จะบำเพ็ญจนพาพ่อแม่ที่เสียไปแล้วให้เข้าสู่พระโสดาบันตั้งเป้าหมายอย่างไร

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Nirvana_99, 3 มีนาคม 2014.

  1. Nirvana_99

    Nirvana_99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +237
    ถ้าต้องการบำเพ็ญจนพาพ่อแม่ที่เสียไปแล้วเข้าสู่กระแสพระโสดาบันจะตั้งเป้าหมายอย่างไร
    เนื่องจากถ้าตั้งเป้าหมายนิพพานแค่เฉพาะตน ก็มีเป้าหมายฝึกแค่ตนเอง
    แต่ถ้าตั้งเป้าหมายเป็นพระอัครสาวกของพระพุทธเจ้าก็ต้องบำเพ็ญบารมีไปเรื่อยๆ จนสมดังหวัง

    ถ้าตั้งเป้าหมายเป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องบำเพ็ญบารมี ตามแนวทางที่วางไว้

    แต่ตัวเราไม่ได้ตั้งเป้าหมายยิ่งใหญ่ขนาดนั้น
    แค่อยากให้เรา และครอบครัว โดยเฉพาะพ่อแม่ที่เสียไปแล้วเข้าถึงกระแสพระโสดาบัน จะวางเป้าหมายเช่นไร หรือวางไว้แบบนี้แล้วบำเพ็ญจนสมหวังครับ
     
  2. twentynine

    twentynine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +992
    ก็เป็นการอธิษฐานจิตตามๆกันไป บางทีคุณสามารถเข้านิพพานชาตินี้เลยก็ได้ แต่พอคุณตั้งเป้าหมายแบบนี้มันก็เป็นตัวกั้นโอกาส กว่าคุณและพ่อแม่จะกลับมาร่วมชาติกันอีกทีก็ไม่รู้ว่าเมื่อไร เพราะไม่รู้ว่า คุณและพ่อแม่ทำกรรมอะไรไว้บ้าง คนเราเกิดมาทำทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว กรรมดีให้ผลก็เกิดในที่สุขคติ ถ้ากรรมชั่วให้ผลก็ทุกคติ ขออนุญาติแนะนำว่าถ้าตัดห่วงไม่ได้จริงๆคุณควรเข้านิพพานในชาตินี้เลย เพราะเมื่อเป็นอรหันต์แล้วจะลงมาเมื่อไรก็ได้ พวกท่านจะไปเกิดที่ใดก็ตามไปช่วยท่านได้เสมอ ฝากลิงค์ลป.ฤาษีลิงดำสอนเข้านิพพานแบบง่ายๆhttp://palungjit.org/threads/สมเด็จพระพุทธกัสสป-ทรงเตือนพุทธบริษัท.512097/
     
  3. joolong

    joolong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +283
    พ่อ แม่ อยากเป็นโสดาบัน ก็ต้องบำเพ็ญเองครับ คุณจะไปบำเพ็ญอะไรแบบนั้นไม่ได้
     
  4. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,446
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,023
    ค่าพลัง:
    +70,064
    ถ้าชีวิตใด ไม่ใช่มนุษย์ที่มีรูปนามขันธ์ห้าพร้อม การจะช่วยให้ท่านได้เข้าสู่กระแสตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป เป็นเรื่องยากไม่ใช่น้อย

    เว้นแต่พระบรมศาสดา ที่เพียบพร้อมด้วยพระญาณโปรดสรรพชีวิต ที่ทรงเทศน์ให้เทวดา มาร พรหม ที่มีบารมีเป็นฐานมาแล้ว ได้เข้าถึงพระแสมรรคผลได้
    แต่...คุณไม่ได้มุ่งหวังทางนี้ ก็คงต้องตามแนวที่คุณTWENTYNINE โพสไว้



    ถ้าจะช่วยในฐานะสาวกปกติ คุณก็ต้องตั้งใจฝึกฝนอบรมตน ผู้เปี่ยมด้วยอิทธิบาทสี่ย่อมทำได้ ไม่มากก็น้อย อีกทั้งคุณทำด้วยใจกตัญญู สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีสัมมาทิฐิย่อมส่งเสริมและแอบช่วยเหลือคุณ( คนดี มีบุญบารมี มีความกตัญญู ยามเดือดร้อน เทวดาที่มีบุญสัมพันธ์กัน ก็อยู่ไม่สุขแล้ว )

    ถ้าท่านยังไม่เกิดในทุคติที่หนักมาก ก็ยังพออาศัยบุญบารมีของตนและพระรัตนตรัย
    นำพาให้ได้เลื่อนไปอยู่ภพภูมิที่ดีขึ้นได้

    แต่ถ้าท่านไปเกิดแล้ว การจะตามไปช่วยเกื้อหนุน นำพา ให้ท่านได้พบทางที่จะเข้ากระแส คุณควรฝึกให้ได้อภิญญาที่จะระลึกถึงจิตเจตนาเดิมของคุณได้ และควรเป็นอภิญญาในเขตมรรคผล ถึงจะมีโอกาสช่วยได้ตลอดรอดฝั่ง

    ขอเตือนเรื่องสำคัญ --อย่าแสวงหาทางลัด โดยไปพึ่งพาทรงเจ้าเข้าผี มีโอกาสพลาดและเสียทรัพย์ เสียเวลา มีความเสี่ยงสูงมาก
     
  5. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,446
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,023
    ค่าพลัง:
    +70,064
    อ้อ...เกือบลืม ลองหาประวัติครูบาอาจารย์พระกรรมฐาน ที่ท่านปฏิบัติดี ที่ฝึกฝนอย่างจริงจังจนไปช่วยบุพการีท่านในทุคติได้ มาศึกษาเป็นกำลังใจ เป็นแนวทางไว้ ก็ดี ไม่ว่าหลวงตาพระมหาบัว หลวงปู่จันทา ฯลฯ


    ขอให้คุณเจริญยิ่งๆขึ้นทั้งทางโลกและทางธรรม ประสพความสำเร็จตามที่หวัง
    เป็นกำลังให้กับพระพุทธศาสนาต่อไป สาธุ
     
  6. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814



    :cool:ไปยากอะไร ก็ทำตัวเราให้เป็นก่อน ไอ้เรื่องจะให้คนอื่นเป็นแบบนั้นแบบนี้ มันไม่เป็นเรื่องหรอก ทำตัวเองให้เป็นก่อน เรื่องอื่น มันก็คงไม่ยากเท่าไหร่ แค่นี้ จะไปถามมาทำไม ทำให้เป็นเองก้หมดเรื่อง ตัวเองเป็นเสียแล้ว ช่วยคนอื่น ไม่ใช่เรื่องยาก ใช่ไหมน้อง ไปคิดให้ดีๆ :cool:
     
  7. Nirvana_99

    Nirvana_99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +237
    เดิมตั้งเป้าหมายว่าควรเป็นสาย เตวิชโชครับ
    ขอบคุณครับ
     
  8. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,446
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,023
    ค่าพลัง:
    +70,064

    ขอให้สำเร็จครับ

    ถึงแม้จะตั้งเจตนาเบื้องต้นเป็นแบบเตวิชโช

    แต่เมื่อเหตุปัจจัยถุึงพร้อมที่จะสามารถประกอบเหตุเพื่อช่วยบุพการีได้

    อาจใช้กำลังบารมีส่วนตัวส่วนหนึ่ง อธิษฐานบุญยฤทธิ์ขอบารมีพระรัตนตรัย
    และจิตศักดิ์สิทธิ์สัมมาทิฐิที่มีบุญสัมพันธ์ทุกท่าน ให้ช่วยประกอบเหตุ ประกอบปัจจัย ให้สมเจตนาได้

    แม้ เราอาจยังไม่ได้มรรคผล แต่หากเหตุ-ปัจจัยถึงพร้อม อาจอาราธนาพระท่าน เทศน์โปรดบิดามารดาเรา ให้เข้ากระแสได้ครับ

    ทำครั้งเดียวไม่สำเร็จ ก็ทำบ่อยๆ หลายๆวาระ จนเป็นนิสัยวาสนาติดเข้าไปในจิตของท่านทั้งสอง

    วันหนึ่ง ชาติหนึ่งข้างหน้า แม้ยังไม่ได้เกิดมาพบเรา

    เมื่อท่านได้พบพระรัตนตรัย มีโอกาสได้ฟังธรรมซ้ำ หรือปฏิบัติต่อเล็กน้อย
    ก็ไม่ยากสำหรับท่านแล้วครับ
     
  9. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    คนตายแล้วก็ไปตามกรรมแล้ว เลิกหวังจะช่วยคนตาย หันมามองและช่วยเตือนสติคนเป็นดีกว่าครับ
     
  10. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,446
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,023
    ค่าพลัง:
    +70,064
    ภาพถ่ายหน้าศพคุณแม่สุดใจ มีแก้วน้อย โยมมารดาของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ณ ศาลาการเปรียญ วัดปากน้ำ พศ. 2484 จากนั้นได้เก็บศพไว้ 15 ปี







    [​IMG]


    +++++++++++++++++++++++++++++++++
    หลวงปู่ชา กับโยมมารดา




    [​IMG]
    หลวงปู่กับโยมมารดา



    ++++++++++++++++++++++++++++++



    [​IMG]'700')this.width='700';if(this.offsetHeight>'700')this.height='700';" height=700>


    [​IMG]


    (โยมบิดามารดาขององค์หลวงตา ถ่ายเมื่อปี ๒๔๘๕ หลักจากนั้นอีก ๒ ปี โยมบิดาก็จากไป)







    [​IMG]
    นางแพง โลหิตดี โยมมารดาของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


    ตอบแทนพระคุณบิดามารดา

    ระยะต่อมา ด้วยความระลึกถึงพระคุณของโยมมารดา อยากให้โยมมารดารู้เห็นและพบความสุขจากธรรมนี้บ้าง ท่านจึงจากบ้านห้วยทรายมาที่บ้านตาด เหตุการณ์ในระยะนี้หลวงปู่หล้าบันทึกไว้ว่า

    "...พอถึงปี พ.ศ. 2497 ออกพรรษาแล้วจีวรกาลเสร็จ องค์ท่าน (หมายถึงหลวงตามหาบัว) จะได้ไปเอามารดาบวชขาวองค์ท่านก็คิดละหวนทวนไปมาว่า ถ้าบวชแล้วจะเอาโยมมารดามาอยู่ห้วยทราย คุณชีแก่ๆ อายุมาก ตลอดทั้งหนุ่มก็มีอยู่มากแล้ว เกรงจะมาทับถมให้ภาระหนักขึ้นแก่ผู้ที่ท่านบวชก่อน เพราะเป็นโยมมารดาของผู้เป็นเจ้าอาวาส ก็ต้องจะได้ให้เกียรติให้คุณเป็นพิเศษ เกรงจะหนักใจแก่ท่านผู้มีอายุมาก และพร้อมทั้งบวชก่อน จึงตกลงใจว่าบวชโยมมารดาแล้วจำจะหาที่อยู่ใหม่ องค์ท่านจึงปรึกษากับคณะสงฆ์ว่า

    "...ผมจะได้ไปบวชโยมมารดา ส่วนจะกลับนั้นบอกไม่ถูกเสียแล้ว ส่วนที่จะไปกับผมนั้น จะไปหมดก็ไม่ถูก เวลาอยู่เราก็แย่งกันอยู่ เวลาไปเราก็แย่งกัน มันเป็นเรื่องไม่งามแก่ฝ่ายปฏิบัติ จะเสียวงศ์ตระกูลฝ่ายปฏิบัติ ฉะนั้น ขอให้คุณสมจงพาหมู่อยู่นี้บ้างในพรรษาต่อไปนี้ ทีนี้ส่วนผู้ที่จะไปกับผมคนนั้นคนนี้ผมก็ไม่ว่า ส่วนจะอยู่นี่ก็เหมือนกัน ถ้าไปกับผมมากก็ลำบากอีก เพราะไม่ทราบว่าจะได้อยู่ที่ใดแน่ จึงเป็นของน่าควรคิดมากแท้ๆ ในเรื่องนี้"

    เมื่อถึงบ้านตาดแล้ว ท่านจึงจัดการบวชชีให้โยมมารดา และให้การอบรมปฏิบัติจิตตภาวนา ปีนั้นโยมมารดามีอายุครบ 60 ปีพอดี เหตุการณ์ในระยะนั้น ท่านเล่าว่า

    "...พอได้เวลาแล้วก็จดหมายมาบอกโยมแม่ว่า

    "จะมาจากห้วยทรายประมาณวันที่เท่านั้น ให้เตรียมพร้อมไว้"

    ตั้งใจว่าเมื่อมาแล้วจะเอาโยมแม่บวชทันที พอมาถึง โยมแม่ก็พอดีเตรียมพร้อมไว้แล้วก็จับบวชเลย มีผู้เฒ่าแม่แก้ว (คุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ) ที่ติดตามมา 3 คนนี้ มาเพื่อโยมแม่นี่เอง ถ้าไม่อย่างนั้นโยมแม่จะไม่มีเพื่อนฝูงอยู่ เพราะพวกนั้นก็เห็นคุณเรานี่...ทีนี้เราจะมาบวชโยมแม่นี้ เขาก็ติดตาม มาเพื่อมาเป็นเพื่อนฝูงของโยมแม่นั่นละ...พอมาก็จับบวชเลยทันที คล่องตัวเลย"

    จะขอกล่าวถึงโยมบิดาของท่าน นับเป็นเวลาหลายปีก่อนที่โยมบิดาของท่านจะเสียชีวิต ท่านได้พยายามเขียนจดหมายมาขอร้องบิดาอยู่หลายครั้ง ให้เลิกฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จนในที่สุดพ่อก็ยอมเชื่อและไม่ฆ่าสัตว์ใดๆ อีกแลย

    บิดาของท่านได้เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว (ตั้งแต่ปี 2487) รวมอายุได้ 55 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาเดียวกันกับที่ท่านกำลังภาวนาอยู่ในป่าในเขา

    ทราบกันว่า พอตอนเช้าวันเดียวกันกับที่โยมบิดาของท่านสิ้นใจ ท่านได้บอกกับพระเณรที่พักอยู่กับท่านในระยะนั้นว่า "...เออ โยมพ่อนี่เสียแล้วล่ะ เมื่อคืนนี้แหละ น้องของพ่อมาบอกว่า "พ่อเสียแล้ว" คอยฟังข่าวนะว่า มันจะหลอกหรือจะจริง..."

    พระเณรจึงจดวันเวลาที่ท่านบอกไว้ เมื่อผ่านไปได้สักเกือบ 2 อาทิตย์ ท่านก็ได้รับจดหมายจากญาติพี่น้องทางจังหวัดอุดรธานีว่า "โยมบิดาสิ้นแล้ว"

    เมื่อพระเณรลองตรวจสอบวันเวลาที่จดบันทึกไว้กับในจดหมาย ก็ปรากฏว่าตรงกันพอดี เป็นที่อัศจรรย์กันทั่วหน้า

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
     
  11. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,446
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,023
    ค่าพลัง:
    +70,064
    [​IMG] เสด็จดาวดึงส์เทวโลก [​IMG]
    [​IMG]
    พระพุทธองค์ทรงย่างพระบาทเหยียบเหนือยอดเขายุคันธรและเขาอิสิคิลิ
    เข้าสู่ดาวดึงส์ประทับนั่งบนบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ภายใต้ต้นปาริฉัตร เพื่อประทาน
    พระสัทธรรมเทศนาสนองคุณแด่พระพุทธมารดา

    [​IMG]


    ครั้งพระพุทธองค์ทอดพระเนตรมิได้เห็นพระพุทธมารดา จึงทรงมีพระดำรัสขึ้นว่า
    “ขอพระมารดาเสด็จเข้ามาประทับใกล้ๆ ตถาคตจะแสดงธรรมโปรด”
    พระพุทธมารดาจึงได้เสด็จมาเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา ฟังพระธรรมเทศนาตลอดพรรษา
    (ตลอดระยะเวลา ๓ เดือนที่เสด็จขึ้นมาจำพรรษา ณ ดาวดึงส์เทวโลก)
    ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน สมดังที่ทรงพระอุตสาหะเสด็จมา​


    [​IMG]
    เสด็จลงจากเทวโลก​


    ครั้นถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เพ็ญเดือน ๑๑ พระบรมศาสดา จึงตรัสแก่พวกเทวดาว่า
    จะลงไปยังมนุษยโลกในวันรุ่งขึ้น ท้าวสักกเทวราชจึงได้เนรมิตบันไดทิพย์ ๓ บันได
    คือบันไดทอง บันไดเงิน บันไดแก้ว พระพุทธองค์ก็ทรงแสดงปาฏิหาริย์เป็นอัศจรรย์
    บันดาลเปิดโลกทั้ง ๓ คือ โลกสวรรค์ โลกมนุษย์ และนรก ให้มองเห็นกัน ​


    [​IMG]
    จากนั้นพระพุทธองค์ก็เสด็จลงจากดาวดึงส์สู่เมืองสังกัสสนครทางบันไดแก้ว
    โดยมีเหล่าเทพยดาตามส่งเสด็จทางบันไดทอง เหล่าพรหมตามส่งเสด็จทางบันไดเงิน
    ปัญจสิขรคนธรรพ์เทพบุตร ทรงพิณขับร้องมาในเบื้องหน้า ท้าวสันดุสิตเทวราช
    กับท้าวสุยามเทวราชทรงทิพย์จามรีถวายทั้ง ๒ ข้าง ท้าวมหาพรหมทรงทิพย์เศวตฉัตร
    กั้นถวาย ท้าวโกสีย์อมรินทราธิราชประคองบาตรนำเสด็จพระบรมศาสดาเหล่ามหาชน
    ที่รอรับเสด็จต่างพนมมือถวายอภิวาทพร้อมส่งเสียงแซ่ซ้องสาธุการโดยถ้วนหน้า
    ด้วยความปลื้มปีติโสมนัส พากันใส่บาตรพระผู้มีพระภาคเจ้า
    ชาวพุทธถือเอาเหตุการณ์นี้จึงได้ทำบุญตักบาตรที่เรียกว่า “เทโวโรหนะ”


     
  12. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,446
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,023
    ค่าพลัง:
    +70,064
    หลวงปู่จันทา......ยอดอริยะ ผู้มีความกตัญญูสูง

    [​IMG]









    ปฐมบทของท่านในผ้ากาสาวพัสตร์นั้น เป็น‌การตั้งใจบวชให้แม่“นางเลี่ยม ชมพูวิเศษ”

    แม่ผู้สิ้นชีพไปขณะท่านอายุเพียง 7 ขวบ ‌แต่แค่ 7 ขวบ พระคุณแม่ก็แผ่ปกจนลูกคนนี้มิเคยลืมเลือน

    นั่นอาจเพราะรักของแม่เป็นเสาค้ำยันที่‌สำคัญที่สุดในชีวิตที่ท่านสรุปไว้เองว่า แสนทุกข์‌ยาก แสนลำบาก คิดถึงแล้วน้ำตาไหล

    ไม่ว่าจะกล่าวถึงประวัติของท่านแบบรวบ‌รัดอย่างไร ร่องรอยดังกล่าวก็ปรากฏอย่างชัด‌แจ้ง

    ลองพิจารณาดูเถิดว่า หากเรื่องราว 25 ปี ‌ของคนหนุ่มคนหนึ่งเป็นเช่นต่อไปนี้ ริ้วรอยใน‌จิตใจของเขาจะเป็นอย่างไร?

    มีพี่น้อง 6 คน แม่ตายอายุ 7 ขวบ พ่อ‌แต่งงานใหม่ แม่เลี้ยงเลี้ยงลูกแบบหมากับแมว ‌สุดท้ายพ่อก็ไปอยู่กับแม่ใหม่ ทิ้งให้เป็นลูกกำพร้าให้อยู่กับญาติๆ ไม่ได้รับการศึกษา ได้แต่‌เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย อายุ 23 ปี แต่งงานกับแม่ม่ายลูกติด 3 คน ชีวิตครอบครัวล่มสลาย ‌เพราะวันหนึ่งไปหาปลาจนเหน็ดเหนื่อยกลับมา‌ถึงบ้านแทนที่ภรรยาจะเห็นใจ กลับด่าขู่ตะคอก‌ว่า มันมัวแต่ไปเที่ยวเถลไถลจนมืดค่ำ ต่อว่าไม่‌พอ ยังถลกผ้าถุงปัสสาวะใส่เครื่องมือหาอยู่หา‌กินอย่าง ข้อง แห ฯลฯ สุดท้ายเลยได้หย่าขาด‌จากกัน



    ใครผ่านชีวิตเยี่ยงนี้ คงมีทางแยกให้เลือก‌เพียงสองทาง
    หนึ่ง คือ ทุ่มชีวิตใส่โลกนี้อย่างเกรี้ยวกราด

    สอง ใช้ความโศกสลดเก็บเกี่ยวความทุกข์‌มาเป็นปัญญา
    หนุ่มจันทาเลือกประการหลัง

    .............




    ถึงเช่นนั้นก็ใช่ว่ามันจะดำเนินต่อไปอย่าง‌เรียบง่าย เพราะความที่ไม่รู้หนังสือ อ่านไม่ออก ‌เขียนไม่ได้ แค่ขานนาคขอบวชก็ต้องท่องแล้ว‌ท่องอีก คนอื่นท่องได้เป็นประโยค เป็นท่อน ของท่านได้วันละคำ แต่ก็เพียรเอาจนได้
    บวชได้แล้ว ผู้รู้หรือครูบาอาจารย์บางรูปก็‌ใช่ว่าจะอดทนต่อความไม่รู้หนังสือของท่าน แต่‌บางรูปก็เมตตาอดทนสอนให้ แต่หลวงปู่หนู วัด‌บ้านปลาผ่า พระอุปัชฌาย์นั้นไม่เพียงเมตตา‌อบรมสั่งสอนโดยไม่ระย่อ หากแต่ยังสั่งไว้ด้วย‌ว่า เธอเป็นคนทุกข์คนยาก ไม่มีความรู้ วาสนา‌น้อย บุญน้อย เป็นคนกำพร้า อนาถา ฉะนั้น‌บวชแล้วอย่าสึก ชีวิตนี้ได้พบธรรมะแล้วให้‌เจริญในธรรม

    พระหนุ่มจันทาก็รับปาก และตั้งอกตั้งใจบำเพ็ญเพียร เพราะเกรงว่า“จะได้บุญน้อย ไม่‌ได้ไปช่วยแม่”

    หลังบำเพ็ญเพียรทุกครั้ง ท่านอุทิศส่วน‌กุศลไปให้แม่ทุกคน

    ทำเช่นนั้นมาเรื่อย จน 25 ปีให้หลัง จึงเห็น‌ผลจากเรื่องแปลกประหลาดประการหนึ่ง

    หลานสาววัย 2 ขวบของท่านเอ่ยปากออก‌มาในวันหนึ่งว่า เธอคือแม่ท่าน พอซักถามเรื่อง‌ในอดีตก็ตอบได้หมด พอถามว่าตอนตายไป‌แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้ได้รับไหม เธอว่าได้รับ‌ทุกคืนตอน 5 ทุ่ม ซึ่งเป็นเวลาที่ท่านไหว้พระ‌สวดมนต์และอุทิศส่วนกุศลให้แม่หลังเดินจงกรม นั่งสมาธิ และด้วยอำนาจบุญนั้นเองทำให้ได้หลุดพ้นจากนรกมาเกิดอีกครั้งหนึ่ง

    หลวงปู่จันทาญัตติจากมหานิกายเป็นธรรม‌ยุตเมื่อปี พ.ศ. 2493 เป็นการนับพรรษาหนึ่ง เริ่ม‌ฝึกจิตกับหลวงปู่ทับ เขมโกในพรรษาแรกนั่น‌เอง จิตท่านก็พอสงบ หรือที่เรียกว่า ขณิกสมาธิ

    พอพรรษาที่สอง ติดตามหลวงปู่จันทร์ไป‌วิเวก จิตรวมลงฐานใหญ่กว่าขณิกสมาธิ ส่อง‌สว่างกระจ่างแจ้ง กลางคืนราวกับกลางวัน ผู้รู้‌เอ่ยขึ้นว่า นัตถิ สันติปะรัง สุขัง ความสุขอื่นยิ่ง‌กว่าความสงบไม่มี
    เป็นความสงบในระดับ อุปจารสมาธิ

    ในพรรษาที่สาม ขณะภาวนาที่วัดป่าวิเวก‌การาม บางพระ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี จิตรวม‌ลงละเอียดกว่าเดิมอีก แต่ไม่รู้วิธีถอน พอออก‌มาแล้วถามว่า ไม่ได้เอากายมาด้วยหรือ จึงเอา‌มือคลำดูกายก็ยังอยู่ พอคลำดูอีกทีกายหายไป

    ต่อเมื่อมาพบหลวงปู่บัว สิริปุณโณพระ‌อรหันต์แห่งวัดป่าหนองแซง เล่าความนี้ให้ท่าน‌ฟัง ท่านจึงวินิจฉัยว่า จิตลงถึงขั้นอัปปนาสมาธิ ‌แต่เป็นอารมณ์เดียว พิจารณาอะไรไม่ได้‌เพราะขาดปัญญา เมื่อจิตถอนขึ้นมาอยู่ระหว่าง ‌อุปจารสมาธิ แล้วจะรวมลงอีก ก็กำหนดไว้อย่า‌ให้รวม ให้เดินวิปัสสนา ค้นคว้าในภพชาติ‌สงสาร น้อมลงสู่สภาพความแก่ ความเจ็บ ‌ความตาย พอตายแล้วก็เพ่งขึ้นอืด ขึ้นพอง เน่า‌เปื่อย ถึงสภาพเน่าเปื่อยแล้วให้ยึดดาบเพชร ‌คือ สติ ปัญญา ถอนสังโยชน์ 5 คือ สักกาย‌ทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะ ‌พยาบาท ขาดจากใจ
    ถ้าจิตรวมได้ฐานนี้ เป็นมูลฐานอันใหญ่ ‌สำหรับที่จะถอนสังโยชน์ 5 ออกจากใจได้บรรลุ อนาคามีผล

    หลวงปู่จันทาตั้งมั่นได้แล้ว จากนั้นก็เจริญ‌ในธรรมตามลำดับ

    ท่านได้ฝากตัวเข้ารับการฝึกอบรมจากพ่อแม่‌ครูอาจารย์หลายรูป อาทิหลวงปู่บัว หลวงปู่ฝั้น ‌อาจาโร หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่หลุยจันทาสาโร หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

    รูปที่ท่านอยู่อุปฐากนานที่สุดคือ หลวงปู่‌ขาว

    เมื่อมาสู่สำนักถ้ำกลองเพลนั้น หลวงปู่ขาว‌ให้อดนอน ผ่อนอาหาร เร่งความเพียร

    เดือนแรกให้เดิน 1 ชั่วโมง ยืน 10 นาที ‌นั่งสมาธิ 1 ชั่วโมง

    เมื่อเข้าสู่ทางจงกรมให้ยกมือไหว้ครู พุทโธ ‌ธัมโม สังโฆ สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าจะฝึกจิต ‌บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทางกาย ‌วาจา ใจ ขอจงให้เป็นไป ให้รู้ธรรมเห็นธรรม‌เกิดขึ้น แล้ววางมือซ้ายใต้พกผ้า เอามือขวาทับ ‌ก้าวขวาว่า พุทโธ ก้าวซ้าย ธัมโม ก้าวขวาว่า ‌สังโฆ เดินไม่ช้า ไม่เร็ว สุดท้างจงกรมเลี้ยวขวา ‌ทำอย่างนั้น 3 รอบ รอบที่ 4 ให้หยุดเอาอารมณ์‌เดียวคือ ขวาว่า พุธ ซ้ายว่า โธ

    ยืนภาวนา 10 นาทีนั้นให้ผินหน้าไปทิศ‌ตะวันออก หายใจเข้าว่า พุทธ ออกว่า โธ ผ่อน‌ลมให้เป็นที่สบาย

    ส่วนนั่งสมาธิอีก 1 ชั่วโมงนั้น ให้ไหว้พระ‌ย่อๆ ก่อน แล้วปล่อยวางความยากก่อนภาวนา‌เพราะถ้าอยากให้สงบมันไม่สงบ ฉะนั้นให้‌ปล่อยวางความอยาก ปล่อยวางความอาลัยใน‌สังขาร

    ท่านว่า การทำความเพียรทุกประโยคต้อง‌ปล่อยวางความอยากเสมอ เมื่อประกอบเหตุ‌พร้อม ผลจะสนองเอง ไม่ต้องสงสัย

    การนั่งสมาธิก็ให้ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้าไม่ให้ก้ม ไม่ให้เงย ไม่เอียงซ้าย ขวา วางกาย ‌วางใจ ให้อ่อน หายใจเข้าพุธ หายใจออกโธ ถ้า‌เข้ายาวก็ออกยาว ให้มีสติรู้ ผ่อนลมจนเป็นที่‌สบาย ถ้าเกิดเวทนาคันยุบยิบก็อย่าลูบคลำ อย่า‌เกา อย่าพลิก ให้นั่งทับทุกข์ เผากาย เผาจิต
    จะเดิน ยืน นั่ง ให้เจริญวิปัสสนา

    ระหว่างทำความเพียรนั้น ห้ามเอาหนังสือ‌มาอ่าน การงานแม้แต่น้อยนิดก็อย่าให้มี เพราะ‌การอ่านหนังสือคือส่งจิตออกนอก เดิน ยืน นั่ง ‌ให้เอาอารมณ์เดียวคือ พุธโธ ธัมโม สังโฆ

    ปฏิบัติมาเดือนที่สอง หลวงปู่ขาวให้เร่งขึ้น‌เป็นเดิน 2 ชั่วโมง ยืน 15 นาที นั่ง 2 ชั่วโมง

    เดือนที่สาม เร่งเป็นเดิน 3 ชั่วโมง ยืน 20 ‌นาที นั่ง 3 ชั่วโมง

    สุดท้ายฝึกอย่างอุกฤษฏ์คือ นั่งคืนยันรุ่ง‌โดยไม่กระดุกกระดิก ไม่พลิกไหว
    ด้วยวิถีเช่นนั้น จิตท่านสงบจากขั้นขณิก‌สมาธิ ลงถึงอุปจารสมาธิ เกิดสุขจากสมาธิ ‌หลวงปู่ขาวก็กำกับว่า อย่าติดสุข ให้พิจารณา ‌ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ

    เมื่อจิตยึดสติปัญญา เห็นความไม่เที่ยง เห็น‌อนัตตา จิตก็ตั้งมั่น ในพระพุทธ พระธรรม พระ‌สงฆ์ โดยไม่หวั่นไหว

    ท่านว่า ออกพรรษาปีนั้นใจมันเปลี่ยน‌สภาพ จากเดิมมามั่นคงอยู่กับการเจริญสมถ‌วิปัสสนาธรรม เลยยืน เดิน นั่งแบบนั้นตลอด‌ไตรมาส เป็นเวลาถึง 5 ปี ปีที่ 5 นั้นทำต่อ‌เนื่องอยู่ถึง 7 เดือน

    ระหว่างภาวนากับหลวงปู่ขาวนั้น เช้าหนึ่ง‌หลวงปู่ขาวได้ถามท่านว่า“ทา...พ้นทุกข์หรือยัง ผมเข้าใจว่า ท่านพ้นทุกข์แล้วนะ ‌เพราะเห็นท่านนั่งภาวนาแล้วมีรัศมีรุ่งโรจน์‌คืนยันรุ่ง”

    หลวงปู่จันทากราบเรียนท่านว่า ยังหรอก‌ครับหลวงปู่ เพียงแต่เมื่อคืนสำคัญที่สุดกว่าทุก‌คืน และคืนที่ว่านั้นคือ คืนที่จิตรวมพรึ่บเหลือ‌แต่ผู้รู้กับสติ และจิตตั้งมั่นในพระพุทธ พระ‌ธรรม พระสงฆ์ ถวายชีวิตเป็นพรหมจรรย์ ไม่‌กลับคืนโลกอีกแล้วนั่นเอง

    ...........................




    หลวงปู่จันทา เล่าไว้ถึงการสิ้นความลังเล‌สงสัยในมรรคผลนิพพานว่า เมื่อก่อนก็สงสัยว่า‌มรรคผลธรรมวิเศษนั้นหมดสมัยไปแล้ว ไม่มีอีก‌แล้ว แต่ก็เชื่ออยู่ว่า ถ้าปฏิบัติจริงต้องได้รู้ได้เห็น ‌จึงตั้งใจอธิษฐานที่วัดป่าแก้วบ้านชุมพล อ.สว่าง‌แดนดิน จ.สกลนคร ว่า ถ้าบุญพาวาสนาส่งที่‌ได้ประพฤติปฏิบัติมาแต่ภพก่อนและชาตินี้‌ประกอบกันเข้า ก็ขอจงเห็นเป็นไป จะได้สิ้น‌สงสัย จะทำความเพียรบูชาพระพุทธ พระ‌ธรรม พระสงฆ์ เพื่อว่าจะได้แลกเปลี่ยนเอาซึ่ง‌บุญกุศลมรรคผลเท่าที่ควรนั้นขอจงเป็นไป

    จากนั้นตั้งสัตย์ว่า 6 วัน 6 คืน จะไม่นอน ‌แต่ละวันจะฉันเพียง 5 คำ
    ท่านว่า พอดำเนินไปตามนั้นครบ 6 วัน ‌นอนลงพักผ่อน โดยวางความอยาก วางหมด‌ความอยากรู้ อยากเห็น อะไรทั้งหลายวางหมด จิตก็รวมพั่บลงถึงขณิกสมาธิ หนังแขนขวาแตก‌ออกตั้งแต่สุดปลายมือจนถึงแขนศอก กระดูก‌แทงทะลุหนังขึ้นมา เป็นอสุภกรรมฐาน มรณ‌กรรมฐาน

    เกิดนิมิตหนนี้ต่างจากคราวก่อน เพราะ‌ตอนนี้ได้ครูบาอาจารย์แนะนำสั่งสอนมาแล้ว‌ท่านว่าได้มีดในนิมิตมาจากไหนไม่รู้ ค่อยๆ ปาด‌หนัง ค่อยๆ แล่ออกทั้งแขน ทั้งขาออกหมด ‌เหลือแต่เนื้อห่อหุ้มอยู่ ปาดศีรษะ ลอกออก ‌เหลือแต่ตา ดึงไม่ออก จากนั้นหลังได้กลับเข้า‌ไปหุ้มร่างกายตามเดิม จิตพับกลับเข้าไปสู่ภพ‌เก่าที่มาถือปฏิสนธิในครรภ์มารดา

    เมื่อกำหนดถามว่า ธรรมที่เกิดขึ้นนี้เป็น‌ธรรมอะไร ก็มีคำตอบว่า เป็นผลมาจากการ‌ปฏิบัติ และตราบใดที่มีผู้ปฏิบัติตามคำสอนของ‌พระพุทธองค์ ตราบนั้นบุญกุศลมรรคผล ธรรม‌อันวิเศษยังมีอยู่ตราบนั้น ไม่มีหมดไปจากโลก ‌ไม่มีสาบสูญไปจากผู้ปฏิบัติ

    จากนั้นเมื่อน้อมลงสู่ไตรลักษณ์ เพ่งอยู่‌อย่างนั้น แบบ“ไม่กลัวตาย ใจกล้าแข็ง อาจ‌หาญ ชาญชัย กำหนดปล่อยวางเสมอ อุปาทาน ‌ความยึด น้อมลงสู่ไตรลักษณ์”

    พอหนังแตก กระดูกโผล่ขึ้นมา อนิจจาทุกขตา อนัตตา อนิจจตา ความไม่เที่ยง เป็น‌ทุกข์ ความแปรปรวน การไม่ถือตัวตนเราเขา ‌ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่เที่ยงแท้คลายกำหนัด ‌ไม่ยึดไม่ถือต่อไป

    “เมื่อไม่ยึดไม่ถือต่อไปแล้ว ก็เร่งความเพียร‌เผากิเลส สิ่งเป็นเหตุให้เกิดภพชาติสังขารซ้ำๆ ‌ซากๆ ให้กิเลสนั้นเร่าร้อนกระวนกระวาย ผล‌สุดท้ายกิเลสนั้นก็ทนไม่ไหว ก็คงจะออกไปได้ ‌

    ถ้าไม่ขาดจากใจไปอย่าง สมุจเฉทปหาน ก็จะ‌ออกจากใจไปอย่างที่เรียกว่า ตทังคปหาน ‌ประหารอยู่ด้วยความเพียร เดิน ยืน นั่ง หรือ‌วิกขัมภนปหาน ประหารอยู่ด้วยสติปัญญาข่มขู่‌ฝึกสอนจิตให้เห็นชอบทุกอย่าง

    น้อมลงสู่ไตรลักษณ์ กิเลสนั้นก็พลอยที่จะ‌อ่อนกำลัง จะหมดสิ้นไปแล้ว กายกับจิตกับสติ‌นั้นจะรวมเข้าไปเป็นมรรคสามัคคีอารมณ์เดียว ‌เห็นจริงแจ้งชัดทุกอย่างนั้นแหละ โดยไม่ต้อง‌สงสัย

    จากนั้นจิตก็จะสงบ ลงขั้นไหนก็ไม่ทราบ ‌สงบลงไปนั้น แสงสว่างเกิดขึ้น ปีติก็เกิดขึ้น ก็‌เป็นกำลังของจิตนั่นแหละ จิตนั้นได้ดื่มรสของ‌ความสงบและเห็นธรรมเกิดขึ้น จิตนั้นก็สิ้น‌สงสัยในไตรวัฏโลกธาตุ ไม่มีอะไรเป็นเขา เป็น‌เรา หมดเสียสิ้น”

    หลวงปู่จันทา หยุดวัฏฏะสงสารในชาตินี้‌แล้วด้วยวัย 90 ปี 11 วัน

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++



    ช่วยโยมแม่พ้นจากนรก



    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->[​IMG]






    ผลบุญช่วยให้แม่พ้นจากนรกมืด


    ตั้งแต่ออกบวช ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ก็ตั้งใจบำเพ็ญบุญไม่ลดละ เดินจงกรม ยืนภาวนา ไหว้พระสวดมนต์ เสร็จแล้ว ๔ ทุ่ม ๕ ทุ่ม ก็อุทิศส่วนกุศลไปให้แม่ผู้บังเกิดเกล้าทุกวัน


    “ปุญญัง อุททิสสะ ทานัง สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ ขอบุญจงไปช่วยเหลือแม่ของข้าพเจ้านะ ชื่อว่า นางเลี่ยม ชมภูวิเศษ ดวงจิตเขานั้นไปสิงสถิตอยู่สถานที่ใด ไกลหรือใกล้นั้น ขอบุญจงไปช่วยเหลือ ให้พ้นจากทุกข์นั้น”
    นั่นแหละ ก็อุทิศส่วนบุญไปให้อย่างนั้น จนกระทั่งอายุพรรษาล่วงมาได้ ๒๕ พรรษา แม่ก็พ้นจากนรกมืดมาเกิดกับหลานสาว พออายุ ๒ ปี ก็พูดจาได้ความรู้เรื่อง

    แม่ยายเขาเรียกใช้ “ อีหล้า ไปหยิบของมาให้แม่หน่อย ”
    “ มึงอย่ามาเรียกกู อีหล้า กูเป็นแม่มึงนะ ”
    “ เป็นแม่ได้อย่างไร เพิ่งเกิดมาได้ ๒ ปี ”
    “ สมบัติร่างกายนี้ไม่ใช่แม่หรอก เป็นหลาน แต่ว่าใจของฉันนั้นเป็นแม่ของพวกท่าน ”

    นั่นแหละ เขาก็เลยมานิมนต์ให้ไปซักไซ้ไต่ถามดู ก็เลยได้ความว่า เคยเป็นแม่ในชาติก่อน เมื่อถามว่า เป็นแม่นั้น มีบุตรกี่คน

    เขาก็ตอบได้ว่า มีบุตร ๖คน คนที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, และ ๖ เขาก็ไล่ชื่อเสียงเรียงนามได้ทั้งหมด รวมทั้งสามี ภรรยา ญาติมิตรสายโลหิต ปู่ ย่า ตา ยาย เพื่อนบ้าน เขาบอกได้ถูกต้องทุกอย่าง ตลอดจนเรื่องเรือกสวนไร่นานั้น ก็บอกได้ถูกต้อง รวมทั้งหลักฐาน เครื่องหมายต่างๆ ก็บอกได้ ไม่ผิด
    แต่แล้วก็ยังไม่ลงเอยกันนะ จึงได้ถามเขาต่อไปอีกว่า
    “หลวงพ่อ คิดถึงเจ้านั่นแหละ จึงได้ออกบวช แล้วอุทิศส่วนบุญไปให้ ได้รับหรือไม่ ?”

    เขาว่า “ได้รับ ได้รับแต่ตอนกลางคืน ๕ ทุ่ม ได้รับทุกคืน แต่ตอนเช้าไม่ได้รับ ไปอยู่ที่ไหนเล่า ? ” เขาต่อว่ากลับมาอีก

    “ โอ๋... ตอนเช้าหลวงพ่อ ทำบุญน้อย พอตี 2 ก็ลุกขึ้นมาทุกวันแล้วนั่งสมาธิตั้งแต่นั้นไป จนกระทั่งรุ่งเช้าของวันใหม่ แล้วก็สวดมนต์ทำวัตรเช้า จากนั้นก็ไปทำกิจวัตร จึงไม่ได้อุทิศส่วนบุญไปให้ อุทิศให้เฉพาะตอนเย็น เพราะตอนเย็นเดินจงกรมตั้งแต่ ๖ โมงเย็นไปจนถึง ๕ ทุ่ม ทุกวัน แล้วก็หยุดยืน นั่งสมาธิ ไหว้พระ สวดมนต์ อุทิศส่วนบุญไปให้ เพราะตอนเย็นนั้น ได้บำเพ็ญบุญมาก ”

    เขาว่า “ ถ้าได้ทั้งเช้าและเย็น ก็คงจะพ้นจากนรกมืดได้ เร็วกว่านี้ ”
    ก็ถามเขาต่อไปว่า ” ไปอยู่นรกมืดนั้นเป็นอย่างไร? ”
    เขาก็ว่า “เมื่อขาดใจแล้ว นายนิริยบาลมาคุมตัวไปฝากไว้ในนรกมืด ไม่มีแสงสว่างเลย มืดทั้งวันทั้งคึน ไม่ได้เเห็นแสงพระอาทิตย์ พระจันทร์เลย”
    “ ในนรกมีคนมากเท่าไร? ”

    “โอ๋...ดวงวิญญาณในนรกมืดนั้นแน่นขนัด อัดแอกันอยู่เหมือนข้าวสารยัดกระสอบนั่นแหละ”
    ทีนี้เมื่อพวกท่านอุทิศส่วนบุญไปให้ จ่ายมบาลก็ว่า
    “นางเลี่ยม ชมภูวิเศษ จงมารับเอาส่วนบุญ ที่ลูกบวชในศาสนาอุทิศมาให้ทุกวันคืน”

    นั่นแหละ ฉันก็ดีใจ เมื่อรับเอาบุญทุกวันคืน ตั้งแต่ปี ๒๔๙๐ ไปถึง ๒๕ พรรษา ก็เลยพ้นจากกรรมชั่วช้าลามกทั้งหลายทั้งปวงนั้น มาอยู่เหนืออำนาจการบังคับของจ่ายมบาล เพราะอำนาจของบุญนั้นตัดกระแสของบาปกรรมในนรกออกได้ เขาก็เลยปล่อยไปตามเรื่อง หมดกรรมเวรแล้ว ขอแม่เจ้าจงไปตามเรื่องเถิดจงไปเกิดที่เมืองมนุษย์ แล้วเขาก็เปิดประตูเหล็กให้ เสียงประตูดังสนั่นเหมือนฟ้าร้อง ได้เห็นแสงพระอาทิตย์สว่างจ้าก็ดีใจ แล้วก็หันหน้าไปร้องบอกลาพวกที่ยังอยู่ในนรกว่า
    “พี่น้องทั้งหลาย ฉันขอลาไปเกิดเมืองมนุษย์ก่อนนะ”
    พวกที่เหลืออยู่ก็ร้องไห้กันสนั่นหวั่นไหว เหมือนอึ่งอ่างในฤดูฝน ไปไหนไม่ได้ เพราะบาปกรรมรึงรัดผูกมัดไว้กับสถานที่นั้น บาปไม่อนุญาตให้ไป เพราะยังไม่หมดเขตเวรกรรม

    จากนั้น จ่ายมบาลก็ว่า”ขอให้ไปดี โชคแม่มีแล้ว เพราะได้ลูกเป็นนักปราชญ์ชาติเมธี ใจดีมีศีลธรรม ออกบวชบำเพ็ญบุญ ส่งมาให้ก็ดีมาก นับว่าหาได้ยากในโลกนี้”

    นั่นแหละ ก็เห็นอำนาจของการบวชบำเพ็ญบุญ อุทิศส่วนบุญไปให้ แม่ไปตกนรกมืด บุญก็ไปช่วยเหลือให้มาเกิดในตระกูลเดิมได้ ก็หมดความห่วงใยอาลัยแล้ว ได้เห็นผลประจักษ์อย่างนั้น


    เมื่อหลวงปู่จันทาบำเพ็ญเพียรเพื่อการรู้แจ้งอย่างยิ่งยวด

    ตั้งแต่นั้นอาตมาก็ได้ความรู้เบื้องต้น ก็เลยตั้งสัจจะอีกว่า ต่อไปจะเอา ๑๐ วัน ๑๐ คืน จะยืน เดินนั่ง ไม่ยอมนอน ! อาตมาตั้งสัตยาธิษฐาน<!-- google_ad_section_end -->
     
  13. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    การกตัญญุที่ดีที่สุด คือการชี้ทางสว่างให้มารดาบิดาในสมัยที่พวกท่านยังมีชีวิต เพื่อพวกท่านจะได้ใช้เวลาที่เหลือทำตนให้ห่างใกล้ความชั่ว มิควริรอให้ท่านตายแล้วถึงคิดจะไปโปรด อย่าหลับหูหลับตาเชื่อว่าจะทำได้ในโลกหลังความตายเลียนแบบพุทธประวัติ ถ้ามารดาบิดาเรากำลังหลง ท่านลงอบาย ไปรับโทษแล้ว โปรดไม่ทันแล้ว
     
  14. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,446
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,023
    ค่าพลัง:
    +70,064
    เรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของข้าพเจ้า มิได้ต้องการให้เป็นการโอ้อวด แต่มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญยิ่ง 2 ประการ คือ

    ประการแรก เพื่อให้เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ที่ได้จากการปฏิบัติธรรมจริงๆ เพื่อให้ผู้อื่นที่ได้ปฏิบัติเข้าถึงและพบปัญหาแบบเดียวกันเข้าใจ สามารถแก้ไขตนเองได้ทัน เพราะบางทีปัญหาเกิดขึ้นเมื่อไม่มีครูบาอาจารย์อยู่ด้วย ถ้าตนเองไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ ก็อาจแก้ปัญหาไม่ถูกต้องตามแนวทาง ทำให้เกิดผลเสียหนักขึ้นได้ การทำวิชชาชั้นสูงที่ละเอียดมากๆ ต้องระวังอย่างยิ่ง ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจทำให้เกิดผลเสียหายอย่างร้ายแรง ที่ไม่อาจแก้คืนหรือแก้คืนได้ยาก เช่น อาจพลาดแล้วถูกภาคมาร (กิเลสมาร) ยึดสุดละเอียดไป ทำให้หลง ไม่เห็นกิเลสละเอียด ทำให้กาย วาจา ใจ เบี่ยงเบนไปจากธรรมฝ่ายสัมมาทิฏฐิไปทีละน้อย จนไม่รู้สึกตัว แล้วจะถูกทำลายธาตุธรรมไปในที่สุด

    ประการที่สอง เป็นการยืนยันว่าธรรมกายเป็นของจริง ขอให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงป๋า ทราบและมั่นใจได้เลยว่า วิชชาธรรมกายที่หลวงป๋าสอน ตามพระเดชพระคุณ หลวงพ่อวัดปากน้ำ (สด จนฺทสโร) นั้น เป็นธรรมะของจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเมื่อปฏิบัติถูกต้องแล้ว ย่อมได้ผลจริง

    ขอพวกเราจงภูมิใจเถิดว่า เรานั้นไม่เสียชาติเกิดเลย ที่ได้มาเป็นลูกหลานของหลวงป๋า เพราะการสอนของท่าน เปิดใจกว้างเสมอ ไม่เคยปิดบังวิชชา เรียกว่าเปิดกันจนหมดตัวหมดใจเลยทีเดียว แต่เฉพาะศิษย์กับครูเท่านั้นนะ ท่านถึงจะให้เห็น เพราะท่านถือว่าจำเป็นในการสอน เพื่อที่ศิษย์จะได้เข้าใจถูกต้อง ครบถ้วน ตามจริง ไม่ถือว่าเป็นการอวดอุตตริมนุสสธรรม ถือว่าเป็นการสอน

    ทุกครั้ง ในการสอนธรรมะ ข้าพเจ้าเห็นกายของท่านใสเป็นแก้ว ฉัพพรรณรังสีปกคลุมไปทั่วบริเวณลานธรรม บางครั้งเห็นมีอาสนะเป็นพญานาค 7 เศียร นั่นหมายถึงท่านเป็นธาตุธรรมที่แท้จริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รัศมีที่เปล่งออกมาหมายถึงความเมตตาต่อสัตว์โลกทั้งหลาย ไม่เคยแบ่งว่าใครเป็นพระหรือมาร และข้าพเจ้าเห็นด้วยตัวเองว่า เมื่อถึงตอนแผ่เมตตาด้วยความบริสุทธิ์ใจของท่าน แม้แต่ไฟนรกยังดับ ทั่วทั้งจักรวาลมีแต่เสียงสาธุ นี่คือการสอนธรรมะในแต่ละครั้งของท่าน เพราะฉะนั้นที่วัดหลวงพ่อสดฯ ซึ่งท่านเป็นเจ้าอาวาสทำวิชชาทุกวันตลอดเวลา (เรียกว่า วิชชาเป็น) ที่นั่นจึงเป็นศูนย์รวมแห่งความศักดิ์สิทธิ์ เพราะทุกอณูของวัดหลวงพ่อสดฯ เป็นเหมือนเกล็ดเพชรระยิบระยับอยู่เต็มพื้นที่ แต่เมื่อดูด้วยตาธรรมกายแล้ว จะเห็นเป็นองค์พระมากกว่าเมล็ดทรายในท้องมหาสมุทรเสียอีก

    จากจุดเริ่มต้นในวิชชาชั้นสูง ที่หลวงป๋าเปิดใจให้กับศิษย์ซึ่งมีความรู้แค่หางอึ่ง ยังไม่ลึกซึ้งในวิชชาธรรมกายเท่าไรนัก จึงทำให้ข้าพเจ้าผู้ที่เป็นคนที่นับถือศาสนาอื่นมาก่อน เริ่มศรัทธาในศาสนาพุทธ และด้วยความเมตตาที่ท่านมีให้แก่ศิษย์ ท่านจะคอยประคับประคองในเรื่องวิชชา ไม่ให้เดินออกนอกลู่นอกทาง

    อยู่มาวันหนึ่งข้าพเจ้าเกิดสงสัยขึ้นมาว่า ทำไมทุกครั้งที่นั่งธรรมะเสร็จแล้ว แผ่เมตตา ไม่เคยเห็นพ่อแม่ ญาติพี่น้องของเราที่เสียชีวิตไปแล้วมาอนุโมทนาบุญเลย จึงกราบเรียนให้ท่านทราบ ท่านก็ให้ความกระจ่างมาว่า เขาเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไปอยู่สุดขอบจักรวาลโน่น ....


    วิธีช่วยน่ะมี แต่การช่วยคนนอกศาสนา ไม่เหมือนกับช่วยชาวพุทธที่อยู่ในนรกนะ เพราะต้องแลกด้วยบุญบารมี (หมายถึงบุญบารมีของท่านที่สร้างมา จะต้องถูกตัดทอนลดลงไป)

    ฉะนั้นให้เลือกมา 1 คน จะเอาใคร ข้าพเจ้าก็ขอเลือกแม่ ท่านเริ่มทำสมาธิ ให้ข้าพเจ้าทำสมาธิตามไปด้วย ในระหว่างที่เดินวิชชาอยู่นั้น จะเห็นท่านเดินนำหน้าไปคอยอยู่แล้ว เราก็เข้ากลางตามท่านไป ความรู้สึกเวลานั้นไม่เหมือนกับนั่งสมาธิแล้ว เหมือนกับว่าเข้าไปในมิติของแดนสนธยาเลย ยิ่งเดินก็ยิ่งมืด เห็นแต่หลวงป๋าองค์เดียว เพราะรัศมีกายท่านสว่างมาก แต่บริเวณนั้นมืดหมด ในที่สุดท่านก็บอกว่า ถึงแล้วนะ ให้เรียกชื่อแม่ 3 ครั้ง ท่านว่าแม่มาแล้ว ข้าพเจ้ามองไปที่เท้าของหลวงป๋า เห็นแม่นั่งยองๆ ผิวหนังขาดวิ่น ผมเป็นกระเซิง เห็นสภาพของแม่แล้วน้ำตาไหลด้วยความสงสาร เสียงหลวงป๋าดังขึ้นทันที เข้ากลางเอาไว้ เพราะจิตเริ่มส่าย ภาพของแม่เริ่มเลือนๆ ถ้าคุมสติไม่อยู่ คงต้องเริ่มต้นกันใหม่ เข้ากลางอยู่พักหนึ่ง เมื่อใจเริ่มเป็นปกติ ท่านก็ให้เรียกแม่อีก ครั้งแรกแม่ทำท่าตกใจเมื่อเห็นข้าพเจ้า เพราะเราเป็นองค์พระอยู่ หลวงป๋าให้เรียกแล้วให้บอกว่าเราเป็นลูกชื่ออะไร เมื่อแม่จำได้ก็ร้องไห้ ขออธิบายเรื่องความจำของแม่สักนิด คนที่ตายไปแล้ว ถ้าสมัยมีชีวิตอยู่ไม่เคยฝึกสมาธิ ตายไปก็จำอะไรไม่ได้ เหมือนกับที่เราเกิดมาจากไหน เป็นอะไรมาก่อน เราก็ไม่รู้ ต้องมาฝึกสมาธิถึงจะรู้อดีตได้ แต่ที่แม่จำได้ก็เพราะหลวงป๋าคุมอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดท่านก็ให้แม่รับไตรสรณาคมน์ โดยการให้ข้าพเจ้าเข้ากลาง แล้วถ่ายทอดเสียงของหลวงป๋าไปยังแม่ เมื่อแม่รับไตรสรณาคมน์แล้วก็กราบ 3 หน เป็นการยอมรับในบวรพระพุทธศาสนา แล้วหลวงป๋าก็ใช้ให้จักรแก้วเป็นพาหนะ ส่งแม่ไปยังสวรรค์ ก็ช่วยได้แค่ดาวดึงส์เท่านั้น เพราะบุญของแม่มีน้อย แถมยังทำบุญกับศาสนาของตัวเองโดยการฆ่าสัตว์ใหญ่ ตามความเชื่อของบรรพบุรุษว่า เมื่อตายไปจะได้ขี่วัวขี่แพะ ขึ้นสวรรค์ไม่ต้องเดินให้ลำบาก เพราะความเมตตาของหลวงป๋าในครั้งนั้น ทำให้ข้าพเจ้าซาบซึ้งในความกรุณาของท่านเป็นยิ่งนัก จะไม่มีวันลืมพระคุณของท่านได้เลยในชาตินี้ จึงขอมอบกายถวายชีวิตแด่บวรพระพุทธศาสนาตราบเท่าชีวิตจะหาไม่และทุกภพทุกชาติไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน
    ... ท่านเคยบอกว่า จำไว้นะ เมื่อเป็นคนของหลวงพ่อแล้ว (หมายถึง หลวงพ่อสด) ท่านจะไม่ทิ้ง เพราะถ้าหลงไปตามสิ่งที่มารเขานำมาล่อ จะถูกภาคมารยึดสุดละเอียด หลังจากนั้นเขาจะให้ความสมบูรณ์ทุกอย่าง เป็นต้นว่า ทรัพย์สมบัติหรืออะไรต่อมิอะไรก็ได้ทั้งนั้น เพื่อทำให้เราหลง แต่พอหมดประโยชน์กับเขาแล้ว ทีนี้แหละ ความเดือดร้อนนานัปการจะทับทวีเป็น 10 เท่า 100 เท่าเลยทีเดียว ได้ยินเช่นนั้นแล้ว ความเชื่อมั่น ความศรัทธาต่อวิชชาธรรมกาย เปี่ยมล้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ชี้ให้เห็นถึงความเอาใจใส่ของหลวงป๋าที่มีต่อศิษย์ ถ้าเราตั้งใจทำวิชชา ทีนี้ทุกครั้งที่นั่งต่อหน้าท่าน ก็ต้องระวังตัว ไม่กล้ากระดิกใจออกนอกลู่นอกทางเด็ดขาด ท่านจะพูดกับข้าพเจ้าเสมอว่า จงร่วมกันสร้างบารมี

    ท่านผู้ท่านที่รักทั้งหลาย ความลับของหลวงป๋าในธาตุธรรมขององค์ต้นของหลวงพ่อสด ยังมีอีกมากมาย ท่านที่เป็นลูกศิษย์ทั้งหลายจงรีบตักตวงวิชชาให้มากที่สุดเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ อย่าให้ต้องเสียใจภายหลังเมื่อไม่มีท่านแล้ว ความเป็นธาตุธรรมที่แท้จริงนั้น เปรียบเสมือนความศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นใครก็ตามที่คิดไม่ดี ทั้งกาย วาจา ใจ ต่อท่าน ขอบอกได้เลยว่า ท่านผู้นั้นเมื่อตายไป มีที่อยู่แน่นอนคือนรกภูมิ จะเป็นขุมไหนก็เลือกได้ตามสบายเลย เผลอๆ ยังไม่ทันจะตาย กรรมก็ตามทันเสียแล้ว พิสูจน์กันเอาเองก็แล้วกัน ผู้ทำวิชชาจะรู้ดีว่า อาจารย์ของเขาเป็นอย่างไร

    พูดถึงเรื่องรู้จิตรู้ใจ มีเรื่องขำๆ หลายเรื่อง จะเล่าให้ท่านผู้อ่านทราบสัก 2 เรื่อง เรื่องแรกมีอยู่ว่า ครั้งหนึ่ง ท่านเล่าถึงชีวิตฆราวาส สมัยหนุ่มๆ ท่านทำกับข้าวเก่ง ตำน้ำพริกก็เก่ง น้ำพริกใส่อะไรท่านตำอร่อยทั้งนั้น เราก็คิดในใจ เก่งจังเลย เราเป็นผู้หญิงแท้ๆ ตำเป็นแต่น้ำพริกกะปิ แต่เราก็ตำอร่อย เสียงท่านหัวเราะแล้วบอกว่า เออ น้ำพริกกะปิเอ็งอร่อย ข้าพเจ้าหยุดคิดทันที ทับทวีองค์พระอย่างเดียวเลย

    เรื่องที่สอง มีครั้งหนึ่งนั่งรถจากกรุงเทพฯ ไปวัดหลวงพ่อสดฯ กับท่าน พอรถเลี้ยวเข้าวัด พญานาคองค์ใหญ่ที่ดูแลวัดหลวงพ่อสดฯ อยู่ ก็ขึ้นมาล้อมโบสถ์ ข้าพเจ้าเห็นแล้วไม่กล้าพูด กลัวจะโดนดุ เพราะมีทั้งพระทั้งโยมเต็มรถ หลวงป๋าพูดขึ้นมาลอยๆ ว่า “ไอ้นิด พรรคพวกเขาขึ้นมาต้อนรับ” แล้วท่านก็ชี้มือไปทางโบสถ์ คนในรถเป็นงงที่อยู่ดีๆ หลวงป๋าพูดขึ้นมาลอยๆ ถามกันใหญ่ อะไรอยู่ไหน ท่านหัวเราะชอบใจ พญานาคที่ปรากฏนั้นเป็นกายละเอียด ผู้ที่ไม่มีตาในจึงไม่เห็น

    เรื่องต่างๆ ที่เล่ามา เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าประสบมากับตัวเองในปีแรกเท่านั้น ปัจจุบัน 10 ปีแล้วที่อยู่ในสำนักนี้มา ไม่รู้จะอธิบายเป็นคำพูดได้อย่างไร ถึงความเชื่อมั่นและศรัทธาในวิชชาธรรมกายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ (สด จนฺทสโร) นำมาสอน แล้วหลวงป๋านำมามาถ่ายทอดต่อ ที่เป็นของจริง พิสูจน์ได้ แม้องค์พระธรรมกายก็สัมผัสได้

    ครั้งหนึ่ง เมื่อข้าพเจ้าทำวิชชาชั้นสูง เข้าไปในธาตุธรรมสุดละเอียด ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อสด ได้ยินเสียงของท่านดังขึ้นมาว่า “ผู้ที่เป็นหลักสำคัญในการเผยแพร่วิชชาธรรมกายที่เป็นของจริงของแท้ในขณะนี้มีอยู่ 2 องค์ คือ ท่านเจ้าคุณพระภาวนาโกศลเถร (วีระ คณุตฺตโม) ผู้เป็นอาจารย์ของหลวงป๋า และเสริมชัย” เมื่อนำมาพิจารณาดูแล้วก็เห็นว่าเป็นจริงอย่างนั้น ดูได้จากการเผยแพร่วิชชาธรรมกายที่ถึงพร้อมด้วยเนื้อหาวิชชา ทั้งทางเอกสาร หนังสือ และนิตยสาร ทางวิทยุ ทางโทรทัศน์ และสื่ออื่นๆ จนวิชชาธรรมกายเป็นที่รู้จักกันทั่วทั้งในประเทศและต่างประเทศ เนื้อหาการสอนวิชชาธรรมกายชั้นต้น กลาง สูง ของทั้ง 2 องค์ มีความละเอียดลึกซึ้งยิ่งนัก ดังตัวอย่างที่เล่าให้ทราบข้างต้น

    ถ้าไม่ได้หลวงป๋า ผู้เขียนก็อาจหลงทาง ถูกภาคมารยึดสุดละเอียดไปแล้วก็ได้ ในปัจจุบันไม่ได้ยินว่ามีใครสอนเนื้อหาวิชชาธรรมกายชั้นสูงได้ลึกซึ้ง เปิดวิชชาเต็มที่เช่นนี้ ท่านผู้อ่านที่สงสัยสามารถพิสูจน์ได้จากคำสอนของท่านทั้งสอง แม้แต่ชาวต่างประเทศที่มาอบรมพระกัมมัฏฐานที่วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ก็สามารถปฏิบัติจนได้วิชชาธรรมกายชั้นสูง สามารถเห็นนิพพาน ภพ 3 โลกันต์ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าเป็นจริงอย่างไรได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องหลับตาเดาผิดๆ ถูกๆ ดังนั้น เมื่อเรามีบุญวาสนาได้พบพระที่แท้ สะอาดบริสุทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่เป็นธาตุธรรมที่แท้ของต้นธาตุต้นธรรม คือ หลวงพ่อภาวนาและหลวงป๋าของเราแล้ว จงอย่าปล่อยให้โอกาสอันงามที่จะได้ศึกษาวิชชาชั้นสูงที่ลึกซึ้งนี้หลุดไป

    สุดท้ายนี้ ขอให้ท่านผู้อ่านที่รักทั้งหลาย มีศรัทธาพร้อมด้วยปัญญา แยกแยะผิดถูกได้ถูกต้อง จงพิสูจน์ด้วยตนเอง อย่าให้น้อยหน้าชาวต่างประเทศที่อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมา จนได้วิชชาธรรมกายชั้นสูงไป ธรรมะเป็นของสูง เป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด จงรักษาไว้ตราบเท่าที่ชีวิตจะหาไม่ ทุกภพทุกชาติไป ตราบเท่าเข้าสู่นิพพาน ขอความสันติสุขจงบังเกิดแก่ชาวโลกทั้งหลาย จงรักกันเสมือนกับเป็นสายเลือดเดียวกัน อย่างเช่นหลวงป๋ารักเราทุกคน

    จีราภา เศวตนันท์
    วิทยากรสถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย(ปัจจุบันคือ วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี )

    [​IMG]




    หมายเหตุ ...วัดหลวงพ่อสดฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวัด............ที่ปทุมธานี

    มีการบริหาร และ นโยบายที่ต่างกัน

    มีที่มาการสืบทอดวิชชาฯต่างกัน เป็นการสืบทอดจากครูบาอาจารย์พระสงฆ์ที่เจริญวิชชาฯร่วมกับหลวงปู่สด
    มาคตลอดตั้งแต่หลวงปู่สดท่านยังครองกายสังขารอยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 มีนาคม 2014
  15. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,446
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,023
    ค่าพลัง:
    +70,064
    หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมโม วัดอัมพวัน สิงห์บุรี เล่าในหนังสือกฎแห่งกรรมเรื่องการแผ่เมตตาไว้ว่า:


    การแผ่เมตตาจะต้องมีสมาธิก่อน มีพลังส่ง มีเมตตาในตัวเองก่อน แล้วค่อยแผ่อุทิศให้เขาจะได้ผล ถ้าโยมปราศจากเมตตาอย่าอุทิศ ไม่มีได้ผล ไม่ได้ผลจริง ๆ อาตมาทำมาแล้ว แผ่ได้ผลต้องมีเมตตาครบอย่างต่ำ ๘๐% ไม่อย่างนั้น แผ่ไม่ออกหรอก เหมือนยิงปืนตกปากกระบอกไม่มีแรงส่ง ขาดสมาธิ ขาดสติปัญญา ขาดความสามารถ ขาดความเชี่ยวชาญในการฝึก ต้องฝึกให้คุ้นเคยทุกวัน ไม่ใช่นั่งแล้วได้ทุกคน...............


    กรรมฐานอุทิศส่วนกุศลช่วยแม่ผูกคอตายขึ้นมาจากนรกได้

    มีโยมคนหนึ่ง ไม่ต้องออกชื่อรับราชการ ซี.๗ ยังไม่มีครอบครัว อยู่กับแม่ ๒ คน บ้านใหญ่โตแถวบางกะปิ เขาไม่ทราบแม่เขาแท้ที่จริงเป็นน้าสาว เลี้ยงเขามาตั้งแต่ยังเล็ก ๆ และไม่ทราบว่าพ่ออยู่ที่ไหน แต่ก็รู้ว่าอยู่แถว ๆ ถนนสุขุมวิท พ่อเลิกกับแม่เขาไป

    เขามานั่งกรรมฐานที่วัดนี้ ๒ ครั้ง ๆ ละ ๗ วัน ลาพักร้อนมาโยมไม่ทราบเหตุการณ์อื่นใดทั้งสิ้น นั่งกรรมฐาน ๗ วัน ครั้งแรกยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ครั้งที่สอง มานั่งกรรมฐานกลับไปได้เรื่องออกมาเลย

    แม่ตัวจริงมาเข้าฝัน แต่งนุ่งขาวด้วย มาตอนตี ๓ ตี ๔ มากอดลูกบอกว่า ลูกเอ๋ย แม่ได้ขึ้นจากนรกแล้ว นี่แม่ตัวจริงของเจ้า เจ้ารู้ไหมว่าแม่ผูกคอตายที่เตียงที่เจ้านอน แม่ผูกคอตาย ได้ลูกมานั่งเจริญกรรมฐานทำให้แม่ขึ้นมาจากนรกได้ อาตมาจับได้หลายรายการแล้ว ถ้าฆ่าตัวตาย ไม่ต้องไปทำบุญให้ ไม่ถึงแน่นอน

    บุญสูงสุด คือ บุญจากกรรมฐานแน่นอน คุณโยมคนนี้ก็เล่าให้ฟังต่อไปว่า แม่มากอดลูก บอกว่าแม่จะเล่าความจริงให้ฟัง พ่อเจ้าไปมีเมียใหม่ กลับมาบ้าน น้าเจ้าเอาปืนขับยิงพ่อเจ้า พ่อเจ้าจึงเข้าบ้านไม่ได้ น้าเจ้าดุเป็นผู้ครองสมบัตินี้ ชื่อของน้าเจ้าทั้งนั้น พ่อเจ้าจึงไม่มาเลย ไปมีภรรยาใหม่ที่ถนนสุขุมวิท

    เจ้ามาเจริญกรรมฐาน แม่ขึ้นจากนรกแล้ว แม่ลำบากเหลือเกินลูกเอ๋ย เขาก็ทำโทษ ให้ขุดดินขุดทราย กินอาหารก็ไปกินที่กองขยะ ทรมานอย่างที่สุดลูกเอ๋ย พอเจ้ามาเจริญกรรมฐาน แม่ขึ้นจากนรกแล้ว บัดนี้แม่มาบอกขอบคุณขอบใจเจ้า
     
  16. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,446
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,023
    ค่าพลัง:
    +70,064
    ความจริง มีพยานยืนยัน ที่ช่วยบิดา มารดา จากทุคติ มาสู่เทวโลกได้ ด้วยบารมีพระรัตนตรัย อันเป็นผลจากการฝึกมโนมยิทธิ .วิชชาธรรมกายต้นฉบับดั้งเดิม(ไม่เกี่ยวกับวัดที่ปทุมธานี) และ จากการฝึกกรรมฐานสายต่างๆอีกมาก ไม่ว่าสายโพธิสัตว์หลวงปู่ดู่ สายกรรมฐานวิชชาสามเป็นต้น

    ....อย่างน้อย ถ้าพาขึ้นมาที่ดาวดึงส์ได้ จะดีมาก เพราะ มีเทวสภา ที่เทวดาทั้งหลายจะได้มาฟังธรรมในวันพระ และโอกาสสำคัญ เปนการปลูกฝังนิสัยในพุทธศาสนา เผื่อว่า
    ถ้าบารมียังอ่อน พอเกิดมาในโลก ก็ยังมีโอกาสได้สร้างบารมีเพิ่มเพื่อเข้าสู่กระแสธรรมได้


    ....แต่ถ้าตรวจสอบอย่างดีกับครูอาจารย์แล้ว ว่าท่านไปเกิดเป็นคนหรือสูงกว่านั้นแล้ว

    ที่เหลือ คุณต้องปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังแล้ว เพราะ คนรอบข้างเราขณะนี้ แม้แต่คนที่เกลียด ก็อาจเป็นพ่อแม่เรา
    มาตั้งแต่อนาคต เพียงแต่เหตุปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เราจำไม่ได้

    ...และ คงต้องมุ่งทำดีทุกอย่าง เพื่อตนและคนที่มีชีวิตอยู่ ตามที่คุณ tsukino 2012 ได้กล่าวไว้ด้วย



    ..ขอให้ศรัทธาและมั่นใจในคุณพระรัตนตรัย และขอให้ได้ปฏิบัติกับผู้รู้จริง
    แล้ว ความกตัญญูของคุณ จะไม่ทำให้คุณผิดหวังเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 มีนาคม 2014
  17. โมทนาman

    โมทนาman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,665
    ค่าพลัง:
    +6,165
    พ่อแม่มีเป็นพันล้าน
    ช่วยยังไงก็ไม่หมด
     
  18. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,446
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,023
    ค่าพลัง:
    +70,064
    กำลังใจของแต่ละชีวิตนั้นต่างกัน เป็นเรื่องที่ธรรมดามาก

    ขออนุโมทนา ทุกท่านที่มุ่งทำดี


    ตามอัธยาศัย ตามกำลัง

    ขอให้เป็นสิ่งที่ดี


    สิ่งที่ตนคิดว่า ตนเองทำไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่า ในโลกนี้ ชีวิตอื่นไม่มีทางทำได้


    การส่งเสริม ให้กำลังใจผู้อื่นทำดี ย่อมได้อานิสงส์ที่คาดไม่ถึง แม้ไม่หวังเพื่อตนเอง

    ยิ่งเป็นการส่งเสริมที่ไม่ใช่การกล่าวเลื่อนลอย ไร้หลักการ ไร้เหตุผล ไร้แนวทาง ยิ่งจะมีคุณเพิ่ม

    ...แต่

    การตัดกำลังใจคนอื่นในการทำดี เพียงเพื่อเอาทิฐิมานะเป็นที่ตั้ง จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้กำลังใจ

    กำลังบารมีของตนพร่องได้ง่าย มีความลำบากเพิ่มพูน


    ---------------------------------------------


    โดยเฉพาะ ห้องนี้ หมวดนี้ เป็นหมวดพุทธภูมิ โพธิสัตว์ ควรมีการตรึกตรอง พิจารณา แบ่งปัน
    วิธีการ แนวทาง เพื่อเพิ่มพูนกำลังใจ ที่จะนำไปปฏิบัติได้จริง ในการสร้างสมบุญบารมี ในช่วงชีวิตน้อยๆนี้

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 มีนาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...