ไม่มีเจตนาไม่บาปหรอกน้องท่าน บางครั้งมันจะด่าเร็วมาก ยิ่งตอนเผลอ เราแค่ไปได้ยิน ไปยึด ว่า เรา ด่า หลวงตา หลวงตาของเรา ไม่มีเรา เป็นแค่เสียงอย่าไปตีความ หลวงตาไหนอ่ะ หลวงตาไหนอ่ะ คนละองค์กัน ไม่ใช่หลวงตาม้าของเราหรอก ไม่มีอะไรเลยน้องท่าน สบายใจได้ อย่าไปซ้ำเติมจิต แก้ทางไปเลย อย่าไปยึด คนละองค์กับที่มันด่า ของใครของมัน ดูเจตนาเราสิ อย่าซีเรียส เค้าทดสอบเราอ่ะ ใจเย็น ๆ ดูจิตต่อไปนะครับ ไม่ยินดีไม่ยินร้าย เมื่อเราเข้าไปยึด เราก็เป็นทุกข์ ไม่นรกหรอก ถ้าวางได้ ทดสอบเพื่อให้เราได้รู้ ได้รู้วิถีทางแก้ไข ทำต่อไป
ตอนที่พี่เริ่มทำวิปัสสนาใหม่ ๆ ได้รับรู้ว่า เราสามารถคิด จนจิตสงบได้ ไม่สงบแข็งเหมือนฌาณหรอก สงบแบบ อุเบกขา หากดูใบหน้าไปด้วย จะรู้ว่า จิตเราสบาย ๆ อยู่ คิด พิจารณาต่าง ๆ แต่เราไม่เข้าไปยึด สบาย ๆ สู่การสบายที่สุด
ศิษย์น้อง ศุภกร รู้เข้าไป สงบ ก็รู้ ฟุ้งซ่านก็รู้ อยากอะไรก็รู้ ๆลๆ เพียงเท่านี้ จิตผู้รู้ที่ฉลาดเหลือเกิน จะจดจำสภาวะเดิมไว้ และละเอียดขึ้น ดูใบหน้าให้สบาย ๆ สิ ใบหน้าเป็นหน้าด่านของจิต ดูผ่านใบหน้าในขณะที่ทำภาวนาก็ได้ สบายที่สุดในโลก ลองดูสิ นั่งเป็นชั่วโมง จิตไม่รวม ก็ไม่ต้องไปอยากให้มันรวม รู้ในความไม่รวม นี้คือวิปัสสนา รู้ตามความเป็นจริง จิตเค้าเริ่มสำแดงอะไร ๆ เราก็รู้ลงไปเรื่อย ๆ รู้ละเอียดขึ้นด้วย รู้ลูกเดียว ดูใบหน้านี่เยี่ยมนะ อย่างที่บอก พี่ไม่ได้บริกรรมอะไรเลย ดูจิตอย่างเดียว เบื่อก็รู้ เมื่อสติมีกำลังแก่กล้าถี่ขึ้น แค่รู้ว่าเบื่อ จะเห็นความเบื่อดับไปเลย ขอให้รู้ต่อไป ใช้สติประคองผู้รู้ รู้ไม่ถอย รู้ไม่หลง รู้เป็นรู้ลูกเดียว อยู่กับรู้ ความคิดความรู้สึกอะไรแปลก ๆ เดิม ๆ ก็พิจารณาเพื่อละวางมันซะ พอมันไม่คิด ก็เสร็จเรา เราจะเริ่มประสบความสำเร็จทุกอย่าง
ถ้าวันหยุดนี้ ศิษย์น้องจะไปกราบหลวงตาม้า พี่คิดว่า น้องน่าจะได้พระแน่นอน ฟรีครับ ประวัติพระศรีอาริยเมตไตรย์ คร่าว ๆ พี่อ่านเรื่อง พระอชิตะ เถระ
หวัดดีน้องท่าน มารดาของน้องน่าจะเป็นผู้ปฏฺบัติมาก่อนมั้ง น่าจะคล้ายกับลูกศิษย์ของพี่นะ คือมีดวงกสิณขึ้น เรียกอะไรก็ไม่รู้ ลูกศิษย์พี่จึงใช้นิมิต แบ่งนิมิต เสกโน่นเสกนี่เรื่อยเปื่อย ลูกศิษย์คนนี้ตอนนี้ดวงกสิณคงหายไปแล้ว เพราะว่าเค้าดูจิตอยู่และวางนิมิต ที่น้องศุภกรแนะนำว่า ให้คุณแม่คุณพ่อ ละวาง ปล่อยวาง ก็ถูกต้องแล้ว ให้มีศีล 5 บอกคุณแม่ว่า ครูบาอาจารย์ได้ให้แนวทางการปฏฺบัติกับพวกเราแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า มนุษย์เป็นทุกข์เพราะความคิด (ปรุงแต่ง) เราสามารถใช้ความคิดดับความคิดได้ ถ้าดูจิต ยังไม่เห็นใช้เทคนิคดูใบหน้าตัวเองก่อนก็ได้นะครับ เวลาพี่สอนใคร มักจะใช้แบบในกระทู้นี้ล่ะ เจริญสติ พิจารณาเพื่อการละวาง ส่วนทางเลือกที่เราทำได้นั่นคือ ไม่ปรุงแต่งครับ
ผู้สืบทอดเรื่องราวในพระไตรปิฎกหรือ ภาษาบาลี มีเยอะแล้ว นักธรรมขั้นสูงมีมากมาย เราไม่ต้องเน้นในการอ่านพระไตรปิฎกให้มาก ด้วยเหตุผลประการนี้แหล่ะ เพราะไม่รู้ว่าชาติก่อนๆอ่านมากี่ครั้ง ฟังมากี่ครั้งแล้ว อย่าไปเน้นติดในประโยคที่อ่านแล้วดูน่าเชื่อถือ บางคนพูดข้อธรรมสำนวนดี แต่ศีล 5 ยังรักษาไม่ได้เลย ทางของเราคือการสร้างบารมี ด้านเมตตา ช่วยคนและสรรพสัตว์ และสร้างให้คนเป็นพระ โดยอาศัยบารมีพระรัตนตรัยผ่านมาที่เรา บุญบารมีที่เราสร้างสมมา จะเป็นประโยชน์ในด้านแนวนี้ ไม่ใช่ สืบทอดเรื่องบัญญัติ ดังนั้นทุกวันนี้ ก็ไม่ได้ท่องภาษาบาลีเลย แต่ก็จะอ่านคำสอนหัวข้อหลักๆที่เป็นภาษาไทยบ้าง เช่นหลักพรหมวิหาร 4 มีอะไรบ้าง เพื่อทบทวนว่าเราพร่องไปหรือไม่ ไม่จำว่ากสิณ 40 กองคืออะไร แต่เคยอ่านแล้วก็ดูว่า ขาดอะไรไปบ้าง ตอนนี้เน้นที่ใจเป็นหลัก จิตมีสมาธิดี สวดมนต์บทพระจักรพรรดิ พระคาถาเงินล้าน ตามที่ชอบ นั่งกรรมฐาน ทรงอารมณ์ใจให้นิ่ง เดี๊ยวเรื่องอื่นๆตามมาเอง ของเก่าสร้างมายังไง ก็ได้เข้าใจเอง
พี่พิมพ์ตัวอักษรเยอะอ่ะ มันไม่ยอมให้ผ่าน เลยไปตอบในกระทู้แทนแล้วอ่ะครับ เหลือบไปดูเห็น พระยาเดโชชัยมือศึก ศิษย์น้องไปแอด พระยาเดโชชัยมือศึก เหอะ พี่เค้าเป็นพุทธภูมินะ ลูกศิษย์พระอาจารย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ คนกันเองทั้งนั้นล่ะ คนนี้อย่าพลาดนะ ใจดี เมตตาดี ฤทธิ์เก่งกว่าศิษย์พี่ ไม่ได้นับถือเพราะฤทธิ์นะ แต่คนนี้แอดไว้เหอะครับ ;aa24
แบบว่า อธิษฐานแบบนั้นพอได้ครับ เป็นการปรุงแต่งเพื่อให้จิตนั้นมีเมตตา ถือเป็นขั้นต้น ๆ ที่ดีมาก ๆ วิปัสสนากรรมฐาน เราต้องทำหลาย ๆ อย่างไปพร้อม ๆ กัน แล้วจะทำให้มีสิ่งนี้อยู่ในจิต เรามีเมตตา แต่จิตไม่มีเมตตา แต่เมตตาของแท้ที่จิตมี จะอยู่ในขั้นตอนการบรรลุธรรม พอบรรลุคุณธรรม เช่น ญาณ 1 แล้วจิตที่ปล่อยวางไปแล้วจะทราบเลยว่า อ๋อ ธรรมมะ ต้องปฏิบัติอย่างนี้ ต้องวางอย่างนี้ ต้องเจริญอย่างนี้ จิตจะเจอเมตตาของแท้ เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา ใหญ่มากด้วย เผลอ ๆ จะสงสารทุกคนทุกพิภพทุกจักรวาลทั้งอดีต อนาคตโน้น ปัจจุบัน โดยที่เราไม่เกี่ยว เพราะจิตไม่ใช่เรา เราไม่ใช่จิต เราแค่ประคับประคอง ตอนที่ถึงนั้น หากจะกล่าวว่า เราไม่มีเมตตา แต่จิตเค้ามีเมตตาไปเต็ม ๆ เสียแล้วครับ แล้วจะมียิ่งขึ้นมากเรื่อย ๆ เบาสบายมากขึ้นเรื่อย ๆ นุ่มนวลขึ้น ภาวะแห่งการไม่โกรธใครเลย ไม่ใช่ภาวะที่ไม่มีเหตุ ไม่มีผล ไม่เลื่อนลอย ไม่สูงส่ง ๆลๆ มันมีเหตุผล ของมันอยู่แล้ว เรานั่นล่ะ ไปเติมไปแต่งมันด้วยนะ ให้จิตนั้นได้มีสิ่งนี้แบบบริบูรณ์ยิ่งยืนสถาพร เมตตาอยู่ใน บารมี 10 ด้วยครับ ;aa12