ชีวิตรื่นรมย์ของ

ในห้อง 'พุทธศาสนากับคนดัง' ตั้งกระทู้โดย paang, 4 ธันวาคม 2005.

  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,326
    [​IMG]


    ลองมารู้จักเรื่องราวของนักแสดงที่มีแต่ความฮา เธอมีความสุขที่จะแบ่งปันให้คนรอบข้าง ธรรมะมีอยู่รอบๆ ตัว เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม มิตรภาพ ความเอื้ออาทร ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอ


    เคยได้ยินมาว่า สันติภาพบนโลกมนุษย์ใบน้อยนี้จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อมนุษย์ทุกคนรู้จักแบ่งปันสิ่งที่ดีให้แก่กัน พยายามเข้าอกเข้าใจคนที่แตกต่างจากเรา ดำรงชีวิตอยู่โดยคิดถึงผู้อื่นเสมอ สันติภาพน้อยๆ นี้เริ่มจากคนหนึ่งคนในครอบครัว กลายเป็นหนึ่งครอบครัว กลายเป็นหนึ่งชุมชน หนึ่งประเทศ และโลกใบนี้
    เหมือนคนๆ หนึ่ง เธอจะใช้ชีวิตทำนองนี้ โดยไม่ต้องมีใครมาสั่งให้ทำ ป้าจิ๊-อัจฉราพรรณ ไพบูลย์สุวรรณ ผู้ใฝ่ศึกษาธรรมะมาตั้งแต่เด็ก ดูเหมือนจะเป็นคนที่นำธรรมะมาใช้ในชีวิตจริงมากกว่าใครหลายคนที่ป่าวประกาศว่า ตนเองเป็นพุทธศาสนิกชนที่คร่ำเคร่ง ทว่ากลับรังเกียจผู้คนที่ใช้ชีวิตแตกต่างจากตน
    แต่ป้าจิ๊กลับมีเพื่อนทุกวัย ทุกระดับ สามารถเข้ากับทุกคนได้ พยายามรับฟังทั้งความสุข และ ปัญหาของคนรอบข้างเสมอ แม้กระทั่งการศึกษาเรื่องโยคะของป้าจิ๊ ก็เอาจริงเอาจัง เพราะจะได้นำสิ่งดีๆ ไปบอกกล่าวแก่ผู้ที่สนใจรักสุขภาพ
    เพราะครูโยคะสำนักนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ สื่อสารค่อนข้างลำบาก จึงเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งในการเรียน วันนี้เราไปเฝ้ารอและเฝ้าดูป้าจิ๊ ที่ ABSULUTE YOGA ประชาชื่น ได้พูดคุยกันแล้วทำให้เรารู้สึกว่า สันติภาพที่ยิ่งใหญ่เกินตัวเรานั้น ไม่ได้ยิ่งใหญ่เกินสองมือเรา เพียงแค่มีจิตใจเช่นนี้

    +อยากให้เล่าถึงชีวิตที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับโยคะว่าเริ่มต้นอย่างไร

    เกี่ยวข้องกับโยคะ เพราะเมื่อ 2 ปีที่แล้ว(อายุ 52 ปี) คุณตุ๊ก-ดวงตา เธอบอกว่าเล่นโยคะดี ตอนนั้นถ่ายละครเรื่อง 'คุณย่า ดอทคอม' ตัวคุณตุ๊กเคยสัมภาษณ์เจ้าของ Absulute yoga เขาบอกว่าดีมากๆ แต่ป้าไม่อยากเล่น เพราะเราเป็นคนที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย ตอนที่อยู่โรงเรียนผู้หญิงล้วนก็ออกกำลังกายไปตามเรื่องตามราวในชั่วโมงพละเท่านั้น แต่เป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้ยังไม่เคย

    +พอมาฝึกโยคะก็รู้สึกชอบ?

    ชอบมากเลย เวลาเล่นไม่พูดกับใคร ค่อยๆ เล่น อยู่กับตัวเอง ไม่เปรียบเทียบไม่แข่งขัน เจอกับความสงบ รู้สึกดี ถ้าเผื่อเรียนหนังสือแล้วขยันแบบนี้ (แบบเรียนโยคะ) ป่านนี้คงเป็นดอกเตอร์ไปแล้ว เรียนหนังสือยังไม่เคยกระตือรือร้นอย่างนี้เลย หนังสือนอกหลักสูตรก็ยังไม่เคยไปซื้อ นี่เรียนปุ๊บไปซื้อหนังสือโยคะเลย เอามาอ่าน เปิดพจนานุกรม (Dictionary) ดูทุกตัว เป็นตำราฝรั่ง

    เพราะหลักสูตรมาจากเมืองนอก ชอบมาก สนใจจริงจัง อยู่ในกองถ่ายก็เอาหนังสือไปอ่าน จนคนเขาประณามว่า เป็นคนไม่มีตรงกลาง มากไปกับน้อยไป เราเป็นคนที่สนใจอะไรแล้วต้องให้รู้จริง ไม่อยากเสียเวลา เสียเงิน ไม่รู้ประโยชน์ว่าทำไปทำไม ทำแล้วได้อะไร ไม่เอา เราต้องรู้จริงจังถึงแก่นแท้

    +เป็นคนที่สนใจด้านธรรมะ ?

    สนใจธรรมะอยู่แล้ว และเหมือนเราได้มาปฏิบัติธรรม อยู่ในสมาธิวันละชั่วโมงครึ่ง แล้วก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือ เมื่อก่อนหน้าท้องห้อยลงมาจะถึงพื้นอยู่แล้ว (ฮา) ไปเรียนเราก็ก้มหน้าก้มตาไม่พูดจากับใคร

    +ศึกษามานานหรือยังคะ

    นานแล้ว ตั้งแต่เด็กๆ ไม่มีใครแนะนำ แนะนำตัวเอง และเป็นคนที่โชคดีมาก คนรอบตัวดีหมด ไม่ว่าเพื่อน พี่น้อง ลูกน้อง คนใกล้ตัว บ่าวบริวาร

    +ตอนไปเรียนไม่คุยกับใคร เพราะกลัวที่จะรู้จักคนอื่นหรือเปล่า

    ไม่กลัว ชอบที่จะรู้จักกับคนอื่น แต่เวลาที่เรากำลังจะไปเรียน เราต้องการที่จะเรียน พอเวลาที่เราคุยกัน เรื่องที่คุยก็ติดเข้าไปในห้อง ไม่จบ เราอยากจะอยู่กับสิ่งที่เรากำลังจะไปทำ เพราะฉะนั้นก่อนเล่นจะไม่ค่อยคุยกับใคร ถ้าไปเร็ว ก็จะรีบเข้าไปนอนอยู่ในห้องเลย เอาผ้าปิดหูปิดตานอน ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยปิดมิดชิด ไม่ใช่แบบนี้เลย

    ตอนนั้นเหมือนท้อง 3 เดือน หน้าท้องห้อยย้อย ใส่เสื้อใส่กางเกงไม่ให้ใครเห็นเนื้อหนังเลย ไปเรียนทุกวันบ้านอยู่บางซ่อน ต้องไปเรียนที่หลังสวน เวลาเรียน 10 โมง ก่อน 8 โมงต้องออกแล้ว เดี๋ยวไม่ทัน อาทิตย์หนึ่งเรียน 7 ครั้ง ถึง 14 ครั้ง บางวันจะเรียนถึง 2 ครั้ง วันไหนไม่มีถ่ายละครก็จะไป ถ้ามีละครเช้า เย็นก็ต้องรีบดิ่งมาเล่น รอบสุดท้ายทุ่มครึ่ง ถ้าเผื่อมีละครบ่ายเช้าก็มาเล่นก่อน เที่ยงถึงจะไปเข้าฉากละคร

    +เป็นบุคลิกของเราหรือเปล่าที่เวลาทำอะไรแล้วจะต้องจริงจัง

    ถูกต้อง จะต้องรู้ให้ถึงแก่นแท้ ทุกอย่างต้องจริงจัง เพราะว่าเวลาเรามีน้อย เราไม่ควรเสียเวลาไปแล้วไม่เกิดอะไรเป็นผลจริงจัง

    +จริงจัง แล้วเครียดหรือเปล่า

    ไม่เครียด เพราะเรารักในสิ่งที่เราจะทำ

    +จริงจังแบบรื่นรมย์?

    รื่นรมย์กับตัวเองนะ เพราะไม่พูดกับใคร ถ้าเผื่อไปเล่นเพาเวอร์โยคะเนี่ย โรงเรียนเข้าแปดโมงครึ่ง หกโมงกว่าป้าต้องออกจากบ้านแล้ว มีอาหารเช้าไปด้วย ดิ่งไปจอดรถ ยังไม่เจ็ดโมงเลยก็ถึงแล้ว ถ้าเผื่อออก 7 โมงไปไม่ทัน เพราะหลังสวนรถติดมากเลย เอาอาหารเช้าไปด้วย พร้อมหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ไปนั่งทานอาหารเช้าที่โรงรถ แล้วขึ้นไปเล่นโยคะ ทุกคนยืนรอนั่งรอ ตั้งแต่แม่บ้านยังไม่มาเปิดห้องเลย เล่นกันแบบจริงจังมาก กลุ่มนั้นมีหลายรุ่นอายุตั้งแต่ 30-40-50 ปี

    +ทำไมมาเล่นโยคะแล้วจึงรู้สึกชอบ

    รู้สึกได้ว่าสุขภาพของเราพัฒนาขึ้น หายใจได้เต็มที่ ร่างกายเหยียดและยืดได้เต็มที่ และพบกับความสงบของจิตใจ แล้วรู้สึกว่าอยู่ในสถานที่ปลอดภัยเวลาที่มา เพราะคนที่มาเขาจะสนใจเรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพทั้งนั้น เรื่องที่คุยกันก็เป็นเรื่องที่เราชอบพูดและชอบฟัง ทั้งเรื่องอาหารการกิน เรื่องการดูแลตัวเอง การออกกำลังกาย ก็เลยชอบ

    +เคยเจ็บป่วยมาก่อนหรือเปล่า

    ไม่เคยเจ็บป่วย เป็นคนบึกบึน พอมาเล่นโยคะรู้สึกสบายมากขึ้น รู้สึกว่าได้ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ เพราะเป็นคนไม่ชอปปิง เป็นคนไม่ซื้อของ เป็นคนไม่ตระเวนดูหนัง ดูละคร มีเวลาว่างก็จะอยู่กับการอ่านหนังสือ หรือไม่ก็ขับรถไปชนบท ดูวิว ดูต้นไม้ ดูท้องนา ไปหาเพื่อนซึ่งมีหลายคน แล้วแต่ว่าช่วงนั้นจะอยู่ตรงไหน คนที่เจอก็จะเป็นคนหลากหลายอายุ ตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ เมื่อวานนี้ก็ไป Meeting กับพวกเด็กๆ กลุ่มเล่นโยคะ มีหมอฟัน นักกฎหมาย ครูโยคะฝรั่ง ก็จะพูดกันแต่เรื่องออกกำลังกาย เอาจริงเอาจัง

    +กว่าจะมาเป็นครูสอนโยคะ เรียนนานไหม

    สองปี แต่ที่เราสอนจะเป็นอีกซีรีส์หนึ่ง เราจะสอน 33 ท่า เพราะว่าเราไปเข้าเวิร์คชอปกับเจ้าของทฤษฎีนี้ จริงๆ โยคะแนวนี้จะมี 40 ท่า แต่บางท่ายากเกินไป ก็เลยตัดออก 7 ท่า เพื่อให้ได้กับเวลาชั่วโมงครึ่ง แต่เบสิกของท่าโยคะจะมีความคล้ายคลึงกันอยู่แล้ว เราจะทำอย่างไรที่จะสามารถพัฒนาให้ดีขึ้น การพัฒนาของเรา ก็คือ การลงรายละเอียด เหยียดยืด หายใจ แขม่วท้อง เก็บรายละเอียดทั้งหมด

    เพราะว่า 10 ปีแรกทุกคนจะเป็นผู้เริ่มต้นเหมือนกันหมด พอปีที่ 11 ถึงจะเป็นคนที่รู้จักโยคะ เพราะฉะนั้นจะพัฒนาได้อีกเยอะมาก และการที่เรามาสอน เหมือนกับเราเป็นคนเรียนมาแล้ว เอาตำราภาษาอังกฤษมาแปลเป็นภาษาไทย แล้วเอามาถ่ายทอด เราไม่อยากเรียกตัวเองว่าเราเป็นครู

    +เคยคิดมาก่อนไหมว่าเราจะมาเป็นครูสอนโยคะ

    ไม่เคย เราเห็นว่าคนที่มาเล่นโยคะ บางทีน่าจะได้ประโยชน์ที่มากกว่านั้น ครูสอนเป็นภาษาอังกฤษ เวลาที่เหนื่อยมาก ฟังภาษาอังกฤษไม่ออกเลย ฟังไม่รู้เรื่องเลย เพราะมันเหนื่อยมาก ก็เลยคิดว่าถ้าเราบอกเป็นภาษาไทย เขาต้องรู้และเข้าใจกว่า บางทีเล่นอยู่ข้างๆ กัน เราเล่นมานานกว่า บางคนมาเล่นใหม่ เราก็อยากบอกเขาจังเลยว่า มันต้องเกร็งต้นขา ก่อนที่จะโน้มตัวลงไป ต้องแขม่วท้อง ไม่งั้นจะปวดหลัง แล้วต้องค่อยๆ เหยียดกระดูกสันหลังให้ตั้งตรง หน้าผากค่อยๆ ลดลง เนื้อตัวถ้าเจ็บตรงไหน ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจเข้าออก ค่อยๆ ผ่อนตัวลงไป

    +พอศึกษาโยคะเยอะขึ้น ได้ค้นพบอะไรเพิ่มเติม

    มันมากที่สุดอยู่แล้ว ตั้งแต่ที่เราเริ่มเรียนเป็นนักเรียน ไม่ใช่ตอนที่เรามาเป็นครูแล้ว เพราะครูสอนบอกว่า โยคะคือร่างกาย จิตใจ แล้วก็ลมหายใจของเรา ความสงบนิ่ง การผ่อนคลาย ใช้ปรัชญาของโยคะมาใช้ในการดำเนินชีวิต ไม่มีเรื่องของการแข่งขัน ไม่มีการเปรียบเทียบ มีเพียงตัวเราเอง แล้วเราจะพัฒนาในแต่ละวันให้ดีได้อย่างไร แต่ไม่มีการคาดหวัง วันนี้อาจจะไม่ดีเท่าเมื่อวาน หรือว่าวันนี้ดีกว่าเมื่อวาน เราก็แค่รับรู้ ก็เหมือนธรรมะที่เราจะค่อยๆ รับรู้ แล้วเราก็ปล่อยไป ไม่เครียด ไม่กังวล วันนี้เล่นไม่ได้ ก็ทิ้งไป พรุ่งนี้เราค่อยเริ่มทำใหม่ เพราะร่างกายเราจะไม่เหมือนกันทุกวัน และเรากับคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า หรือยืนอยู่ข้างๆ เรา ร่างกายก็ไม่เหมือนกัน ถ้าเราเผลอไปแข่งขันไปเปรียบเทียบเราก็จะเครียด

    +อาชีพนักแสดงน่าจะสนใจเทรนด์แฟชั่น แล้วป้าจิ๊ให้ความสำคัญเรื่องนี้ไหม

    เพราะเราไม่ได้ชอบอย่างนั้นไง ตัวเราจะไม่ชอปปิง ไม่ซื้อของ ไม่ซื้อเสื้อผ้า ไม่ซื้อเครื่องประดับ ไม่ซื้อของกิน เพราะมีคนจัดให้ ใครให้อะไรก็ใช้ได้หมด เราไม่อยู่กับแฟชั่น มีความสุขกับอะไรที่สงบๆ นิ่งๆ มันคงจะมีความสมดุล เพราะเราได้สนุกเต็มที่กับเวลาที่เราทำงาน เวลาเราได้อยู่กับตัวเอง ก็ไม่ควรจะไปตะลอนๆ อีก อยากอยู่นิ่งๆ เวลาที่เราอยู่กับตัวเอง นั่งเฉยๆ ทำไมเรามีความสุขก็ไม่รู้ นั่งดูต้นไม้ สบายๆ มีความสุข

    +เคยโมโหตวาดคนบ้างไหม

    อุ้ย! ว่าใครก็มีแต่คนหัวเราะ โมโหจริงจัง ก็ยังหัวเราะ ใครทำให้อารมณ์เสีย เราก็ไม่รับ ก็อยู่ที่เขา ใครทำให้เราอารมณ์เสียไม่ได้ เราต้องทำให้เราอารมณ์เสียด้วยตัวเอง ไม่ชอบมองโลกในแง่ร้าย เรากำหนดคนอื่นไม่ได้ แต่เรากำหนดตัวเราเองได้ เราจะรับในสิ่งที่คนอื่นทำไหม ไม่เจ้าคิดเจ้าแค้น ใครจะเอาเปรียบอะไร ก็ให้รวยกันซะให้เข็ด

    +แสดงว่ามีพื้นฐานครอบครัวที่อบอุ่น ?

    ก็มีความสุขมาก มันเติมเต็ม เราคงไม่มีอะไรขาด ความจริงครอบครัวเราแตกแยกนะ Broken Family พ่อ-แม่แยกกัน แม่เลี้ยงเรามาคนเดียว แต่เราได้ทุกอย่างเติมเต็มมาจากแม่ ชีวิตก็เป็นครอบครัวคนชั้นกลางธรรมดา ไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็ได้ทุกอย่าง เห็นแม่ยิ่งเลี้ยงเราดีเท่าไหร่ เราก็ยิ่งต้องทำตัวดีมากขึ้นเท่านั้น เพราะเขาไม่เคยถาม ไม่เคยเช็ค ไม่เคยอยากจะรู้ว่า เราทำอะไรบ้าง แต่เราก็ไม่ปิดบัง เล่าให้ฟังทุกอย่าง

    +เมื่อกี้บอกว่าเข้าห้องฝึกโยคะแล้วรู้สึกปลอดภัย แล้วอยู่ในแวดวงนักแสดงไม่รู้สึกปลอดภัยหรือ

    ก็ปลอดภัย แต่จิตมันฟุ้งซ่าน และกระเจิดกระเจิง เป็นบรรยากาศที่มีคนเยอะๆ พูดกันเยอะๆ เราชอบอะไรที่มันนิ่งๆ อย่างมานี่ เราก็จะไม่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ เราจะเข้าไปอยู่ในครัว นั่งมองออกไปดูวิวด้านนอก ถึงเวลาก็เข้าไปสอน

    +นอกจากเล่นโยคะแล้ว ยังเป็นมังสวิรัติด้วยใช่ไหม

    เริ่มทานมังสวิรัติตั้งแต่ปี 2525 ไม่กินเนื้อวัว สามเดือนแรกช่วงเข้าพรรษาไม่กินเนื้อสัตว์ทุกอย่าง พอไปไหว้พระ ท่านบอกว่าให้ทานสลับกันก็ได้ กินเนื้อสัตว์สามเดือน แล้วช่วงเก้าเดือนไม่กินเนื้อสัตว์ พอหลังจากนั้นก็ค่อยๆ ลด แล้วไม่กินเนื้อสัตว์เลย

    +แล้วชีวิตดีขึ้นไหมคะ

    ก็ไม่มีอะไรเลวตั้งแต่แรก (หัวเราะ)

    +เคยรู้สึกสูญเสียความเป็นส่วนตัวไหม เวลาไปไหนแล้วคนมอง เพราะเราเป็นนักแสดง

    ไม่หรอก เราชอบพูดกับคน ถ้าเขาอยากพูดด้วย เรารู้สึกถึงความเป็นมิตรของเขา บางคนที่เราเจอตามถนนหนทาง บางทีเป็นครั้งเดียวในชีวิตที่เขากับเราจะเจอกัน เขาก็เห็นเราจากในทีวี เขายิ้มมา เราจะยิ้มและคุยกับเขาเลย เวลาไปกับเพื่อน เพื่อนก็จะบอกว่า แกทำตัวเหมือนเป็นแม่บ้าน อบต. เยี่ยมประชาชน จะเดินทักไปเรื่อย คุยไปเรื่อย

    ยิ่งตอนไหนมีผลงานละครออกมา คนก็จะมาคุยกับเรา เรื่องละครบ้าง ความเป็นอยู่บ้าง เรื่องโยคะ เรื่องรูปร่าง วันนั้นมีคนถามว่า นี่พี่หรือเปล่า ที่ออกทีวีเป็นพี่สาวหรือเปล่า ในทีวีไม่สวย ก็บอกเขาว่า ทีวีหนูไม่ดีนะสิ หน้าป้าน่ะสวย (หัวเราะ)

    +มีคนเข้ามาปรึกษาปัญหาชีวิตเยอะไหมคะ

    เยอะ ก็คุยกับเขาไป สองวันก่อนยังพาจิตแพทย์ไปเจอคนบางคนที่กำลังทุกข์ คนจะฆ่าตัวตายก็ชอบโทรมาหาจัง วันนั้นมีคนร้องไห้โทรมาที่นี่แหละ บอกว่าป้าจิ๊ใช่ไหม จะฆ่าตัวตายแล้วนะ สามีพามาจากบ้านนอกแล้วทิ้งไปกับผู้หญิงอื่น จะฆ่าตัวตายแล้วสงสารลูก เรากำลังจะเข้าสอนโยคะก็เลยให้เบอร์บ้านไป ให้เขาโทรคุยกับแม่บ้าน เขามาจากกาฬสินธุ์เหมือนกัน คงคุยกันรู้เรื่อง เราก็โทรไปบอกแม่บ้านบอกว่า เขาอยากกลับบ้านนอก ยังไงก็คุยกัน ให้ค่ารถเขาไป เขาจะได้กลับบ้านนอก จะได้ไม่ต้องฆ่าตัวตาย

    แม่บ้านก็บอกว่า ไม่ได้หรอก ถ้าให้เงินไปแล้วไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง ต้องไปดูสถานที่เกิดเหตุ แต่เหตุการณ์นี้เรารู้เมื่อเรากลับบ้าน แม่บ้านเรียกสามีขี่มอเตอร์ไซค์ไปด้วยกัน นัดเจอที่เซเว่นหน้าปากซอย แถวจรัลสนิทวงศ์ ไปถึงเขาก็พาไปดูสถานที่สามีทำงานก่อสร้าง เห็นลูกเขาคนหนึ่ง สามีทิ้งแล้วเขาไม่ได้ทำงานก่อสร้าง ก็ต้องออกจากงาน เงินก็ไม่มี ติดเงินค่าอาหารอยู่ด้วย ไม่มีเงินค่ารถกลับบ้านนอก คนแถวนั้นก็บอกว่าเป็นเรื่องจริง สามีมันทิ้ง เถ้าแก่ออกเงินให้ก่อน 1,500 บาทเป็นค่าอาหาร แม่บ้านก็เอากล้องดิจิทัลไปถ่ายรูปตอนให้เงิน 1,500 บาทเพื่อจ่ายให้เขาไป

    +แม่บ้านกลายเป็นนักสืบ เพราะติดนิสัยจากเจ้านาย ?

    ติดนิสัยเจ้านาย แต่ยิ่งกว่าเจ้านาย ให้ค่ารถทัวร์ไป 500 บาท คงพอ ก็ให้เงินไป ประมาณ 2,000 บาท แล้วถ่ายรูปไว้ให้ดูว่า เพิงก่อสร้างเป็นแบบนี้ คนที่ให้เงินไปเป็นแบบนี้ ลูกเขาหน้าตาเป็นแบบนี้ พอเรากลับบ้าน ก็เอาภาพในกล้องดิจิทัลให้ดูว่า เป็นแบบนี้ๆๆ แล้วก็พูดว่า คุณจิ๊คะ ปีนี้น่ะคุ้มนะคะ วันเกิดคุณจิ๊ซื้อชีวิตคนแค่ 2,000 บาท เราก็เลยบอกว่าใครจะช่วยซื้อชีวิตกับฉันบ้าง แม่บ้านก็ช่วยกันออกคนละ 100 บาท เป็น 200 บาท เราก็เลยออก 1,800 บาท (หัวเราะ)

    +เพราะอะไรคนจึงชอบมาปรึกษาคะ

    คงเห็นว่าเรารับฟัง การที่จะปรึกษาใครได้ ก็ต้องปรึกษากับคนที่รับฟัง เราจะบอกกับคนทุกคนว่า คนที่กำลังมีความทุกข์สุดขีดน่ะ มันแค่วินาทีนั้นเท่านั้น คุณต้องฟังเขา และต้องฟังอย่างได้ยิน ไม่ใช่เป็นเสียงผ่านหู และเวลาฟังคน ตาต้องมองดูจริงๆ เพราะคนจะฆ่าตัวตาย มันวินาทีนั้น แล้วเผื่อผ่านวินาทีนั้น คนไม่ฆ่าตัวตายหรอก

    +มีคนมาปรึกษาเยอะๆ เคยรู้สึกสูญเสียความเป็นส่วนตัวไหม

    ไม่เสียความเป็นส่วนตัวหรอก เราคิดว่าเราจะได้เพื่อนมนุษย์ที่ดีขึ้นอีก เราต้องคิดว่าดีแล้วที่เขาอยากเข้าใกล้เรา เพราะมีคนจำนวนมากในโลกนี้ที่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ ถ้าเราสามารถให้คำปรึกษาได้ ก็เป็นประโยชน์ แต่ต้องให้ความรู้สึกว่า เขาอยากจะคุยกับเรานะ ถ้าเขาไม่อยากคุยกับเรา ก็ไม่ยุ่ง เพราะคนบางคน เขาก็ไม่ชอบ

    +เคยมีปัญหาชีวิตไหม

    ก็มีบ้าง เราต้องดูว่าสิ่งที่เข้ามามันคืออะไร เราก็แก้กันไป ไม่มีอะไรอยู่กับเราจนชั่วชีวิต มันมาแล้วมันก็ไป เราโกรธ ก็คือโกรธ นี่ไงอารมณ์โกรธของเรา โกรธแล้ว เห็นไหม มันไม่เห็นโกรธ 24 ชั่วโมงเลย เอาโกรธสิ โกรธสิ มันไม่โกรธแล้ว มันหาย ทำไมเราจะมาเผาตัวเราเองด้วยความโกรธ เวลาโกรธบางทีคนนั้นยังไม่รู้เลยว่าเราโกรธ แต่เราร้อนๆๆๆ กว่าความโกรธของเราที่จะส่งไปถึงคนอื่น เราเป็นคนรับก่อน ไม่มีประโยชน์กับตัวเราเอง

    +แสดงว่า ชีวิตป้าจิ๊เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ?

    ไม่เคยวัดว่าอะไรเต็ม อะไรขาด เรารู้แต่ว่า เราน่าจะทำยังไง เราอย่าทำตัวให้เป็นปัญหากับตัวเองและคนอื่น พึ่งตัวเองได้ อยู่กับตัวเองได้ คนชอบถามว่า เหงาไหม ไม่เคยมีเวลาเหงา เวลาจะเต็มไปหมด เราคิดว่าควรจะทำอะไรให้เป็นประโยชน์ภายในเวลาอันน้อยนิด เพราะเวลาเมื่อผ่านไปแล้ว จะไม่กลับมาอีก
    ....................................
    นี่คือชีวิตของป้าจิ๊ เธอจริงจังกับงานและสิ่งที่ทำ มีความสุขกับธรรมะ และการดูแลสุขภาพ รับประทานง่ายๆ แบบมังสวิรัตตั้งแต่ปี 2525 เป็นอาหารประเภทเห็ดหมก น้ำพริก ผักลวก ผักต้ม ฯลฯ

    ปัจจุบันเธอทำกองทุนช่วยเด็กด้านการศึกษา เพราะเป็นความสุขที่ได้เห็นเด็กด้อยโอกาสได้มีเงินเพื่อการศึกษา ดังนั้น 10 เปอร์เซ็นต์จากรายได้ของเธอ จึงตัดเข้ากองทุน 'บำเพ็ญบุญ' และเร็วๆ นี้กำลังจะบริจาคให้กับเด็กนักเรียน 11 โรงเรียน

    เรียกได้ว่า ชีวิตเธอแสนรื่นรมย์ มีความสุขที่ได้แบ่งปันให้เพื่อนมนุษย์ และเธอยังเข้ากับคนได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกฐานะ เพราะถือทัศนคติว่า คนแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างกัน มีความเฉพาะตน ไม่มีใครเหมือนใคร เพราะเราไม่ได้โคลนนิงกันออกมา จึงต้องยอมรับความแตกต่างของคนอื่น เพราะเหตุนี้ โลกรอบๆ ตัวป้าจิ๊ จึงมีแต่สันติไง!!

    ที่มา http://www.bangkokbiznews.com
     

แชร์หน้านี้

Loading...