ข่าวสารจากจิตจักรวาล

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 12 มกราคม 2007.

  1. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,611
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD colSpan=3>
    เหตุการณ์ตามลิขิตที่เจ้าเขียน
    สึนามิ ...ก้าวแรกแห่งการปรับสมดุลพลังงานจักรวาลบนแผ่นดินเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี ๒๐๐๔ (วันที่ 26 ธันวาคม 2547 เวลา 9.19 นาที) มนุษย์น้อยๆ ทั้งหลาย... รู้หรือไม่ว่า เจ้าคือเศษของธุลีแห่งจักรวาลนี้เท่านั้น รู้หรือไม่ว่าตำแหน่งของตัวเจ้าที่วางไว้ และบทบาทในความเป็นมนุษย์ของเจ้านั้น มีความสำคัญต่อการเคลื่อนหมุน และความเป็นไปของจักรวาลนี้อย่างไร เมื่อเจ้าอุบัติขึ้นบนดาวเคราะห์ดวงนี้ได้สร้างเผ่าพันธุ์จนมากมายมาตราบกระทั่ง ถึงกาลเวลา นี้พร้อมกับสรรพชีวิตทั้งปวง เจ้าได้โอกาสในการสร้างกรรมดีและเลวตามใจของเจ้ากำหนด ด้วยการมีตำแหน่ง อยู่ในภพกึ่งกลางแห่งสรรพชีวิต และจิตบนดาวดวงที่สามในระบบสุริยะ ซึ่งมีความสำคัญยิ่งต่ออายุของจักรวาลแห่งนี้ ทำไมเป็นเช่นนี้เล่า.. เจ้าคงไม่ซาบซึ้งต่อภาระหน้าที่นี้ดอก.. เพราะเหตุที่ว่าเจ้าไม่รู้ตำแหน่ง และหน้าที่ของตน.. เจ้าเศษธุลีแห่งจักรวาลทั้งหลาย จึงหมายเอาชนะธรรมชาติที่มีอาณาเขตไม่สิ้นสุดน ี้โดยความหยิ่งลำพองในวิชาวิทยาศาสตร์ว่า ด้วยวัตถุและจิตอันเร่งร้อนของเจ้าว่า สามารถสร้างความวิเศษได้โดยมิมีสิ่งใดมาเปรียบเทียบทัน มนุษย์เอ๋ย เจ้าหารู้ไม่ว่าโดยแท้จริงแล้วมันเป็นเพียงวิชาที่เอาชนะกันในหมู่เจ้า และสรรพชีวิตที่หากินบนเปลือกโลกนี้เท่านั้น เจ้าคงไม่รู้ว่าจักรวาลอื่นๆที่อยู่ห่างไกล โพ้นนั้นศิวิไลซ์ไปกว่าสุริยะจักรวาลของเจ้านัก โลกแห่งความเท่าเทียมกัน ทั้งกายหยาบและจิตของสรรพชีวิตมีพร้อมสมดุลอยู่ ณ ที่นั่น มีความสมดุลมานานนับกาลเวลานานกว่าจะเทียบกับจักรวาลของเจ้ามากนัก และมนุษย์เหล่านั้นก็มาศึกษาหาความรู้บน โลกใบนี้อย่างต่อเนื่อง ทำไมเป็นเช่นนี้... มนุษย์คิดว่าต้องก้าวไกลเพื่อเสาะแสวงหาที่อยู่ใหม่บนดาวดวงอื่น เมื่อโลกใบนี้ดับลงด้วยการเกิดการสงคราม ที่เจ้าเรียก และปรารถนากัน ทำไมเจ้ามนุษย์ทุกตัวตนไม่คิดจรรโลงโลกใบนี้ให้มีอายุยืนยาวที่สุด เพราะว่ามันง่ายกว่าที่เจ้าคิดละทิ้งไปอย่างประมาณมิได้ ในทางตรงกันข้ามเจ้าบอกตนเองว่าเป็นผู้ศิวิไลซ์ แต่เจ้ากลับมีวิถีการหมุนเคลื่อนตัวเองเพื่อการทำลายกันเอง ยังไม่พอ..เจ้ามุ่งทำลาย สรรพชีวิตที่คิดว่าต่ำกว่าเจ้าอีกซ้ำ น่าสงสารสัตว์ทั้งหลายที่หมายพึ่งพาเจ้ามนุษย์น้อยๆ ที่โง่เขลาเหล่านี้ ณ กาลเวลานี้ น้ำบอกว่าเจ้าเป็นผู้พ่ายแพ้แล้ว อีกภายในหนึ่งรอบการหมุนของโลกรอบดวงสุริยะเจ้าก็จะพ่ายแพ้ต่อไฟอีก ยิ่งกว่านั้นเจ้ามนุษย์เอ๋ยเจ้าต้องย่อยยับจากลมซ้ำอีกครา สุดท้ายอีกหนึ่งรอบนักษัตรเจ้าจะสูญเสียแผ่นดินที่ใหญ่ที่สุดไปด้วยน้ำ ถึงเวลานั้นเมื่อใดเจ้าคงอยู่กับความสูญเสียจนชินชาเป็นแน่ ไม่ต้องนึกก็คงรู้ได้ว่าเจ้าหมดหนทางเดินไปสู่แดนศิวิไลซ์ที่แท้จริงเสียแล้ว คงเหลือแต่ร่องรอยแห่งความศิวิไลซ์ของเจ้าซินะ ท้ายที่สุดเจ้าจะหมดสิ้นทุกสิ่งที่เรียกว่า มนุษย์ ภายในอีกเพียงหนึ่งศตวรรษนี้เท่านั้น เจ้าคงนึกหัวเราะร่าอยู่ในใจ แต่ขณะเดียวกันจิตของเจ้าก็จะระทมทุกข์มากขึ้นทุกๆ ขณะเช่นกัน ประโยคนี้ มันบอกความเป็นไปของเจ้าพร้อมคำตอบทั้งหมดแล้ว รวมถึงคำเฉลยเรื่องการหมุนเคลื่อนของระบบสุริยะที่จบลงอย่างชัดเจน แต่น่าเสียดายที่เศษธุลีของจักรวาลเหล่าน ี้ไม่รู้จักตัวตนต้องลำบากที่จะไขกระจายความรู้ให้สว่าง จึงมีซากต้นไม้เปื้อนสีให้มองแบบพินิจพิเคราะห์กัน เจ้าเคยได้ยินไหมว่า ระบบสุริยะของเจ้ามีดวงดาวบริวารดวงที่สิบชื่อ นาซิน ซึ่งดาวดวงนี้ได้ถูกตั้งชื่อไว้ก่อนที่มนุษย์จะตั้งชื่อมันว่า เซดน่า ดาวดวงนี้เองที่มันมีอิทธิพลต่อสนามแม่เหล็กแห่งระบบสุริยะของเจ้ามากที่สุดด้วยว่า มันประกอบด้วยธาตุคล้ายเหล็กไหล และหมุนครบรอบวงโคจรอย่างรวดเร็วที่สุด เจ้ารู้ไหมว่าสุริยะของเจ้ามีอายุมากขึ้นจึงมีสัณฐานที่ป่องออก และแบนกว่าเดิม และเจ้ารู้ไหมว่า กรรมของเจ้าทั้งหมดส่งผลต่อสนามแม่เหล็กแห่งระบบสุริยะอย่างใหญ่หลวงนักอย่างที่เจ้า เรียกกันว่า ​
     
  2. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,611
    หากจะเอ่ยชื่อของบุรุษท่านนี้ อาจารย์ปริญญา ตันสกุล หลายคนอาจจะนึกถึงหนึ่งในอดีตผู้นำนักศึกษายุค 14 ตุลา แต่วันนี้ อาจารย์เป็นที่รู้จักในนาม นักวิทยาศาสตร์พฤติกรรม มีความเชี่ยวชาญในการพูดบรรยาย และเขียนหนังสือเกี่ยวกับการแก้ไขพฤติกรรมที่บกพร่องของบุคลากร
    อาจารย์ปริญญาเป็นวิทยากรอำนวยการ ของสถาบันพัฒนาพฤติกรรมมนุษย์ HMDC รับเชิญจากองค์กร ทั้งภาครัฐบาลและเอกชนทั่วประเทศ ไปบรรยาย ฝึกอบรม สัมมนา ฝึกอบรมปฏิบัติการเพื่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมนุษย์ ผ่านจิตสำนึก ด้วยวิธีที่ท่านคิดค้นขึ้นมาเรียกว่า "ไซโคโชว์"
    แต่แรงจูงใจที่พาเราไปพบ และสัมภาษณ์อาจารย์ปริญญาในครั้งนี้ มิใช่เรื่องที่กล่าวมาข้างต้น หากเป็นเรื่องของการเตือนภัยไว้ล่วงหน้าเกี่ยวกับคลื่นยักษ์สึนามิ โดยการเขียนหนังสือชื่อ "11:11 วันเวลาที่สิบเอ็ด รหัสแห่งหายนะโลก" พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2544 และในปีเดียวกันนั้น อาจารย์ปริญญาก็ได้จัดคณะทัวร์ลงไปภาคใต้ ทั้งเกาะภูเก็ต พังงา ท้ายเหมือง ตะกั่วป่า สุราษฎร์ธานี เพื่อบอกข่าวร้ายนี้ให้ชาวใต้ได้ทราบและเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับมัน แต่กลับไม่มีใครเชื่อหรือให้ความสนใจ จนสองปีผ่านไป เหตุการณ์นั้นก็ได้เกิดขึ้นจริงตามที่เป็นข่าวไปทั่วโลก
    มีคำถามว่า อาจารย์ปริญญาทราบได้อย่างไรว่าจะเกิดสึนามิในอนาคตข้างหน้า?...
    คำตอบที่อาจารย์ปริญญาสละเวลามานั่งอธิบายอย่างเป็นขั้นเป็นตอนให้เราทราบ อยู่ในบรรทัดต่อไปนี้...
    อยากทราบว่าตอนนี้อาจารย์ทำอะไรบ้างคะ
    "สิ่งที่ผมทำอยู่ตอนนี้ก็คือ คิดสร้างทฤษฎีขึ้นมา ซึ่งเป็นทฤษฎีทางด้านวิทยาศาสตร์พฤติกรรมขึ้นมา ที่ผมเรียกว่า ทฤษฎีการถ่ายทอดพฤติกรรมผ่านจิตสำนึกของมนุษย์ แล้วก็สร้างกลยุทธ์ขึ้นมารองรับทฤษฎี ซึ่งเป็นความเชื่อของตัวเอง ผมเรียกมันว่า "ไซโคโชว์" ย่อมาจากคำว่า psychology และ show ที่แปลว่า แสดง...
    ผมสร้างตัวนี้ขึ้นมา เพื่อแก้ไขพฤติกรรมขยะของมนุษย์ และสร้างทักษะในการสั่นสะเทือนจากจิตสำนึกให้กับมนุษย์ ผมเชื่อว่า พฤติกรรมมนุษย์นั้น ไม่ได้เกิดมาจากอารมณ์ ความรู้สึก อย่างเดียว แต่มีบ่อเกิดของพฤติกรรมที่เราแสดงออกกันทั้งวัน เราเคยร่ำเรียนจากเมืองนอกกันมา เราเน้นแต่ในเรื่องจูงใจ อยากให้ใครเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมก็นำสิ่งล่อใจมาจูงใจ จูงด้านบวกบ้าง จูงด้านลบบ้าง ประเทศที่ด้อยพัฒนาทั้งหลายก็นำตัวนี้ไปใช้กัน ซึ่งผมมองเห็นว่าประเทศไทยเราเป็นเมืองพุทธ พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนว่า อย่า-อยู่-อย่าง-อยาก ท่านไม่ได้พูดสั้น ๆ อย่างนี้ อันนี้เป็นคำที่ผมนำมาสรุปเอง ท่านทรงสอนให้ละวางกิเลส ปฏิเสธปัญหา แต่ทฤษฎีของฝรั่งที่ว่าด้วยการจูงใจนั้น เป็นการกระตุ้น "ต่อมอยาก" ของมนุษย์ มนุษย์จะไม่ทำความดี ถ้ามองไม่เห็นว่าทำดีแล้วจะได้อะไรตอบแทน มนุษย์จะไม่ยอมเลิกทำชั่ว ถ้าไม่กลัวว่าทำชั่วแล้วจะติดคุก หรือถูกประหารชีวิต ทุกวันนี้ก็ยังมีคนทำชั่ว ยังไม่หยุดทำ เพราะจิตสำนึกบกพร่อง และอีกอย่างหนึ่งก็คือ เพราะเราไปกระตุ้นต่อมอยากของมนุษย์ซะจนเคยตัว มนุษย์จะทำสิ่งใดเพียงเพราะว่าอยากทำ จะไม่ทำสิ่งใดเพียงเพราะแค่ไม่อยากทำ ทั้งที่จริงๆแล้วสิ่งนั้นไม่ควรทำ ก็ดันไปทำ แต่สิ่งที่ควรจะทำกลับไม่ทำ ไม่ว่าจะเป็นทางธรรมะ ที่เราสอนกัน ทำบุญเบื้องล่างเอาไปสร้างเบื้องบน ทำบุญหลายหนได้กุศลหลายครั้ง นี่คือคำเชิญชวนของชาวพุทธ ซึ่งนี่คือ ตะแบง พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้นเลย
    ทุกวันนี้คนทำบุญเพราะอยากไปสวรรค์ ไม่ได้ทำบุญหรือทำความดีงาม เพราะเห็นว่ามันดี อย่างนี้เรียกทำความดีงามแต่ก็งมงาย ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์ที่ผมศึกษาถือว่าเป็นโมฆะกรรม เพราะทำดีแต่งมงาย คุณต้องทำดีให้ได้ด้วยจิตสำนึกของตัวคุณเอง นั่นคือสิ่งที่ผมศึกษา..."
    อาจารย์ช่วยให้คำจำกัดความของคำว่า "งมงาย" หน่อยค่ะ
    "งมงาย แปลว่า ทำหรือเชื่อในสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิดก็ตาม เชื่อหรือทำในสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยไม่อาจอธิบายได้ว่า มันดีหรือมีประโยชน์อย่างไร มันคืออะไร...
    คำว่างมงายก็คือ เชื่อทันทีที่ได้ฟัง ปฏิเสธทันทีที่ได้ยิน มันต้องใช้สติปัญญาในการไตร่ตรองพิจารณาก่อน เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ มีจิตสำนึกที่สัตว์เดรัจฉานไม่มี ศูนย์กลางของการสั่นสะเทือนทางจิตของมนุษย์ก็คือ สติปัญญาที่ได้จากการใช้สมองให้เป็น และจุดศูนย์กลางของการขับเคลื่อนพฤติกรรมทางความคิด และพฤติกรรมทางกายหยาบก็คือ ความรัก สัตว์มีความรักแน่ เพราะเขามีความไร้เดียงสา ถ้ามนุษย์เรารักกันไม่เป็น รักกันไม่ได้ ก็ต้องอายหมา อายสัตว์เดรัจฉาน ถ้าเราไม่รู้จักรักกัน เหมือนอย่างที่เขาด่ากันว่า ขนาดหมาแมวก็ยังรักลูก แต่มนุษย์บางคนเลวกว่าสัตว์เพราะรักไม่เป็น..."
    กลับมาที่ทฤษฎีที่อาจารย์บอกว่าสร้างขึ้นมานั้น เป็นประโยชน์อะไรบ้างกับมนุษย์
    "ทฤษฎีวิทยาศาสตร์ทางด้านจิตวิทยาที่ผมค้นพบ คือต้องการให้มนุษย์แสดงอำนาจในตัวเองออกมา โดยการค้นหาอำนาจในตัวเองให้พบ อำนาจที่แท้จริงก็คือ อำนาจที่ต้องได้มาจากการสั่นสะเทือนทางจิตสำนึก ไม่ใช่อำนาจที่ได้จากการถูกจูงใจ เมืองนอกเมืองนาผมก็ไปเรียนมา และค้นพบว่าการจูงใจนั้นทำให้มนุษย์เราสันดานเสีย ถ้าเราสอนลูกหลานว่า กลับถึงบ้านต้องขยันอ่านหนังสือ ถ้าไม่มีอะไรจูงใจ ไม่ขู่ว่าจะตี ไม่คอยจ้ำจี้จ้ำไช ลูกก็อาจจะไม่ทำ มัวแต่ดูการ์ตูน แต่ถ้าบอกลูกว่า ถ้าทำการบ้านเสร็จ แม่จะให้เล่นเกม ลูกจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทันที แต่ในขณะที่ทำการบ้าน ใจก็มุ่งไปที่เกมแล้ว เด็กก็รีบทำให้เสร็จเร็ว ๆ จะได้ไปเล่นต่อ ซึ่งตรงนั้นเป็นพฤติกรรมที่เบี่ยงเบน เพราะจริง ๆ เด็กยังไม่ได้รักการอ่าน การทำการบ้าน แต่รักการเล่นต่างหาก เด็กทำเพราะเป็นสิ่งที่แม่ต้องการให้ทำ หรือทำเพื่อตัวเองจะได้ไปเล่น แต่ไม่ได้มีจิตสำนึกที่จะทำ"
    แล้วจะสอนอย่างไรให้เด็กมีจิตสำนึกล่ะคะ
    "สิ่งแรกที่ต้องทำคือ แม่ต้องเลิกใช้วิธีนี้ ทุกวันนี้สถาบันครอบครัวในสังคมไทยเราล้มเหลว โดยเฉพาะคนที่อยู่ในเมือง เพียงแต่ว่าเราเองเห็นภาพไม่ชัดเจน เช่น เด็กที่ยกพวกไปตีกัน ไปสืบประวัติดูก็พบว่า พ่อแม่ก็มีนะ แต่ไม่มีเวลาดูแลลูก หรือเลี้ยงลูกแบบทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ มาตั้งแต่เด็ก หรือเด็กที่มีปัญหาท้อง แท้ง ทิ้ง ก็มาจากโครงสร้างของสังคมล้มเหลว หรือแม้กระทั่ง 5 จังหวัดภาคใต้ อาจารย์ได้รับเชิญจากกระทรวงมหาดไทยให้ไปทำไซโคโชว์ให้ ทำได้แค่ 2-3 รุ่น เพราะมีปัญหาบางอย่างเลยทำให้ทำต่อไม่ได้ ผมทำให้ฟรี เสียสละทุกอย่าง เพราะอยากช่วยประเทศชาติ
    ผมมาทำตรงนี้เพราะผมสำนึกได้ว่ามันเป็นหน้าที่ของผม มนุษย์เรามีหน้าที่สองด้าน คือหน้าที่ทางโลก และหน้าที่ทางจิตวิญญาณ ผมศึกษาวิทยาศาสตร์ทางจิต แล้วก็ค้นพบทฤษฎีอะไรมากมายเกี่ยวกับมนุษย์ และค้นพบแม้กระทั่งสึนามิจะเกิด ผมยังเป็นคนเตือนคนในประเทศไทยเอาไว้ ผมลงทุนพาชาวคณะจากกรุงเทพฯ 2 คันรถบัสไปเตือนคนที่เกาะภูเก็ต ประมาณปี 44 ผมไปถึง 2 ครั้ง แต่เชื่อมั้ย ไม่มีใครสนใจ แม้แต่นายกเทศมนตรีของภูเก็ต ฟังผมพูดไม่ทันถึง 5 นาที ก็ลุกเดินออกจากห้องไปเลย..."
    เราชาวพุทธเคยได้รับการสั่งสอนมาว่ามนุษย์เกิดมาเพื่อใช้กรรม สำหรับทฤษฎีของอาจารย์นี่มนุษย์เราเกิดมาเพื่ออะไรคะ
    "...มนุษย์เราทุกคนที่มาเกิดในโลกย่อมมีหน้าที่ติดตัวมาด้วยทุกคน คือหน้าที่ทางจิตวิญญาณ ไม่ว่าจะเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำประเทศ หรือเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำทางศาสนา เพื่อเป็นแม่ทัพนายกอง หรือเพื่อจะมาเป็นแบบนายกรัฐมนตรี หรือจะเป็นใครก็ตามทุกคนมีหน้าที่ทางจิตวิญญาณ แต่ว่าคนบางคนเกิดมาทั้งภพชาติ ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำหน้าที่อะไร เลยต้องเวียนตายเวียนเกิดกันพอสมควร...
    บังเอิญผมโชคดีที่ผมศึกษา เรียนรู้ และค้นพบว่าตัวผมเองมีหน้าที่ต้องทำสิ่งใด ซึ่งหน้าที่ของผมก็คือ ต้องเป็นบุรุษไปรษณีย์ ให้กับพี่น้องประชาชนที่อยู่ในยุคนี้ด้วยกัน เป็นบุรุษไปรษณีย์รับสารจากผู้ที่มีข่าวสารจากคนละมิติกัน ซึ่งผมเรียกว่า จิตจักรวาล ใช้ระบบจิตสื่อจิต เป็นวิธีพิเศษที่เราใช้จิตเราร่วมกับสมองซีกขวาและซีกซ้ายเพื่อให้เกิดปัญญา
    การสื่อกับจิตจักรวาลที่ผมพูดถึงนี้ก็คือ ผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของมนุษย์ทุก ๆ คน และเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง ถ้าเป็นศาสนาคริสต์ เขาเรียกว่า God แต่ผมกลัวคนจะสับสน เพราะผมเป็นพุทธ ผมก็เลยขอพระนามพระองค์ว่า จิตจักรวาลคำว่าจิตแปลว่า แก่นแท้ จักรวาล ก็คือ สนามพลังงานสากลที่กว้างใหญ่ไพศาล เพราะฉะนั้น จิตของจักรวาลก็คือ จุดกึ่งกลาง หรือจุดศูนย์กลาง ของจักรวาลอันไพศาล และจุดศูนย์กลางนั้นก็คือ สิ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของทุกสรรพสิ่งในสนามพลังงานสากล
    God หรือจิตจักรวาลนี้มีพระองค์เดียวนะ คำว่า God ก็คือที่เราเรียกว่า พระผู้เป็นเจ้า หรือพระผู้สร้าง ไม่มีอะไรเลยในสนามจักรวาลนี้ที่จะเกิดขึ้นมาเองได้ ไม่มีสิ่งใดบังเอิญ ล้วนมีผู้ให้กำเนิด หรือมีจุดกำเนิดทั้งนั้น เช่น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากเหตุ เมื่อเหตุดับ ทุกอย่างย่อมดับตามไปด้วย หมายความว่า เมื่อมีผลเกิดขึ้น แสดงว่ามีเหตุแห่งการทำให้เกิดผลนั้น เมื่อมนุษย์และโลกคือผลของการเกิดนั้น ถ้าเราเชื่อตามพระพุทธเจ้า ก็แสดงว่า มีเหตุแห่งการทำให้มนุษย์เกิด มีเหตุแห่งการทำให้โลกเกิด ซึ่งการเป็นผู้ทำให้โลกเกิดก็คือ การเป็นผู้สร้างนั่นเอง เช่น พ่อแม่ของเราเป็นผู้สร้างให้ลูกอย่างเรามาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะพ่อกับแม่เราเป็นเหตุแห่งการเกิดของเรา ดังนั้น พ่อแม่ของเราล้วนเป็นผู้สร้าง ทางศาสนาจึงเรียก บิดา-มารดาว่า พ่อพระ แม่พระของลูก เพราะเป็นพระผู้สร้างในโลก แต่พ่อแม่เราก็มีผู้สร้างมาเหมือนกัน และสิ่งที่พ่อแม่เราไม่ได้ให้เรามาก็คือ จิตวิญญาณที่อยู่ในกายเรา จิตวิญญาณที่เป็นแก่นแท้ของความเป็นเรา ซึ่งเวลาตายไปแล้ว จิตวิญญาณของเราจะละออกจากสังขารไป แล้วเราเคยคิดไหมว่า จิตวิญญาณเรามาจากไหน และเมื่อตายแล้ว จิตวิญญาณเราจะไปไหน
    ...จิตวิญญาณเป็นรูปธรรมทางพลังงาน นักวิทยาศาสตร์โลกก็ทราบว่า พลังงานสูญหายไปไหนไม่ได้ พลังงานทั่วๆไปจะเป็นคลื่นความถี่ที่เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ แต่จิตวิญญาณของคนเราไม่ใช่คลื่นความถี่ที่ไปเรื่อยๆเป็นกล่องพลังงาน พลังงานมี 2 รูปแบบ 1. คือพลังงานที่เป็นคลื่นความถี่ที่เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆอย่างไม่หยุดนิ่ง คือสั่นสะเทือนไปด้วย เป็นคลื่นไปด้วย อย่างคลื่นทะเลที่เป็นระลอก ถึงฝั่งก็ซัดเลย แต่จิตวิญญาณของเราเป็นกล่องพลังงาน เป็นกล่องหรือขวดใบหนึ่ง หรือลูกบอลลูกหนึ่ง ที่มีคลื่นความถี่อยู่ข้างในหลายคลื่นความถี่ ที่ลดเลี้ยวเกี่ยวพันกันอยู่ในกล่องนั้น ไม่แตกกระสานซ่านเซ็นออกมาภายนอก มีภาชนะห่อหุ้มเก็บไว้อย่างดี ภาชนะที่ห่อหุ้มจิตวิญญาณนั้น จิตจักรวาลหรือพระบิดาของเราเรียกว่า เมอร์คขะบาห์ คือพลังงานเวลาสั่นสะเทือน จะมีเสียงด้วยซึ่งหูมนุษย์เราไม่ได้ยิน แต่ชาวโลกวิญญาณเขาได้ยิน ความถี่ของเมอร์คขะบาห์จะเป็นความถี่ชนิดหนึ่งที่มีความเข้มข้น มีความถี่สูงมาก เวลาสั่นสะเทือนแล้วจะเกิดเสียงว่า เมอร์คขะบาห์ สิ่งที่ผมพูดนี้ ลูกศิษย์ผมที่เป็นระดับด็อกเต้อร์ เป็นนายพล เขาพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไปหมดแล้ว..."
    แล้วเราจะทราบได้อย่างไรคะว่า เราแต่ละคนเกิดมาเพื่อทำหน้าที่อะไร
    "การที่เราจะรู้ได้ว่า เราเกิดมาเพื่อทำอะไรมีอยู่ 2 วิธี คือ 1. ต้องศึกษา ต้องเรียนรู้ เพื่อจะเปิดมิติทางวิญญาณให้กับตนเอง ซึ่งภาษาผมเรียกว่า ต้องหาหนทางรู้แจ้งด้วยตนเอง อย่างเช่น เป็นกษัตริย์หรือพระเจ้าแผ่นดินนี่ มีใครอยากเป็นแล้วเป็นได้บ้างมั้ย นั่นคือเป็นหน้าที่พิเศษเฉพาะบุคคล ไม่ใช่ทุกคน คือจะต้องขันอาสาว่า ต้องมาทำหน้าที่เช่นนั้น และได้รับอนุญาตจากจิตจักรวาลให้ทำหน้าที่อย่างนั้น หรือตัวผม หน้าที่ของผมนี้ก็เป็นหน้าที่พิเศษเป็นบุรุษไปรษณีย์ รับสาส์นจากจิตจักรวาลมาบอกกับเพื่อนมนุษย์..."
    จิตจักรวาลที่อาจารย์เอ่ยนั้นมีรูปร่างหน้าตาอย่างไรคะ
    "ผมจะยกตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจว่าจิตจักรวาล หรือ God คือใคร คืออะไร นึกถึงภาพแมงมุมตัวหนึ่ง เป็นแมงมุมยักษ์ เวลาเขาชักใย ใยของเขาก็จะยักษ์ใหญ่ตามไปด้วย และตัวแมงมุมอยู่ตรงกลางของใยแมงมุม แมงมุมตัวนี้ ผมสมมุติว่าเป็น จิตจักรวาลใยแมงมุมที่แผ่กระจายออกไปกว้างใหญ่ เปรียบเสมือนสนามพลังงานสากล ที่กว้างใหญ่ไพศาลเสมือนหนึ่งไร้ขอบเขต แต่ไม่ไร้ขอบเขตนะ เหมือนแมงมุมกว้างใหญ่ขนาดไหนก็จะมีสุดขอบของมันอยู่ สนามพลังงานก็เช่นกัน และแม่แมงมุมตัวนี้ เขาก็ไข่ออกมาทีเป็นร้อย ๆ พัน ๆ ล้าน ๆ ฟอง ๆ พอไข่ออกมาแล้ว จะไปวางบนใยก็ไม่ได้ เพราะไม่ปลอดภัย ก็เลยชักใยทำเป็นเปลือกไข่ขนาดใหญ่ห่อหุ้มไข่เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ตัวเองไข่ไว้อีกทีหนึ่ง โดยเปลือกไข่นี้ก็วางไว้บนใยแมงมุมของตัวเองอีกทีหนึ่ง หมายความว่า ใยแมงมุมนั้น จะมีไข่แมงมุมใบใหญ่อยู่ใบหนึ่ง ซึ่งมีไข่เล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ข้างในเยอะแยะ เปลือกไข่ที่แม่แมงมุมชักใยห่อหุ้มไว้นี้คือสิ่งที่สร้างใหม่ วางอยู่บนสนามพลังงานสากลอย่างที่อาจารย์บอก คือวางอยู่บนใย สิ่งที่สร้างใหม่นี้ นักวิทยาศาสตร์โลกเรียกกันว่า เอกภพ และภายในเอกภพประกอบด้วยไข่แมงมุม ขี้แมงมุม อะไรต่ออะไรเยอะแยะเลย เวียนตายเวียนเกิดกันอยู่อย่างนี้ ก็เหมือนเป็นเปลือกที่สร้างไว้ให้ พอลูกเติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาว ก็ผสมพันธุ์กันก็ออกลูกออกหลาน วนเวียนกันอยู่อย่างนี้ หาทางหลุดออกมาข้างนอกไม่ได้ จิตจักรวาลหรือ God ก็เลยต้องส่งพระพุทธเจ้าบ้าง พระเยซูคริสต์บ้าง พระนะบี มะฮะหมัด บ้าง มาคนละยุคคนละสมัย มาเกิดในเปลือกไข่นี้ เพื่อไปบอกคนที่อยู่ในเปลือกไข่ หรือในเอกภพนี้ว่า มรรคผลสูงสุด ต้องนิพพานนะ ที่นี่ไม่ใช้บ้านนะ ต้องออกไปอยู่ข้างนอก ให้เจาะเกราะที่หุ้มห่อป้องกันภัยเอาไว้ให้ ออกมาข้างนอก มาสู่ใยแมงมุมที่พ่อหรือแม่เกาะอยู่ตรงกลาง รอว่าเมื่อไหร่ลูกโตแล้ว จะเจาะเปลือกไข่ออกมาสักที แต่ลูกก็ไม่ยอมเจาะ ก็สนุกสนานว่ายวนกันอยู่ในนั้น นั่นก็คือคำว่า ไม่หลุดพ้น การหลุดพ้นนี้คือ หลุดพ้นออกไปจากเปลือกที่ห่อหุ้มไว้สู่สนามพลังงานภายนอกที่เรียกว่า แดนสุญตา มาสู่ใยแมงมุมก็คือ สู่อ้อมอกของพระบิดาก็คือแม่แมงมุม
    เพราะฉะนั้นเราก็ต้องหาว่า แดนนิพพานอยู่ไหน แค่เราเจาะเปลือกไข่ออก แค่นี้ก็พอ แต่ทุกวันนี้ ลูกๆของพ่อคือ เทหวัตถุ ทุกสิ่งที่สร้างก็อยู่ในเปลือกไข่นั้น ทั้งโลก ทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตในเอกภพ พระบิดาเป็นผู้สร้างไว้ทั้งหมด ไม่มีสิ่งใดบังเอิญเกิดเลย ทุกอย่างพ่อสร้างให้มันเป็นทั้งนั้น อย่างเช่น น้ำ พระบิดาหรือจิตจักรวาล ก็เป็นผู้กำหนดก็ไม่ต้องมายืนควบคุมกำกับว่า ถ้าเจอความร้อนต้องระเหยเป็นไอนะ ถ้าเจอความเย็นต้องควบแน่นก่อนนะ เป็นหยดน้ำนะ พระบิดาไม่ต้องคอยยืนกำกับ เช่น สมมุติว่า เราเป็นพ่อเป็นแม่ของลูก ถ้าลูกยังเตาะแตะ ไปเองไม่ได้ เราต้องอุ้มกะเตงๆไป พอลูกโตขึ้นมา ไปไหนเองได้ ใครเห็นลูกเราก็ต้องรู้ว่า เป็นเด็กมีพ่อมีแม่ แต่มนุษย์เราโง่ พอเห็นต้นไม้ใบหญ้า เห็นทุกสิ่งก็นึกว่ามันเกิดของมันเอง ไม่ได้นึกว่า สิ่งเหล่านี้มีพ่อแม่สร้างขึ้นมานะ มีผู้สร้างนะ ลืมแม้กระทั่งตัวเอง ลืมว่าตัวเองเป็นใคร มาจากไหน มาเกิดเป็นมนุษย์กันทำไม..."
    หมายความว่า จิตจักรวาล ท่านสร้างมนุษย์ให้เกิดมาเพื่อทำหน้าที่บางอย่างใช่ไหมคะ
    "หลักใหญ่ของจิตจักรวาล ก็คือสอนคนให้รู้สำนึกในหน้าที่ของตัวเอง เรามาเกิดเป็นมนุษย์กันทำไม คำว่าเราคือ จิตวิญญาณ และเราต้องสำนึกไว้ว่า ตัวเรานั้นเป็นคนสองมิติ มิติที่หนึ่งคือ มิติของกาย สังขาร ซึ่งผมเรียกว่า เครื่องยนต์แห่งกรรม อีกมิติหนึ่งคือ มิติของจิตวิญญาณ จิตจักรวาลต้องการให้คนรู้ว่า ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ที่อาสาพระบิดาขอมาเกิดเป็นมนุษย์ มาเพื่อมาขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรม ที่พระบิดากำหนดสร้างให้เลือดในครรภ์ของแม่ สร้างเป็นกายหยาบขึ้นมาที่เราเรียกว่า เครื่องยนต์แห่งกรรม ที่เรียกว่าเครื่องยนต์แห่งกรรม ก็เพราะว่าจิตวิญญาณต้องมาขับเคลื่อนร่างกายเรา ในการทำหน้าที่บางสิ่งที่อาสาพระบิดามาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกใบนี้ ในการแสดงออกหรือกระทำใด ๆ ก็ตามบนดาวเคราะห์โลกดวงนี้ ว่าที่สูงสุดคือ เพื่อมาค้ำจุนความสมดุลของโลกทั้งระบบ แต่ที่ผ่านมา มนุษย์บอกว่าโลกคือโลก กูคือกู โลกเป็นแค่วัตถุ หิน ดิน ทราย ไม่เกี่ยวอะไรกับกู กูมีหน้าที่เหยียบดินอยู่บนโลกใบนี้ โลกก็มีหน้าที่อยู่ของโลกไป กูอยากจะเก็บเกี่ยวอะไรบนโลกนี้ก็ได้ กูนึกอยากจะทำอะไรกูก็ทำ เรียกว่า ไร้สำนึก เพราะเกิดมาหลายภพชาติแล้ว มัวแต่หลงโลกมายา หลงอัตตาที่เป็นมายา ลืมหน้าที่ของแก่นแท้ของตัวเอง ภาษาผมเรียกว่า ขาดสติทางวิญญาณ
    และสิ่งนี้คือสิ่งที่ไปเชื่อมโยงกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้น ผมถึงต้องแฉให้มนุษย์รู้ว่า มนุษย์มีจิตวิญญาณมาเกิด จิตวิญญาณของเรานั้นต้องมาขับเคลื่อนร่างกายที่พ่อกับแม่ช่วยผสมพันธุ์กัน และสร้างกายหยาบให้ไว้รองรับจิตวิญญาณที่มาขับเคลื่อนกายหยาบเพื่อ 1. ทำให้มันเจริญเติบโต 2. ทำให้ยิ้มได้ พูดได้ คิดได้ แสดงออกได้ ทำอะไรก็ได้ เพราะโลกนี้เป็นโลกเสรี แต่หน้าที่จริง ๆ ก็คือ จิตวิญญาณต้องมาขับเคลื่อนร่างกายนี้ในการสร้างโลก โดยใช้หนึ่งสมองกับสองมือและจิตวิญญาณนี้สร้างโลก สร้างความสมดุลของระบบโลก โลกในที่นี้ไม่ได้หมายถึงที่เป็นดินอย่างเดียว สรรพสิ่งที่อยู่ในระบบโลกล้วนเรียกว่าเป็นโลกทั้งหมด รวมทั้งตัวเองด้วย นั่นก็แสดงว่า มนุษย์มีหน้าที่สร้างตนเอง และสร้างทุกสิ่งให้สมดุล
    ทุกสรรพสิ่งล้วนต้องเป็นไปตามที่พระบิดาทรงกำหนดไว้ทั้งสิ้น สิ่งใดก็ตามที่พระบิดาทรงกำหนดไว้ พระบิดาเรียกมันว่า ธรรมชาติ แต่ธรรมชาติมันไม่ได้เป็นของมันขึ้นได้เอง ต้องมีผู้กำหนดขึ้นอยู่ดี และผู้ที่ทรงกำหนดธรรมชาติก็คือ พระบิดา หรือจิตจักรวาล นั่นเอง"
    แล้วมนุษย์ต้องทำอย่างไรให้โลกเกิดความสมดุล
    "การทำให้สมดุลก็คือ ค้ำจุน พระผู้เป็นเจ้า สอนมนุษย์ไว้เป็นปริศนาธรรม แต่มนุษย์เราไปมองได้แค่ด้านเดียว พระพุทธเจ้าสอนว่า เราคือโลก โลกคือเรา และอีกประโยคหนึ่งคือ เมตตาธรรมค้ำจุนโลก แต่มนุษย์เข้าใจผิดว่า คำว่า 'เรา' คือพระผู้เป็นเจ้าคนเดียว มนุษย์เลยวางประโยคนั้นไว้ ไม่ใส่ใจอีก แต่มนุษย์มาใส่ใจเพียงประโยคที่ว่า เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก แสดงว่า ถ้ามนุษย์รักกัน จะทำให้เราอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข นั่นคือ ถูกต้องแค่ครึ่งเดียว ถ้าจะถูกที่แท้จริงคือ เราไม่ได้ค้ำจุนโลกในทางสังคมอย่างเดียว การสร้างเมตตาธรรมก็คือ ถ้าเราเป็นคนมีจิตใจที่งดงาม เราจะไม่ทำลายโลก เราจะไม่ไประเบิดภูเขา ไม่ตัดโค่นต้นไม้ ทำลายป่า ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต สัตว์ก็คือโลก พระพุทธเจ้าจึงเอา ปาณาติปาตา เอาไว้เป็นศีลข้อแรกเลย เพราะสัตว์พวกนั้นเขาต่อสู้ ต่อต้านเราไม่ได้ อย่างคนเราฆ่ากัน เราแลกชีวิตกันได้ แต่สัตว์เขาแลกไม่ได้ เป็นลูกไล่เราอย่างเดียว ท่านเลยห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต นั่นก็คือการรักโลก ถ้าเราไม่ฆ่าเขา แสดงว่าเรารักเขา พระพุทธองค์หมายถึงอย่างนั้น...
    แต่จริง ๆ แล้ว โลกเรามันจะสมดุลทางกายภาพอย่างเดียวไม่ได้ มันต้องมีสมดุลทางพลังงานด้วย ตรงนี้คือสิ่งที่เป็นความลับมาตลอด ที่มนุษย์ทั้งหลายไม่รู้ และอาจารย์ก็มีหน้าที่มาเปิดเผย ที่จิตจักรวาลมอบหมายให้มาทำหน้าที่เผยแพร่
    ร่างกายของเราเปรียบเสมือนรถยนต์ ซึ่งจะวิ่งได้ก็ต้องมีแบตเตอรี่ และตัวที่เป็นแบตเตอรี่ก็คือ จิตวิญญาณนี่ละ เวลาที่แม่ตั้งครรภ์ ถ้าหากว่าไม่มีจิตวิญญาณมาปฏิสนธิอยู่ในครรภ์เป็นทารก ทารกซึ่งอยู่ในกายหยาบ ก็จะเป็นได้แค่ลูกกรอก จะเติบโตมีหน้ามีตา แสดงพฤติกรรมเป็นมนุษย์ไม่ได้ ต้องมีจิตวิญญาณมาปฏิสนธิ เพราะฉะนั้น ทารกในครรภ์ถ้าเป็นผู้หญิงก็เหมือนรถเก๋ง ถ้าเป็นผู้ชายก็เป็นรถถัง หรือรถสิบล้อ หน้าที่ต่างกัน ผู้หญิงก็มีหน้าที่อย่าง ผู้ชายก็มีหน้าที่อย่าง แต่ทุกคนก็มีหน้าที่มาค้ำจุนโลก และผู้หญิงกับผู้ชายก็ต้องทำหน้าที่ร่วมกันด้วย พระบิดาสร้างขึ้นมาให้รู้ว่า ทุกคนเป็นสัตว์สังคม ผู้หญิงจะอวดเก่งกว่าผู้ชายไม่ได้ จะท้องเองโดยไม่ต้องพึ่งผู้ชายไม่ได้ หรือผู้ชายจะท้องโดยไม่ต้องพึ่งผู้หญิงก็ไม่ได้ ทั้งสองฝ่ายต้องหันหน้าเข้าหากัน พระบิดาสอนอย่างนี้ ทุกคนมีความสำคัญทัดเทียมกัน
    เวลารถวิ่ง จิตวิญญาณจะเป็นเหมือนกับคนที่นั่งอยู่หลังรถ เหมือนกับเจ้าของรถ พอมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว จิตวิญญาณก็แบ่งภาคตัวเองออกมาส่วนหนึ่งเพื่อให้มาทำหน้าที่ขับรถแทนตนเอง เหมือนกับจ้างคนขับรถมาขับให้ มนุษย์เราเรียกว่า จิตหยาบ ซึ่งผมไม่ชอบใช้คำนี้ ผมใช้คำว่า จิตปัจจุบันแทน จิตวิญญาณได้รับอนุญาตให้แบ่งภาคตัวเองออกไปอีกส่วนหนึ่งมาเป็นพลังงาน เป็นรูปธรรมทางจิตเหมือนกัน เป็นกล่องพลังงานเหมือนกัน แต่ให้มาทำหน้าที่ขับเคลื่อนกายหยาบ ขับเคลื่อนกลไกทั้งหมด จิตวิญญาณก็ประทับเป็นเหมือนแบตเตอรี่รถเฉย ๆ แต่ดูเหมือนไม่สำคัญได้มั้ย รถยนต์ไม่มีแบตเตอรี่ รถยนต์ก็เดี้ยง ไปไม่ได้ แต่จิตวิญญาณไม่ได้เป็นผู้ขับเคลื่อนโดยตรง แต่มอบหมายให้คนขับขับให้ คนที่ขับให้นี่ก็คือ จิตปัจจุบัน แต่ไอ้คนขับทุกวันนี้ ขับไปขับมา มันนึกว่าไอ้รถคันนี้เป็นของมัน มันลืมไปว่ามีจิตวิญญาณที่เป็นเจ้าของรถ เป็นนายมันน่ะ นั่งอยู่เบาะหลัง มันนึกจะขับซิ่งมันก็ซิ่ง ไม่ได้แคร์เลยว่าผู้โดยสารจะประสาทเสียหรือเปล่า ทุกวันนี้ที่พาไปตกนรกหมกไหม้ก็คือไอ้คนขับนี่แหละพาไป จิตวิญญาณน่าสงสารที่สุด"
    แล้วมนุษย์ที่เกิดมาพิการ ร่างกายไม่สมประกอบ หรือมีสมองไม่ปกติ ทำอะไรไม่ได้ จะอธิบายได้ไหมคะว่าเขาพวกนั้นเกิดมาทำหน้าที่อะไร
    "อย่าลืมว่า มนุษย์ทุกคนที่เราเห็นไม่ได้มาเกิดภพชาตินี้เป็นภพชาติเดียว ทุกคนเวลามาเกิดภพชาติแรก ทุกคนจะถือพันธะมาสองอย่าง อย่างหนึ่งเราเรียกว่า พันธะสัญญา เป็นพันธะที่รับปากกับพระบิดาว่า ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว จะปฏิบัติอย่างไร พันธะสัญญาข้อหนึ่งก็คือ มาเป็นเพื่อนร่วมงานกับโลก คือมาช่วยโลกทางกายภาพให้สมดุล เช่น หมุนรอบตัวเอง 22 ชั่วโมงต่อรอบ มีความเข้มของสนามแม่เหล็กเท่ากับ 14 เกาส์ มีแกนหมุนที่เอียงทำมุมกับแนวดิ่ง 23 องศา เพราะทุกวันนี้มันเพี้ยนไป โลกหมุนช้าลงเป็น 24 ชั่วโมง ยิ่งโลกหมุนช้าขึ้นเท่าไหร่ มนุษย์จะยิ่งอายุสั้นลงมากเท่านั้น พระบิดาไม่ได้สร้างร่างกายของมนุษย์ให้เกิดมาแล้วต้องตาย มันจะตายได้ยังไง มันเจริญเติบโตได้ใช่มั้ย มันซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ซ่อมแซมตัวเองได้ มีอำนาจอยู่ในตัวเอง ทำไมต้องตายด้วยล่ะ ?..."
    แล้วที่พระพุทธเจ้าสอนว่ามนุษย์ทุกคนต้องมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสัจธรรมล่ะคะ
    "...พระพุทธเจ้าสอนว่า มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของธรรมดานั่นคือ สอนในสิ่งที่เป็นจริง สิ่งที่มันเกิดขึ้น แล้วสอนให้คนรู้จักปลง รู้จักยอมอะไรซะบ้าง จะโลภโมโทสันไปทำไมนัก สุดท้ายก็ต้องตาย ที่พูดเช่นนั้นก็เป็นเพราะว่า จิตวิญญาณรอคิว สับเปลี่ยน หมุนเวียนกันมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อทำหน้าที่ของตนเอง ถ้าหากว่าไม่มีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันให้มาเกิด มาเกิดแล้วไม่ยอมตาย พวกที่รอมาเกิดเพื่อจะแก้ไขตัวเอง หรือเพื่อทำหน้าที่ก็มาไม่ได้"
    ...ที่ถามว่ามนุษย์เกิดมาแล้วสมองพิการอะไรต่าง ๆ เพราะเมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ นอกจากเขาจะไม่ทำหน้าที่ที่เป็นพันธะสัญญา ที่อาจารย์บอก เขาก็ยังสอบตกด้วยการทำผิดเกิดขึ้นอีกด้วย เมื่อกี้พูดถึงพันธะสัญญาอย่างที่ 1 ไปแล้ว พันธะสัญญาอย่างที่ 2 ก็คือ ก่อนจะมาเกิด จิตวิญญาณของคุณกับจิตวิญญาณอีกหลาย ๆ ดวงจะมานั่งประชุมเพื่อวางแผนกันว่า เราจะจูงมือกันไปเกิดเป็นมนุษย์บนโลก เราจะไปเล่นบทบาทไหนกันบ้าง เช่น คนหนึ่งจะแสดงบทภรรยา อีกคนหนึ่งแสดงเป็นสามี อีกคนแสดงบทลูกสาว อีกคนแสดงบทลูกชาย จากนั้น ยังจะมีคาแร็คเตอร์กำกับไว้อีกว่า จะเป็นคนดีหรือไม่ดี และจะเป็นคนบกพร่องอย่างไร แต่เวลาที่มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว มิติของการที่ไปนั่งประชุมกันมามันจะถูกปิด คุณจึงไม่รู้ว่า ก่อนที่คุณจะมาเกิด คุณได้วางแผนกันเรียบร้อยแล้วว่าจะมาแสดงบทบาทเหล่านั้น เพราะบทบาทที่คุณจะต้องมาแสดงนี้ เป็นบทบาทที่เมื่อคุณแสดงอย่างสมบทบาทแล้ว มันจะนำคุณและทุกๆคนในครอบครัวของคุณไปสู่การค้ำจุนโลกให้สมดุลได้ ซึ่งเป็นการค้ำจุนโลกทางพลังงาน ไม่ใช่โลกทางกายภาพ ปกติแล้วโลกทางกายภาพของมนุษย์ เราไม่มีบ้าน เรานอนถ้ำ นอนโคนต้นไม้ตามป่าตามเขา เราอยู่กันธรรมชาติ ไม่ใครคิดทำร้ายธรรมชาติ เพราะธรรมชาติคือบ้านของตัวเอง แต่ทีนี้เมื่อเราแยกตัวออกจากป่ามาสร้างบ้านอยู่ในเมือง เราเลยทำลายธรรมชาติในป่าอย่างไร้สำนึก เพราะเราไม่คิดว่ามันคือบ้านของเรา...
    ...หน้าที่ของมนุษย์ก็คือ จะต้องมาสั่นสะเทือนร่างกายและจิตวิญญาณของตัวเองในการที่จะค้ำจุนดาวเคราะห์โลกของเราดวงนี้ให้สมดุล คำว่าสมดุลก็คือต้อง 22 ชั่วโมงต่อรอบ ต้อง 14 เกาส์ อย่างที่พูดมาแล้ว จริง ๆ มันต้องละเอียดกว่านั้น แต่พูดแบบคร่าว ๆ ให้ฟัง อย่างประเทศไทยเราปีหนึ่งต้องมี 3 ฤดู อะไรอย่างนี้เป็นต้น แต่ก่อนเรามีร้อน ฝน หนาว แล้วน้ำก็ไม่ท่วมใหญ่ ร้อนก็ไม่แห้งระแหงจนกระทั่งอดอยากอดตาย หนาวก็ไม่หนาวจนตาย จะพอดี ๆ แต่ต่อไปนี้ อาจารย์ปริญญาบอกไว้ว่า ประเทศไทยเราและโลกเราส่วนใหญ่ หนึ่งปีจะมีฤดูร้อนถึง 2 ฤดู พูดง่าย ๆ คือมีฤดูร้อน 2 หน ก็เพราะโลกวิปริตเนื่องจากจิตสำนึกของมนุษย์วิกฤต อย่างที่ผมเล่ามาถึงชะตาชีวิต หน้าที่ของมนุษย์ก็คือ จะต้องใช้จิตปัจจุบันของตัวเองสั่นสะเทือนร่างกาย และจิตใจของตัวเองให้เกิดเป็นความรักขึ้นมาให้ได้ นั่นคือหน้าที่ที่จิตวิญญาณอาสามาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือเพื่อจะมาใช้จิตปัจจุบันซึ่งเป็นผู้ช่วยเหลือของตัวเอง สั่นสะเทือนจิตใจและร่างกายที่เป็นเครื่องยนต์แห่งกรรมที่ผมเรียก หรือทางพระเรียก กายหยาบ ให้สั่นสะเทือนเป็นความรักเกิดขึ้นมาให้ได้
    ...พระพุทธเจ้าบอกความรักคือเมตตาธรรมค้ำจุนโลกใช่มั้ย เมื่อมีความรักความเมตตามีเยื่อใยต่อกัน ก็จะสามารถอยู่ร่วมโลกเดียวกันได้ เป็นครอบครัว อยู่สังคมเดียวกัน อยู่ทีมงานเดียวกัน อยู่บริษัทเดียวกันได้ มนุษย์มองแค่นี้ ว่านี่คือการค้ำจุนโลก โลกของพวกเราจะมั่นคงเพราะเรามีความรักความเมตตา แต่จริง ๆ แล้วมนุษย์มองแค่ตรงนั้นไม่ได้ จริง ๆ แล้วเราค้ำจุนโลกทั้งใบด้วย แต่เราค้ำจุนทางพลังงาน..." (โปรดอ่านต่อฉบับหน้า)

    ที่มา นิตยสาร หญิงไทย ฉบับที่ 707 ปีที่ 30 ปักษ์หลัง เดือนมีนาคม พ.ศ. 2548
     
  3. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,611
    สาส์นจิตรจักรวาล เตือนวันชำระโลก

    7 มิถุนายน 2548
    นสพ.ไทยโพสท์
    ปริญญา ตันสกุล นักวิชาการสัมผัสพิเศษ ที่อ้างว่าสามารถสื่อกับจิตรจักรวาล เตือนอีกครั้งหลังเคยเตือนแม่นเรื่องสึนามิ ว่าอีก 40 ปีจะมีการชำระโลกครั้งใหญ่


    <DD>ทั่วโลกเกิดภัยพิบัติ น้ำทะเลท่วมแผ่นดิน เกิดไวรัสตัวใหม่ พร้อมโชว์แผนที่โลกที่ทำขึ้นใหม่แสดงประเทศที่เหลืออยู่และที่หายไป โดยประเทศไทยที่เด่นชัดคือบริเวณด้ามขวานจะขาดเป็น 3 ส่วน ย้ำภัยครั้งนี้ถูกกำหนดมาแล้วและแก้ไขไม่ได้

    <DD>หลังจากที่ อ.ปริญญา วิทยาการอำนวยการ สถาบันพัฒนาบุคลิกภาพมนุษย์ ได้เขียนหนังสือ โดยในหนังสือได้เตือนถึงเรื่องการจะเกิดสึนามิขึ้นในประเทศไทย และเมื่อหนังสือเล่มนี้วางแผงได้เพียง 30 วัน ก็เกิดเหตุการณ์สึนามิขึ้น ทำให้เป็นที่ฮือฮาและเป็นที่สนใจของบุคคลทั่วไปเป็นอย่างมากว่า เหตุใดถึงสามารถรู้ล่วงหน้าได้ และต่อไปจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นอีก


    <DD>เรื่องนี้ อ.อ.ปริญญา ได้เปิดเผยว่า สามารถสื่อสารกับจิตรจักรวาลได้ ซึ่งจิตรจักรวาลก็คือผู้ให้กำเนิดทุกสรรพสิ่ง ผู้กำหนดชะตาทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นไป โดยค้นพบความสามารถตัวเองเมื่อปี 41 และยืนยันไม่ใช่เจ้าลัทธิ เป็นชาวพุทธ แต่ได้ถูกกำหนดให้เกิดมาเป็นผู้สื่อข่าวสารจากจิตรจักรวาล และที่ได้บอกหรือได้เขียนเป็นหนังสือนั้น ส่วนหนึ่งเป็นสิ่งที่นำคำของจิตรจักรวาลมาถ่ายทอด ซึ่งตรงนี้หลายคนอาจมองว่าตนเองบ้า เพ้อและเชื่อไปเองคนเดียว แต่ทุกอย่างที่ผ่านมา สิ่งที่เคยเขียนหรือเคยพูดล้วนเป็นความจริงทั้งหมด ไม่เคยบังคับใครให้เชื่อ แต่จะเน้นสื่อสารเผยแพร่หลักธรรมให้คนทั่วไปเป็นหลัก โดยจะแทรกสิ่งที่เป็นคำเตือนหรือเหตุการณ์ในอนาคตจากคำบอกเล่าของจิตรจักรวาลลงไปด้วย ซึ่งเมื่อคนทั่วไปมีจิตสำนึกดีแล้ว โลกก็จะเกิดการชำระช้าลง


    <DD>"ผมเคยพูดมานานแล้วเรื่องภัยพิบัติ ซึ่งตรงนี้ย้ำอีกทีว่าเป็นสิ่งที่จิตรจักรวาลได้กำหนดไว้แล้ว เนื่องจากถึงเวลาชำระ บวกกับจิตใจคนปัจจุบันต่ำลงมาก จากที่ได้สื่อสารกับจิตรจักรวาล จิตใจดีของคนคือเครื่องหล่อเลี้ยงโลก แต่ทุกวันนี้คนคิดไม่ดีมีมาก จึงตรงกับเวลาแห่งการชำระ และอย่างล่าสุดที่ผมเคยบอกไปในหนังสือ ว่าประเทศไทยให้ระวังสึนามิ พอหนังสือวางได้ 30 วัน ก็เกิดสึนามิขึ้น ตรงนี้ผมก็รู้แล้ว แต่ถ้าถามว่าทำไมไม่เตือนให้คนรู้ ผมอยากบอกว่ามันเป็นกำหนดอยู่แล้ว และถ้าผมบอกไปมันก็จะเลื่อนออกไปอีก ไม่ตรงตามที่บอก รวมทั้งผมไม่อยากให้ใครมามองว่าผมอุตริเป็นนักทำนายด้วย แต่อยากให้มองว่าเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ทุเลาลงได้ด้วยการทำดีต่อกันของคนในโลกมนุษย์ ก็จะผ่อนหนักเป็นเบา แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเกิด การชำระจะต้องเกิด"


    <DD>อ.ปริญญากล่าวต่อว่า ที่พูดถึงการชำระบ่อย เนื่องจากเห็นว่ามันใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว เหตุการณ์ชำระล้างจริงๆ ควรจะเกิดเมื่อเดือนมกราคมปี 46 แต่เนื่องจากมีสาเหตุที่ผมไม่อยากเปิดเผย จึงทำให้เลื่อนออกมา แต่ไม่น่าจะเกิน 40 ปี การชำระโลกครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นแน่นอน จะเกิดภัยหลายๆ อย่างให้โลกเปลี่ยนไป จะเกิดภัยธรรมชาติทุกอย่าง และร้ายแรงกว่าเดิม ที่ที่เกิดแล้วก็จะเกิดซ้ำอีก จะเกิดภัยจากโรคร้าย โดยเฉพาะโรคใหม่คือ ไวรัสทีเรีย เป็นทั้งเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย รักษาไม่ได้ จิตรจักรวาลกำหนดมาให้เป็นสิ่งชำระโลก นอกจากนี้คือภัยจากจิตสำนึกอันไม่สมดุลของผู้นำประเทศ จะเกิดสงครามภายในประเทศ และสุดท้ายภัยเศรษฐกิจ ตรงไหนเสียหายก็จะเสียหายซ้ำ ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกชำระหมด


    <DD>"นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่น้อยคนจะรู้คือ ผมเคยทำแผนที่ประเทศไทย และแผนที่โลกฉบับใหม่เอาไว้ ทำตั้งแต่ปี 46 ตอนนั้น เป็นแผนที่หลังเกิดการชำระโลก ซึ่งเชื่อว่าจะได้ใช้กันแน่ๆ พื้นที่โลกจะถูกน้ำท่วม ทั้งน้ำจืดและน้ำทะเล โดยเฉพาะทะเลจะทำให้หลายประเทศหายไป พื้นผิวโลกจะเปลี่ยน โดยบริเวณที่หายไปจะแสดงด้วยสีแดง โดยประเทศไทยที่ชัดๆ คือ ภาคใต้ตรงบริเวณด้ามขวาน จะเป็นพื้นดินยาวลงมาถึง จ.ประจวบคีรีขันธ์ คือส่วนที่ 1 ต่อมาส่วนที่ 2 เป็นเกาะใหญ่อยู่ตรงกลาง และส่วนที่ 3 คือที่ติดกับประเทศมาเลเซีย โดยจะมีทะเลกันหมดทั้ง 3 ส่วน เกาะภูเก็ต เกาะสมุย และเกาะน้อยใหญ่จะหายไปหมด แต่ละจังหวัดเหลือพื้นที่เพียงน้อยนิด ประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ลาว เวียดนาม กัมพูชา ก็จะจมอยู่ใต้ทะเล ส่วนพม่าตอนล่างหายไป จังหวัดทางภาคตะวันตกของไทยกลายเป็นชายทะเล ภาคเหนือจะมีแม่น้ำสายใหม่เกิดขึ้น พื้นที่ของไทยประมาณ 20% จมทะเล"


    <DD>อ.ปริญญากล่าวสรุปว่า นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น และขอย้ำว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้น แต่อาจจะช้า เร็ว หนัก เบา คลาดเคลื่อนเล็กน้อย คงไม่เกินในระยะ 40-50 ปีนี้ ซึ่งตรงนี้วิธีแก้ไม่มี เนื่องจากทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว แต่สิ่งที่จะทำให้เหตุการณ์ต่างๆ ทุเลาลง รวมทั้งเป็นทางช่วยตัวเองจากมหาภัยครั้งนี้คือ ทุกคนจะต้องเร่งทำความดี สร้างความรัก และสร้างจิตสำนึกที่ดี เนื่องจากโลกเราอยู่ได้ด้วยพลังด้านบวกของสิ่งมีชีวิต"

    </DD>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2007
  4. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,611
    ฉบับที่แล้วเราคุยกับอาจารย์ปริญญาถึงเรื่องของจิตจักรวาล (พระผู้เป็นเจ้าผู้สร้างโลก) การสร้างความสมดุลให้กับโลกด้วยความรักที่มนุษย์มีต่อกัน และการที่โลกเสียสมดุลจนเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรง ก็เนื่องจากมนุษย์โลกขาดเมตตาธรรมต่อกัน ลืมพันธสัญญาที่ให้ไว้แก่จิตจักรวาลก่อนจะมาเกิด ว่าตนจะต้องมาทำหน้าที่อะไรบนโลกใบนี้...
    ฉบับนี้เรามาคุยกับอาจารย์ปริญญากันต่อค่ะ...

    อยากให้อาจารย์อธิบายว่าทุกคนมีหน้าที่และบทบาทในการจรรโลงโลกอย่างไร
    ?...ทุกคนเกิดมาเพื่อแสดงบทละคร... เราเรียกมันว่า ชะตาชีวิต ที่พวกเราเองเป็นผู้ลิขิตก่อนที่จะมาเกิด อย่างถ้าสมมุติ คุณเกิดมาเป็นภรรยาที่ดีของผม นั่นแสดงว่า...คุณเป็นเงื่อนไขที่ทำให้จิตใจของผมมีความสุข ดีใจ ผมรักคุณมากเพราะคุณเป็นเมียที่ดี เช่นกัน...ถ้าผมเป็นสามีที่ดีของคุณ คุณก็รักผม รักมากเพราะสามีเป็นคนดี ความรักความเมตตาที่เกิดขึ้นในจิตใจของเรา จิตใจของเราเวลาสั่นสะเทือนเป็นอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด กลไกในร่างกายของเราที่พระบิดาสร้างไว้ คือต่อมไร้ท่อทั้งหลาย มันเป็นกลไกที่ใช้ทำงานร่วมกันกับภาคของจิตวิญญาณของตัวเรา เป็นมิติของจิต มันจึงเป็นต่อมที่ไร้ท่อ เพราะมันใช้คลื่นวิทยุคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กสื่อสัญญาณกัน มันเลยไม่ต้องใช้เส้นประสาท ก็มันทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้น ขณะที่คุณมีความรัก กลไกต่อมไร้ท่อหลายต่อมในร่างกายคุณ มันจะเกิดการสั่นสะเทือนตื่นตัวขึ้นมาทำงาน แล้วมันสามารถจะไปสร้างคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็ก เหวี่ยงออกมาภายนอกได้ ที่เราเรียกกันว่า พลังจิต...
    แต่ถ้าคุณสั่นสะเทือนความรู้สึกนึกคิดของคุณออกมาเป็นความโลภ โกรธ หลง ที่พระพุทธเจ้าเรียกว่ากิเลสตัณหาที่ท่านสอนให้ละวาง เพราะถ้าสั่นสะเทือนแบบนี้ มันก็จะไปผลิตคลื่นไฟฟ้าทางแม่เหล็กเหมือนกัน แต่เป็นพลังชนิดที่โลกไม่ต้องการ มันจะเป็นด้านลบ
    ในทางพลังงาน โลกต้องการพลังงานด้านบวกจากมนุษย์ จากต้นไม้ ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิต และจากสัตว์เดียรัจฉานทั้งหลาย พระพุทธเจ้าห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต พระพุทธเจ้าสอนให้มนุษย์อยู่กับต้นไม้ ไม่ให้ทำลายป่า ต่าง ๆ เหล่านี้ พระพุทธเจ้าทราบดีว่า สิ่งเหล่านี้มันเป็นเพื่อนร่วมงานกับเรา ที่จะช่วยกันสร้างพลังงานจิตด้านบวกให้กับโลก
    ...คุณรู้มั้ย โลกเราถ้าไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ โลกเราจะหมุนรอบตัวเองไม่ได้ โลกเราจะมีสนามแม่เหล็กห่อหุ้มโลกนี้ไม่ได้ เราจะไม่มีออกซิเจนหายใจ เราจะไม่มีสิ่งดี ๆ หลายสิ่งที่เราดำรงอยู่บนโลกใบนี้ได้ ถ้าโลกนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตรวมทั้งมนุษย์ด้วย
    ...นักวิทยาศาสตร์โลกบอกว่า ใจกลางโลกมีแท่งเหล็กแข็ง ๆ ร้อน ๆ อยู่แท่งหนึ่งข้างใน ถามว่าคุณเชื่อเขาใช่มั้ย เชื่อเขาเพราะอะไร เพราะคิดว่าเขารู้ใช่มั้ย แต่จริง ๆ ก็คือ การเดา นั่นคือการคาดคะเน นั่นคือสมมุติฐาน นักวิทยาศาสตร์โลกจะเชื่อสิ่งใดเขาทำได้สองอย่างคือ ถ้าไม่ใช้ 'เวิร์บทูดู' ก็ 'เวิร์บทูเดา'...
    เวิร์บทูดู คือพิสูจน์ดูให้เห็นให้รู้แล้วยืนยัน นอกนั้นตั้งเป็นสมมุติฐานไว้ก่อน ถ้าวันใดค้นพบทฤษฎีใหม่ที่ล้มเลิกของเก่าได้ ก็จะเริ่มเอาใหม่ เช่น สมัยก่อน บอกว่าโลกแบน บอกว่าโลกเราเป็นจุดศูนย์กลางของระบบจักรวาล ดวงอาทิตย์โคจรรอบโลก พอกาลิเลโอผลิตกล้องโทรทรรศน์ส่องได้ และเฝ้าติดตามการเคลื่อนไหวของโลก ที่สัมพันธ์กับดวงอาทิตย์เลยค้นพบว่า ไม่ใช่เลย จริง ๆ แล้ว ดวงอาทิตย์อยู่กับที่ โลกต่างหากที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ กาลิเลโอถูกจับขังคุกเกือบตาย เพราะไปทำลายความเชื่อที่โง่เง่าของคนรุ่นใหญ่ แต่ในที่สุด วันนี้เราก็เชื่อกาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์สมัยก่อนหาว่ากาลิเลโอเป็นเจ้าลัทธิ จะมาสร้างลัทธิใหม่ เหมือนกับที่หลายคนมองอาจารย์ปริญญา หาว่าผมคงจะเป็นแบบเดียวกับกาลิเลโอ หรือ หัวเราะเยาะว่า คงเหมือน คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ที่บอกว่าโลกกลม แต่ตอนนี้ถามว่าเราเชื่อใคร เราเชื่อโคลัมบัสที่ว่าโลกกลม มนุษย์เนี่ย ง.งู มาก่อน ฉ .ฉิ่ง แต่ก็ไม่เคยสำนึก เราไปเชื่อนักวิทยาศาสตร์โลก...?
    แล้วจริง ๆ ใจกลางโลกของเราเป็นอะไรคะ
    ?พระบิดาไม่ได้ทรงสร้างแท่งเหล็กแข็ง ๆ ร้อน ๆ ไว้ใจกลางโลกหรอก แต่ทรงสร้างก้อนธาตุออกซิเจนเหลวที่บริสุทธ์ และเข้มข้นร้อยเปอร์เซนต์เอาไว้ในใจกลางโลก ลักษณะของมันก็คือ เหนียวหนืดคล้าย ๆ ตังเม เดิมมันใส เขียวใสสีมรกต เสร็จแล้วมีอานุภาพประจุไฟฟ้าของอะตอมธาตุออกซิเจนเนี่ย จะมีค่าเป็นลบไว้ในใจกลางโลก เพื่อที่จะเอาไว้ทำปฏิกิริยานิวเคลียร์กับประจุไฟฟ้า ที่เกิดจากพลังจิตของมนุษย์ เวลามนุษย์รักกัน ก็จะเหวี่ยงพลังจิตให้กัน 1 เปอร์เซนต์ของพลังจิตที่คุณเหวี่ยงออกไป มันจะแทรกซึมเข้าไปในใจกลางโลกที่คุณเหยียบอยู่ ประจุบวกที่ติดไปกับพลังจิตที่แทรกซึมลงไปใจกลางโลก มันจะไปทำปฏิกิริยานิวเคลียร์กับอนุภาคประจุไฟฟ้าลบของอะตอมธาตุออกซิเจนบริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซนต์ ที่พระองค์ติดตั้งไว้ในใจกลางโลก ปฏิกิริยานิวเคลียร์นี้พระบิดาทรงเรียกว่า นิวเคลียร์ ฟิสชั่น ซึ่งจะทำให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงบริเวณพื้นผิว ผิวนอกของก้อนธาตุออกซิเจน เมื่อมันเกิดการระเบิดขึ้น ก้อนธาตุซึ่งมีคุณสมบัติเหนียวหนืดคล้าย ๆ ตังเม มันก็จะเกิดการบิดตัวขึ้น และโลกเราซึ่งมีพื้นน้ำ 3 ส่วน พื้นดิน 1 ส่วน เพราะถ้าในใจกลางโลก ถ้ารอบ ๆ ด้านมันมีการระเบิดพร้อม ๆ กัน มันก็จะไม่เกิดอะไรขึ้น โลกก็จะหมุนรอบตัวเองไม่ได้ แต่นี่อยู่เป็นที่ ไม่ได้อยู่รอบ ๆ โลก การที่มันระเบิดไม่พร้อมกัน การบิดตัวของมันก็จะเกิดขึ้น พอบิดตัวขึ้นมาปั๊บ มันก็ทำให้โลกหมุนไป โลกเราที่หมุนรอบตัวได้ก็เพราะเหตุนี้...
    นี่คือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์โลกไม่รู้เพราะไม่เห็น และไม่มีใครคิดตาม ถามว่าทำไมโลกหมุนรอบตัวเองได้ เขาบอกว่าเกิดตั้งแต่ระเบิดใหญ่ 'บิ๊กแบง' แล้วถามว่าโลกเกิดมาเมื่อไหร่ เขาบอกเป็นพันล้าน ๆ ปี ผมถามหน่อยเถอะว่า ลูกข่าง เวลาเราเหวี่ยงไปปั๊บ ตอนเขวี้ยงไปใหม่ ๆ แกนมันจะตั้งแล้วก็หมุน ๆ ไป แต่ถามว่า ลูกข่างทำไมไม่เห็นมันอยู่ได้เป็นล้าน ๆ ปี เดี๋ยวมันก็ล้มเมื่อหมดแรงเหวี่ยง โลกเราที่มันเหวี่ยงไปเรื่อย ๆ เพราะมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนโลก เราใส่พลังงานให้มันไปอยู่เรื่อย ๆ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไม ศาสดาทุกองค์จึงสอนมนุษย์ให้รักกัน ให้มีเมตตาต่อกัน แล้วพระพุทธเจ้าก็ทิ้งไว้ว่า เมตตาธรรมค้ำจุนโลก โลกอยู่ได้เพราะมนุษย์ทำให้มันหมุน สัตว์ ต้นไม้ ทำให้หมุน เราจึงต้องรักษาสิ่งแวดล้อม เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นตัวช่วยเติมเต็มพลังงานความรัก ถามว่าจิตวิญญาณมาเพื่อทำอะไร ก็มาเพื่อเกิดเป็นมนุษย์ และเพื่อมาทำตรงนี้...
    โลกเราแม้จะมีคนเลวอยู่เยอะแยะ แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อย ๆ ให้มีคนประมาณ 1 - 3 เปอร์เซ็นต์ สำนึกในเรื่องของความรัก โลกเราก็จะยังอยู่ได้ นี่คือความแยบยลที่พระบิดาทรงสร้างไว้ เพราะโลกนี้เป็นโลกเสรี มนุษย์มักจะเลวก่อนที่จะเป็นคนดี เลวตอบกันไปตอบกันมา อย่างที่บอกว่า บางคนสมองง่อยไปบ้าง การใช้สมองซึ่งเป็นกลไกของตัวเรานั้น เราต้องใช้ให้ถูกต้อง เพราะเราเป็นเพื่อนร่วมงานของกันและกัน อย่างคุณโดนเอาเปรียบ คุณโกรธแค้นเขา อย่างนี้เรียกว่าคุณใช้สมองไม่ถูกต้อง คุณก็ต้องมาเกิดใหม่ เพื่อมาเรียนรู้ในการที่จะใช้สมองของตัวเองให้ถูกต้อง อย่างน้อยคือ ต้องเห็นคุณค่าสติปัญญาของตัวเอง เพราะฉะนั้น ชาตินี้เกิดมาสมองพิการ สมองง่อย เป็นอัลไซเมอร์ นั่นคือการสอนให้จิตวิญญาณของตนเองสำนึกรู้ว่า เครื่องยนต์แห่งกรรมในร่างกายของเรานี่มันมีประโยชน์ มีคุณค่า ต้องใช้มันให้เป็นและใช้ให้ถูกต้อง?
    กลับมาที่เมืองไทย อาจารย์มองเห็นภาพในอนาคตเปลี่ยนไปอย่างไรคะ
    ?...อาจารย์บอกว่า ประเทศไทยเรา ด้ามขวานจะหักเป็นสามท่อน ที่ว่าหักคือจมทะเลไปหมดเลย หลายคนก็บอก เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเกิดหรอก เหมือนที่ว่ากรุงเทพเนี่ย ไม่เกิดแผ่นดินไหวหรอก ผมบอกว่าเกิด ! ขนาดเมืองกาญจน์แผ่นดินไหวตั้ง 7 ริกเตอร์ กรุงเทพฯก็เตรียมตัวอันตรายได้แล้ว นี่ผมพูดในฐานะของนักวิทยาศาสตร์ทางจิตนะ ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ทางโลก ไม่ได้พูดทางวิทยาศาสตร์ทางกายภาพ (อาจารย์จบปริญญาตรี วทบ . ปริญญาโท MBA) ถ้าถามว่าผมรู้ได้อย่างไร ก็พระบิดาบอกผม
    ผมยืนอยู่ท่ามกลางสังคมคนกว้างใหญ่ ผมสื่ออะไรต่ออะไรออกไปมากมาย ผมต้องทำตัวเองให้ว่างจากการมีตัวตน ผมต้องไม่หลงตัวเอง ผมต้องไม่ลืมตัว ต้องรู้ว่าผมเป็นใคร ผมต้องรู้ว่าผมทำหน้าที่อะไร เมื่อผมรู้ตัวผมตรงนี้แล้ว ตัวตนในทางโลกที่เป็นมายาผมไม่มี เพราะฉะนั้น ใครจะใช้จิตทำร้ายผม เขาก็ทำร้ายผมไม่ได้เพราะผมไม่มีตัวตน ผมก็ปลอดภัย...?
    ทุกวันนี้อาจารย์กำลังจะบอกอะไรคนไทยหรือคะ
    ?บทบาทหน้าที่ของอาจารย์เกิดมาเพื่อจะเตือนสติทุกคนว่า เราได้รับอนุญาตให้มาเกิดเป็นมนุษย์เนี่ย ยุคหนึ่ง 6 หมื่นปี จิตวิญญาณหนึ่งต่ออายุ 6 หมื่นปี แต่นี่ปรากฎว่ายุคของจิตวิญญาณของพวกเราใช้เวลากันแล้ว หกหมื่นแปดร้อยปีโดยประมาณ คำว่าหกหมื่นปีแปลว่า ถ้ามาเกิดสักหกหมื่นปีแล้วต้องกลับบ้าน กลับบ้านก็คือนิพพาน ออกไปจากเปลือกไข่สู่อ้อมอกพระบิดาให้ได้ ในแดนนิพพาน อย่างที่พระพุทธเจ้าไป พระเยซูคริสต์ไป ที่องค์นะบีมะหะหมัดไป ถ้าเรายังอยู่ในนี้ก็ต้องผสมพันธุ์กันไป เกิดแก่เจ็บตาย เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในนี้ ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน อยู่แต่ในนี้ ตอนนี้เป็นหกหมื่นแปดร้อยปี เพราะพระบิดาเมตตาให้เราพยายามที่จะทำตัวเองหลุดพ้นให้ได้ คือ ทุกคนต้องกลับบ้าน แดนนิพพาน โลกนี้ไม่ใช่บ้านของเรานะ แต่มนุษย์งมงาย มัวแต่ไปวุ่นวายอยู่กับเรื่องทางโลก ไม่ใส่ใจ ไม่ดูแลจิตวิญญาณของตัวเอง บางคนลืมจิตวิญญาณของตัวเองไปด้วยซ้ำ พอใครพูดถึงเรื่องจิตวิญญาณก็หาว่า หัวโบราณ คร่ำครึ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ยังใช้จิตวิญญาณของตัวเองพูดต่อต้านจิตวิญญาณอยู่ อย่างนี้เขาเรียก ความมีสำนึกทางวิญญาณไม่มีเหลือเลย
    การที่จะรู้แจ้งด้วยตัวเองได้นั้น เราต้องฝึกเรียนรู้ ศึกษาธรรมะ ฝึกทำจิตให้ผ่องแผ้ว อย่าให้จิตไปจมลึกตกหล่มอยู่กับกิเลสตัณหา ใช้ปัญญาให้เป็น ถือศีลปฏิบัติธรรมง่าย ๆ ถือศีลง่าย ๆ ก็คือ ไม่ล่วงเกินผู้อื่น ไม่ว่าด้วยกาย วาจา หรือใจก็ตาม ส่วนการปฏิบัติธรรมก็คือ รักให้เป็น รักให้ได้ คำว่ารักก็คือ เมตตา กรุณา มุทิตา ถ้าเป็นรักแบบองค์เยซูคริสต์ก็บอกว่า ต้องอดทนให้เป็น อดกลั้น เพื่อให้อภัยให้ได้แม้กับคนที่เราเห็นว่าไม่สมควรที่เราจะให้อภัย
    งานของผมทุกวันนี้แทบไม่มีวันว่างเลย ผมเป็นวิทยากรสอนมนุษย์ คิดทฤษฎีไซโคโชว์เพื่อการถ่ายทอดพฤติกรรม มนุษย์ส่วนใหญ่บอกว่า ถ้าจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมคนมันต้องจูงใจ แต่พระพุทธเจ้าบอกว่า อย่าใช้ความอยากขับเคลื่อนพฤติกรรม เพราะนั่นคือ การใช้กิเลสตัณหา ซึ่งจะทำให้เราให้ความรักกับโลกไม่ได้ ค้ำจุนโลกไม่ได้ แต่ถ้าตราบใดที่เรายังไปใช้การจูงใจอยู่ ...จูงให้เกิดความอยาก จูงให้เกิดความโลภ ถ้าไม่ได้ก็โกรธ ถ้าได้มาแล้วก็ลุ่มหลงงมงายอยู่กับสิ่งนั้น จิตของเราจะไม่สามารถสตาร์ทพลังบวกเป็นความรักค้ำจุนโลกได้เลย กลายเป็นโมฆะบุรุษ เป็นโมฆะสตรี เท่านั้นยังไม่พอ ยังทำร้ายกันเองอีก เบียดเบียนกันอีก
    ฉะนั้น วิธีการฝึกธรรมะก็คือ ถือศีล ไม่ก้าวล่วงผู้อื่นทางกาย วาจา ใจ แล้วก็ต้องเป็น ?มนุษย์? ให้เป็น คือละให้ได้ และคิดให้เป็น อย่าคิดถามหาตัวตน คิดในขณะที่จิตสุขสงบ คิดเพื่อ ?ให้? ไม่ได้คิดเพื่อ ?เอา? อย่างนี้เขาเรียก ปฏิบัติการทางเทคนิค หาปัญญาจากคิดเองให้ได้ ใช้อำนาจทางจิตภายใน คุณไม่จำเป็นต้องไปนั่งหลับตาทำสมาธิอย่างพระ ถามว่ามันใช้ได้ดีกับการดำเนินชีวิตของคุณไหม หรือ แค่พักผ่อนจิตของคุณให้มันสงบชั่วคราว อย่างเวลาเราคุยกัน เราต้องการสมาธิมากกว่าที่จะไปนั่งหลับตาทำสมาธิ
    พระฝึกสมถะกรรมฐานแล้ว ท่านก็ใส่วิปัสสนากรรมฐานต่อยอดเข้าไป คือพิจารณาด้วยปัญญา คือฝึกคิด เพื่อหาปัญญา หาแสงสว่าง ส่วนเรา ...เพื่อการรู้แจ้ง ไม่ใช่หาปัญญาอย่างเดียว ต้องหาทางออกที่ถูกต้อง หาทางเลือกที่ถูกต้องด้วย เพราะเราต้องเกี่ยวกรรมกับใครต่อใครเยอะแยะ เพราะเรายังอยู่ในอาสวะกิเลส...?
    อาจารย์คาดหวังจากการทำงานตรงนี้อย่างไรคะ
    ?ไม่ได้มีความคาดหวังใด ผมเหมือนดวงอาทิตย์ คุณสมบัติของดวงอาทิตย์ก็คือมีความร้อนแรงและแสงสว่าง เพราะฉะนั้น เมื่อมีคุณสมบัติใด หน้าที่ของสรรพสิ่งนั้น ในจักรวาลนี้ก็จะต้องแสดงตนเองออกมาให้กับทุกสรรพสิ่งได้สัมผัสรู้ ดูเห็นอย่างชัดเจนในความเป็นตัวตนที่แท้จริงของตนเอง และสิ่งที่ตนแสดงออกมานั้นต้องเป็นสิ่งที่สร้างสรรค์ คือก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย ตัวเองจะเกิดประโยชน์สุขหรือไม่ เราไม่สนใจ แต่ผู้อื่นต้องได้ประโยชน์สุขด้วย
    ...ดวงอาทิตย์มีคุณสมบัติคือความร้อนกับแสงสว่าง เพราะฉะนั้น ดวงอาทิตย์ก็ต้องเปล่งความร้อน และแสงสว่างออกไปทุกทิศทาง ใครจะรับก็รับ ใครจะไม่รับเราก็ไม่ว่า แต่เรามีหน้าที่เปล่งประกายออกมา ถ้าพูดแบบจิตมนุษย์ก็คือ เรามีประสงค์ที่จะให้มนุษย์ทุกคนเกิดสติทางวิญญาณ เพื่อที่จะได้จูงมือกันกลับบ้าน มีสติทางวิญญาณคือ กลับมาเป็นคนดีก่อนที่โลกใบนี้มันจะเละเทะ และก่อนที่ตัวเองจะแหลกราญ เพราะโลกเสียสมดุล เนื่องจากมนุษย์มีความรักกันน้อยมาก โลกก็เลยหมุนช้าลง มันถึงเหวี่ยงหมุนเป็น 24 ชั่วโมง ต่อรอบ ...เดิมทีโลกหมุนเร็ว 22 ชั่วโมงต่อรอบ ตอนนี้มันหมุนช้าลงเพราะพลังงานที่ได้จากจิตมนุษย์น้อยลง มนุษย์ไม่รู้จักคำว่ารัก รักไม่เป็น รักไม่ได้ ไม่เชื่อพระศาสดา
    สมัยนี้คุณสังเกตมั้ยว่า เวลาที่คุณเดินไปไหน มีแต่คนใจไม้ไส้ระกำ คนใจดำทั้งนั้น บางทีผัวเมีย พ่อแม่ ฆ่ากันตายได้ทั้งที่รักกัน แต่งงานกัน นอนกอดกัน พออารมณ์ไม่ดี ผิดใจกันหน่อยเดียว เอามีดเสียบแทงกันตาย ก็แสดงว่ารักไม่จริง มันเป็นความลุ่มหลง เป็นประเพณีอะไรก็ไม่รู้ ถ้ารักกันต้องฆ่ากันหรือ?
    อย่างคำว่า ...รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี...ไปเข้าใจกันว่า ถ้ารักมากต้องตีแรง ๆ ตีเจ็บ ๆ...ไม่ใช่ครับ คำว่าตีนี่คือ ให้ตีด้วยความรัก ไม่ได้ตีด้วยไม้เรียวหรือตีด้วยไม้ตะพด หรือไม้หน้าสาม...
    รักวัวให้ผูก คำว่าผูกนี่คือ ผูกพัน ไม่ใช่ผูกเชือก คนสมัยก่อนเขาเลี้ยงวัว เขาไม่ได้ผูกล่ามนะ เขาปล่อยมันไปตามอิสระ และ เดินไปด้วยกัน คุยกับมันไปด้วยได้ด้วยซ้ำ แต่คนสมัยนี้คุยกับสัตว์ไม่รู้เรื่องเพราะอะไร เพราะสัตว์ไม่ยอมฟัง เพราะความเมตตาดีงามในจิตใจไม่มี สัตว์มันรับกระแสตรงนั้นไม่ได้ มันเลยพูดกันไม่รู้เรื่อง?
    นอกจากอาจารย์จะจัดคอร์ส ?ไซโคโชว์? แล้วยังใช้สื่อไหนบอกเรื่องราวจากจิตรจักรวาลสู่ผู้คนอีกคะ
    ?ผมสื่อด้วยการเขียนหนังสือ แล้วอาจารย์ก็รับไปบรรยายที่งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติที่ศูนย์สิริกิติ์ ไปบรรยายทุกปีครับ วันที่ 27 มีนาคมนี้ก็มีบรรยายด้วย มีคนฟังล้นทุกที ตอนนี้คนที่หายไปกลับมาฟังอาจารย์มากเลย ตั้งแต่เกิดสึนามิ... เพราะอาจารย์เตือนไว้ให้ระวังเมื่อ 2-3 ปีก่อน อาจารย์เตือนว่า ภัยร้ายจะเข้ามาหาตน คืบคลานเข้ามาช้า ๆ คืบคลานมาเรื่อย ๆ...?
    นอกจากสึนามิแล้ว จะเกิดภัยพิบัติอะไรขึ้นอีกบ้าง
    ?...ภาคเหนือจะเกิดแม่น้ำสายใหม่ จังหวัดกาญจนบุรีจะมีทะเล เขื่อนบางเขื่อน น้ำจะเป็นน้ำทะเล ภูเขาจะพังและแยกออก น้ำทะเลก็จะทะลักเข้ามา เป็นต้น แล้วประเทศไทยเราก็จะมีภูเขาไประเบิดขึ้นมาตั้ง 3-4 แห่ง แต่อย่าถามว่าอีกเมื่อไหร่ อย่าถามเรื่องเวลา ถ้าผมบอกไปมันก็จะเลื่อน และถ้าเลื่อน มนุษย์ก็จะเจอเรื่องหนักหนาสาหัสกว่า คือมันจะแรงขึ้นกว่าเดิมอีกเท่าตัว...
    อาจารย์ก็มีหน้าที่ให้ข่าวสารว่าโลกกำลังวิกฤต เพราะจิตสำนึกของมนุษย์ต่ำทราม ถ้าใครรู้ว่าเป็นหนึ่งในนั้น รีบแก้ไขจิตสำนึกของตัวเอง รีบเป็นคนดีซะ เพราะคนที่จะรอดพ้นจากตรงนี้ได้ก็คือคนดี คือ 1. ถือศีล 2. ปฏิบัติธรรม รู้จักรักให้เป็น รักให้ได้ 3. ใช้สมองซีกขวานำซีกซ้าย คือใช้ปัญญาญาณให้เป็น อย่าใช้ซ้ายนำขวาเหมือนตั้งแต่เกิดจนถึงป่านนี้ ถามหาตัวตน เช่น เวลามีปัญหาเกิดขึ้นมาในการทำงาน ทุกคนจะถามหาว่า ใครเป็นคนทำ ? แบบนี้แหละคือการใช้สมองซีกซ้าย คือถามหาตัวตน ...เดินไปด้วยกันบนถนน เจอขยะวางอยู่หลายก้อน เราก็เดินอ้อม หรือบางทีเตะขยะไป เราไม่เก็บเอาไปใส่ถังขยะ ที่เราไม่เก็บเพราะเราบอกว่า เราไม่เป็นคนทิ้งนี่...นี่แสดงว่า เราคิดว่าไม่ใช่ของเรา หรือประเทศไทยนี่ไม่ใช่ของเรา หรือบางทีคิดว่าเราไม่ใช่พนักงานเก็บขยะ นี่คือคุณคิดหาตัวตน...
    คนเราถ้ามีแต่คนใช้สมองซีกซ้าย มันจะมีแต่ขยะเต็มไปหมด เช่น ขยะวัตถุ เทคโนโลยี ซึ่งสมองซีกซ้ายสร้างขึ้นมาทั้งนั้น แต่คุณเห็นมั้ย สร้างสิ่งหนึ่งแต่ก็ต้องทำลายสิ่งหนึ่งเสมอ แต่คิดอย่างสมองซีกขวาของผมนี้ สร้างอย่างเดียว ยังไม่ได้ทำลายเลย เพราะใช้ขวานำซ้าย ให้โดยไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน พระพุทธเจ้าเรียกว่า ให้ทาน หรือบางทีให้หมดเลย ไม่ใช่แบ่งปัน เขาเรียก เสียสละ
    มนุษย์ปัจจุบันนี้ทำไม่ได้หรอก ไม่รู้จักว่าเสียสละคืออะไร มีขอทานมาตั้งเงื่อนไขนั่งข้างถนนและทุพพลภาพด้วย มองเขาด้วยสายตาขยะแขยง แทนที่จะสำนึกว่านั่นละ เขามาช่วยเป็นบททดสอบจิตสำนึกให้เรารู้สึกเกิดการสั่นสะเทือนเป็นจิตเมตตา ถึงแม้ไม่ต้องควักเงินหยอดให้ ก็คิดสงสารเขา ถ้าเป็นสามีเราลูกเรา แล้วมาเป็นแบบนี้ คงแย่แน่ๆ เลยนะ น่าสงสารเขานะ การที่พระพุทธเจ้าบอกว่า อนิจจัง วัฏฏะสังขารา คือปลงอนิจจัง นึกถึงตนเองหรือญาติตนเอง ถ้าไปเจอแบบนี้คงแย่นะ สงสารเขานะ ถ้าคุณไม่รู้จักบริจาคทาน ให้ด้วยความรู้สึกที่ดีก็ได้ เนี่ยพลังบวกเกิดขึ้นแล้ว คุณสอบผ่านนะ แต่บางคนพอเห็นปั๊บ เดินหนีเลย แถมยังเที่ยวไปด่าเขา ดูถูกเหยียดหยามเขา แสดงว่าสอบตก
    อำนาจแม่เหล็กโลกเป็นผู้กำกับสติปัญญาของมนุษย์ ทุกวันนี้ ทำไมมนุษย์เราใช้สมองซีกซ้าย คือสมองขยะนำซีกขวา มากกว่าจะใช้ซีกขวานำซีกซ้าย ทั้งนี้ก็เป็นเพราะแกนหมุนของโลกมันเอียงไม่สมดุล และเมื่อเป็นเช่นนี้ เอกภพที่เป็นเปลือกไข่ใบใหญ่ของแมงมุมที่ผมยกตัวอย่างไว้ เขาก็เอียงไปทางซ้าย 0.2 องศา ขณะนี้ซึ่งเรียกว่าไม่สมดุล เพราะมนุษย์เราเหลวไหล ไม่เชื่อพระศาสดาทั้งหลาย
    พระพุทธเจ้าสอนว่า ถ้าเราจะนิพพาน ต้องนิพพานให้ได้เสียตั้งแต่ตอนที่เป็นมนุษย์ คุณสมบัติของผู้ที่จะนิพพานได้ จิตวิญญาณใดก็ตามที่จะนิพพานได้ ต้องมีคุณสมบัติคือ เรียนรู้บทเรียนโลกได้อย่างโจ่งแจ้ง...?
    อาจารย์สรุปอีกทีได้ไหมคะว่าสิ่ที่อาจารย์ทำอยู่ทุกวันนี้คืออะไร
    ?สิ่งที่ผมทำทุกวันนี้ ผมทำหน้าที่ 2 ด้าน คือ ทฤษฎีไซโคโชว์ คือที่รับจัดฝึกอบรม เพื่อแก้ไขจิตสำนึกที่บกพร่องของมนุษย์ในองค์กรทั้งเอกชน และราชการ เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมขาดจิตสำนึกของเขา และสร้างทักษะในการมีสำนึกใหม่ที่ถูกต้องด้วยทฤษฎีไซโคโชว์ของผม ซึ่งเป็นทฤษฎีทางด้านวิทยาศาสตร์พฤติกรรม ซึ่งเป็นทฤษฎีส่วนตัวนะ และทุกวันนี้งานเยอะมาก
    ส่วนทางธรรมะก็คือ ผมมีหน้าที่เผยแพร่ข่าวสารความรู้จากจักรวาล ที่ผมเรียกว่าจิตจักรวาล ผมทำหน้าที่โดยบรรยายธรรมะให้คนฟัง โดยที่เรามีชมรมหลักอยู่ชมรมหนึ่งคือ ชมรมจิตจักรวาลศึกษาแห่งโลก มีสมาชิกเยอะแยะทั่วประเทศ และตอนนี้เราก็ไปตั้งชมรมลูกอยู่ที่อีสานคือ ชมรมผู้ประพฤติธรรม เราจะรวบรวมคนทุกศาสนาที่ต้องการ ที่จะเป็นผู้ที่เข้าถึงจิตสำนึกที่ถูกต้อง เหมาะสม และดีงาม ด้วยการนำเอาความรู้และข่าวสารต่าง ๆ ที่อาจารย์ได้รับการถ่ายทอดมาจากจิตจักรวาล ที่เรียกว่า พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ มาบอกกล่าวเล่าแจ้งให้เขาได้คิดและได้สติทางวิญญาณและเอาไปปฏิบัติ
    เช่นว่า ผมเปิดเผยว่าโลกเรานี้เกี่ยวข้องกันอย่างไร และขณะนี้ทำไมภัยธรรมชาติมันรุนแรงเอากับมนุษย์โลกมากขึ้น มนุษย์โลกทำอะไรบกพร่องหรือ เกี่ยวกับมนุษย์มั้ย ตอบว่าเกี่ยวนะ ถ้าคุณจะหยุดวิกฤตโลก จะต้องกอบกู้อิสรภาพทางจิตสำนึกของตัวคุณเองให้ได้ ทุกคนต้องร่วมด้วยช่วยกัน เพราะจิตสำนึกของมนุษย์กับจิตสำนึกของโลกเป็นหนึ่งเดียวกัน เราต้องให้พลังบวกกับโลก ด้วยการที่ทุกคนต้องรักกันเท่านั้น รักให้ได้ รักให้เป็น แต่ทุกวันนี้เราไม่เข้าถึงหน้าที่ตรงนั้นเลย เรามัวแต่เวียนว่ายตายเกิดมาแก้แค้นกับแก้ไขสองอย่างเท่านั้น ซึ่งมันเท่ากับว่าเราบกพร่องต่อหน้าที่ เราใช้เวลาล่วงเลยมาเกือบ 6 หมื่นปี บวกเข้าไปอีก 800 ปีละ เราก็ยังนิพพาน คือ กลับบ้านไม่ได้
    เพราะฉะนั้น หน้าที่อาจารย์ก็คือ มาเตือนทุกคนว่าให้มีปณิธานแห่งนิพพาน คือให้รู้ว่าเราหมดหน้าที่ทางโลกแล้ว เราก็ต้องหาทางนำจิตวิญญาณกลับบ้านคือแดนศุญญตาให้ได้เหมือนที่พระพุทธเจ้าทรงเสด็จกลับไปด้วยพระองค์เอง เราจะต้องถือศีล ปฏิบัติธรรม และคิดให้เป็น ใช้ปัญญาของเราให้เป็น ดำเนินชีวิตไปตามแนวทางที่อาจารย์แนะนำหรือศาสนาของคุณแนะนำก็ได้ อย่าใช้ความงมงายในการดำเนินชีวิตและอย่ายึดติดกับทางโลกอย่างเดียว เราเป็นสองมิติ อย่าทำเพื่อกายอย่างเดียว ต้องทำเพื่อจิตวิญญาณของเราด้วย นั่นคือสิ่งสำคัญที่อาจารย์ทำ...
    และอาจารย์ก็บอกล่วงหน้าว่า ขณะนี้โลกถูกตัดสินแล้วว่าจะต้องถูกชำระ เพราะให้มนุษย์ด้วยกันค้ำจุนโลกให้สมดุลไม่ได้แล้ว มนุษย์เราเป็นตัวการ ขณะที่จิตวิญญาณเราถูกส่งมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อทำหน้าที่ค้ำจุนโลก แต่มนุษย์เองกลับทำลายความสมดุลของระบบโลกซะเอง แทนที่เราจะมาค้ำจุน นี่คือโทษหนัก คือไม่เชื่อศาสดาของตัวเอง เอาศาสดามาอ้างอย่างเดียวว่า ฉันเป็นคนมีศาสนา มีศาสดา แต่ไม่เคยเชื่อฟังและเคารพพระศาสดาอย่างแท้จริง เอามาพูดเพื่อเอาดีใส่ตัว เพื่อแอบอ้างกันเท่านั้น นั่นคือความเหลวไหลของมนุษย์ ผมถึงบอกว่าคุณนับถือศาสนาใดก็ได้ แต่อย่างมงาย เอาแก่นแท้ของธรรมะ ของศาสนานั้นมาปฏิบัติให้ได้ เพราะมันมีต้นธรรมต้นเดียวกัน แต่ละพระองค์มาเกิดกันคนละยุคคนละสมัย เราจะไปแบ่งแยกศาสดาว่าเราเอาพระพุทธเจ้า ไม่เอาคริสต์ ไม่เอาอิสลามไม่ได้ เพราะพระศาสดาล้วนเป็นผู้มีเมตตาต่อมนุษย์อย่างเรา ๆ ทั้งนั้น พระองค์อุตส่าห์จุติมาเป็นพระศาสดาเพื่อมาสอนให้พวกเรามีสติทางวิญญาณ ถ้าไม่มีพระองค์มาสอน เราก็ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตนอย่างไร มาสร้างสำนึกให้ แต่นี่ปรากฏว่าเรารักพระพุทธเจ้า แต่เราไปเกลียดศาสนาอื่น หรือเรารักพระเยซูคริสต์แต่เราไปเกลียดพระพุทธเจ้า เราทำอย่างนั้น เรางมงายและเราโง่มาก ๆ มันไม่ถูกต้อง นั่นคือหน้าที่ที่อาจารย์มาสอน สอนว่าเราจะต้องประพฤติ ปฏิบัติตนอย่างไร
    อาจารย์สอนแม้กระทั่งที่ว่า เราจะต้องเตรียมตัวผจญกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับโลกอย่างไรบ้าง อาจารย์พูดมาเกือบ 10 ปีแล้ว และก็จะพูดต่อไปเรื่อย ๆ?
    ต่อไปนี้โลกเราจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปอีกคะ ถ้าหากมนุษย์ไม่สามารถสร้างความสมดุลบนโลกได้
    ?...นี่อาจารย์ก็ทำแผนที่ของอาจารย์ขึ้นเอง เป็นแผนที่โลกใหม่ อย่างเช่น สึนามิที่เกิดขึ้นก็เกิดในพื้นที่ที่อาจารย์เทสีแดงไว้ซึ่งนั่นคือเขตอันตราย และที่มันเกิดมันก็อยู่ในโซนสีแดงที่อาจารย์ทำไว้บนแผนที่นี้ มีสีแดงอีกทั้งโลก ตรงไหนบ้าง เอาไว้คอยดูก็แล้วกัน ถ้าสนใจก็คอยติดตามฟัง อาจารย์จะบรรยายธรรมะให้ฟังตามที่ต่าง ๆ แล้วจะก็สอนเรื่องให้คน modify จิตสำนึกของตนเอง?
    การปรับปรุงแก้ไขจิตสำนึกตามหลักที่อาจารย์แนะนำนั้นต้องทำอย่างไรคะ
    ?จริง ๆ แล้วทำไม่ยาก ถ้าเราไม่ดื้อไม่งมงาย อยู่ที่ว่าเราจะเปิดใจของเรามั้ย เราจะหลงตัวเองมั้ย ภาษาชาวบ้านเขาเรียก มี ego มากน้อยแค่ไหน มนุษย์ทุกคนติด ego ความเชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก เชื่อมั่นในความรู้เดิมของตนเอง เชื่อมั่นในสติปัญญา ภูมิรู้ภูมิธรรมของตัวเอง นี่คือปัญหาของมนุษย์ พระพุทธเจ้าจึงสอนว่าให้ละวางอัตตาซะ คือละวางการยึดติดทุกสิ่ง เปิดไปเรื่อย ๆ เหมือนต้นไม้ ถึงจะแข็งแรงแล้วก็จริง ฝนตกมาอีกต้นไม้ก็ไม่ปฏิเสธฝน ฉันมีแสงแดดมาทำให้เกิดพลังงานในการสังเคราะห์แสงแล้วเต็มที่แล้ว แต่แดดยังแจ๋อีก มันเกินพอ แต่ฉันโวยวายมั้ย ฉันก็สงบนิ่ง ฉันพร้อมจะรับ ให้มามากฉันก็รับมาก ให้มาน้อยฉันก็รับน้อย แต่มนุษย์ไม่ได้ทำตนเช่นนั้น พอรู้ว่าฉันพอแล้ว ซึ่งจริง ๆ ยังไม่พอหรอก แต่คิดว่าพอแล้ว และแสดงออกให้เห็นว่าฉันพอ มนุษย์ก็เลยกลายเป็นเหมือนต้นไม้ที่ตายซาก เพราะใช้ความรู้สึกของตนเองเป็นหลักซึ่งไม่ถูกต้อง มันผิดธรรมชาติ
    ที่อาจารย์เดินทางไปทั่วประเทศ สอนไซโคโชว์ซึ่งนั่นคืองานอาชีพ แต่ได้แทรกสิ่งที่พูดมาทั้งหมดนี้ไว้ตลอดเวลาเพื่อสอนให้คนมีสำนึกเป็นบวก พระบิดาอนุญาตให้อาจารย์ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์แล้วให้ประโยชน์แก่โลกได้ในระดับที่สามารถจะเปลี่ยนแปลงภัยพิบัติที่ร้าย ๆ ที่จะเกิดขึ้นบนโลก คือ สามารถจะลดความรุนแรงลงไปได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์
    เมื่อปลายปี 44 อาจารย์รู้ว่าสึนามิมันจะเกิด อาจารย์เมตตาเพื่อนมนุษย์ ทนไม่ได้ อาจารย์ก็ไปบอกใบ้คนเขา เพราะสงสารไม่อยากให้เกิด ปรากฏว่าพอไปบอก เหตุการณ์ก็เลื่อน ก็ถือว่าเป็นบททดสอบ ก็มีลูกศิษย์ของอาจารย์หลายคนที่หายไป และไม่เชื่ออาจารย์อีก ว่าอาจารย์เพี้ยน แต่เขาก็เพิ่งกลับมา โทรศัพท์มาและก็มากราบขอโทษอาจารย์ที่ล่วงเกินอาจารย์ เพราะสึนามิมันเกิดเหมือนที่อาจารย์พูดไม่มีผิด...?
    บทสัมภาษณ์ดำเนินมาถึงบรรทัดสุดท้ายนี้ หากท่านผู้อ่านยังติดใจสงสัย อยากจะทราบความกระจ่างที่นอกเหนือไปจากบทสัมภาษณ์ตรงนี้ ติดต่อไปสอบถามอาจารย์ปริญญา ตันสกุล หรือ สมัครเป็นสมาชิกชมรมจิตจักรวาล ที่สำนักพิมพ์จิตจักรวาล โทร. 0-2512-3176 ได้ค่ะ
     
  5. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    ถ้าจะว่าจิตจักรวาลเป็นผุ้ส่งพระพุทธเจ้า หรือพระเยซู ให้ออกมาสั่งสอนชาวโลก เพื่อเข้าสู่นิพพาน แล้วทำไมในศาสนาอื่นๆถึงไม่มีการกล่าวถึงนิพพาน และนอกจากนั้นในคัมภีร์ไบเบิลยังไม่มีการพูดถึงการเวียนว่ายตายเกิด?
     
  6. NuJanBaBor

    NuJanBaBor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +1,861
    ขอบคุณค่ะ สำหรับเร่องราวยาวๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ หาวๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

    เล่นเอามึน
     
  7. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    ขอบคุณคุณ nondanun ที่นำมาลงไว้ครับ..

    ผมไปฟังบ่อยๆนะครับ แล้วก็เรียนรู้เพิ่มเติมต่อยอดเอาครับ ถือเป็นความรู้ที่นำไปปฏิบัติได้ครับ

    เรื่องราวของ"จิตจักรวาล" หรือ "พระผู้สร้าง" ก็คือเรื่องเดียวกันครับ
    เราจะเรียกขานว่าอะไรก็แล้วแต่ บางท่านเรียกว่า "พลังงานต้นกำเนิด"

    เพราะชีวิตธรรมญาณของคนเราเป็นภาคเล็กๆ ที่แยกตัวออกมาจากแหล่งรวมธรรมญาณ หรือเรียกว่าเกิดจากท้องฟ้ามหาจักรวาล นั่นล่ะครับทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องเดียวกันครับ

    เพียงแต่ความไร้รูป เป็นสิ่งที่มนุษย์เราหลงลืมมานานแล้ว เพราะเราถูกส่งมาอยู่ในมิติของระยะทางและเวลา มวลกายที่หยาบขึ้น ถูกปิดมิติไว้สารพัด การที่จะกลับไปเข้าใจเรื่องของความไร้รูปจึงทำได้ยากขื้น แต่นั่นก็คือสภาวะของจิตเดิมแท้ของเราทุกคน..ทุกอย่างจึงล้วนเป็นเรื่องสากลครับ

    การใช้คำพูดอธิบายเรื่องเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่ยากพอดูครับ ทำให้มนุษย์มักตีความไปตามความรู้สึกแบบจิตมนุษย์ คือมองหาแต่ตัวเท่านั้น เกิดสับสนยึดติดไปเองเช่น พระศาดาข้าใครอย่าแตะ คัมภีร์ศาสนาข้าใครอย่าลบหลู่..อะไรแบบนี้ จนเกิดเเป็นสงครามศาสนาไปในที่สุด (สงครามครูเสด)

    ส่วนเรื่องของเหล่าพระศาสดาต่างๆนั้น ก็เป็นเรื่องของผู้มีหน้าที่อาสามาเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณให้พวกเราในแต่ละยุค แต่ละสมัย ต่างสถานที่ ต่างเวลา ตามความเหมาะสมที่มนุษย์ยุคนั้นๆจะรับความรู้ได้ เพื่อมาฉุดช่วยให้เรากลับคืนดิดแดนที่เราจากมา เท่าที่ท่านจะมีเวลาครับ

    พระเยซู ท่านมีเวลาน้อยกว่าเพื่อน มาเพื่อไถ่บาปมนุษย์ สอนเราเฉพาะเรื่องที่มนุษย์แถบนั้นจะเข้าถึงได้ ทำให้อาจยังสอนไม่ละเอียดเท่ากับพุทธของเราครับ แต่จริงๆก็คือธรรมะเดียวกันทั้งหมดครับ เพราะแถบนั้นยังยึดถือเรื่องตัวตนค่อนข้างมาก..สร้างเป็นความเชื่อหรือตัวตนมาศรัทธานับถึอ (ทั้งๆที่พระผู้สร้างเองท่านก็ไม่อยากเห็นแบบนี้หรอกครับ)

    โชดดีว่าทาง ศาสนาพุทธ ของเรา พระพุทธเจ้าท่านได้นำธรรมะที่ล้วนมีอยู่แล้วในธรรมชาติ มาสอนเราได้อย่างละเอียดละออกว่ามาก เพราะท่านมีเวลาสอนเยอะกว่าถึง 40 ปี คนแถบนี้ก็เข้าใจเรื่องนามธรรมได้ดีกว่าด้วยครับ..เรื่องทางจิตวิญญาณจึงเบ่งบานมากๆในแถบเอเชียครับ

    ส่วนเรื่อง นิพพาน ก็อีกล่ะครับ ความหมายก็เป็นเรื่องเดียวกันอีก เป็นสภาวะที่เป็นสากลอีกเหมือนกัน ก็คนทั้งโลกก็ล้วนมาจากที่เดียวกัน ถ้ากลับได้ก็ไม่พ้นที่เดียวกันครับ บ้านเดียวกันครับ..อย่าไปคิดแบ่งแยกครับ ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียวกันครับ อยู่ที่การตีความของแต่ละท่านครับ ถ้าไม่ยึดติดเราก็จะพบว่าเราทุกๆคนก็ล้วนเป็นพี่น้องกันทั้งนั้นครับ มีจิตวิญญาณร่วมกันเหมือนกันทั้งสิ้นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มกราคม 2007
  8. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ไอ้อ่านหนังสือของอาจารย์ปริญญามามากพอสมควร แต่พักหลังๆนี่ ไม่ค่อยได้ติดตาม Update ข่าวจากท่านเท่าไหร และหนังสือเก่าๆที่ผมเคยอ่านผมก็ให้คนอื่นไปแวด้วยครับ เพราะคิดว่าเมื่อตัวเองรู้แล้วก็อยากให้คนอื่นๆได้รู้บ้าง

    ดังนั้นตอนนี้ ในประเด็นปลีกย่อยผมจึงจำไม่ค่อยได้แล้วหละครับ
     
  9. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ก็มีคนคนที่เชื่อนะว่า แต่ก่อนก็มีความเชื่อเกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิดในคริสต์ศาสนา แต่ความเชื่อนี้ถูกตัดออกไปในสมัยพระจักรพรรดิคอนสแตนติน ลองหาคำว่า constantine reincarnation จากกูเกิลแล้วจะเจอเยอะเลย

    http://www.reluctant-messenger.com/origen6.html
    http://www.spirit-works.net/christianity_and_reincarnation.htm
    http://www.near-death.com/experiences/origen08.html
    http://www.answers.com/topic/bible-and-reincarnation
     
  10. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    ถ้าหากมีข่าวใหม่ๆของอาจารย์ ก็จะมา update ที่กระทู้นี้นะครับคุณ Chayutt ไว้ให้เพื่อนๆได้อ่านกันด้วย..

    ล่าสุดเริ่องของเวลาท่านบอกไว่ว่า เหตุการณ์จะเกิดในปี ค.ศ.ที่เลขรวมกันได้ 11 (ซึ่งอาจหมายถึง ปี ค.ศ. 2009 ) อาจารย์บอบตรงๆไม่ได้ครับ ท่านว่ามันจะเลื่อนได้อีก..ช่างเทคนิคเขาจะไม่บอกล่วงหน้าครับ..เดื๋ยวงานเขาไม่สำเร็จ..

    ความถี่ในการเกิดภัยจะมากขึ้นเรื่อยๆ..สังเกตเอาครับ แล้วท่านใดฝึกสมาธิ ช่วงนี้จะสัมผัสและรับรู้ข่าวสารได้ง่ายขึ้น เพราะจักรวาลส่งข่าวมาเตือนให้ตลอดครับ..พยายามฝึกกันต่อไปครับ เมื่อจิตว่างๆก่อนนอนก็ตั้งจิตอฐิษฐาน "เปิดตาที่สาม" เพื่อรับข่าวสารเอาไว้ครับ

    ท่านใดไม่ค่อยได้ฝึกสมาธิ ก็หมั่นทำดี คิดดี พูดดี ไว้นะครับ อย่าให้เกิด ผล ผลกรรมใหม่ ที่ไม่พึงประสงค์ครับ ส่วน กรรมเก่า ก็หมั่นอโหสิกรรม ทำ"โมฆะกรรม" กันไว้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2007
  11. *44*

    *44* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    528
    ค่าพลัง:
    +1,808
    เราเชื่อ และเคารพ พระพุทธเจ้า เป็นหนึ่งในดวงใจเท่านั้นจ๊ะ
     
  12. bassate

    bassate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +601
    ถึงคุณ apichan คับ การที่ศาสนาคริสต์ ไม่มีกล่าวถึงการเวียนว่ายตายเกิดเป็นเพราะมีการบิดเบือนข้อมูลจากจิตต้นกำเนิด และมีการชำระพระคัมภีร์โดยมนุษย์กิเลสนี้หลายครั้ง และบิดเบือนเพื่อประโยชน์ทางการปกครองคนหมู่มากในสมัยโบราณ คำสอนของศาสนาพุทธใกล้ที่สุด และ ดีที่สุดครับ แต่คำสอนในพระคัมภีร์เดิมจะสมบูรณ์มากกว่าพระคัมภีร์ใหม่ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด การที่พระเยซูยินยอมถูกตรึงกางเขนเป็นการสอนมนุษย์ให้ทำความดี ปฎิบัติดีเพื่อหนทางแห่งความรอด หรือ นิพพาน นั่นเอง เพียงแต่วิธีสอนและการเข้าถึงรายละเอียดของพระศาสดาแต่ละพระองค์ต่างกัน รวมถึงความแตกต่างของวิถีชีวิตและวัฒธรรม จึงจำเป็นต้องมีวิธีสอนที่ต่างกัน ไม่ใช่การยอมสิ้นพระชนม์เพื่อชำระบาปเพื่อมวลมนุษยชาติแต่อย่างใด แต่เป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่กว่า โดยการเอาตัวเองเป็นอุปกรณ์สั่งสอนบทสุดท้าย นั่นคือความเป็นนิรันดร์ของจิตวิญญาณ ที่ตายแล้วไม่สูญ ครับ ท่านที่เป็นคริสเตียนเมื่ออ่านข้อความนี้แล้ว ขอร้องจงอ่านผ่านเลยไปเลยครับ อย่ามาบาดหมางเรื่องความเชื่อส่วนบุคคลเลยครับ ขอจงเป็นสุขในวิถีทางของท่านเอง
     
  13. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    รับทราบครับ ผมเข้าใจดีว่าการนำเรื่องความเชื่อของแต่ละศาสนามาถกเถียงกันไม่เกิดประโยชน์ อีกอย่างศาสนาทุกศาสนาก็มุ่งสอนให้คนเป็นคนดีด้วยกันทั้งนั้น
     
  14. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    ใช่ครับ เราควรรักษาความเป็นหนึ่งเดียวกันเอาไว้ครับ
    ที่คุณ Bassate กล่าวไว้ก็เป็นแนวความคิดที่ทำให้เข้าใจได้ชัดขึ้นครับ
     
  15. LADYTUT

    LADYTUT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +123
    7 วัน 1 ราตรี
    มนุษย์ทำร้ายมนุษย์ด้วยกันเอง บ้างพิการทุพพลภาพ บ้างเดือดร้อนนอนสาหัส บ้างหลั่งเลือด บ้างเอาชีวิตกัน
    มนุษย์ฆ่ามนุษย์สุดโหดร้ายเหมือนมิใช่จิตมนุษย์ มนุษย์เอาเปรียบเบียดเบียนมนุษย์ดุจมิใช่พี่น้องกัน
    มนุษย์ทุจริตคดโกงมนุษย์ด้วยกันเหมือนมีมันฉลาดรู้อยู่ผู้เดียว
    และมนุษย์ทำตนงมงายเหมือนไม่มีสมองมนุษย์เอาเสียเลย
    มนุษย์ไม่รู้เบื้องหลังความเป็นมาที่โหดร้ายของมึงคือ "ผู้อื่น" ไม่รู้เบื้องหลังความงมงายของตน หรือ "กูเอง"
    ภาพรวมทางสังคมหลายเดือนวันที่ผ่านมา จึงเป็นความสับสนในจิตใจ และเป็นความว่างเปล่าในความคิด
    เหตุเพราะมนุษย์มีก้อนสมองที่เบาหวิวว่างเปล่าจาก "ปัญญาญาณ" มนุษย์ไม่รู้ที่มาที่ไป มนุษย์ไม่รู้ความลับ
    เบื้องหลังมิติของตนเองและผู้อื่น มนุษย์ไม่รู้อะไรๆทั้งของตนเองและผู้อื่น นอกจากการ "สู่รู้-สู่เห็น" และบทบาท
    ที่เรียกว่า "อวดดี" มนุษย์ไม่รู้ว่าทำไม "เขา" ต้องเป็นผู้ฆ่าหรือเป็นผู้ถูกฆ่า ทำไมเขาต้องตายเดี่ยวแต่รอดหมู่
    มนุษย์ไม่รู้ว่าทำไมต้องตายหมู่แต่รอดอยู่คนเดียว
    มนุษย์หลงเชื่อตามการแย่งสาวกของเจ้าลัทธิ มนุษย์หลงเชื่อความรู้ใหม่ทั้งๆที่มันมิใช่ความรู้ที่เป็น
    แสงสว่างหรือพลังด้านบวกในความรู้นั้น ขณะที่มนุษย์ต่างพากันปฏิเสธความรู้ใหม่ที่เต็มไปด้วยแสงสว่าง
    และความร้อนด้านบวกอันเป็นสัญลักษณ์ของ " ความรัก"ในทันทีที่เขาเข้าใกล้มัน พวกเขาล้วนโง่ งมงาย
    หรือเขาป่วยไข้ด้วยโรคอะไรกันหนอ....
    นานเท่าที่ดวงอาทิตย์จะมี จุดระเบิดดวงที่ 11 ปรากฏขึ้นบนด้านที่หันเข้าหาโลก นานเท่าที่ความพร้อม
    ของตัวแทนแห่งมนุษย์จะมี รหัส 11 ปรากฏขึ้นในดวงจิตและปัญญาญาณ นานเท่าใดนั้นมนุษย์ทั้งหลายย่อมไม่รู้
    แต่คำว่านานเท่าใด ในความหมายของคำๆนี้ก็คีอ " ไม่นาน" อยู่นั่นเอง
    ก่อนอาทิตย์อัสดงหนึ่งวัน ถ้วนทุกสรรพสิ่งบนโลกหล้าดูประหนึ่งแผ่นพื้นผิวนํ้าเมื่อยามคลื่นลมสงบ
    พอยามอัสดงนกกาฟ้าคนและต้นไม้จะมีจิตวิญญาณภายในพลันวูบตกตํ่า อย่างผิดสังเกตุ โดยไม่อาจคิด
    สั่นสะเทือนเพื่อยกระดับสู่สุขหยาบๆแบบจิตมนุษย์ดังแต่เดิม ได้ด้วยเงื่อนไขเดิมๆ
    พวกเขาพากันถามตนเอง ' ไฉนใจหายๆ ทำอะไรที่เคยสนุกมันกลับไม่สนุกเอาเสียเลย
    บางคนกลับแลหงอยเหงาเหมือนอ้างว้างเดียวดาย บางคนรู้สึกเหมือนว่ามีบางสิ่งที่ลืมไปแต่นึกไม่ออกว่าลืมอะไร
    ขณะที่บางคนรู้สึกเสมือนมีใครมาคอยพรํ่าเรียกให้ลุก ปลุกให้ตื่นทั้งคืนคํ่า และอีกหลายอย่างที่จะได้เจอ
    ท่ามกลางสิ่งแปรปรวนภายนอกภายในเหล่านั้น มนุษย์จะแตกตื่นรู้โดยไม่ต้องสู่รู้ว่า บัดเดี๋ยวนั้น
    แผ่นดินของโลกกูหายไปไหน แห่งแล้วแห่งเล่า และจะนับนิ้วดูได้ว่า เพี่อนมนุษย์ของกูหายไปไหนทีละหลายแสน
    และแล้วก็มาถึง 7 วัน 1 ราตรี วาระสุดท้ายที่โลกจะสะเทือนทุกด้านพร้อมกันหมด
    มิอาจมีคำใดสาธยาย ถึงเสียงแซ่แห่งพระบิดา ที่จะหวีดหวิวปัดกวาดชำระโดยเหวี่ยงหวดลงมาจากฟ้า
    ณ เวลา ที่ 11 : 11 เก้านาฬิกาเศษ หลังอรุณที่ควรจะรุ่ง แต่ไฉนใยฟ้าจึงมืดมิดดั่งราตรี ไม่มีแม้แสงตะวัน
    ไม่มีแม้เสียงสำเนียงคณานก ทุกอย่างเงียบเชียบเป็นเสียงเงียบ ทั้งคลื่นลมและแผ่นดินต่างหลับไหล
    มนุษย์เท่านั้นที่ไม่รู้ว่าทุกอย่างที่เงียบเชียบนั้น มันคือ ช่องว่าง ที่ถูกเปิดออก เพื่อรอ บรรจุสรรพสำเนียงที่
    ดังที่สุด ทั้งแผ่นดินเอาไว้ในนั้น โดยที่มนุษย์ทุกคนต้องได้ยินมัน นานถึง 7 วัน โดยมิมีแม้เพียงเสี้ยวนาทีที่ว่างเว้น
    นานจนช่องว่างนั้นจะถูกเติมเต็ม
    ..ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากจิตจักรวาลโดย อ. ปริญญา ตันสกุล 13 เม.ย 2544
     
  16. bassate

    bassate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +601
    มนุษย์เรามีที่มาต่างกันก่อนมาเกิดที่โลกใบนี้ แต่ต้นกำเนิดที่แท้จริงพวกเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับทุกๆสิ่งในมหาจักรวาลนี้ ดังนั้นจิตภายในจึงถูกปรุงแต่ง กองสุมกิเลสและบาปตามจำนวนชาติภพที่ผ่านมา ไม่ได้น้อยลงไปเลย มีแต่เพียงมนุษย์บางกลุ่มเท่านั้นที่มีจิตสำนึกที่สูงส่ง เทียบจำนวนกับคนมากกิเลส น่าใจหาย ผมเคยถามกับจิตเบื้องบนว่า เมื่อไหร่มนุษย์เราจะสำนึกถึงจิตภายในที่แท้จริงได้ แค่นี้โลกเราก็เปลี่ยนแปลงทันที จะมีสิ่งที่มนุษย์ไม่คาดฝัน สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์หลายๆ อย่าง เกิดขึ้น ตามกระแสจิตด้านบวกที่มากขนาดไหน แต่คำตอบที่ค่อนข้างผิดหวังอย่างมาก คือ ตอนนี้ทุกอย่างสายไปแล้ว เบื้องบน และ จักวาลได้ให้โอกาสมนุษย์มานานมากแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีส่วนที่ดีเกิดขึ้นมามากมายแล้วก็ตาม แต่มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะยับยั้งกฎของพลังงานได้ ทุกวันนี้ส่วนที่ดีก็ทำได้แค่ ยืดเวลาให้คนชั่วได้ทำชั่วกันต่อไป เนื่องจากโลกเราอยู่ในบทเรียนแห่งกรรม ที่ทุกสิ่งมีชีวิตต้องฟันฝ่า จึงมีการเกิดวัฎจักรการเวียนว่าย ตาย เกิด จิตวิญญาณที่เต็มไปด้วยพลังงานกรรม และกิเลส จำต้องมากเกิดเพื่อสะสางหนี้เก่า จึงเป็นเหตุให้เป็นการชดใช้ที่ไม่จบสิ้น เป็นวัฎจักรอยู่อย่างนี้ ไม่มีใครที่ไหนจะช่วยโลกได้นอกจากมนุษย์เอง เบื้องบนบอกว่า มนุษย์พยายามเอาชนะธรรมชาติ แต่ลืมไปว่า กายหยาบของมนุษย์ต่างหากที่เป็นสมบัติของโลก เมื่อเป็นอย่างนี้ จิตบริสุทธิ์ของเราเท่านั้นที่จะรักษา เยียวยา โลกใบนี้ได้ และเอาชนะพลังธรรมชาติได้ คับ
     
  17. kung

    kung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    247
    ค่าพลัง:
    +770
    ขอบคุณ คุณ bassate ครับ มาโพสบ่อยๆนะครับ ตามอ่านที่คุณโพสตลอด

    ขอแจ้งการบรรยาย อ.ปริญญา ครับ ครั้งที่ 127 วันอาทิตย์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 50
    โรงแรมกานต์มณีพาเลซ ห้องจันทาพร เวลา 13.00 - 18.00 น.
    โรงแรมนี้อยู่ที่ ถ.ประดิพัทธ์ ปากซ.ประดิพัทธ์ 15 อยู่ใกล้ๆสี่แยกสะพานควาย

    ท่านที่สนใจเชิญได้ครับ ครั้งนี้ผมก็คงไม่พลาดครับ
     
  18. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    จิตจักรวาลไม่มีจริงหรอก เป็นการใช้สมาธิระดับอ่อนๆปนกับความเชื่อถือแบบเทวนิยมผสมผสานกับความคิดปรุงแต่งจากการเป็นพหูสูตร ก็เลยจริงบ้างเท็จบ้างตามกำลังสมาธิ เหมือนว่ารู้แต่ไม่รู้
     
  19. KelvinG

    KelvinG Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +58
    คุณถิ่นธรรมอย่าเพิ่งรีบสรุปดิ ค่อยๆคิดวิเคราะห์ไปจาดีกว่านะ ทางที่ดีต้องมีหลักฐานด้วย
     
  20. กัสมา

    กัสมา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2007
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +50
    อ๊ะๆ อย่าทะเลาะกานนะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...