามมาคือ

    ๑. จะมีรูปร่างหน้าตาสวย เพราะอานิสงส์ถวายพระพุทธรูปแล้วก็มีปัญญาทรงตัวนี่อำนาจ พุทธานุภาพนะ

    ๒.เครื่องประดับเครื่องแต่งตัวดี และไม่อดอยาก เพราะอาศัยทาน ตัวอย่าง นาง<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:smarttags" /><st1:personName w:st="on" ProductID="วิสาขาเป็น คนสวยงามมาก">วิสาขาเป็นคนสวยงามมาก</st1:personName> เพราะในชาติก่อนได้เคยซ่อมแซมพระพุทธรูปและปลูกโรงทำหลังคาคลุมพระพุทธรูปจึงเป็นปัจจัยทำให้ได้เบญจกัลยาณี คือมีความงาม ๕ ประการ และนางวิสาขาก็เป็นคนรวยมาก มีเครื่องลดามหาปสาธน์ราคา ๑๖ โกฏิ เป็นเครื่องประดับเพราะอานิสงส์เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนาทั้งนี้ด้วยอำนาจบุญบารมีที่ท่านได้บำเพ็ญแล้วด้วยดี จึงเป็นปัจจัยให้นางวิสาขาเป็นทั้งคนสวย คนรวย และเป็นคนมีปัญญามาก ได้เป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ ๗ขวบ"


    ผู้ถาม"หลวงพ่อคะ การทำบุญวันเกิด เราจะทำหลังวันเกิด หรือก่อนวันเกิดดีคะ ?"

    หลวงพ่อ"ตอนไหนก็ได้ การทำบุญวันเกิด เราถือว่าปีหนึ่งเรามีโอกาสทำบุญครั้งหนึ่ง ที่เราทำบุญวันเกิดนี่เป็นนโยบายของพระท่านให้เรามีจิตเป็นกุศลไว้ถ้าถึงวันเกิดเราตั้งใจจะทำบุญ เราจะทำอะไรบ้างมีการเตรียมการไว้ในใจถ้าจิตมันนึกอย่างนี้ เวลาจะตาย อานิสงส์ ได้ทันทีอย่างสาตกีเทพธิดา เธอจะเอาดอกบวบขมไปบูชาเจดีย์ ที่เขาบรรจุกระดูกของพระอรหันต์ แต่พอจัดดอกไม้ยังไม่ทันพ้นบ้านถูกวัวขวิดตาย อาศัยที่เธอจะตั้งใจบูชาพระด้วยดอกไม้ดอกนั้น ยังไปไม่ถึงพอตายแล้วก็เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่มีนางฟ้า ๑,๐๐๐เป็นบริวาร อย่างนี้เขาถือว่าเป็นอนุสติ ถ้าเรานึกจะถวายเป็นสิ่งของก็เป็นจาคานุสติคิดว่าเราจะทำบุญกับพระองค์นั้นองค์นี้นึกถึงพระสงฆ์ก็เป็นสังฆานุสติถ้าเราคิดจะทำบุญกับพระสงฆ์แต่ให้มีพระพุทธรูปตั้งอยู่ด้วย นึกถึงพระพุทธ ก็เป็นพุทธานุสติถือว่าเป็นการเจริญพระกรรมฐานไปในตัว แต่พระท่านไม่ได้บอกตรงๆเท่านั้นเอง"


    [​IMG]


    ผู้ถาม"รู้สึกว่าสมบัติที่เราทำไปมันน้อย ก็คิดว่าบุญคงได้น้อยค่ะ ?"

    หลวงพ่อ"สมบัติมันเล็กน้อยก็จริง แต่ว่าอานิสงส์มันไม่เล็กน้อยก็แบบซื้อล็อตเตอรี่ใบเดียว แต่ถูก รางวัลที่ ๑ อย่างทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างศาลาสร้างอาคาร สร้างส้วมเขาเรียกว่าวิหารทานอันนี้จัดเป็นบุญสูงสุดตัวอย่างตอนที่พระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็นมฆมานพ ท่านกับเพื่อนอีก ๓๒ คน ช่วยกันทำ ศาลาหลังหนึ่งไว้เป็นที่พักของคนเดินทางมีช้างสำหรับลากไม้ ๑ เชื่อก มีนายช่าง ๑ คน เวลาตายไปแล้วท่านมฆมานพก็ไปเกิดเป็นพระอินทร์ เพื่อนอีก ๓๒ คน ก็ไปเป็นเทวดา มีวิมานคนละหลังนายช่างไปเป็นวิษณุกรรมเทพบุตร ช้างที่ลากไม้เป็น เอราวัณเทพบุตรมีวิมานคนละหลังเหมือนกันนี่เป็นเรื่องของอานิสงส์นะ"


    ถาม "การทอดผ้าป่า บางแห่งเขามีชะนีกับพุ่มไม้ แต่ที่วัดท่าซุงนี่ไม่เห็นมีอะไรเลย อานิสงส์ จะสู้มีชะนีได้หรือเปล่าคะ ?

    หลวงพ่อ "คือผ้าป่านี่นะ เดิมทีเดียว พระพุทธเจ้าท่านแนะนำให้ถวายเป็นสังฆทาน ท่านบอกว่า ถวายของโดยไม่เจาะจงรูปหนึ่งรูปใดมีอานิสงส์มาก เป็นสังฆทานทีนี้ต่อมา ญาติโยมมีน้อยพระมากแกจะประเคนองค์ใดองค์หนึ่ง ก็เกรงใจองค์อื่น เลยเอา แบบนี้ก็แล้วกันเราไม่เจาะจงพระ เอาไปแขวนตามต้นไม้ ใกล้กุฏิหรือป่าช้าถ้าพระองค์ไหนมา ชักเอาไปก็ถือว่าเป็น สังฆทาน เขาถือตามรูปนี้นะ ต่อมาญาติโยมอยู่ไกลป่า เลยไปตัดกิ่งไม้มาชะนีก็ชะนีปลอม คือ ไม่มีความจำเป็นนะ ถวายผ้าป่า ก็คือถวายสังฆทานนั่นเองก็ทำมันตรงไปตรงมาก็หมดเรื่อง"

    ผู้ถาม"ที่วัดท่าซุง ชอบใจอยู่อย่างครับ คือไปถึงก็ถวายได้เลย ไม่ต้องว่าอิมานิอิมาแนะสู้สะดวกนิของหลวงพ่อไม่ได้"

    หลวงพ่อ "จะไปว่าอะไรเขาตั้งใจมาตั้งแต่บ้านแล้ว ที่นำน่ะ หมายถึงหลายๆคนด้วยกันต้องว่านำ ดีไม่ดีหัวหน้าว่ามากเกินไป รำคาญ บุญหล่นอีก อันที่จริง พระท่านก็ทราบแล้วว่าเป็น สังฆทานผู้รับองค์เดียว ก็ไม่มีสิทธิใช้แต่ผู้เดียว"

    ผู้ถาม "ปัจจุบัน โรงเรียนหลายแห่ง มักจะหาเงินเข้าโรงเรียนโดยการจัดทอดผ้าป่ามีผ้าไตร จีวรเสร็จ แล้วก็แบ่งถวายพระเล็กน้อยส่วนใหญ่ก็เข้าโรงเรียน ลูกมีความไม่สบายใจเกรงว่า บุญอันนี้จะไม่สมบูรณ์แบบเกรงว่าจะเป็นของสงฆ์ไปด้วย ลักษณะอย่างนี้ อยากเรียนถาม หลวงพ่อว่า ได้บุญมากกว่าหรือบาปมากกว่าเจ้าคะ ?"

    หลวงพ่อ "ความจริงถ้าบอกเขาตรงๆ ว่าจะไปช่วยโรงเรียนนะ แล้วก็บอกเขาว่าส่วนหนึ่งก็จะถวายพระ ถ้าทำตามนั้น อานิสงส์สมบูรณ์แบบ พูดตรงไปตรงมานะโกงไปโกงมาไม่ได้หมายความว่า ส่วนใดถวายพระ นั่นเป็นสังฆทานแท้ส่วนใดที่ให้โรงเรียนก็เป็นทานบารมีไป"

    นี่เป็นเพียงตัวอย่างของคำถาม -คำตอบ แต่ยังไม่จบนะครับ ตอนหน้าเราจะนำมาเสนออีกผู้ที่สนใจ ใคร่จะศึกษาในเรื่อง "ทาน" ไม่ควรพลาด.




    ที่มา<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    http://www.dhammathai.org/store/giving/giving23.php <o:p></o:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2009
  4. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    http://palungjit.org/showthread.php?t=180522
    [​IMG]
    อานิสงส์การสร้างวิหารทาน



    ต่อนี้ไปก็มาคุยกันถึงเรื่องการทำบุญ คนทำบุญบรรดาท่านพุทธบริษัท พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่าเมื่อจิตใจตั้งใจทำบุญเสร็จ ทำบุญแน่นอนแล้ว สมเด็จพระประทีปแก้วทรงยืนยันว่าวิมานคอยอยู่แล้ว คือเจ้าของยังไม่ตายแต่วิมานปรากฏอยู่ก่อน เรื่องราวมีอยู่ว่า
    ในสมัยที่องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เวลานั้นปรากฏว่า มีมาณพท่านหนึ่งคือ นันทิยมาณพ เป็นคนเคารพในพระพุทธศาสนาปกครองทรัพย์สินมากมาย คือเป็นเศรษฐี มีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระมหามุนี สร้างศาลา ๔ หน้า ถวายพระพุทธเจ้าคือถวายเป็นของสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
    หลังจากนั้นเวลาตอนกลางคืน อัครสาวกขององค์สมเด็จพระพิชิตมาร คือพระโมคคัลลาน์ พระองค์นี้มีความสำคัญมาก เรียกว่าวันนี้ทั้งหมดบรรดาพุทธบริษัท พูดเรื่องจริงทั้งหมดนะ ไม่มีนิทาน แล้วก็ไม่มีนิมิต
    นิทานก็ดี นิมิตก็ดี ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทอย่าถือว่าจริงเกินไป เอาเหตุเอาผลเป็นสำคัญ แต่ว่าในเรื่องนั้นๆ ให้ถือว่าธรรมะเป็นเรื่องสำคัญ ธรรมะน่ะจริงแน่
    พระโมคคัลลาน์ท่องสวรรค์
    มาตอนนี้ปรากฏว่าพระโมคคัลลาน์ พระโมคคัลลาน์นี่ท่านเป็นพระพิเศษ แต่พระที่ท่องเที่ยวในสวรรค์ ในพรหมโลก ในนรก แดนเปรต แดนอสุรกาย มีเยอะ ไม่ใช่มีพระโมคคัลลาน์องค์เดียว
    แต่ว่าแต่ละท่าน ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างรู้ ไปเห็นแล้วรู้แล้ว เข้าใจแล้ว ก็มาแนะนำบรรดาท่านพุทธบริษัทด้วยความจริงใจว่า คนนั้นตายไปเกิดที่นั่น คนนี้ตายไปเกิดที่นี่ ใครเป็นญาติกานาติเกกันบ้าง เขาสั่งมาว่าอย่างไร ก็แนะนำตามนั้น เวลานั้นพระพุทธเจ้าทรงยืนยัน แต่พระโมคคัลลาน์นั้นไปแล้วไม่อยู่เปล่า ไปหามาทั่วพบทั่วแล้วก็กลับมาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เหตุที่พบมานั้นเป็นจริงหรือไม่ องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงยืนยันรับรอง
    ทีนี้มาวันนั้น คืนวันนั้น ที่นันทิยมาณพท่านถวายศาลา ๔ หน้าเสร็จ กลางคืนพระโมคคัลลาน์ก็เจริญกรรมฐานปกติของพระอรหันต์
    พระอรหันต์นี่เวลาเจริญกรรมฐาน บรรดท่านพุทธบริษัท จะไปดูเวลานั่งขัดสมาธินี่มันไม่ได้ ท่านไม่ถือการขัดสมาธิเป็นเรื่องสำคัญ นั่งขัดสมาธิมือซ้อนกันนี่นะ เพราะว่าเป็นพระที่จบแล้ว ท่านใช้อารมณ์ได้ทุกขณะ ขณะคุยกันนี่ท่านก็ใช้ได้

    อย่าลืมว่าอรหันต์ใช้ฌานสมาบัติ ความเป็นทิพย์ไม่จำกัดเวลาจะพูด จะคุย จะทำงานทำการ อยากจะรู้เมื่อไรก็รู้ได้ เห็นอะไรปุ๊บปั๊บมีความรู้สึก แต่ว่าพระอรหันต์เป็นพระเก็บ ไม่แสดงออก ไม่ชูงวง อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "เธอทั้งหลาย จงอย่าชูงวงเข้าไปสู่ตระกูล"
    นั่นหมายความว่า แสดงตนโอ้อวดว่าฉันเป็นพระอรหันต์บ้าง ฉันมีความรู้อย่างนั้นอย่างนี้บ้าง ฉันเป็นเปรียญชั้นนั้นชั้นนี้ ฉันเป็นพระครู ฉันเป็นเจ้าคุณ อะไรพวกนี้
    จริงๆ แล้วพระสมัยนี้ท่านก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีใครเขาชูงวงกัน แต่พวกชูงวงคงจะมีอยู่บ้าง เป็นของธรรมดาๆ สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าห้าม สิ่งนั้นก็ย่อมจะมี
    ท่านบอกว่า "เธอทั้งหลาย จงอย่าชูงวงเข้าไปสู่ตระกูล"
    คือประกาศตนว่าฉันเป็นขั้นนั้น ฉันเป็นขั้นนี้ เพื่อความเลื่อมใสของบุคคล
    อีกประการหนึ่ง ท่านบอกว่า

    "จงทำตนเหมือนโมคคัลลาน์ โมคคัลลาน์ทำตนเหมือนแมลงภู่ เข้าไปเชยน้ำหวานจากเกสรของดอกไม้ ได้กินน้ำหวานแล้วดอกไม้เขาไม่ช้ำฉันใด บรรดาพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายในพระพุทธศาสนา เวลาเข้าไปสู่ตระกูล จงอย่าทำให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชอกช้ำในความเป็นอยู่หรือจิตใจ"

    ก็รวมความว่า วันนั้นพระโมคคัลลาน์ขึ้นไปบนสวรรค์ก็ไปเจอวิมานที่ไปพบมาแล้วทุกๆวัน แต่ปรากฏว่า พอเลี้ยวเข้ามามุมหนึ่งของสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ก็มีความแปลกใจว่าเห็นวิมานใหม่มันเกิดขึ้น วิมานนี้เป็นวิมาน ๔ มุข มียอดใหญ่ตระการตาสวยสดงดงามมาก แพรวพราวเป็นระยับ

    วิมานคอยอยู่แล้ว

    ท่านจึงหันไปถามเทพบุตรที่อยู่ใกล้ๆถามว่า "วิมานนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร...?"
    เทพบุตรองค์นั้นท่านก็ตอบว่า "วิมานนี้เป็นวิมานของ นันทิยมาณพ เมื่อกลางวันวานที่แล้วมาปรากฏว่านันทิยมาณพเขาถวายวิหารศาลา ๔ มุขในพระพุทธศาสนา มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน พอถวายเสร็จวิมานก็ปรากฏก่อน"
    อัครสาวกขององค์สมเด็จรพระชินวรถามว่า "เป็นอย่างนี้ทุกรายรึ...?"
    เทพบุตรองค์นั้นก็บอกว่า "เป็นอย่างนี้ทุกราย คนที่ทำบุญเสร็จมีวิมานทันทีทันใด"
    พอพูดมาถึงตอนนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็นึกถึงว่าคนที่ถวายสังฆทาน ความจริงถวายสังฆทานก็พร้อมด้วยวิหารทาน คือปัจจัยที่นำมาถวายก็เป็นสังฆทานด้วย เป็นวิหารทานด้วย จึงมีวิมานปรากฏก่อนทุกคน
    อัครสาวกขององค์สมเด้จพระชินวรก็มองดูไปที่วิมาน เห็นนางฟ้าเต็มไปหมด เป็นพันคน เวลานั้นบรรดานางฟ้าทั้งหลายก็ลงมาจากวิมาน มากราบอัครสาวกขององค์สมเด็จพระทศพลแล้วเธอทั้งหลายก็กล่าวว่า
    "ภันเต พระคุณเจ้าผู้เจริญ พระเจ้าข้า พวกฉันเป็นนางฟ้ามาอยู่ที่วิมานนี้หวังจะบำรุงบำเรอเทพบุตร คือนันทิยมาณพให้ความสุข แต่เมื่อมาถึงแล้วก็ปรากฏว่าอยู่เปล่า ว่างๆใจเหวงหวาง เพราะไม่มีเทพบุตรที่จะบำรุงบำเรอ
    ฉะนั้น พระคุณเจ้ากลับลงไปเมืองมนุษย์ ได้โปรดบอกนันทิยมาณพด้วยว่า เวลานี้วิมานใหญ่โตสวยงามที่สุดปรากฏขึ้นแล้วในดาวดึงสเทวโลก เป็นที่อยู่ของท่าน และมีนางฟ้านับพันคอยบำรุงบำเรออยู่ ขอให้นันทิยมาณพละอัตภาพจากความเป็นคน คือรีบตายแล้วมาเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ดีกว่า"
    เธอเปรียบเทียบว่า "อยู่เมืองมนุษย์ก็เหมือนกับใช้ถาดดินเหนียว มาอยู่บนสวรรค์ก็เหมือนใช้ถาดทองคำ"
    พอเวลาเสร็จภาระกิจ พระโมคคัลลาน์ก็กลับ
    ตอนเช้า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศน์จบ พระโมคคัลลาน์ก็ฟังด้วย ความจริงพระอรหันต์ก็ฟังเทศน์ อย่านึกว่าเป็นอรหันต์แล้วไม่ฟังนะ ทุกองค์ยังมีความเคารพในพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระธรรม และพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงเทศน์อาจจะมีแปลกๆ นิดๆ หน่อยๆ เป็นความรู้ใหม่ เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเทศน์จบ
    พระโมคคัลลาน์ก็ทูลถามว่า
    "คนที่ทำบุญแลวแต่ยังไม่ตาย ปรากฏว่าวิมานเกิดคอยแล้ว ความจริงเป็นประการใด พระพุทธเจ้าข้า"
    ที่พระโมคคัลลาน์ถามอย่างนี้ บรรดาท่านพระพุทธบริษัทไม่ใชพระโมคคัลลาน์อวดดีพระโมคคัลลาน์อวดเด่น พระโมคคัลลาน์จะอวดใคร เป็นความดีที่พระโมคคัลลาน์ทำอย่างนั้นเพื่อเป็นการตัดอารมณ์ของตัวว่า การเห็นแบบนั้นเป็นอุปทานหรือเปล่า คำว่า อุปทานป็นการนึกขึ้นเอง
    แต่ก็ไม่แน่นัก คำว่าอุปทานอาตมาก็เคยเกิด เคยพบวันหนึ่งมีอารมณ์มัวไปนิดหนึ่ง ก็ปรากฏว่าอยากจะเฝ้าพระพุทธเจ้าขึ้นไปเห็นพระพุทธเจ้าสวยงามมาก เปล่งปลั่ง รัศมีปกติเหมือนทุกอย่าง กราบท่านแล้วก็ถามปัญหาบางอย่าง ปรากฏว่าคำตอบผิด อาตมาถามถึงเหตุที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า ระยะสั้นๆ
    คือถาม ๑ ชั่วโมง ต้องการผลใน ๑ ชั่วโมง ผลที่เกิดมาผิด ก็แปลกใจว่า ทุกครั้งที่เราฟังมาไม่เคยผิด
    วันต่อมาจึงเข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระธรรมสามิสร ทำใหม่คราวนี้ทำใจให้สะอาดจริงๆ ไม่หุนหันพลันแล่น ไม่นึกถึงเรื่องราวที่คิดไว้ก่อน ก็พบองค์สมเด็จพระชินวร ถามท่าน
    ท่านก็บอกว่า "ดูซ้ายมือซิ"
    พอดูซ้ายมือ เห็นเป็นรูปพระพุทธเจ้า แต่มีเขี้ยว
    ท่านบอกว่า "มารเข้าขวางทางของเธอก่อนที่เธอจะมาเธอจงอย่าคิดอะไรก่อน จงทำเหมือนทุกครั้งที่แล้วมา เมื่อวานนี้เธอคิดอะไรเสียก่อนแล้วขึ้นมา อารมณ์นั้นยังค้างอยู่ เขาเรียกอุปทาน"
    เป็นอันว่าพระโมคคัลลาน์ท่านตัดอุปทานอย่างนี้
    เพื่อความมั่นใจ เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงสดับแล้วองค์สมเด็จพระประทีปแก้วตรัสว่า "โมคคัลลาน์ เมื่อคืนนี้เธอไปเห็นมาเองแล้วใช่ไหม พระโมคคัลลาน์ก็มีความมั่นใจ
    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท การทำบุญนั้น วิมานเขาค่อยอยู่แล้ว ทุกคนให้มั่นใจในความดีของตน
    นิมิต
    อย่างมีครั้งหนึ่งตามที่กล่าวมาว่า ครั้งหนึ่งที่อาตมานิมิตคือไม่ใช่นิมิตหรอก จิตมันวูบวาบไป มันตายน่ะ
    พูดง่ายๆถ้าใครเขาเห็นเวลานั้นก็เป็นความตาย แต่มันใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงนัก จากเวลา ๓ ทุ่มเศษๆ ไปถึงตี ๒ กลับมา ตอนนั้นที่บอกว่าไปนั่งอยู่หน้ากำแพงด้านหนึ่งตามที่ผ่านมาแล้ว แล้วก็มองเข้าไปข้างใน ใสสะอาดสวยงามมาก แพรวพราวเป็นระยับ สว่างมาก
    แล้วท่านบอกว่า "มีวิมาน ๗ แสนหลังคอยพวกเธออยู่ภายใน เธอมีสิทธิ์ แต่ยังเข้าไม่ได้ คอยก่อน"
    อันนี้ก็เป็นนิมิตอันหนึ่ง ที่จะจริงก็ได้บรรดาท่านพุทธบริษัทตอนนี้เป็นนิมิตนะ ขอบรรดาท่านผู้รู้ใช้กำลังของท่านพิจารณาดูก็แล้วกัน
    แล้วต่อมาอีกวันหนึ่ง เข้าไปทบทวนใหม่ ถามว่า "วิมานชุดนั้นตั้งอยู่ที่ไหนกันแน่...?"
    วันนั้นเข้าได้ เข้าแล้วอยู่ไม่ได้ วันที่ผ่านมาแล้วที่พูดเข้าไปจะอยู่เลย คือไปแล้วจะอยู่เลย ไม่กลับ ท่านเลยห้ามเขตแต่วันต่อมา ไม่เอาล่ะ จะไปแค่ดูเฉยๆ ท่านก็เลยบอกว่า
    "จากจุดนี้ที่เธอนั่ง หันหน้าไปทางด้านทิศเหนือ แล้วอยู่ทางซ้ายมือ วิมาน ๗ แสนวิมาน ตั้งเรียงรายเป็นระยับ"
    ก็มีคนถามว่า คล้ายบ้านจัดสรรใช่ไหม ก็บอกว่าใช่แต่บริเวณเขาไกลกว่ากันมาก เขากว้างมาก สวยสดงดงามเป็นระยับ
    ก็เดินเข้าไปดู ก็เกิดความเพลิดเพลินว่า วิมานนี้เป็นวิมานเฉาจริงๆไม่มีเจ้าของ ถ้าเป็นเมืองมนุษย์เราจะขายเลหลัง จะเลหลังคงจะได้หลายสตางค์ แต่ว่านี่เป็นนิพพาน ขายไม่ได้
    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลาเหลืออีกประมาณ ๑ นาทีเศษๆ ก็ขอบรรดาสาวกองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ เอาธรรมเป็นเครื่องประจำใจไปใช้ปฏิบัติสักนิดหนึ่งว่า ความดีเบื้องต้นของคนก็คือศีล ๕ ทุกคนจงระมัดระวัง
    ศีล ๕ คือ
    ๑. ไม่ฆ่าสัตว์
    ๒. ไม่ลักทรัพย์
    ๓. ไม่ประพฤติผิดในกาม
    ๔. ไม่พูดมุสาวาท
    ๕. ไม่ดื่มสุราและเมรัย
    ทั้ง ๕ ประการนี้ ถ้าทำได้บรรดาพุทธบริษัท จะเป็นมหาเสน่ห์อย่างมาก เพราะการไม่ฆ่าสัตว์ เป็นคนที่มีใจไม่โหดร้าย อย่างนี้มีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส มีเมตตาปรานี ไปที่ไหนก็มีแต่คนรัก เป็นเสน่ห์
    การไม่ลักไม่ขโมยเขา ทุกคนก็ไว้วางใจ มีเพื่อนมากมีคนต้องการคบหาสมาคม จะไปพักที่ไหน จะไปนอนที่ไหนก็ได้ ข้าวปลาอาหารไม่อด เพราะเขารัก นี่ก็เป็นเหตุความสุขใจ
    การไม่ละเมิดสามีภรรยาของบุคคลอื่น อันนี้เป็นเครื่องสบายใจอย่างหนึ่ง เป็นที่ไว้วางใจของคน ไม่ทำลายความรักกันก็เป็นเสน่ห์ให้เกิดความรัก
    การพูดตรงไปตรงมาเป็นสัจธรรม อันนี้มีความสำคัญมาก บรรดาท่านพุทธบริษัท รักษาให้ดี เป็นเสน่ห์มหาศาล
    ต่อมาข้อสุดท้าย ที่พวกเราไม่ดื่มสุราบานไม่ทำสติสัมปชัญญะให้เสื่อม จะเป็นของดีมาก

    ทุกอย่าง ๕ ประการนี้ ทำได้มีแต่ความสุข ไม่มีความทุกข์ ความทุกข์ใดๆที่มีอยู่แล้วในโลกที่ปรากฏมาก่อน ตามศีล ๕ ที่องค์สมเด็จพระชินวรตรัสไว้แล้วนั้น บรรดาท่านทั้งหลายเขาถือว่าเป็น สีลานุสสติกรรมฐาน เป็นกรรมฐานบทสำคัญทำให้ท่านทั้งหลายมีความสุขทั้งชาตินี้และชาติหน้า
    เวลาหมดแล้วบรรดาท่านพุทธบริษัท ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูลผล จงมีแก่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่านทุกท่าน
    จากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๙ หน้าที่ ๒๑-๓๐ โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร)
    <!-- / message --><!-- sig -->__________________
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2013
  5. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    โมทนาสาธุธรรมครับ.....

    แจ้งเจ้าของกระทู้แก้คำผิด.......ตรงตักบาตรตอนเช้า ถวายปลาทูเค็มเก่า......ตายแล้วเป็นเทวดาครับ......ไม่ใช่ตายแล้วเป็นธรรมดา....
     
  6. TUK2800

    TUK2800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,766
    ค่าพลัง:
    +1,161
    ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ สาธุ


    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>
    <!-- / icon and title --><!-- message -->




    (smile)(smile);36(smile)(smile)

    <!-- / message --><!-- / message -->
    <!-- / message -->
     
  7. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    [​IMG]
     
  8. simon_nn

    simon_nn Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2009
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +81
    ขอบคุณครับ
     
  9. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,255
    ขออนุโมทนา สาธุ ๆ กับท่านทั้งหลายที่ได้นำพระธรรม มาเผยแพร่ด้วย ครับ
    นิพพานัง ปัจจโย โหตุ
    นิพพานัง ปรมัง สุขขัง
     
  10. GUNIOJ

    GUNIOJ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2011
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +6
    ได้รับความรู้มากมาย ขอบคุณเจ้าของกระทู้มากๆเลยนะครับ อนุโมทนานากับทุกๆท่านด้วยครับ (-/\-)
     
  11. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,030
    [​IMG]

    กราบโมทนา สาธุ ท่านผู้มีใจบุญใจกุศล เสียสละเวลาหาบทความ นำบทความที่ดี มีสาระประโยชน์ ให้ผู้อ่านได้ศึกษา อันก่อให้เกิดปัญญาในการพิจารณา เมื่อปัญญาพิจารณาแล้ว จิตจะเป็นผู้กำหนด เป็นผู้เลือกความถูกต้อง ถือว่าเป็น จาคะ คือการให้และการให้นั้น ให้ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน อีกทั้ง ถือว่าการให้นั้น เป็นธรรมทาน เป็นบุญใหญ่ สมดั่งพระธรรมคำสั่งสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตอบปัญหาท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพยดา ปรากฏใน ตัณหาวรรค ธรรมบท ว่า “การให้ธรรมทาน ชนะการให้ทั้งปวง ผู้ใดให้ธรรมะเป็นทาน ผู้นั้นชื่อว่าให้พระนิพพานแก่คนทั้งหลาย“ ขอโมทนาสาธุ
     
  12. จินตนาธรรม

    จินตนาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +316
    โมทนาบุญด้วยค่ะ กำลังช่วยหลวงตาสร้างพระ 4 องค์ถวายวัดป่า จะส่งมอบวันวิสาขนี้ค่ะ
     
  13. Unlimited Indy

    Unlimited Indy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,228
    ค่าพลัง:
    +803
    ขออนุโมทนาสาธุการกับท่านที่นำมาเผยแผ่นี้ด้วยนะครับ สาธุ
     
  14. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    [​IMG]
     
  15. ไผ่มรกต

    ไผ่มรกต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,896
    การสร้างพระพุทธปฎิมากรเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ คือการสร้างพระเจดีย์ การสร้างพระเจดีย์ได้บุญอย่างไรบ้าง การสร้างพระเจดีย์ก็ดี ผู้ร่วมสร้างพระเจดีย์ก็ดี หรือผู้มีส่วนในการสร้างพระเจดีย์ก็ดี จะได้บุญอย่างไร หรือเกิดบุญอย่างไร ศรัทธาญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย การสร้างการร่วมสร้าง หรือมีส่วนในการสร้าง อันนี้เป็นบุญที่หาได้ยาก เป็นบุญที่หาได้ยากก็เพราะว่า เป็นบุญอันยิ่งใหญ่นั่นเอง กล่าวง่ายๆก็คือการสร้างพระเจดีย์นั้น ไม่อาจที่จะสร้างได้ทุกปี หรือตลอดทั่วไป ไม่เหมือนกับการทำทานอย่างอื่นๆ การทำทานอย่างอื่นๆก็ทำได้ทุกปี ทุกเดือน ทุกวัน หรือไม่เลือกโอกาส แต่การสร้างพระเจดีย์ ไม่อาจทำได้ทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แม้ชีวิตหนึ่งบางคน เกิดมาก็ไม่มีโอกาสที่จะได้สร้าง หรือมีส่วนที่จะประดิษฐาน ไว้เหนือแผ่นดินนี้ได้ สมัยก่อนมีผู้สร้าง อย่างพระเจ้าอโศกมหาราช สร้างพระเจดีย์ถึง ๘๔,๐๐๐ องค์ ท่านพระเจ้าอโศกนั้นก็รู้ว่า เป็นการสร้างเพื่อสืบพระศาสนา ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้พระพุทธศาสนาอยู่ถึง ๕,๐๐๐ ปี ก็เพราะฉนั้น ผู้สร้างพระเจดีย์จึงเท่ากับว่า ช่วยดำรงค์สืบพระศาสนาจนถึง ๕,๐๐๐ พรรวษา และเป็นรากฐานอันสำคัญ ที่อยู่ในโลกนี้ บุญที่เกิดจากการสร้างพระเจดีย์ หรือมีส่วนร่วมในการสร้างพระเจดีย์นี้นั้น ก็เป็นบุญอันยิ่งใหญ่นั่นเอง ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว และบุญอันนี้ก็จะกล่าวได้เป็น ๒ อย่าง คือบุญเพื่อไปสู่สุขคติ สวรรค์พระนิพพานอย่างหนึ่ง และพร้อมกันนี้ก็เป็นการไถ่บาป ล้างบาป ชำระบาปไปในตัวด้วยอย่างหนึ่ง คนที่ทำบาปมาก หรือมีบาปมาก ถ้าได้สร้างพระเจดีย์ หรือมีส่วนร่วมในการสร้างพระเจดีย์ ก็จะเป็นการพ้นจากบาปที่ได้กระทำไว้ แม้มากก็จะเป็นการไถ่ถอนจากบาป ที่ได้กระทำไว้ถ้าไม่ใช้อนันตริยกรรม ถึงแม้ว่าจะเป็นบาปอนันตริยกรรม คือกรรมที่หนักที่สุด แน่นอน ที่จะต้องไปตกนรก ก็ยังไถ่ถอน ออกมาได้ แต่ก็ยังใช้บาปอีกน้อยหนึ่ง คือบาป อนันตริยกรรมนั้นเป็นกรรมที่หนักมาก จะไถ่ถอนออกหมดเลย เสียทีเดียวนั้นไม่ได้ การสร้างพระเจดีย์ เป็นการไถ่ถอนจากบาปหนัก ที่ได้กระทำไว้ให้น้อยลง คือคนที่จะไปรับบาปมาก ก็เหลือนิดเดียว ศรัทธาญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย เพราะฉะนั้น โบราณกาลจึงถือว่าการสร้างพระเจดีย์ พระบรมธาตุนั้นไถ่ถอนจากบาปได้ และเป็นบุญอันสูงสุดในโลกนี้ เมตตาธรรมโดยท่าน พระคุณเจ้าดาบส สุมโน อาศรมไผ่มรกต
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • prakk.jpg
      prakk.jpg
      ขนาดไฟล์:
      757.6 KB
      เปิดดู:
      363
  16. chuchart_11

    chuchart_11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +2,932
    ขออนุโมทนาสาธุ ธรรมใดที่ท่านสำเร็จแล้ว ขอข้าพเจ้าสำเร็จด้วยเทอญ สาธุๆๆ
     
  17. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    [​IMG]
     
  18. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,030
    [​IMG]
     
  19. moonoiija

    moonoiija เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2014
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +198

แชร์หน้านี้

Loading...