เรื่องเด่น ขาดวินัย กับ ขาดกำลังใจ มีค่าเท่ากัน

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 12 มีนาคม 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,722
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,268
    ค่าพลัง:
    +25,988
    32858525-8E19-4A2A-B3D0-5364006AE50B.jpeg

    ปกติหมอศัลยกรรมที่ศึกษาการศัลยกรรมก็เพื่อช่วยเหลือคนที่ประสบอุบัติเหตุ พูดง่าย ๆ ก็คือ ช่วยให้เขามีหน้าตาเหมือนเดิม แต่สมัยนี้จุดมุ่งหมายเปลี่ยนไป เป็นศึกษาไปเพื่อเปลี่ยนหน้าตาของคน จากการศึกษาแต่แรกเริ่มเพื่อประโยชน์ของคนไข้ กลับกลายเป็นศึกษาเพื่อการค้า

    เดี๋ยวนี้ประเทศเกาหลีหรือประเทศไทย แต่ละปีทำเงินจากการศัลยกรรมเป็นแสน ๆ ล้าน อาตมาก็มานั่งคิดว่า คนเรายอมลงทุนเจ็บตัวขนาดนั้น แล้วก็ไปฝืนสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าฝืนไม่ได้อยู่แล้ว เวลาเห็นคนแต่งหน้าแต่งตา อาตมาจะรู้สึกเหนื่อยแทน ยิ่งอายุมากก็ยิ่งต้องแต่งมาก เพื่อจะให้ดูดีเหมือนตอนสาว ๆ ซึ่งเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

    คำว่า "อนัตตา" มีความหมายหนึ่งว่า บังคับไม่ได้ เราต้องการจะให้เป็นอย่างไรก็ไม่เป็นไปตามนั้น มีอย่างเดียวก็คือเป็นไปโดยธรรมชาติ ถึงเวลาก็แก่ไป ร่วงโรยไป

    ถ้าอาตมาสรุปว่าผู้ชายดูดี ดูสวยกว่าผู้หญิง ผู้หญิงจะยอมรับไหม ? เพราะผู้ชายไม่ต้องแต่งหน้า ก็ต้องดูดีแล้วสิ ส่วนผู้หญิงต้องแต่ง ก็คือยังดูไม่ดี...ใช่ไหม ?

    เรื่องกินกับเรื่องสวย ถ้าจำเป็นต้องจ่ายอย่างเดียว ผู้หญิงจะเลือกจ่ายอย่างไหน ? ปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีพก็คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค นอกจากนั้นไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ เพราะฉะนั้น...โปรดทราบว่าความสวยมาทีหลัง ถ้าไม่มีกินก็สวยไม่ได้หรอก หน้าเหี่ยวทุกคนแหละ

    ถ้าผู้หญิงลดเรื่องการแต่งตัวลงสักครึ่งหนึ่ง แต่ละปีจะมีเงินเหลือเยอะมาก อาตมาขอยืนยัน สมัยอาตมาเป็นฆราวาส มีสาว ๆ หลายคนที่อาตมารู้การกระทำของเขา บางทีก็นึกเสียดาย อย่างเช่น ออกจากบ้านทุกครั้งก็ต้องเดินห้างช็อปปิ้ง แล้วก็ซื้อเสื้อผ้า...ซื้อเสื้อผ้า...ซื้อเสื้อผ้า ซื้อไปก็ไม่ได้ใช้หรอก ซื้อจนเต็มตู้ไปหมด เก่าหน่อยก็โละให้คนอื่น แล้วก็ไปซื้อใหม่ มีอยู่คราวหนึ่งซื้อกางเกงยีนส์มา ราคา ๗๐๐ บาท ใส่ครั้งเดียว ราคา ๗๐๐ สมัยทองคำบาทละสี่พัน..!

    อาตมาเชื่อว่าพวกเราส่วนใหญ่ มีเสื้อผ้าใส่สองอาทิตย์นี่ไม่ซ้ำชุดหรอก แต่ก็ยังคงหาอยู่เรื่อย อย่าไปเชื่อกิเลส กิเลสกำลังหลอกเรา...! ดูสิ...นางแบบนายแบบแต่ละคนหุ่นของเขาเป็นอย่างไร ? ใส่ลงไปแล้วสวยมาก เราต้องนึกถึงหุ่นเราด้วยสิ ไม่นึกถึงหุ่นของเราเลยนี่หว่า..! เห็นว่าสวยก็ซื้อแล้ว ต่อไปต้องหาดีไซเนอร์สักคนหนึ่งและโมเดลลิ่งสักคนหนึ่ง ที่ทำเสื้อผ้าสำหรับคนอ้วนโดยเฉพาะ น่าจะขายดีมากเลย

    บ้านเราตอนนี้คนอ้วน ๓๐ เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปแล้ว แปลว่าคนเดินมา ๑๐๐ คน จะมีคนอ้วนอยู่ ๓๐ คน ถ้าเดินมา ๑๐ คน จะมีอย่างน้อย ๓ คนที่อ้วน ซึ่งความจริงไม่มีอะไรหรอก ถ้าเลิกกินพวกน้ำหวานเสียหน่อยก็ไม่อ้วนแล้ว

    พระที่วัดอาตมาฉันข้าวมื้อละสองช้อน ตอนนี้น้ำหนักร้อยกว่ากิโลกรัม..! เพราะว่าตั้งแต่ตอนหลังเพลไปท่านฉันน้ำหวานตลอด บอกเท่าไรก็ไม่ฟัง ห้ามตัวเองไม่ได้ กลายเป็นคนติดหวานไป บอกว่า "คุณดูสิ...หลังเพลแล้วผมฉันอะไรเสียที่ไหน" แต่ท่านก็ทำไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็จงอ้วนต่อไปเถอะ ใครไปใครมาอาตมาก็ชี้นิ้ว "โน่น..เจ้าอาวาส" อาตมาไม่อ้วนเลยไม่ใช่เจ้าอาวาส

    พออ้วนขึ้นมา สุขภาพชำรุดหมด ข้อเข่าเสื่อม หัวใจต้องทำงานหนัก กลายเป็นโรคหัวใจ เบาหวานก็ถามหา อาตมาแนะนำญาติโยมหลายคนไปหาพระอาจารย์บ๊ะ ที่วัดโพธิ์ลังกา อินทร์บุรี ให้ท่านรักษาโรค พอไปถึง ท่านอาจารย์บ๊ะบอกให้ลดน้ำหนัก ถ้าผอมจะไม่เป็นโรคนี้หรอก สรุปว่าโรคที่เป็นอยู่ทั้งหมดเกิดจากความอ้วน

    แต่สำหรับโยมหลายคนขาดวินัย การขาดวินัยกับขาดกำลังใจนี่ราคาเท่ากัน การมีวินัยคือการทำอะไรเข้มแข็งจริงจัง คนที่จะทำอะไรเข้มแข็งจริงจัง ต้องมีกำลังใจที่คิดจะทำ อยากจะทำ ญาติโยมหลายคนตั้งใจว่า "เอาละ...ตอนนี้จะลดน้ำหนักแล้ว จะออกกำลังกายแล้ว" ซื้อเครื่องออกกำลังกายไปสองหมื่นกว่าบาท ปัจจุบันนี้เอาไว้ตากผ้าแทบทั้งนั้น

    บางคนก็ไปสมัครฟิตเนส เข้าไปได้สองอาทิตย์ อาทิตย์ที่สามเป็นต้นไปก็เลิกเข้า เต้นมาแล้วเหนื่อย เหนื่อยแล้วก็กิน พอกินแล้วไม่เต้นคราวนี้ก็ยิ่งอ้วนเข้าไปใหญ่

    น้องพลอยลูกสาวของอาตมากินกระจาย กินชนิดที่คนอื่นอิจฉา สามารถกินได้มากกว่าโยมสามเท่าเป็นอย่างน้อย เพราะเขาออกกำลังและเล่นกีฬา ต้องใช้งานหนักก็ต้องกินหนัก

    ถ้าโยมไปพม่า เวลาซื้ออาหาร ข้าวหนึ่งจานของเขา พอที่เราจะกินได้สองคน ถ้าไปเนปาล จานหนึ่งกินได้สักสามคน อาตมาเจอเข้าไปจานเดียวจุกตาตั้งเลย เพราะเขาเห็นว่าเป็นพระ เขาก็เลยโปะมาให้เป็นพิเศษ แทนที่จะเท่าคนอื่นก็พูนจนกลายเป็นเจดีย์ไปเลย ทำเอาพระแทบตาย เราไม่ได้ทำงานหนักขนาดเขา กินเท่าเขาไม่ได้ เขาทำงานหนัก เขากินประมาณนั้น เขาเห็นว่าพอดี พอ ๆ กับบะหมี่จับกังเยาวราช บะหมี่จับกังถ้าแยกเอามาขายต่างหากได้ประมาณ ๕ ชาม เพราะว่าคนทำงานหนักต้องกินมากเป็นเรื่องปกติ

    ถ้าไม่ออกกำลังกาย เอาแต่กินอย่างเดียว นอกจากอ้วนแล้ว โรคภัยไข้เจ็บยังตามมา สังคมคนอ้วนไม่ใช่สังคมที่น่าปรารถนา เพราะเป็นสังคมของคนเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้ารักตัวเอง สงสารตัวเอง เมตตาตัวเอง ก็พยายามลดลงหน่อย

    ไม่ต้องลดอะไรหรอก ลดกาแฟ ลดน้ำอัดลม ลดชาเขียว ลดพวกนี้ลง ถ้าลดทีเดียวไม่ได้ก็เหลือตอนเช้า ๑ ตอนบ่าย ๑ เอาแค่นั้นก่อน หลังจากนั้นพยายามกัดฟันฝืนไว้ ตอนเช้าไม่กินไปกินตอนเที่ยง แล้วตอนบ่ายก็ค่อยอด ค่อย ๆ ลดไปจะลดได้ แต่คนที่ใจคอเข้มแข็งเด็ดขาด ตูมเดียวเลิกเลยอาตมาก็เจอมาเยอะเหมือนกันนะ
    ...................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...