ความเมตตาดีที่สุด-หลักชีวิตของม.จ.มงคลเฉลิม ยุคล

ในห้อง 'พุทธศาสนากับคนดัง' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 25 มิถุนายน 2006.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,492
    [​IMG]


    "การใช้เมตตาถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุด" นี่เป็นคำสอนของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่ ม.จ.มงคลเฉลิม ยุคล กรรมการตรวจสอบ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ยึดปฏิบัติตลอดชีวิต
    ม.จ.มงคลเฉลิม ตรัสว่า ปกติแล้วเป็นคนชอบสนทนาธรรมกับพระชั้นผู้ใหญ่หลายท่านอยู่เสมอๆ เมื่อได้สนทนาธรรมกับท่าน ท่านก็จะสอนให้ผมใช้เมตตา คำสอนของสมเด็จพระสังฆราช ตรัสย้ำว่า ถ้าเราจะทุกข์ใจ หรือหนักใจแค่ไหน ตัวเราเองต้องรู้จักการเมตตาให้มากที่สุด เห็นใครก็ให้เมตตากับเขาไป ความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข ความสุขเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา ความสุขเกิดขึ้นได้ทั้งกายและใจ เช่น ความสุขเกิดจากการมีทรัพย์ ความสุขเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์เพื่อการบริโภค ความสุขเกิดจากการไม่เป็นหนี้ และความสุขเกิดจากการทำงานที่ปราศจากโทษ ทั้งหลายเหล่านี้เกิดจากความเมตตา
    การดำรงชีวิตที่ผ่านมาจึงใช้หลักพรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ในการทำงาน เพราะคุณธรรมทั้ง ๔ ประการนี้ เป็นคุณธรรมที่ทำให้ผู้ประพฤติปฏิบัติให้เป็นผู้ประเสริฐ ใครทำได้ย่อมมีผลดีกับตัวเอง ยิ่งใครเป็นผู้บริหารเอาไว้ใช้ก็จะเกิดแต่ผลดีกับตัวเองแน่นอน ส่วนตัวเป็นคนชอบนั่งสนทนาธรรมกับพระอาจารย์ หรือพระชั้นผู้ใหญ่หลายๆ รูป ทำให้เราได้ความรู้เรื่องธรรมอย่างมาก ได้ข้อคิดอะไรดีๆ ไม่น้อยเลย ยิ่งเราไม่เข้าใจอะไรก็จะถามท่าน บางครั้งถึงขั้นต้องเถียงกับพระอาจารย์ก็มี
    ม.จ.มงคลเฉลิม ตรัสด้วยว่า ปัจจุบันส่วนใหญ่จะไปทำบุญตามงานพระราชพิธีต่างๆ หรือตามวัดที่ให้ความเคารพนับถือ โดยเฉพาะพระเถระชั้นผู้ใหญ่ โดยทุกๆ ท่านอยู่ในกรุงเทพฯ ทำให้การทำบุญทั้งหมดจะทำอยู่ในเมืองหลวงมากกว่าในต่างจังหวัด เช่น การเปลี่ยนกฎพระธรรมวินัยของสงฆ์ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่สมัยนี้พระธรรมยุตห้ามจับเงิน ซึ่งจริงๆ เรื่องเงินในวันนี้พระสงฆ์ก็มีความจำเป็นต้องจับหรือหยิบเงิน
    หรือจะเป็นเรื่องการทำดีทำชั่ว เราถามว่าทำไมคนชั่วยังถึงมีชีวิตที่สุขสบาย ซึ่ง สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (จวน อุฏฺฐายีมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ที่ ๑๖ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ท่านเคยสอนว่า การทำบุญหรือทำชั่ว ได้ดีหรือได้ชั่ว แล้วทำชั่วยังสุขสบายอยู่แสดงว่าผลบุญเก่าเมื่อชาติที่แล้วเขายังดีอยู่
    ตราบใดที่เขายังทำความชั่วกันอยู่ผลบุญเก่าหมด เขาเองนั่นแหละจะเดือดร้อน ท่านยังบอกว่าคนเราตายแล้วก็ยังไม่จบ คงยังเป็นวัฏจักรหมุนเวียนกันต่อไป การเข้าวัดทำบุญแบบนี้ทำให้เราเชื่อว่าบุญบาปมีจริง ใครทำสิ่งใดไม่ดีก็จะได้สิ่งนั้น ขณะเดียวกันยังเชื่อว่าชาตินี้ชาติหน้ามีจริง หากเราเชื่อว่าชาติหน้ามีจริง ภพภูมิมีจริง กรรมมีจริง บาปบุญมีจริง เราก็ปฏิบัติตัวเป็นคนดี อยู่ในศีลในธรรม
    "จริงๆ ผมอยากจะบอกกับทุกคนให้พยายามทำความดี แล้วรู้จักคำว่าพอเพียงตามพระราชดำรัสของในหลวงที่ท่านให้ดำรงชีวิตอยู่ตามเศรษฐกิจพอเพียง มีเท่าไรเราก็พยายามใช้เท่านั้น ผมเองทำงานอยู่ธนาคาร ผมแนะว่าอย่าก่อหนี้สินเกินตัว อยู่อย่างพอเพียง ทำได้ก็พยายามเก็บไว้ใช้ในยามที่เราแก่ด้วย" ม.จ.มงคลเฉลิม ตรัสถึงเศรษฐกิจพอเพียงใบหน้าแย้มพระสรวล
    สำหรับพระเครื่องที่ท่านชายแขวนติดตัวประจำมีหลายองค์ ส่วนใหญ่เป็นพระกริ่งวัดบวรนิเวศวิหาร สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ท่านเคยประทานให้ หรือทำบุญวันเกิดท่าน พระพรหมวชิรญาณ (ประสิทธิ์ เขมงฺกโร ป.ธ.๓) เจ้าอาวาสวัดยานนาวา กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ท่านจะให้พระเป็นที่ระลึกเป็นประจำ ซึ่งการแขวนพระก็เพื่อต้องการมีไว้ป้องกันตัวให้เป็นสิริมงคลกับตัวเอง และส่วนตัวยังเชื่อในเรื่องเครื่องรางของขลังว่าจะสามารถคุ้มครองให้แคล้วคลาดจากภัยอันตรายได้
    ส่วนความเชื่อเรื่องปาฏิหาริย์นั้น ม.จ.มงคลเฉลิม ตรัสว่า "ชีวิตตั้งแต่เกิดมาจนอายุ ๖๙ ปี มีเหตุการณ์เฉียดตายมาตลอด ขนาดรถพลิกคว่ำหลายตลบยังไม่เป็นอะไรเลย ยิ่งสมัยเด็กๆ เป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อยู่ที่วังลดาวัลย์ ซึ่งเป็นบ้านเก่าของปู่ มีลูกระเบิดเพลิงลงหน้าบ้านหลังบ้านก็ไม่ระเบิด"

    "ถ้าเราจะทุกข์ใจ หรือหนักใจแค่ไหน ตัวเราเองต้องรู้จักการเมตตาให้มากที่สุด เห็นใครก็ให้เมตตากับเขาไป"

    ที่มา : [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...