เรื่องเด่น กติกาของการเป็นพระโสดาบัน

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 14 มกราคม 2025 at 07:45.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,143
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,595
    ค่าพลัง:
    +26,441
    IMG_4068.jpeg

    การรักษาศีลเป็นเรื่องใหญ่ที่สำคัญมาก กฎเกณฑ์กติกาของบุคคลที่จะเข้าสู่พระนิพพาน อันดับแรกเลยคือ...เคารพพระพุทธเจ้าจริง ๆ ข้อที่สอง...เคารพพระธรรมจริง ๆ ข้อที่สาม...เคารพพระสงฆ์จริง ๆ คำว่าเคารพจริงในที่นี้ก็คือ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

    ข้อต่อไปก็คือ ต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์ด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล

    ข้อสุดท้ายใช้ปัญญาเข้าไปช่วย ก็คือรู้ตัวอยู่เสมอว่าเราต้องตาย ถ้าหากว่าเราตาย ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้ การเกิดมาในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้ จะไม่มีสำหรับเราอีก ที่เดียวที่เราต้องการไปก็คือพระนิพพาน ที่พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดทั้งปวง

    ดังนั้น...ในกฎเกณฑ์กติกาทั้ง ๕ ข้อนี้ ศีลเป็นหัวใจที่สำคัญที่สุด เรารักษาศีลเพราะเราเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรารักษาศีลเพราะเราต้องการจะไปพระนิพพาน ศีลจึงเป็นข้อกลางในการเชื่อมต่อปุถุชนเข้ากับพระอริยเจ้า มีศีล ๕ ครบถ้วนสมบูรณ์บริบูรณ์ มีความเคารพในพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง รู้ตัวเสมอว่าต้องตาย ถ้าลักษณะอย่างนี้ท่านคือพระโสดาบัน

    ถ้าหากว่าท่านเป็นผู้ที่ถึงพร้อมด้วยกรรมบถ ๑๐ ก็คือเพิ่มเติมในเรื่องของระมัดระวังทางวาจาขึ้นมา นอกจากไม่โกหกแล้ว ยังไม่พูดส่อเสียดให้คนแตกร้าวกัน ไม่พูดวาจาเพ้อเจ้อไร้ประโยชน์ ไม่พูดคำหยาบ มีสัมมาทิฏฐิเห็นว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นดี เราควรที่จะทำตาม สิ่งเหล่านี้เพิ่มเติมขึ้นมาจากศีล ๕ ช่วยขัดเกลาให้รัก โลภ โกรธ หลง ของเราเบาบางลง โดยเฉพาะโทสะกับราคะ ถ้าอย่างนี้ท่านคือพระสกทาคามี

    ถ้าหากว่าตัดราคะโทสะได้อย่างเด็ดขาด มีศีล ๘ เป็นเครื่องรักษาตัวเป็นปกติ ไม่ต้องใช้ความพยายาม ศีล ๘ ก็ทรงตัวโดยอัตโนมัติ ถ้าอย่างนี้ท่านคือพระอนาคามี

    สำคัญที่สุดตอนสุดท้ายก็คือ ท่านทั้งหลายเห็นความไม่มีแก่นสารในร่างกายนี้ เห็นความไม่มีแก่นสารในโลกนี้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ย่อมไม่เห็นความดีในคนอื่น ไม่เห็นความดีในสัตว์อื่น คำว่าไม่เห็นความดี ก็คือไม่เห็นแล้วอยากได้มาเป็นของตน ไม่ใช่ว่าไม่เห็นว่าเขาทำความดี ในเมื่อเห็นแล้วไม่อยากได้อะไร ไม่มีอะไรให้สนใจ แม้แต่ร่างกายนี้ก็ไม่ต้องการ ไม่มีที่ให้ท่านทั้งหลายต้องยึด..ก็ปล่อย คนที่ปล่อยวางในภาระทั้งปวงได้ มีที่เดียวเป็นที่ไป..คือพระนิพพาน ถ้าท่านทำอย่างนั้นได้ ท่านก็เป็นพระอรหันต์

    เป็นพระยังพอจะดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้จนกว่าจะหมดอายุขัย แต่ถ้าเป็นแม่ชี เป็นฆราวาส ภายใน ๗ วันต้องตายแน่ เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าอยู่แล้วจะก่อโทษให้คนอื่นมาก เนื่องจากว่าเราเป็นคนธรรมดาในสายตาคนอื่น อาจมีการล่วงเกินเราด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ แต่ว่าสิ่งนั้นเป็นการล่วงเกินพระอรหันต์ ทำให้เกิดโทษหนักมาก ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็เลยต้องตัดให้ตายไปภายใน ๗ วัน จะได้ไม่ทำความเดือดร้อนให้กับใคร

    ในเมื่อท่านทั้งหลายรู้แล้วว่ากฎเกณฑ์กติกาของพระอริยเจ้าแต่ละระดับเป็นอย่างไร ก็ยึดถือเอาจุดใดจุดหนึ่ง มุมใดมุมหนึ่ง ที่เรามีความถนัด แล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติไป ถ้าหากว่าทำจริง กำลังใจไปถึงระดับแล้ว รู้ว่าดีเราก็ทำ เพราะสิ่งนั้นนักปราชญ์ทุกคนบอกว่าเป็นความดี รู้ว่าสิ่งใดชั่วเราก็ละ เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไม่ได้นำพาความเจริญมาให้กับเรา จิตใจไม่ได้เกาะทั้งความดี ความชั่ว ก็จะผ่ากลางหลุดพ้นไป สู่สถานที่เป็นเอกันตบรมสุขคือพระนิพพาน เป้าหมายทั้งหลายเหล่านี้เป็นสิ่งที่นักปฏิบัติธรรมควรที่จะตั้งเป้าเอาไว้

    ทำไมต้องตั้งเป้าไว้สูงขนาดนั้น ? ก็เพราะว่าถ้าเป้าหมายอยู่สูง อยู่ไกล เราก็ต้องใช้ความเพียรพยายามมากเป็นพิเศษเพื่อไปให้ถึง ถ้าท่านพากเพียรเต็มที่ของท่านแล้ว ต่อให้ไปไม่ถึง ก็ยังไปได้ไกลกว่าคนอื่นเขา ดังนั้น..เราจึงควรที่จะตั้งเป้าหมายเอาไว้สูงสุด แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำไป จนกว่าจะถึง ชาตินี้ไม่ถึง ชาติหน้าก็ต้องถึง
    ...................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...