การจัดงานวันเกิดแบบโบราณ

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 31 มีนาคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,533
    ค่าพลัง:
    +26,371
    BDFA4251-47B0-4A5B-8F72-FAB6AE044B78.jpeg

    ตัวกระผม/อาตมภาพเองถือตามแบบโบราณ ก็คือทำบุญวันเกิดตอนอายุ ๖๐ ปี หลังจากนั้นแล้วคนโบราณมีแนวจัดการ ๒ อย่าง ก็คือทำทุก ๑๐ ปี หรือทำทุกรอบนักษัตร ๑๒ ปี ก็แปลว่าหลัง ๖๐ ไปแล้ว ถ้าไม่ใช่ทำบุญอายุ ๗๐ , ๘๐ , ๙๐ ก็จะทำบุญอายุ ๗๒ , ๘๔ , ๙๖ ปี เป็นต้น

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าบุคคลที่ทำบุญวันเกิดในสมัยก่อนนั้น ส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่มากด้วยบุญด้วยบารมี เป็นเจ้าพระยามหาอำมาตย์บ้าง เป็นเชื้อพระวงศ์บ้าง ท่านทั้งหลายเหล่านี้มีคนเคารพนับถือมากก็จริง แต่ท่านก็เกรงว่าจะเป็นการรบกวนคนอื่น โดยเฉพาะสมัยก่อน การเดินทางไม่ได้สะดวกสบายเหมือนสมัยนี้ เอาแค่ว่าถ้าในอำเภอทองผาภูมิของเรา จากวังปะโท่จะเดินทางลงไปกาญจนบุรี ต้องลงมาค้างที่อำเภอทองผาภูมิ ๑ คืน ทั้ง ๆ ที่วังปะโท่ห่างจากทองผาภูมิแค่ ๒๒ กิโลเมตรเท่านั้น..!

    ดังนั้น..ในสมัยที่เรา ๆ ท่าน ๆ ยังเห็นทันกันอยู่ การเดินทางยังลำบากขนาดนี้ บรรดาเจ้าใหญ่นายโตที่มีบุญมีบารมี จึงใช้วิธีการทำบุญตามรอบนักษัตร ซึ่งมีค่านิยมมาจากประเทศจีนว่า รอบนักษัตรใหญ่เลยก็คือ ๖๐ ปี หลังจากนั้นก็จะถือรอบ ๑๐ ปีครั้ง หรือว่า ๑๒ ปีครั้งก็แล้วแต่เจ้าตัว จะได้ไม่เป็นการบกวนผู้อื่นหรือว่าบริวารมากจนเกินไป แต่มาสมัยนี้การเดินทางสะดวกสบาย การทำบุญวันเกิด ใครมีความสามารถก็จัดไป แต่กระผม/อาตมภาพก็ยังคงถือหลักโบราณ ก็คือไปทำอีกทีตอนอายุ ๗๒ ปีโน่น ถ้าอยู่ไม่ถึงก็จบกันแค่นี้..!

    สมัยนี้บรรดาเด็ก ๆ ให้ความสำคัญกับงานวันเกิดมาก อายุแค่ ๒ ขวบก็มาเป่าเทียน ๒ ต้นกันแล้ว ซึ่งถ้าหากว่าเป็นแนวปฏิบัติที่กระผม/อาตมภาพได้ทำเอาไว้ตั้งแต่สมัยฆราวาส วันเกิดก็จะพาแม่ไปทำบุญไหว้พระ ไปเลี้ยงอาหาร เพราะว่าวันเกิดของเราเป็นวันที่แม่เฉียดความตายมากที่สุด เนื่องเพราะว่าการคลอดลูกสมัยก่อน ไม่ได้สะดวกเหมือนสมัยนี้ สมัยนี้ถ้าคลอดไม่ได้ หมอก็ช่วยผ่าให้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เอาสะดวกให้หมอผ่าไปเลย แต่สมัยก่อนถ้าคลอดไม่ออก โอกาสตายมีเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์..!

    ดังนั้น..บรรดาไอ้ทิดต่าง ๆ ที่บวชเข้ามาแล้ว สิ่งหนึ่งที่ต้องศึกษาก็คือการทำน้ำมนต์สะเดาะลูก อย่างไม่เป็นอะไรเลย อย่างน้อยก็ต้องเสกกล้วยให้เมียกินเพื่อให้คลอดง่าย หรือถ้าจะเอาระดับสุดยอดเลย ต่อให้เด็กตายในท้อง ก็เสกสายสิญจน์ให้กินเข้าไปพร้อมกับน้ำมนต์ แล้วคลอดศพเด็กออกมาได้โดยที่สายสิญจน์คล้องคอเด็กออกมาด้วย ซึ่งไอ้กระเพาะที่รับน้ำมนต์กับมดลูกนั้นคนละทิศคนละทางกัน แต่ในเรื่องของจิตศาสตร์ ทุกอย่างสามารถแปลงเป็นพลังงาน เมื่อไปถึงอีกที่หนึ่ง จึงกลับมาเป็นวัตถุตามเดิม ไม่ใช่เรื่องยากอะไร

    แต่กระผม/อาตมภาพสงสัยมากเลยว่า ขนาดศพเด็กยังสามารถที่ให้กินน้ำมนต์แล้วเอาออกมาได้ ทำไมตอนเป็น ๆ ถึงไม่ทำ ? หรืออยากได้เมียใหม่ ? อันนี้ไปถามครูบาอาจารย์กันเอาเองนะ ถ้ากระผม/อาตมภาพถามอาจจะโดนตีกบาลแยก เพราะว่าเป็นคนขี้สงสัยแล้วไม่ค่อยเก็บไว้ด้วย สงสัยอะไรก็จะถามเลย

    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๖

    https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=9368

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com

    #ชุมชนคุณธรรม #วัดท่าขนุน #watthakhanun
    #ig: wat.thakhanun
    #tiktok: @watthakhanun
    #ชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร
    #พระพุทธศาสนาช่วยโลก #พระสงฆ์ช่วยสังคม
    #พระครูวิลาศกาญจนธรรมดร #พระครูวิลาศกาญจนธรรม #พระอาจารย์เล็ก #หลวงพ่อเล็ก
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...