ความลึกลับของสติปัญญา!!!

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ลุงมหา๑, 4 สิงหาคม 2015.

  1. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ขออนุญาตครับ

    จากแรงบันดาลใจที่ผมได้ไปห้างเซ็นทรัลบางนาครั้งล่าสุด
    ด้วยความเมื่อยล้า ด้วยความหิว ผมก็แวะไปที่ร้าน KFC เพื่อสั่งไก่ทอดประทังความหิว
    คนในร้านหนาตาเกือบ 85% ผมก็เลยเข้าไปในซอกเล็กๆในร้านด้านข้าง
    เจอเด็กนักเรียนชายหญิง 4-5 คนกำลังพากันติวกำลังพากันอ่านหนังสืออยู่

    จิตของผมรำลึกถึงความเป็นมา ความเป็นไป ของพวกเขา ผลสรุปของจิต แจ้งกระจ่างขึ้นมาว่า

    ''เด็กพวกนี้พากันนึกว่า การอ่าน การท่อง การทำความเข้าใจ ในหลักสูตรการเรียนของพวกเขา จะทำให้พวกเขาฉลาดขึ้น จะทำพวกเขามีสติ มีปัญญา มากยิ่งขึ้น!!!"

    แล้งผมก็ลำลึกต่อว่า

    ''แล้ว สติปัญญา มันจะมีขึ้นได้อย่างไร?''
    ''แล้ว สติปัญญา มันจะมากขึ้นได้อย่างไร?"

    เมื่อเราเป็นชาวพุทธ เมื่อเรายอมรับอย่างแนบแน่นสนิทใจว่า

    ''ไม่มีใครมีสติปัญญาสูงส่งเกิน พระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างแน่นอน''

    ดังนั้น สติปัญญา ไม่ว่า ทางโลก หรือว่า ทางธรรม ล้วนมีพื้นฐานอย่างเดียวกัน

    แล้วพื้นฐานของ สติปัญญา ทางโลก
    แล้วพื้นฐานของ สติปัญญา ทางธรรม

    ที่ว่ามีพื้นฐานอย่างเดียวกันนั้น มันคือ อะไร?
    แล้วจะสร้างให้มัน ก่อตัวขึ้นมาได้อย่างไร?
    แล้วจะพัฒนาให้มันกล้าแข็ง ให้มันเต็มเปี่ยม ได้อย่างไร?
    แล้วสติปัญญา แบบใหน ระดับใหน ที่มันสามารถ แตกแขนง ต่อยอด ของมันได้เอง?

    เมื่อไม่รู้
    เมื่อไม่เข้าใจ
    จึงนำไปสู่ การเรียนรู้ การฝึกฝน การพัฒนา ที่ผิดพลาด

    จึงทำให้ชาติบ้านเมืองของเรา

    ขาดคนที่มีสติปัญญาที่ถูกต้อง
    ขาดคนที่มีสติปัญญาที่เที่ยงธรรม
    ขาดคนที่มีสติปัญญาที่เหมาะสมกับสถานะการ
    ขาดคนที่มีสติปัญญาที่ทำ เพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก เพื่อชาติ เพื่อศาสนา เพื่อพระมหากษัตริย์

    แล้วสติปัญญาที่ว่า

    มันคืออะไร?
    จะเริ่มสร้างได้อย่างไร?
    จะพัฒนาได้อย่างไร?
    แต่ละระดับ แต่ละจุด เป็นอย่างไร?

    ขโมทนาบุญๆๆ

    ลุงมหา
     
  2. Stradale

    Stradale เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2007
    โพสต์:
    445
    ค่าพลัง:
    +4,379
    รอติดตามครับ... บทนี้โดนใจนัก

    ขาดคนที่มีสติปัญญาที่ถูกต้อง
    ขาดคนที่มีสติปัญญาที่เที่ยงธรรม
    ขาดคนที่มีสติปัญญาที่เหมาะสมกับสถานะการ
    ขาดคนที่มีสติปัญญาที่ทำ เพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก เพื่อชาติ เพื่อศาสนา เพื่อพระมหากษัตริย์
     
  3. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +2,226

    ''เด็กพวกนี้พากันนึกว่า การอ่าน การท่อง การทำความเข้าใจ
    ในหลักสูตรการเรียนของพวกเขา จะทำให้พวกเขาฉลาดขึ้น
    จะทำพวกเขามีสติ มีปัญญา มากยิ่งขึ้น!!!"

    ความคิดที่ผุดขึ้นในใจนี้ เป็นความคิดฝ่ายอวิชชา หรือ ความคิดมิจฉาทิฏฐิ นะครับ
    สิ่งที่ควรทำ คือ ชำระความคิดของตัวเองก่อนครับ


    ''ไม่มีใครมีสติปัญญาสูงส่งเกิน พระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างแน่นอน''
    ส่วนประโยคความคิดนี้ แม้จะประเสริฐเลิศเรอ
    แต่ถ้าเอาไปใช้ไม่ถูก กาลเทศะ ก็จัดว่า ติดโมหะ หรือ อวิชชานั้นเอง .. เช่นกันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 สิงหาคม 2015
  4. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    พระพุทธเจ้า
    ปฎิสัมภิทาญาน พระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ธรรมแม่บทดั้งเดิม + บุญบารมีญาน ที่สั่งสมมาเป็นอสงไขยและมหากัปป์ + พระทศพลญาน ๑๐ + พระสัพพัญญุตญาณ
    {O}แสดงปัญหาข้อติดขัดในธรรมที่ชัดเจน ที่ส่งผลร้ายแรงที่สุดของเรื่องการบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนา{O}
    http://pantip.com/topic/33697657
    นี่ก็มากพอแล้วเกินกว่าใครจะเปรียบเทียบได้ ยกเว้นพระพุทธเจ้าทั้งหลายฯ ตลอดจนถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า




    ผู้เดินตาม ปฎิสัมภิทาญานมีจำกัด บุญบารมีที่สั่งสมมีจำกัด มีเพียงเท่านี้

    เอาเท่าที่ได้ที่มีเกิดมาในยุคนี้ต้องยอมรับชะตากรรม อย่าฝืนจนเกินตัวเกินงามเกินภาระหน้าที่ควรรู้จักประมาณตน

    เว้นไว้บุคคลฐานะพิเศษ ที่ไม่มีใครรู้จริงถึงเวลาจะปรากฎขึ้นมาเองใครในที่นี้ไม่ได้หมายถึงพระพุทธเจ้าและพระอริยสาวกฯผู้ทรงญานและผู้ทรงพลานุภาพใหญ่



    เรื่องทางโลกธรรม ๘ ย่อมถูกกำหนดควบคุม ย่อมอาศัยพึ่งพาด้วยโลกุตระธรรม อันคือพระสัทธรรม จึงจะร่มเย็นเป็นสุขได้สักระยะ ตราบได้ที่ อสัทธรรม ไม่รุกราน ในยามที่ผู้ที่อยู่ใน พระสัทธรรม เริ่มลางเลือน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 สิงหาคม 2015
  5. SP6580

    SP6580 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +1,551
    มีบางอย่างผุดจากความคิดคับ ใครทราบช่วยอธิบายได้คับ ติติงว่าไร้สาระก็ไม่ว่า
    คือ นึกว่าเมื่อเราเข้าไปในวัดที่มีพระประธาน พระธรรมและนี่คือพระผู้หลุดพ้นวิชา และอวิชาทั้งปวงแล้ว เวลามีคนมาขอพรพระนั่งกราบพระ ติดทองพระ ใช่ทั้งหมดที่กล่าวมาผมก็เพิ่งทำไปหยกๆ เมื่อเสร็จแล้วผมก็มายืนมองคนเหล่านั้นจากเบื้องหลังองค์พระ บางครั้งก็จะเห็นอะไรที่เรานั่งทำไปก่อนหน้านั้น ว่านั่นอย่างนึงล่ะคือมันเป็นอดีต ถัดมาเรามีความศรัทธา ถัดมาสิ่งที่เราขอพรนั่นจะได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็ได้อย่างนึงล่ะคือกำลังใจในบุญ ผมว่าเราจะทำอะไรให้ได้ดีนั้น ความศรัทธาในตัวตนของเรานั้นสำคัญมากเลยน่ะ
     
  6. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ความลึกลับของสติปัญญา (ต่อ2)

    ขออนุญาตครับ

    สิ่งหนึ่งที่จำเป็นมากสำหรับผู้มีสติปัญญาที่เข้ามาในเว็บนี้ควรจะทำเป็นอันดับแรกคือ
    ถ้าท่านสงสัยในสติปัญญาของผู้ใด
    ท่านก็เพียงแต่ เข้าไปอ่าน ข้อคิด ข้อเขียน การแสดงความคิดเห็นของคนผู้นั้นว่า

    ข้อเขียนของท่านผู้นั้น

    รอบคอบรัดกุมเพียงใด
    เป็นประโยชน์ต่อ เพื่อน พ้อง น้อง พี่ ชาวเว็บบ้างหรือไม่
    เป็นสัมมาทิฐิ ครบถ้วนสมบูรณ์บ้างใหม
    วันเวลาที่ผ่านไป มีการพัฒนาขึ้นบ้างหรือไม่

    แล้วก็จำแนกแยกแยะว่า

    ข้อคิด ข้อเขียน การแสดงความคิดเห็นของผู้ใด ควรติดตามหรือไม่
    ข้อคิดข้อเขียนของผู้ใด เห็นแต่ชื่อ ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปอ่าน

    ความลึกลับของสติปัญญา(ต่อ2)การสะสมกำลังสติ การสะสมกำลังสมาธิ

    ในหมู่มนุษย์ทั้งหลายนั้น การสะสมกำลังสติ การสะสมกำลังสมาธิ นั้นเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุด
    ผู้คนทั่วไปนั้นกลับสะสมกำลังสติ กลับสะสมกำลังสมาธิ เพียงแค่

    เวลาเรียน
    เวลาทำงาน
    เวลาทำงานอดิเรก .......

    การสะสมกำลังสติ การสะสมกำลังสมาธิ จึงไม่พอเพียง
    แม้ว่าจะมีหลายๆท่าน สามารถสะสมได้ในระดับที่สูงกว่าคนทั่วไปอยู่บ้าง
    ก็พวกที่เรียนเก่งๆระดับแนวหน้า
    ก็พวกที่ทำงานเก่งๆระดับแนวหน้า นั่นล่ะครับ

    แต่พวกนี้ก็ยัง สะสมกำลังสติ สะสมกำลังสมาธิ ได้ไม่มากพอ เมื่อ

    เทียบกับ ผู้ที่สะสมกำลังสติ สะสมกำลังสมาธิ แบบ นักปฏิบัติธรรม ทั้งพระ ทั้งฆราวาส

    เพราะ กำลังสติ กำลังสมาธิ เป็นพื้น เป็นฐาน เป็นกำลังของทุกอย่าง

    สรุป
    อยากมีสติ อยากมีปัญญา ขั้นที่ 1 ต้องสะสมกำลังสติ ต้องสะสมกำลังสมาธิ ให้เต็มเปี่ยมก่อน

    รอบหน้า จะบอกเล่าถึงวิธีการ สะสมกำลังสติ สะสมกำลังสมาธิ

    ขอโมทนาบุญ

    ลุงมหา
     
  7. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    วิสุทธิ ๗ กับ วิปัสสนาญาณ มี ปัจจเวกขณญาณ เป็นต้นฯ ธรรมทั้งปวงถือเป็นที่สุดแล้ว จักเป็นกระบวนการเข้าสู่องค์แห่งการพิจารณา

     
  8. บางเบา

    บางเบา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    349
    ค่าพลัง:
    +88
    ร่างกายมนุษย์สัมพันธ์กับ จิตใจ อย่างแน่นอน
    เพราะฉะนั้น สติปํญญาก็ย่อมเป็นไปตามร่างกาย

    คนมีสติปํญญาดีหรือไม่ดี อย่างไร แค่ไหน

    อาหารเป็นหลักเกณฑ์ กินอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น

    กินเนื้อสัตว์มากน้อยแค่ไหน สมองก็เช่นสัตว์ กินหมูมากสมองสติปัญญาก็อย่างหมู
     
  9. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +2,226
    ลุงมหา ระวังนะครับ ... เข้า KFC น่ะ .. อิอิ
     
  10. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ความลึกลับของสติปัญญา(ต่อ3)

    ขออนุญาตครับ

    เมื่อครั้งนักฟุตบอลหญิงทีมชาติไทยแข่งคัดตัวเพื่อไปแข่งฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ประเทศแคนนาดานั้น
    เห็นว่ามีเวลาเตรียมตัวประมาณ 3 เดือน จิตของผมก็นึกรู้ขึ้นมาว่า ''ต้องสร้างความแข็งแรงให้นักปุตบอลชุดนี้โดยเร็ว

    1.ให้นักกีฬาเดินขึ้นเขาสูงเช่น ภูกระดึงเพื่อสร้างความแข็งแรง วันละ 2 เทียว หรือ
    2.ให้นักกีฬาแบกถุงทรายประมาณ 20 กก.ทำการซ้อมซัก 1 เดือน แล้วค่อยๆลดน้ำหนักของถุงทราบลงเรื่อยๆ จนหมด

    วิธีนี้ จะช่วยสร้างความแข็งแรงของนักกีฬาได้อย่างแน่นอน

    ส่วนการสร้างความเร็วนั้น ก็ให้นักกีฬา วิ่งลงทางลาดชั้น จากน้อยไปหามาก ก็จะทำให้ความเร็วรอบของการวิ่งสูงขึ้นๆได้

    เมื่อมีแรงจากการเดินขึ้นเขา เมื่อมีแรงจากการแบกถุงทราย
    บวกกับการสร้างความเร็วจากการฝึกวิ่งลงเนินแล้ว

    เราได้แรงแล้ว เราได้ความเร็วแล้ว อย่างอื่นก็ง่ายขึ้นมาก

    น่าเสียดายที่เราพอใจว่า แค่นี้ก็ดีแล้ว ก็เลย มองข้ามพื้นฐานส่วนนี้ไป

    เวลาเราดูหนังกำลังภายในจะเห็นบ่อยๆว่าพระเอกที่เป็นศิษย์ฆราวาสวัดเส้าหลิน
    จะต้องหาบน้ำขึ้นเขาไปใส่ตุ่มใบใหญ่เป็นเวลาหลายๆปี เพื่อสร้างความอดทน เพื่อสร้างพลกำลัง เพื่อสร้างความแข็งแรง

    การสร้างกำลังสติ การสร้างกำลังสมาธิ ก็เป็นเช่นเดียวกัน
    เพียงแต่กำลังกาย ''ใช้ในการออกแรงทางกาย''
    แต่กำลังสติ กำลังสมาธิ ใช้ในการ ''คิด พิจารณา เพื่อสะสม เพื่อสร้างปัญญา''
    เพราะปัญญาขั้นสูงระดับฌานนั้นก็คือ "แค่คิดถึงปัญหา คำตอบก็จะผุดตามขึ้นมาเอง"

    เมื่อเรารู้ประโยชน์ของ กำลังสติ กำลังสมาธิ แล้ว
    เราก็มารู้วิธี การฝึกกำลังสติ การฝึกกำลังสมาธิ กันเลย

    วิธีที่1 "สมถะภาวนา"

    1.1 การพิจารณาลมหายใจ ที่แพร่หลายมากที่สุดคือ"พุทโธ"
    เวลา หายใจเข้า ภาวนาว่า "พุทธ"
    เวลา หายใจออก ภาวนาว่า "โธ"

    1.2 รองลงมาก็ได้แก่ภาวนาว่า "อัฐิ" ซิ่งแปลว่า "กระดูก"

    เวลาหายใจเข้า ภาวนาว่า "อัฐ"
    เวลาหายใจออกภาวนาว่า "ฐิ"

    1.3 รองลงมาก็ได้แก่การพิจารณาความตาย

    เวลา หายใจเข้า ภาวนาว่า "พุทธ หายใจเข้า ไม่หายใจออก ก็ตาย"
    เวลา หายใจออก ภาวนาว่า "โธ หายใจออก ไม่หายใจเข้า ก็ตาย"

    วิธีที่ 2 การเดินจงกลม วิธีนี้จะช่วยฝึกกำลังสติได้ดียิ่งขึ้น

    ส่วนก่อนการภาวนา ก็ อัญเชิญเทวดา อาราธนาศีล ไหว้พระสวดมนต์ แผ่เมตตา ตามความเหมาะสม

    เวลาเริ่มภาวนาสำหรับผู้เริ่มต้นคือ ตื่นนอนตี๕ ดีที่สุดเพราะ

    ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มอิ่มแล้ว
    ผู้คนส่วนมากยังไม่ตื่นจึงมีความสงบแต่เดิมอยู่แล้ว

    ตอนต่อไปจะบอกเล่าถึง "ระดับขั้นของกำลังสติ ของกำลังสมาธิ"

    ขอโมทนาบุญ

    ลุงมหา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2015
  11. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    ปัญญามีพื้นฐานมาจากความรู้ ปัญญาในระดับสามัญคือการประยุกต์ใช้ความรู้ให้เกิดประโยชน์

    ส่วนปัญญาระดับสูงนี่ผมยังเข้าไม่ถึง เพราะกำลังสติและกำลังสมาธิยังไม่พอ
    แต่ผมขอเดาว่าปัญญาทางโลกและปัญญาทางธรรมน่าจะมีจุดเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ ถ้าจะเกิดได้ ก็น่าจะต้อง "รู้" เสียก่อน
     
  12. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    เขียน ๑๕.๑๔

    จะใช่รื้อ..

    การจะประยุกต์ใช้ความรู้ให้เกิดประโยชน์ได้น่ะนะ

    ก็แปลว่าต้องมีความรู้ในเรื่องนั้นๆ ระดับนึงแล้ว ไม่น้อยด้วย
    แล้วยังต้องรู้ลึก รู้ดี ในวิชาที่จะนำมาใช้งานด้วยนะ
    แล้วยังต้องรู้ถึงกาละ และเทศะ ในเวลาและสถานการณ์ที่จะนำมาใช้งาน
    แล้วยังข้อจำกัดต่างๆ อุปสรรค และตัวแปรต่างๆ อีก มากน้อยแล้วแต่

    เราว่าระดับใช้งานให้เกิดประโยชน์ได้น่ะนะ
    ไม่น่าจะเรียกว่าระดับสามัญเลย เนอะ
    นั่นน่าจะเรียกว่า "ขั้นสูง" ได้แล้วล่ะมั้ง นะ

    แต่ก็นะ ขั้นหนึ่งๆ ก็อาจจะมีหลายระดับ ตามความเชี่ยว รึป่าวน๊า หึหึหึ


    กระต่ายป่า แห่งเกาะนาฬิเกร์ / ค้างคาวปล่อยแสง

    .
     
  13. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    มันก็น่าจะมีหลายขั้นแหละครับ
    ปัญญาในระดับโลกีย ผมไม่อยากจะเรียกว่าเป็นปัญญาขั้นสูงเลย เพราะ คนระดับปุถุชนอย่างเรา ๆ ใช้กันถมถื่น
    ปัญญาระดับโลกุตระผมว่าถึงจะเป็นปัญญาขั้นสูงที่แท้จริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2015
  14. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    เขียน ๒๐.๓๐

    อ้าว..แหม ก็ไม่บอกให้ชัดเจน
    ว่าสูงต่ำ คือโลกุ กะโลกีอ่ะนะ

    จะว่าไป การแบ่งแยกปัญญาออกจากกัน
    ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ควรใส่ใจ ล่ะมั้ง นะ

    จากโพสท์ก่อนของเราน่ะนะ แสดงถึงขั้นตอนของการใช้ปัญญา
    ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งโลกุ และโลกี ทูอินวันนะครับ ครบถ้วนกว้างขวาง
    ถ้าไม่อธิบายไส้ในให้ละเอียด ก็คงไม่อาจระบุได้ ว่าจะใช้ในโลแบบใด

    แปลไทยเป็นไทย ก็หมายฟามว่า ขั้นตอนมันเหมือนกัน ทั้งสองโล
    เพียงแต่จะนำข้อมูลแบบใด นำมาเข้าสมการ เพื่อหาข้อสรุปของปัญหา

    ถ้าขั้นโลสูงของท่าน คือการใช้ปัญญาแก้ปัญหาเรื่องทุกข์
    คิดแบบนักวิทย์นะ คือมีการจำกัดค่าตัวแปร คิดกันแต่กรณีเฉพาะ แค่แก้ทุกข์
    ท่านก็จะเห็นได้ชัดเจน ว่าขั้นตอนในทู้ก่อน สามารถใช้ได้ จนถึงสุดทางเชียวนะ ขอบอก
    ขอบอก ให้กลับไปอ่านดีๆ อีกครั้ง หรือหลายครั้งก็ได้ ก็จะเห็นด้วย สุดใจ

    สรุป ซตพ.ได้เลย ว่า ปัญญาขั้นโลกุ และโลกี คือสิ่งเดียวกัน
    เป็นความเหมือนที่แตกต่าง เป็นของสิ่งเดียวกัน เพียงแต่พลิกมุมมอง
    เลือกมุมที่ต้องการ ก็จะได้คำตอบตามต้องการ ล่ะมั้ง นะ เนอะ

    เอ...เขียนไปเขียนมา ชักงงเองแฮะ ท่านหรือใครๆ เข้าใจป่ะ โปรดตอบให้ละเอียด
    เพื่อทางบริษัทจะได้นำข้อมูล มาพัฒนาสินค้า ให้ถูกจริตลูกค้ายิ่งขึ้น ในล็อตต่อไป หึหึหึ

    ทราบแล้วเปลี่ยน ๕๕๕


    กระต่ายป่า แห่งเกาะนาฬิเกร์ / ผีเสื้อสื่อสารข้ามมิติ

    .
     
  15. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    การกลับไปอ่านกระทู้นั้นอีกรอบหรือหลาย ๆ รอบนั้น ไม่ทำให้ผมเห็นด้วยอย่างที่ว่านั้น สุดใจ ได้ครับ
    เพราะเมื่อก่อน ผมเคยมีความคิดอย่างท่านว่านั่นแหละ

    ผมยังไม่เข้าถึงปัญญาระดับโลกุตระ ผมเลยไม่อาจยืนยันได้ แต่ตอนนี้ก็อยู่ชายแดนละล่ะ พอดีว่ายังไม่มีเครื่อง รถโฟร์วีลไดรฟโฮเวอร์คราฟสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกสะเทิ้นอากาศ ช่วยสำรวจชายแดน คือฌาน เลยไม่อาจสรุปให้แน่ในว่าการใช้ปัญญาทางโลกกับทางธรรมว่ามันเหมือนกันมั้ย เพราะถ้าด่วนสรุปไป มันอาจจะทำให้เราหลงเอาง่าย ๆ

    เมื่อก่อนผมก็มีความคิดไม่ต่างจากที่ท่านว่ามาเท่าไร
    แต่จากการเรียนรู้ที่ผ่าน ๆ มา มันบอกผมว่า การรู้ธรรม ไม่ได้เกิดจากการนั่งหลับตาคิดฟุ้งปรุงแต่งจินตนาการเอา
    แต่ เกิดจากการรู้แจ้ง และเห็นตามสภาวะความเป็นจริง

    ดังนั้น
    การใช้ปัญญาทั้งทางโลกทั้งทางธรรมสำหรับผมผมจึงไม่กล้าพูดว่าเหมือนกันเสียที่เดียว แม้ในขณะนี้ผมจะมีความคิดแบบนั้นจริง ๆ ก็ตาม เพราะผมยังไม่ได้เข้าถึงสิ่งที่เขาเรียกว่าปัญญาในทางศาสนาพุทธนั่นเอง

    เรื่องของเรื่องก็คือ มีอาจารย์บางท่าน สอนว่าปัญญาทางโลกกับปัญญาทางธรรมมันคนละอย่างกันด้วยแหละครับ
    สอนเรื่อง ตาเนื้อ ตาทิพย์ ตาปัญญา ก็มี

    ก็ไม่รู้ว่า มันจะมีความหมายคลาดเคลื่อนจากการที่ใช้คำคำเดียวกันในคนละความหมายหรือเปล่าล่ะนะ แต่สร้างความสับสนได้ดีทีเดียว

    ผมจากที่เคยเชื่อว่าปัญญาทางโลกกะทางธรรมมันก็คงเหมือนกันนั่นแหละ ก็เลยสับสนไปเลย ก็เลยคิดว่า อย่าเพิ่งเชื่อใครจะดีกว่า เชื่อหลักกาลามสูตร ต้องรู้เองเสียก่อนจึงจะเอามาพูดดีกว่า ไหน ๆ ก็เป็นพุทธภูมิ การศึกษาหา "ความจริง" เพื่อให้เกิด "ความรู้" ก็เป็นหน้าที่อย่างหนึ่งที่เราจะต้องปฏิบัติอยู่แล้ว

    ปัญญา
    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

    ปัญญา แปลว่า ความรู้ทั่ว คือรู้ทั่วถึงเหตุถึงผล รู้อย่างชัดเจน, รู้เรื่องบาปบุญคุณโทษ, รู้สิ่งที่ควรทำควรเว้น เป็นต้น เป็นธรรมที่คอยกำกับศรัทธา เพื่อให้เชื่อประกอบด้วยเหตุผล ไม่ให้หลงเชื่ออย่างงมงาย

    ปัญญา ทำให้เกิดได้ 3 วิธี คือ

    โดยการสดับตรับฟัง การศึกษาเล่าเรียน (สุตมยปัญญา)
    โดยการคิดค้น การตรึกตรอง (จินตามยปัญญา)
    โดยการอบรมจิต การเจริญภาวนา (ภาวนามยปัญญา)
    ปัญญา ที่เป็นระดับ อธิปัญญา คือปัญญาอย่างสูง จัดเป็นสิกขาข้อหนึ่งใน สิกขา 3 หรือ ไตรสิกขา คือ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2015
  16. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    เขียน ๒๒.๓๑

    ขึ้นต้นเหมือนโพสท์ก่อนเลย หึหึหึ

    อ้าว..แหม ก็ไม่บอกให้ชัดเจน
    ว่าสูงต่ำ คือโลกุ กะโลกีอ่ะนะ


    และต่อด้วย
    อ้าว..แล้วตกลงจะเอาไงกันแน่ฟะ
    เอามันเป็นเรื่องๆ ไปดิ ไหลไปเรื่อยแบบนี้ งงนะ ขอบอก


    ท่านขึ้นต้นมาด้วย ปัญญาในระดับสามัญคือการประยุกต์ใช้ความรู้ให้เกิดประโยชน์
    เราก็ขึ้นต้นเดียวกะท่าน คือต้น "การประยุกต์ใช้ความรู้ให้เกิดประโยชน์"
    แต่แล้ว ท่านก็ลง แล้วไปขึ้นต้นอื่นอีก ว่า


    ปัญญาในระดับโลกีย ผมไม่อยากจะเรียกว่าเป็นปัญญาขั้นสูงเลย
    เพราะ คนระดับปุถุชนอย่างเรา ๆ ใช้กันถมถื่น
    ปัญญาระดับโลกุตระผมว่าถึงจะเป็นปัญญาขั้นสูงที่แท้จริง

    เราก็ตามไปขึ้นต้นเดียวกะท่านอีก คือต้น "การใช้ปัญญา ทั้งโลกุ และโลกิ คือสิ่งเดียวกัน"
    แต่แล้ว ท่านก็ลง แล้วไปขึ้นต้นอื่นอีก ทีนี้ขึ้นทีเดียวหลายต้นเลย
    แล้วตูจะตามไปขึ้นต้นไหนก่อนหลังล่ะหว่า งงแล้วทีนี้ ๕๕๕

    เอาก็เอาวะ ตามมันไปทีละต้นละกันนะ เนอะ หึหึหึ

    ต้นแรก ยังไม่มีฌาน เลยสรุปไม่ได้ ว่าสองปัญญามันต่างกันจริงหรือไม่
    สรุปไม่ได้ ก็ไม่ต้องสรุป เก็บไว้ในจิตอย่างนั้นแหละ เก็บเป็นคำถามไว้
    รอให้จิตใต้สำนึกมันบอกละกัน ว่าคำตอบที่ถูกจริง หรือถูกใจ เป็นไงแน่
    ว่างก็หมั่นหยิบมาทบทวน วันไหนปิ๊งอะไรเพิ่มเติม ก็ยกมันมาเทียบเคียงเอา
    ทำบ่อยๆ เข้า เดี๋ยวคงพบคำตอบเอง ล่ะมั้ง นะ

    ต้นที่สอง การรู้ธรรม เกิดจากการรู้แจ้ง
    เอ้า..ยังไงล่ะเนี่ย จะรู้ธรรมได้ ต้องรู้แจ้งก่อนหรือ ตั้งโจทย์ผิดไปป่าว
    ต้องไปตั้งโปรแกรมให้เซลล์สมองใหม่ล่ะมั้ง นะ มันทำงานผิดขั้นตอนนะ ขอบอก

    ต้นที่สาม การใช้ปัญญาน่ะรู้แล้ว แต่ยังไม่รู้แจ้ง ยังไม่เกิดอาการหยั่งรู้
    อันนี้ก็อยู่ที่ชั่วโมงบินแล้วล่ะครับ จะให้เกิดฌานหยั่งรู้ได้โดยอัตโนมัติน่ะนะ
    นี่เป็นสิ่งที่ลุงมหาหนึ่ง กะลังจะบอก รออ่านก่อนละกัน ขี้เกียจโม้ เรื่องมันยาวน่ะ
    ๕๕๕ ขอยืมหน่อยนะ บุญชู ไม่รู้ภาคไหน หึหึหึ

    ต้นที่สี่ ปัญญาทางโลกกะทางธรรม มันคนละอย่างกัน
    นี่ก็เป็นข้อจำกัดทางภาษาล่ะครับ ที่เกาะนาฬิเกร์ก็พบปัญญานี้เช่นกัน
    คำเดียวกัน ใช้ด้วยกันสองโลก มันก็ยากที่จะแยกแยะ และชวนให้งงงวย หึหึหึ
    คำจำกัดความของเรื่องแบบนี้ มันกว้าง ลึก และยาวเหยียดเยอะแยะ และชวนให้งวยงง
    อาจจะยังขาดไอเท็มโยนิโสก็เป็นได้นะ หรืออาจจะมีไอเท็มนี้แล้ว
    แต่ระดับเลเวลยังไม่ถึง ก็ต้องสะสมเลเวลต่อไปล่ะครับ ๕๕๕

    ต้นที่ห้า สับสนเพราะข้อจำกัดทางด้านภาษา
    ก็คงไม่พ้น ต้องสะสมเลเวลโยนิโสเพิ่มเติม ให้รอบด้าน และหลากหลายกว่านี้
    รวมถึงชั่วโมงบินด้วยแหละครับ บินไปนานๆ ประสบการณ์จะช่วยท่านได้

    ต้นที่หก สรุปว่าตอนนี้ยังไม่รู้ แต่อยากรู้ เลยมาถาม เพื่อหาแนวทางเดิน
    ก็ทางเดินเค้ามีให้อยู่แล้วอ่ะนะ แต่ท่านอยากชิงสุกก่อนห่ามเอง เลยต้องปวดหัว ๕๕๕
    คงต้องฝึกฝนและค้นหาต่อไป ในวิถีแห่งกรรมฐานล่ะครับ
    ส่วนรายละเอียดและข้อแนะนำต่างๆ รอลุงมหาหนึ่งละกัน
    ท่านกะลังเรียบเรียงอยู่ เดี๋ยวคงออกจำหน่ายให้ลูกค้าฟรีๆ ๕๕๕ คิดว่างั้นนะ



    กระต่ายป่า แห่งหมู่บ้านในนิทาน / สมาคมพุทธะซาเปี้ยน

    .
     
  17. GenerationXXX

    GenerationXXX เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +2,163
    แจมด้วยคนนะครับ
    เรื่องรายละเอียดทั่วๆ ไปคงหาอ่านได้เยอะแยะอยู่ ขอบ่นเรื่องปัญญานี่นิดนึงก็แล้วกันครับ

    เคยสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมตั้งแต่เกิดมาจนตาย การเรียนรู้ของคนๆ นึงก็มีไม่น้อย ไม่ว่าจะความรู้โลกๆ ความรู้ในทางธรรม แต่ทำไมสุดท้ายเมื่อผ่านเรื่องราวมานานมากขึ้น เรากลับไม่ค่อยจะรู้อะไรเพิ่มเลย ถึงแม้ว่าเราจะเก่งขึ้น ฉลาดขึ้น เข้มแข็งขึ้น ราวกับว่าเมื่อถึงจุดๆ นึงที่เป็นตัวเราตอนนี้แล้ว มันเหมือนไม่มีอะไรเหลือเลย มีแต่ความว่างเปล่า
    จริงๆ แล้วเราเรียนรู้อะไรในชีวิต ถ้าลองสมมติดูว่าเราสามารถรู้ย้อนอดีตชาติไปได้ไม่จำกัด และสามารถรู้อนาคตล่วงหน้าได้ ได้เห็นเรื่องราวของตัวเองในชาตินั้นๆ เป็นคนเป็นสัตว์ พบเจอทั้งคนและสัตว์ สร้างเรื่องราวผูกพัน รู้ว่าแต่ละคนเกี่ยวเนื่องกับเราอย่างไร เพราะเหตุอะไร และเราต้องไปรับผลของกรรมอย่างไร ถ้ารู้ได้ขนาดนั้น เราคงไม่มีเรื่องสงสัยอีกแน่ๆ ไม่ว่าชีวิตนี้เราจะเจอเรื่องราวที่ดีและเลวร้ายขนาดไหน เราคงจะไม่สงสัยและไม่บ่นกับตัวเองว่าทำไมต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ ถ้าเป็นแบบนั้น ถ้าเป็นแบบนี้ และเมื่อไม่สงสัย เราเองจะรู้สึกและคิดอย่างไรต่อไป

    ที่เริ่มเรื่องชวนถามแบบนี้ เพราะที่สุดแล้ว ปัญญา คือการแก้ปัญหา ปัญหาที่เกิดจากใจเรา ที่ใจเราไม่สามารถจะยอมรับทุกข์ที่เกิดจากการมีร่างกายหรือขันธ์ห้าได้ ดังนั้นหัวหอกที่สำคัญที่จะทำให้เราทำในสิ่งที่ปรารถนาทุกอย่างและถึงที่สุดคือนิพพาน ก็คือปัญญานี่แหละ แต่อะไรเล่าคือปัญญาที่แท้จริง

    ถ้าลองค่อยๆ มองชีวิตของเราเอง ของคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แม้แต่สัตว์ หาเหตุที่แท้จริงของทุกเรื่องราว มันก็จะหนีไม่พ้นเรื่องของตัณหา และแม้จะไม่มีตัณหาก็ไม่พ้นอุปทาน และทั้งหมดทั้งมวลก็ดำเนินไปด้วยกรรม ปัญหาคือ ปัญญาที่แท้จริง ทำไมเราถึงยังทำไม่ได้ เข้าใจไม่ถึง ทั้งๆ ที่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยรู้มาก่อน แต่กลับรู้อยู่แล้ว จำได้อยู่แล้ว แต่ทำไมถึงยังไม่รู้แจ้งเสียที

    ทำไมเราถึงต้องรักษาศีล ต้องภาวนา ถึงจะเกิดปัญญา การคิดของเราไม่สามารถทำให้ปัญญาเกิดได้หรือ มันไม่เหมือนกับการคิดแก้ปัญหาแบบที่เราคุ้นเคยกันใช่หรือเปล่า แน่นอนว่าถ้ามันเป็นแบบเดียวกัน ป่านนี้เราคงไม่ต้องมาทุกข์กันอีกต่อไปแล้ว คงจะสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างให้ได้ตามที่ใจเราต้องการ แต่เพราะมันไม่ใช่เลย

    ทุกอย่างที่เราเคยชินกับการเรียนรู้มาไม่สามารถเอามาใช้ในเรื่องปัญญาเพื่อการหลุดพ้นได้เลย เพราะอะไร? นั่นเพราะปัญญาโลกๆ ทุกอย่างเป็นไปเพื่อการยึดถือยึดมั่นทั้งนั้น แม้จะสามารถควบคุมแก้ไขเกือบทุกเรื่องให้เป็นไปตามที่เราต้องการได้ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถรักษาให้มันคงสภาพ คงเรื่องราวให้เป็นตามใจได้อยู่ดี

    อุปมาเหมือนกับโลกนี้ทั้งหมด เป็นคนๆ นึง ที่ไม่ใช่ตัวเรา คนๆ นี้มีความคิดเป็นของตัวเอง มีนิสัย มีเรื่องราวทุกอย่างที่ถูกกำหนดขึ้นด้วยตัวของเขาเอง แต่ว่าเรากลับรักคนๆ นี้มากๆ มอบความเชื่อใจ ความไว้ใจ ทุ่มเททุกอย่างให้กับคนๆ นี้ และก็หวังว่าคนๆ นี้จะรักเราตอบ ทำตามในสิ่งที่เราต้องการ มีความคิดเห็นเป็นไปในทางเดียวกับเรา ไม่แสดงอาการที่เราไม่ชอบ แสดงแต่อาการที่เราพอใจ ถ้าโลกนี้หรือคนๆ นี้ เป็นคนๆ นึง

    เราคงจะเห็นความจริงได้ไม่ยาก แน่นอนว่าถึงที่สุดแล้วเราก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่สามารถจะไปบังคับเขาได้ ในทุกๆ เรื่องทุกๆ อย่าง ถ้าเป็นแบบนี้ เราจะยังรักคนๆ นี้ต่อไปไหวไหม แน่นอนว่าไม่ไหว เราคงต้องพลักไสไล่ส่งแน่นอน

    แต่ปรากฎว่ามีอีกคนนึง ที่เป็นคนๆ นึงที่รักเราเหมือนกับที่เรารัก เราชอบอะไร เขาก็ชอบด้วย เราคิดอะไรเขาก็คิดอย่างเดียวกับเราด้วย เราต้องการให้เขาทำอะไร เขาก็ยินดีจะทำให้ทุกอย่าง ถ้ามีคนแบบนี้ปรากฎ แน่นอนว่าคงไม่มีใครปฎิเสธแน่ๆ

    ทีนี้ลองเอาสองคนนี้มานั่งตรงหน้าแล้วเราเลือกดู ถ้าคนนึงเปรียบเหมือนโลกนี้ทั้งหมด อีกคนเปรียบเหมือนพระนิพพาน เราคงไม่ลังเลแน่นอนว่าเราต้องเลือกพระนิพพานแน่ๆ

    แต่ทำไมในความเป็นจริง เรากลับยังยินดีที่จะเกิดอยู่ต่อไป ยังยินดีที่จะแสวงหาสิ่งต่างๆ ตามที่เราปรารถนา ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงสิ่งที่อุปมาเปรียบเทียบให้เห็นแล้วนั้น ก็คือความเป็นจริง มันเป็นเพราะอะไรกันแน่ เราเห็นและไม่เห็นอะไร

    บ่นเยอะมากจริงๆ เอาแค่นี้ดีกว่า สรุปเลยแล้วกัน ปัญญาที่แท้จริงคือการยอมรับความจริงที่ว่าโลกก็คือโลก เราก็คือเรา ต่างคนต่างเป็น ต่างคนต่างไป ไม่มีอะไรที่เกี่ยวเนื่องกันเลย ตั้งแต่ต้น จนแม้ถึงที่สุดก็ไม่มีอะไรเกี่ยวกันเลย รู้อย่างนี้หมดทุกเรื่องราวจนไม่สงสัย เมื่อนั้นปัญญาที่แท้จริงก็จะเกิดและเกิดเป็นครั้งสุดท้าย จริงๆ
     
  18. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    ขึ้นต้นเหมือนโพสท์ก่อนเลย หึหึหึ

    อ้าว..แหม ก็ไม่บอกให้ชัดเจน
    ว่าสูงต่ำ คือโลกุ กะโลกีอ่ะนะ


    และต่อด้วย
    อ้าว..แล้วตกลงจะเอาไงกันแน่ฟะ
    เอามันเป็นเรื่องๆ ไปดิ ไหลไปเรื่อยแบบนี้ งงนะ ขอบอก


    ท่านขึ้นต้นมาด้วย ปัญญาในระดับสามัญคือการประยุกต์ใช้ความรู้ให้เกิดประโยชน์
    เราก็ขึ้นต้นเดียวกะท่าน คือต้น "การประยุกต์ใช้ความรู้ให้เกิดประโยชน์"
    แต่แล้ว ท่านก็ลง แล้วไปขึ้นต้นอื่นอีก ว่า


    ปัญญาในระดับโลกีย ผมไม่อยากจะเรียกว่าเป็นปัญญาขั้นสูงเลย
    เพราะ คนระดับปุถุชนอย่างเรา ๆ ใช้กันถมถื่น
    ปัญญาระดับโลกุตระผมว่าถึงจะเป็นปัญญาขั้นสูงที่แท้จริง

    เราก็ตามไปขึ้นต้นเดียวกะท่านอีก คือต้น "การใช้ปัญญา ทั้งโลกุ และโลกิ คือสิ่งเดียวกัน"
    แต่แล้ว ท่านก็ลง แล้วไปขึ้นต้นอื่นอีก ทีนี้ขึ้นทีเดียวหลายต้นเลย
    แล้วตูจะตามไปขึ้นต้นไหนก่อนหลังล่ะหว่า งงแล้วทีนี้ ๕๕๕

    เอาก็เอาวะ ตามมันไปทีละต้นละกันนะ เนอะ หึหึหึ

    ต้นแรก ยังไม่มีฌาน เลยสรุปไม่ได้ ว่าสองปัญญามันต่างกันจริงหรือไม่
    //กรุณา เติมประโยคที่ว่า เห็นตามสภาวะความเป็นจริงต่อให้ผมด้วยครับ เพราะ การเห็นตามสภาวะความเป็นจริงสำคัญมาก เนื่องจากเป็นเหมือนหางเสือที่จะนำพาให้มุ่งตรงไปสู่การบรรลุธรรมเลย ถ้าเห็นไม่จริงก็หลงอย่างเดียวครับ ไม่ว่าจะรู้แจ้งหรือไม่แจ้ง ถ้าขาดคำว่าตามสภาวะความเป็นจริง หลงแน่ ๆ ไม่แก้ตัวละกัน ข้อนี้ผมพูดเจาะจงเกินไปเองแหละ ไม่รู้แจ้งไปซะทุกเรื่องรู้แจ้งเฉพาะบางเรื่องก็เห็นธรรมได้ ไม่รู้แจ้งในเรื่องใด ๆ เลย รู้บ้างไม่รู้บ้างก็รูเห็นธรรมได้ แต่ธรรมที่เห็นมามันก็อาจยังไม่กระจ่าง ตามความรู้ที่ไม่แจ้งนั่นแหละ เฮ้อ บางทีก็คิดอยู่เหมือนกันว่านี่คงเป็นเพราะเราไม่ค่อยสื่อสารกะคนอื่น เลยสื่อสารกัะนอื่นไม่ค่อยเข้าใจ = ="

    คำว่ารู้ธรรม กับ เห็นธรรม ท่านว่ามันมีความหมายเหมือนหรือต่างกันอย่างไร?

    ปัญญาที่เที่ยงแท้ที่สุดจะมาจากความรู้ในธรรมที่แจ้งกระจ่างที่สุด ถ้าท่านเข้าใจอะไรไม่กระจ่างท่านก็แค่เห็นธรรมในระดับหนึ่ง ถ้ารู้ขึ้นมาอีกหน่อยก็จะเห็นธรรมขึ้นไปอีกมิติหนึ่ง

    บางคนไม่จำเป็นต้องรู้กระจ่างทั้งหมดก็อาจเห็นธรรมได้ แต่ถ้าหากเรารู้อย่างไม่แจ้งกระจ่างก็อาจทำให้เราหลงได้ ถ้าท่านไม่เคยหลงเลยก็เปนโชคดีของท่าน ไอ้กระผมมันขี้สงสัยน่ะ เลยต้องการรู้ให้แจ้ง จะได้เห็นธรรมได้กว้าง ๆ ไปจนถึงขั้นรู้ตลอดเลย ท่านจะมักน้อยก็แล่วแต๊ แต่ผมปรารถนาพุทธภูมิ[/COLOR]


    //ย้อนอดีตไปเมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น บลา ๆ ๆ ๆ ๆ....

    //ตรงนี้ไม่ต้องเอามาพูดก็ได้ เพราะผมไม่ได้ยืนยันว่าเป็นอย่างนั้น ผมในแบบที่ว่าผมได้ยินอาจารย์หลายท่านพูดมาอย่างนี้ สงสัยท่านเบื่อที่จะอ่านข้อความของผมแล้วสรุปเลยว่าผมยืนยันว่าอย่างนี้มั้งเนี่ย เอ้า แล้วแต่ ยังไงก็เอา
    บางทีการใช้ความคิดครึกตรองจินตนาการโดยมีพื้นฐานจากความเป็นจริงอยู่บ้างก็ทำให้เกิดปัญญาในทางพระได้ แต่ถ้าเราตั้งโจทย์ไว้โดยที่ใส่ตัวแปรในโจทย์ผิด โอกาศที่จะได้คำตอบที่ไม่ถูกต้องมันก็มีสูง
    หรือแม้แต่ถ้าเราแน่ใจว่า ตั้งโจทย์มาแบบนี้ มั่นใจว่าใส่ตัวแปรอย่างนี้แล้ว คำตอบที่ได้มันต้องเป็นอย่างนี้แน่ ๆ พอเราลงมือทำ เราอาจได้คำตอบเป็นอย่างอื่น เพราะเราแค่คิดว่าเราใส่ตัวแปรถูกแล้ว แต่ที่จริง เราใส่ตัวแปรผิดโดยที่เราคิดว่าถูกเสียเอง
    หรือไม่ก็ ใส่ตัวแปรที่คิดว่าถูก ใช้วิธีทำที่คิดว่าถูก คำตอบที่เราได้มาเราก็คิดว่ามันจะถูก แต่ที่จริงแล้ว มันไม่มีอะไรถูกเลยตั้งแต่ต้น - - ไอ้ที่คิดว่ามันถูกแน่ ๆ มันก็เลยถูกแต่ในความคิดของตัวเอง อย่างที่ท่านอาจจะเห็นจากผม และผมอาจจะเห็นจากท่าน ชิมิชิมิ

    บางทีเราไม่รู้ตัวหรอกว่าเราผิด เราจึงต้องให้คนอื่นชี้

    แนวทางของผมก็คือ ไม่ประมาทในการตรวจสอบคำตอบที่ตนยังไม่รู้ หรือยังไม่เชื่ออย่างสนิทใจครับ ความรู้ที่เกิดจากการรู้แจ้งเห็นจริง จะนำไปสู่ปัญญาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด



    //เรื่องทางเดินและเรื่องชิงสุกก่อนห่ามเนี่ย อันนี้เป็นความคิดของตัวท่านเอง เป็นการคาดการของท่านเอง ผมว่าผมเดินระวังมากโขอยู่ละกันสำหรับตัวเองนะ

    การศึกษาธรรมของผมส่วนหนึ่งคือการดูอาการของตัวเองเฉย ๆ ให้รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรรู้สึกอะไรอยู่ ไม่ได้ระวังหรือควบคุมอาการของตนเองปล่อยให้มันเป็นไปตามอุปนิสัยส่วนตัวไปก่อน ให้มันมีอะไรให้รู้ตัวบ่อย ๆ เรื่อย ๆ ถ้าต้องการก้าวหน้ากว่านี้ก็ค่อยควบคุมทีหลัง ดังนั้นมันจะไปขวางหูขวางตาใครก็ไม่แปลก
    สิ่งที่ท่านกล่าวมาเป็นการทึกทักเอาเองของท่าน ท่านได้อ่านผมพูดแค่ประโยคสองประโยคก็รู้ไส้รู้พุงผมหมดละเหรอครับ ถ้าใช้วิธีพิจารณาธรรมอย่างที่ท่านทำ ๆ อยู่ อย่างการพิจารณาตัวผม ระวังจะหลงเอานะ


    โต้ตอบกันไปกันมาเพราะมานะเกิด - -" บางทีการพิมพ์อะไรโดยไม่คิดอะไรเลยก็ทำให้ใคร ๆ เกิดมานะได้เหมือนกัน - - ข้อเสียของการไม่มีสังคมมาแต่เด็กของตัวผมมันก็เป็นเยี่ยงนี้ 555 ส่วนใหญ่ผมจะเบื่อที่จะต้องระวังคำพูดคำจาอะไรมากมายน่ะ เพราะคนเราไม่มีอะไรเกี่ยวกันอยู่แล้ว ถ้าเราไม่เป็นฝ่ายเอาใจมายึดโยงกับอะไรของอีกฝ่ายเอาไว้เสียเอง ธรรมดาของมนุษย์มักไม่ชอบสิ่งที่ทคนอื่นทำแล้วทำให้ตนไม่พอใจ แต่ผมแค่เห็นประโยชน์จากการถกเถียงกันว่ามันจะทำให้ตกผลึกความรู้ใหม่ ๆ ขึ้นมาเท่านั้นเอง

    ปุถุชนสอนกันและกันให้สร้างตัวตน พระพุทธเจ้าสอนเราให้ละวางตัวตน *.*

    บางคนอาจจะกำลังคิดว่าผมจะอวดฉลาด อันที่จริงแล้ว ผมไม่ได้ฉลาดอะไรนักหนาหรอกครับ ไม่งั้นคงไม่ได้พิมพ์อะไรวก ๆ วน ๆ จน หลาย ๆ คนไม่เข้าใจหรอก ผมแค่อยากพูดในสิ่งที่ตนคิดเท่านั้นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2015
  19. Silver11Wing

    Silver11Wing ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +570
    ขออนุญาติแสดงความคิดเห็นด้วยครับ

    ตามที่ผมรู้และเข้าใจนั้น

    คำว่า ปัญญา ที่เราใช้กันทั่วไป ในทางโลก กับ ปัญญาทางธรรม ที่เป็นโลกียะ กับ โลกุตระ นั้นต่างกันครับ

    ปัญญาที่ใช้กันในทางโลก คือ ปัญญาที่เกิดจากการคิด วิเคราะห์ โดยใช้ความรู้เดิมที่มีอยู่ในโลกมาประยุกต์ใช้ เพื่อหาคำตอบ แก้ปัญหา สร้างสรรค์สิ่งใหม่ และมีองค์ความรู้เพิ่มขึ้น เพื่อไปใช้คิด วิเคราะห์ต่ออีก

    ส่วน ปัญญาทางธรรม นั้นแบ่งเป็น โลกียะ และ โลกุตระ

    ปัญญาทางธรรม ที่เป็นโลกียะในเบื้องต้น นั้นมีหลักการคล้าย ปัญญาที่ใช้กันในทางโลก คือ ต้องคิด วิเคราะห์

    แต่ต่างกันที่ความรู้ที่นำมาคิด วิเคราะห์นั้น จะมาจากเรื่องของธรรม เรื่องของจิต และใจ

    และต่างกันที่เป้าหมายด้วย คือ ปัญญาทางธรรม ที่เป็นโลกียะในเบื้องต้น นั้นเน้น คิด วิเคราะห์ เพื่อให้มนุษย์มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขที่แท้จริงในโลก (ย้ำคำว่า มีชีวิตอยู่ กับความสุขที่แท้จริงในโลก นะครับ)
    และเพื่อให้เข้าใกล้ ปัญญาทางธรรม ที่เป็นโลกียะในระดับที่สูงขึ้น และสุดท้ายคือไปถึงโลกุตระธรรมครับ

    ส่วนปัญญาทางธรรม ที่เป็นโลกียะในระดับที่สูงขึ้นนั้น

    ถ้าใครไม่เคยปฏิบัติธรรมจนถึงระดับหนึ่ง ที่สามารถเข้าถึงสภาวะที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ที่สามารถแยกได้ว่า สมอง จิต และใจ ต่างกันยังไง และอะไรคือตัวตนของเราที่แท้จริง

    จะไม่สามารถเข้าใจ หรือรู้สึกขัดแย้ง หรือรู้สึกไม่เชื่อ หรือนึกภาพไม่ออกว่ามันเป็นยังไงแน่ สิ่งที่เรียกว่า ปัญญาทางธรรม ที่เป็นโลกียะระดับสูง

    ปัญญาระดับนี้จะรู้ได้โดยไม่ต้องคิด วิเคราะห์ ด้วยสมอง จะรู้ได้ด้วยจิต และใจ

    แต่ปัญญาระดับนี้ ก็ยังดีไม่พอที่จะทำให้เรานั้นหลุดพ้นจากวัฏสงสารครับ


    ต้องไปให้ถึง ปัญญาทางธรรม ที่เป็นโลกุตระ ครับ ที่จะทำให้เราหลุดพ้น และมีความสุขอย่างแท้จริง จริงๆครับ เป็นปัญญาที่อยู่เหนือทางโลก ทำให้จิตรู้แจ้ง เห็นจริง และใจหมดสิ้นกิเลส เมื่อถึงจุดนั้นก็จะหลุดพ้นจากวัฏสงสารครับ
     
  20. Silver11Wing

    Silver11Wing ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +570
    ขอสรุปอีกครั้ง เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจน


    คำว่า "ปัญญา" ที่ใช้กันทั่วไปในโลก >> คิด วิเคราะห์ >> หาคำตอบ สร้างสรรค์ >> เพื่อประโยชน์ในทางโลก


    ปัญญาทางธรรม ที่เป็นโลกียะ เบื้องต้น >> คิด วิเคราะห์ >> หาคำตอบ >> เพื่อความสุขที่แท้จริง ในทางโลก


    ปัญญาทางธรรม ที่เป็นโลกียะ ระดับสูง >> ผ่านการปฏิบัติธรรม บางรูปแบบ ที่ทำให้มีกำลังสติ กำลังสมาธิ สูงขึ้น >> จนผ่านระดับรู้ตัวตน แบ่งแยก สมอง จิต และใจ ได้ >> จนถึงระดับ ที่จิต และใจ มีกำลังมาก >> สามารถรู้ได้ด้วย จิต และใจ >> หาคำตอบ >> เพื่อความสุขที่แท้จริง ในทางโลก


    ปัญญาทางธรรม ที่เป็นโลกุตระ >> ปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง >> มีกำลังสติ กำลังสมาธิสูงมาก >> ใช้กำลังสติ กำลังสมาธิ พิจารณาตามแนวทางวิปัสสนากรรมฐาน >> จิตรู้แจ้ง เห็นจริง ใจหมดสิ้นกิเลส >> สำเร็จบรรลุธรรม หลุดพ้นจากเรื่้องทางโลก >> หลุดพ้นจากวัฏสงสาร มีความสุขอย่างแท้จริง จริงๆ


    ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่มาศึกษาและวิเคราะห์ธรรมด้วยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...