ขอคำแนะนำในการปฏิบัติค่ะ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย lady_crazy, 10 กันยายน 2011.

  1. lady_crazy

    lady_crazy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +123
    ขอคำแนะนำหน่อยนะคะ เมื่อก่อนเรามีสวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิบ้าง(ย้ำว่าบ้าง) แต่ตอนนี้รู้สึกว่าห่างหายจากการปฏิบัติมาก อาจจะเป็นเพราะความขี้เกียจหรืออะไรก็แล้วแต่ พออยากจะปฏิบัติในใจก็จะคิดว่าจริงๆแล้วแค่มีสติก็คงใช้ได้ เพราะเคยได้ยินหรือเคยอ่านว่าแค่เรามีสติรู้ก็ใช้ได้ เลยไม่แน่ใจว่าที่เราคิดหรือเข้าใจมันผิดหรือถูกค่ะ พยายามบอกตัวเองว่าเรามีสติไม่จำเป็นต้องสวดมนต์ไหว้พระ หรือนั่งสมาธิ ช่วยแนะนำหน่อยค่ะ

    อีกเรื่องคือเรามีนิสัยผีเข้าผีออกน่ะค่ะ ไม่ค่อยจะวางเฉยกับสิ่งที่กระทบ ไม่พยายามทำใจให้ปกติ แต่จะปล่อยอารมณ์ตามสิ่งที่มากระทบ แล้วก็จะคิดว่าตัวเองมีสติ ประมาณว่าตามอารมณ์ไปไม่นานก็กลับสู่สภาวะปกติได้ ตามหลักแล้วเราควรจะปฏิบัติอย่างไรค่ะ เมื่อมีอะไรมากระทบ
     
  2. แจ๊กซ์69

    แจ๊กซ์69 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    3,142
    ค่าพลัง:
    +1,960
    เดินจงกลม สวดมนต์ นั่งสมาธิ5-15นาที วันละครั้ง ก็ดีขึ้นเองครับ
    เสริมด้วย เกี่ยวกับเรื่องทำบุญให้ทาน ลองไปหาที่ให้อาหารปลาอาหารนกดูสิ แล้วจะสบายใจขึ้น
     
  3. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ....คุณ บีบ คอ ตัวปัญหาได้แล้ว นี่ครับ(ความขี้เกียจ)ก็แก้สิครับ...........................ถ้าคุณมีสติ จริงจริงนั้น ความเพลิน(นันทิ) ฉันทะ ความพอใจ มันจะถูกผู้รู้ รู้แล้วมัน จะคลาย จาก ยินดียินร้าย ถ้ายังเสพอารมณ์ จนจบเต็มที่นั้น คงไมถือได้ว่ามีสัมมาสติ....สัมมาสติจะต้องระลึกเฉพาะสภาพธรรมที่เกิด ไม่มีเราเป็นผู้เสพนะครับ..ก็ดูไปครับเพราะอดีตมันผ่านไปแล้ว ไม่ต้องไปย้อนยินดียินร้าย....ขอแนะนำกายคตาสติ(รู้ลมเข้าออก) ในชีวิตประจำวัน จะเป็นหลักให้ใจมีที่อยู่ได้ครับ.......ถ้าเผลอไปรับอารมณ์ใดจะได้รู้ชัด..............................:cool:
     
  4. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ลองดูนี่ครับการปฏิบัติธรรมเข้าใจง่ายและได้ผล
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=iXrzDF5u-NQ"]www.youtube.com/watch?v=iXrzDF5u-NQ[/ame]
     
  5. tuta868248

    tuta868248 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    563
    ค่าพลัง:
    +1,116
    โมทนาสาธุคะ อนุโมทนาบุญกับ bluebaby 2 นำสิ่งที่ดีๆ มาให้ คะ บุญรักษานะคะ
     
  6. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    คุณเข้าใจถูกแล้วครับว่าสติเป็นสิ่งสำคัญที่นักปฏิบัติพึงให้ความสำคัญ
    แต่คำว่ามีสติ เท่าที่มีอยู่คงยังไม่พอ ต้องฝึกฝนเจริญสติให้ต่อเนื่องบริบูรณ์ขึ้น เพื่อใช้งานได้ทันกาลในการดับทุกข์ใจที่เกิดจากสิ่งกระทบในชีวิตประจำวันต่อไป อาการที่ส่อว่าสติไม่พอใช้งานคือ บางคนปล่อยจนทุกข์กินใจจากความคิดฟุ้งซ่านไปแล้วเป็นเวลานาน จึงค่อยมีสติระลึกได้ว่าเรากำลังทุกข์เรื่องอะไร เพราะอะไร ความจริงเราควรทุกข์หรือไม่

    คนที่เค้าเพียรสวดมนต์หรือทำสมาธิก็ดี ก็เพื่อเจริญสติให้แก่กล้าขึ้น ก็เป็นการทำความดีตามความชอบความพอใจของแต่ละคน การฝึกสติเฉพาะเวลาแบบนี้ช่วยทำให้สติเจริญขึ้น แต่ก็ยังไม่พอใช้งาน เพราะยังไม่สามารถเอาสิ่งที่ฝึกไปใช้แก้ทุกข์ใจในชีวิตประจำวันได้

    ถ้าจะให้เกิดผลในการดับทุกข์จริงๆ ก็ต้องฝึกเฉพาะเวลาด้วย และฝึกใช้สติในชีวิตประจำวันด้วย เพราะทุกข์ใจเกิดขึ้นไม่เลือกเวลา เกิดได้ในทุกอิริยาบถในแต่ละวัน เราจึงต้องหลอมรวมการปฏิบัติให้ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน ในทุกอิริยาบถ โดยเอาสติดูจิตว่าเมื่อใดที่ใจเรามีอารมณ์ขาดเมตตากรุณา อยากเอากายไปทำร้ายคนอื่น อยากเอาวาจาไปทำร้ายคนอื่น อยากเอาใจไปทำร้ายคนอื่น ก็ให้สติรู้ทัน ยับยั้งความชั่วให้ทัน เมื่อใจสงบจากความชั่วแล้ว ก็ให้รู้จักเอาพระธรรมมาสอนใจให้มองความจริงตามที่พระพุทธเจ้าสอน ให้เห็นทุกข์จากความคิดชั่วนั้นว่ามีโทษอย่างไรต่อเราและผู้อื่น ให้เห็นเหตุว่าที่เราต้องมาเกิดเป็นคนมีร่างกายที่มีทุกข์ต้องคอยแก้ไขอารมณ์วุ่นวายที่เข้ามากระทบทั้งวันแบบนี้ ล้วนเกิดจากกรรมที่เราเคยขาดเมตตากรุณาทุศีลไปทำร้ายคนอื่นมาทั้งสิ้น จนใจสำนึกและอยากเลิกมีร่างกายมารับทุกข์แบบนี้ต่อไปเสียที ด้วยการตั้งใจที่จะไม่ยอมให้จิตตนเองขาดเมตตากรุณาทุศีลต่อใครอีก จะไม่เอาวาจาเราไปยุยงให้ผู้อื่นมีจิตขาดเมตตากรุณาทุศีลต่อใครอีก และจะไม่เอาใจไปยินดีที่ผู้อื่นมีจิตขาดเมตตากรุณาทุศีลต่อใครอีก

    ต้องฝึกทำอย่างที่ว่าจนชิน จนกว่าสติปัญญาก็จะบริบูรณ์ขึ้นจนผุดมาได้เอง มาดับทุกข์ดับความฟุ้งซ่านจากการกระทบในชีวิตประจำวัน จนใจไม่มีเจตนาจะขาดเมตตากรุณาต่อใครอีก ทั้งเจตนาที่จะคิดทำเอง จะพูดให้คนอื่นทำ จะยินดีที่คนอื่นทำ สติปัญญาในระดับนี้ จึงพอที่จะเรียกได้ว่าหนีนรกได้ มีตนเป็นที่พึ่งแห่งตนได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กันยายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...