ฌานในศาสนาพุทธ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Dragon new, 15 เมษายน 2016.

  1. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    อืม....คุณ ณฉัตรพูดมา ก็ไม่ผิดครับ

    เอาเป็นว่า..ขอถามคุณ ณฉัตรก็แล้วกัน นะครับ ถ้าตอบได้ก็เชิญตอบ ถ้าตอบไม่ได้ก็บอกว่าไม่รู้..นะครับ


    คุณ ณฉัตรกล่าวถึงมรรคแปด.....สัมมาทั้งแปด กรรมการกระทำที่ทำแล้วเป็นกลางทั้งแปด

    ถามว่า...ถ้าคนที่บรรลุธรรมแล้ว..มรรคแปดเขาบริบูรณ์เลยมั้ยครับ

    แล้วมรรคแปดของผู้บรรลุธรรมแล้วนี่ เขาต้องเรียนรู้ที่จะนำมาใช้ด้วยมั้ยครับ หรือการช่วยเหลือผู้อื่นก็ช่วยได้เลย ถูกต้องเป็นสัมมาครบทั้งแปดข้อเลยครับ
     
  2. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    อันนี้ ผมต้องขอโทษที่ไม่ระวังคำพูดให้ละเอียด คำว่า บริบูรณ์ ผมหมายถึง เต็มที่ตามอินทรีย์ที่แต่ละคนมีนะครับ และทำตามมรรค ๘ แค่แบบพื้นฐานที่สอนชาวบ้านนั้นแหละ สำหรับคนบรรลุธรรมนี่ ผมไม่ทราบได้ ผมยังไม่บรรลุครับ

    แต่ที่ตอบนี่ ก็เหมือนตอบ จขกท เรื่อง ฌาณ ไม่ใช่หมายถึงคุณ วรณ์นิผมนั้นโดยเจตนา แลกเปลี่ยนความเห็นให้ จขกท ทราบว่า อย่าเข้าใจผิดว่า ฌาณ เกี่ยวกับสมาธิอย่างเดียว ถ้าเราตั้งใจจะมีสมาธิ แต่องค์ประกอบของจิต เจตสิก มันไม่เอื้อ จะตั้งใจทำ ตั้งใจให้มี หรือตั้งใจให้มีอย่างยาวนาน หรือใช้งานได้ ถ้าไม่พิจารณาสภาพเหตุปัจจัยที่กายและจิตจะมีฌาณได้ ตั้งใจแทบตายก็ไม่สำเร็จ มันเลยยาวมาถึงว่า ถ้าตั้งใจจะให้มีฌาณ อภิญญา ได้ดั่งใจ มันยากมาก

    แต่ถ้าไม่ตอบเหตุปัจจัยว่า ทำอย่างไร มันถึงจะได้เหมือนได้ หรือมีอย่างใจ ถึงแม้ว่า บางทีหลายคนแม้ทราบแล้วแต่อินทรีย์ไม่ถึง ก็ทำเหตุปัจจัยไม่ได้ มันก็เหมือนตอบไม่สุดว่า มีคนที่อินทรีย์พร้อม หรือสามารถฝึกฝนให้อินทรีย์พร้อมที่จะอยู่ในสภาวะแบบ พระโพธิสัตว์ระดับกลางถึงสูง ที่ท่านค่อนข้างเรียกฌาณ อภิญญาได้ดั่งใจ

    ซึ่งมันก็ไม่ได้ ปิดทาง ว่า สามัญชนอย่างเราถ้าตั้งใจจริง แล้วจะทำไม่ได้ ทำไม่ถึง เพียงแต่แทนที่จะมุ่งแค่สมาธิ ค่อยมาพิจารณาจิตในจิต เดินตามมรรค ๘ ให้เต็มที่และให้ถูกทาง แค่เบื้องต้นก่อนก็ได้ เหมือนมีหลายคนที่พยายามบรรลุโสดาบัน ก็พยายามตามมรรค ๘

    อันนี้ ตอบจากการปฏิบัติ

    สรุป คำถามที่ท่านถามว่า "ถ้าคนที่บรรลุธรรมแล้ว..มรรคแปดเขาบริบูรณ์เลยมั้ยครับ" ผมไม่อาจตอบได้ แต่ถ้าถามว่า พระอรหันต์ท่านบริบูรณ์ไหม ผมคิดว่า บริบูรณ์ครับ อันนี้ ตอบตามตำราเท่านั้นครับ
     
  3. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    งั้นก็ ไม่คุยต่อเรื่อง มรรค ก็แล้วกันครับ...
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    คำว่า ผู้เข้าฌานได้ หรือ ผู้ทรงฌาน ให้เข้าใจไว้ว่า ...
    ไม่ใช่ว่าเราเคยเข้าญานได้ในระดับไหนมาก่อนในอดีต..
    ให้เราดูที่ปัจจุบันเท่านั้น...ว่าสามารถใช้ระดับฌานนั้นๆ
    ทำอะไรได้..และทำได้ภายในเสี้ยววินาที
    หรือแค่หายใจเข้าออกภายในครั้งเดียวนั่นหละ
    การทำอะไรได้ก็ไม่ใช่ว่า จะหมายถึงว่าทำอะไรๆ
    ที่พิเศษได้เท่านั้น ยังหมายถึง การนำผลที่ได้จากฌานไปใช้
    ในการดำรงชีวิตประจำวัน ใช้ในการเดินปัญญา หรือใช้เพื่อ
    ยกเรื่องๆใดๆขึ้นมาพิจารณาเพื่อให้เกิดปัญญาทางธรรมใน
    การลด ละ กิเลส ต่างๆ การไม่เผลอไปยึด ใน ลาภ ยศ สุข
    สรรเสริญอะไรประมาณนี้....
    ส่วนถ้าเป็นการทำอะไรที่พิเศษ ๑.ถ้าทำอะไรได้แล้วรู้อยู่คนเดียว
    ทำได้คนเดียว ไม่สามารถทำให้คนอื่นๆรับรู้ รู้สึก สัมผัสได้เหมือนเรา
    เราจะเรียกว่า อภิญญาจิตภายใน ๒.ส่วนถ้าทำอะไรพิเศษได้แล้ว
    คนอื่นๆรับรู้ได้ สัมผัสได้ ทำคล้ายๆเราได้ พูดง่ายๆว่าเราทำให้เค้า
    รับรู้ได้เหมือนที่เรารู้ เราสัมผัส จะเรียกว่า อภิญญาจิตภายนอก.....
    การฝึกวิชาเดินธาตุเป็นลักษณะของอภิญญาจิตภายนอก...
    เพราะฉนั้นบุคคลที่มาทางนี้ จะทำอย่างข้อที่ ๒ ได้เป็นเรื่อง
    ปกติธรรมดา. พูดแค่นี้พอจะเข้าใจอะไรๆแล้วนะ....
    และวิชาเดินธาตุ เท่าที่ทราบ มี ๓ วิธีการฝึก..
    ๑.แบบในดง ๒.แบบวิชาเดินธาตุโบราณ ๓.แบบอดีตสมเด็จ...
    แต่งต่างกันในระดับเริ่มต้นคือ..การตั้งวงกสิณ ๑ กอง ๔ กอง
    และ ๑๐ กอง ตามลำดับ และต่ำแหน่งที่ตั้งวงกสิณ จากเหนือ
    ระหว่างคิ้ว หน้าอก เหนือสะดือ ตามลำดับเช่นกัน..
    เล่าใหัฟังก่อน เทคนิควิธีการค่อยว่ากันทีหลัง...


    ส่วนวิธีการจะฝึกกรรมฐานอะไรก็แล้วแต่...
    ให้เรามาดูก่อนว่า​​ระบบหายใจเราละเอียดไหม...
    ระบบหายใจจะละเอียดได้นั้น ไม่ได้เกิดจากการที่ส่งจิต
    ออกไปตามลมหายใจหรือตามคำภาวนา..
    แต่ในระดับเริ่มต้นยังต้องใช้คำภาวนาเพื่อเป็นเครื่อง
    เชื่อมโยงจิตอยู่ แต่อย่าไปตามลมหรือไปตามคำภาวนา
    เพราะจิตมันส่งออก หมายความว่า มันจะยังเกิดอยู่...
    เมื่อจิตเกิดแล้ว มันจะสงบได้อย่างไร ประเด็นนี้ลองนึกๆดู...
    ทำความรู้สึกรับรู้ว่ามีลมกระเข้าและออกและหยุดที่ปลายจมูก
    ก็พอ.และหายใจเข้าให้ท้องพอง หายใจออกท้องยุบแต่ไม่ต้อง
    ไปตามลม ตรงนี้ใช้เวลาปรับตัวพอสมควร
    เพราะปกติเราจะหายใจลึกแค่ระดับหน้าอก
    พอเราเอาจิตเผลอไปกำหนดตรงไหน เราจะตึงตรงนั้น
    ในเวลาต่อมาทันที.....
    ส่วนเวลานั่ง สายตาปกติให้หลับซะ มองลงมาที่ลิ้นปี่
    ก็จะตัดการเผลอไปดึงความคิดจากสมองมาร่วมได้
    จะทำให้เราไม่ปวดศรีษะ หรือรู้สึกหงิดหงุดรำคาญ...
    แต่ถ้าสวดมนต์ ก็ท่องๆบทสวดไป ไม่ต้องไปสนใจว่า
    จะสัมพันธ์กับลมหายใจ...ประมาณนี้ ตรงนี้เป็นพื้นฐาน
    ที่สำคัญ ว่าอนาคตเราจะฝึกอะไรได้สำเร็จหรือไม่สำเร็จนะคับ..

    แต่การเกิดของจิต เราก็ต้องพิจารณาร่วมด้วยว่า...
    มันก็จะเกิดของมันได้เป็นปกติธรรมดา..แม้ว่าเราจะมีสมาธิ
    ในระดับหนึ่งก็ตาม มันก็จะเกิด(คือคิดไปเรื่อยต่างๆนานา
    เรื่องราวในอดีตซะส่วนมาก เรื่องราวที่เกี่ยวกับความอยากซะส่วนใหญ่
    ประมาณนี้) เราก็ต้องเข้าใจว่า เราไปบังคับมันให้หยุดก็ไม่ได้..
    เราไปเลือกเรื่องที่จะผุดขึ้นมาก็ไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นธรรมชาติของจิต...
    ผลของการ ทำความรู้สึกรับรู้ว่ามีลมเข้าและออกหยุดที่ปลายจมูก
    จะทำให้เรามีกำลังทางธรรม พอที่จะสังเกตุตรงนี้ได้ ว่าจิตมันไม่แน่นอน
    มีเกิดมีดับ..ผลสมาธิที่ได้ ก็จะทำให้เรารักษาอารมย์ได้นามเพียงพอ
    ที่จะทำให้เราเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวจิต โดยที่ตัวเราเพียงแต่
    เฝ้าดูมัน เราไม่ไปแทรกแซงมัน.หรือพยายามไปบังคับให้สงบ
    ด้วยวิธีใดๆก็ตาม มันเป็นการฝืนธรรมชาติของจิต..
    .และถ้ากำลังสติที่มีมองเห็นได้ว่า การเกิดดับของจิตมันเป็นเรื่อง
    ธรรมดา..ตัวจิตมันก็จะคลายตัวได้ของมันเอง
    คลายตัวในที่นี้คือ ไม่สนใจเรื่องต่างๆที่เข้ามารวมกับมันนั่นหละ..
    ..ซึ่งการคลายได้นี้เราไม่สามารถ
    ไปกำหนด กะเกณฑ์เอาได้ เราควรปล่อยให้มันเป็นไปตามวาระของมัน...
    พอเริ่มคลายได้แล้ว ต่อไประดับสมาธิของเรา มันก็จะเริ่มพัฒนายกระดับได้
    ของมันเองครับ...

    พอย่นย่อนะ เราอย่าไปให้ความสำคัญกับวิธีการฝึก
    อย่าไปให้ความสำคัญกับสิ่งที่เห็น ที่สัมผัสได้ในขณะฝึกทุกๆกิริยา
    ไม่ว่าจะทาง กาย จิต หู จมูก เพราะเราจะเผลอไปยึดกับสิ่งที่
    สัผผัสได้โดยที่เราไม่รู้ตัว เช่น อยากรู้ว่ามันคืออะไร ไปไงต่อ
    มันเกิดได้อย่างไร เพราะอะไร มาจากไหน ฯลฯพิจารณาดีๆ
    มันจะสร้างความอยากเล็กๆน้อยให้เราไปยึดโดยที่เราคาดไม่ถึง...
    พวกนี้ที่เล่ามาก็คือ จะบอกว่าอย่าไปให้ความสำคัญมากกว่า(แต่ต้องเตรียม
    ปรับระบบการหายใจให้พร้อมด้วย ป้องกันจิตเกิด ป้องกันการเผลอไปรวม
    กับความคิดที่มาสมอง) การได้พิจารณาว่า ตัวจิตมันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
    ธรรมชาติมันเป็นอย่างไร...ที่เล่าให้ฟังมาก่อนหน้านี้หละ .ที่เป็นผลโดยตรง
    ต่อการยกระดับพัฒนาระดับฌานของเรา..ว่าจะต่อยอดได้หรือไม่ได้ครับ...
    ส่วนมากที่คาดไม่ถึงกัน ทำให้ไม่สามารถยกระดับสมาธิได้ก็ตรงนี้หละครับ....

    ส่วนเทคนิคต่างๆ ไม่ว่าจะฝึกอะไรนั้น มันเป็นเรื่องรองไม่สำคัญเท่ากับ
    เรื่องที่เล่าให้ฟังมาก่อนนี้ครับ...พอเข้าใจเนาะ...

    ปล.ลองอ่านดูก่อน อย่าพึ่งรีบสรุปนะคับ
     
  5. Dragon new

    Dragon new สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +19
    ทำความรู้สึกรับรู้ว่ามีลมกระเข้าและออกและหยุดที่ปลายจมูก
    ก็พอ

    อันนี้หมายความว่าทำจิตให้นิ่งๆมองที่ปลายจมูกใช่ปะครับ

    แล้วการที่เราทำความรู้สึกเราให้นิ่งๆนี่ใช้ได้ปะครับถือเป็นการฝึกปะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 เมษายน 2016
  6. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,867
    ที่พี่ฝึกมาครั้งแรกก็คืออาณาปานสติภาวนาธรรมดา ทำไปเรื่อยๆค่ะจนกว่าจิตสงบ ทำแบบปล่อยวาง จิตจะเบาสบาย เมื่ออกจากสมาธิจิตเรา กายเราก็ยังเบาสบายอยู่และสามารถนำเอาไปใช้งานในชีวิตประจำวันได้

    พอเราฝึกบ่อยๆเริ่มชำนาญแล้วก็จะกลายเป็นวสีคือพอเราหลับตาปุ๊บก็ปล่อยวางสังขารได้เลย นั่งไป 1 ชั่วโมงโดยไม่ขยับตัว รู้ว่าร้อน หนาว เมื่อย เป็นเหน็บ คือมีธาตุรู้มีสติอยู่ตลอดเวลาแต่สงบระงับไว้เพราะทุกอย่างล้วนเกิดดับ ปล่อยวางสังขารจนสิ้นถึงตรงนี้จิตเราจะยกขึ้นเหนือสังขารขึ้นมาเอง...คราวนี้นั่งสมาธิ 2 ชั่วโมงโดยไม่ขยับตัวได้อย่างสบาย

    ส่วนเรื่องการนำลมหายใจแตะที่ปลายนาสิกคือเริ่มการนั่งกัมมัฏฐานแบบมัชฌิมาแล้ว...คือการถอนจิตออกจากสมาธิ มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมและเรากำหนดจิตและเดินจิตตามสังขาร...ตรวจตราร่างกายแต่ละจุด เราก็เริ่มค่อยๆทำ จนเราชำนาญ....

    จะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างกันเพราะการนั่งสมาธิจนกระทั่งจิตตกภวังค์และเข้าสู่อัปปนาสมาธิ ขณิกสมาธิตามลำดับจนถึงที่สุด.....ส่วนการนั่งแบบมัชฌิมาคือการถอนจิตออกจากสมาธิรู้ตัวทั่วพร้อมทุกอย่าง

    ขั้นตอนการนั่บกัมมัฏฐานแบบมัชฌิมาแบบโบราณต้องมีกำลังของจิตเข้มแข็งเสียก่อนมิฉนั้นจะไม่ผ่านด่าน...เพราะขั้นต่อไปจะยากยิ่งกว่าคือการพิจารณาธาตุขันธ์-อายาตนสัมพันธ์....เพราะต้องถอยจิตเข้าไปรับรู้สังขารระดับอณู....คือเลือดเนื้อของกายเราเอง...ระหว่างที่นั่งพิจารณาจะเจ็บปวดรวดร้าวถึงที่สุด ถึงตอนนั้นถ้าฝึกบ่อยๆและเราทนได้ จะมีการพัฒนาจิตขึ้นไปอีกลำดับหนึ่ง...และจะมีความก้าวหน้าถึงการเดินธาตุกัมมัฏฐาน...

    การเดินธาตุกัมมัฏฐานคือการเดินธาตุดิน น้ำ ลม ไฟในกายเราจำเป็นต้องพิจารณาธาตุขันธ์-อายาตนสัมพันธ์ให้แตกฉานเสียก่อนจนเกิดวสี....เพราะจำเป็นมากเมื่อเราเดินธาตุครั้งแรกธาตุไฟจะนำมาก่อน....ถ้าสมาธิจิตเราไม่เข้มแข็งพอจะเกิดอาการกรรมฐานแตก บางคนอาจจะล้มป่วยลงเพราะธาตุไม่สมดุลย์....สมัยหลวงปู่มั่นจึงไม่มีการสอนการเดินธาตุกัมมัฏฐานอีกเพราะอันตราย แต่จะมีการสืบทอดให้ศิษย์สายตรงเท่านั้น....เพราะการเดินธาตุกัมมัฏฐานจะทำให้เกิดอภิญญา แต่กว่าจะฝ่าด่านนั้นไปได้ต้องอาศัยความอดทนและความมุ่งมั่นตั้งใจ

    เมื่อเราเดินธาตุกัมมัฏฐานอยู่เนืองๆแล้วฌาณ 4 อรูปฌาน 4 ก็จะมาเองโดยอัตโนมัติ.....

    ข้อสำคัญคือต้องได้การเดินธาตุกัมมัฏฐานก่อนถึงจะเริ่มกสิณได้....เพราะในความหมายของกสิณคือกสิณดินคือเดินทะลุกำแพงได้ กสิณไฟคือก่อไฟได้โดยไม่มีเชื้อ กสิณลมคือเดินบนผิวน้ำได้ และกสิณน้ำคือสามารถอยู่ในน้ำได้โดยไม่จำเป็นต้องหายใจ...กสิณเหล่านี้ล้วนต้องมีรากฐานมาจากการเดินธาตุกัมมัฏฐานมาก่อนทั้งสิ้น

    สมัยหลวงพ่อดังๆที่ปลุกเสกพระครื่องวัตถุมงคลก็ล้วนเดินธาตุกัมมัฏฐานทั้งสิ้นเช่นหลวงพ่อเดิม เพราะการเดินธาตุ แยกธาตุ การเกิดการดับของธาตุล้วนเกิดจากจิตทั้งสิ้น....ฉนั้นการเสกใบไม้เป็นตัวต่อ หรือเสกหุ่นพยนต์ให้มีชีวิตล้วนไม่ใช่เรื่องที่เลื่อนลอยเลย...เพียงแต่ว่าไร้การสืบทอดและศิษย์ที่ฝึกในปัจจุบันหาได้ยากยิ่งในปัจจุบัน

    ส่วนที่พี่ฝึกเป็นแค่เบื้องต้นเท่านั้นค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2016
  7. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,867
    เมื่อเราเดินธาตุกัมมัฏฐานภายในจนชำนาญแล้วก็จะเริ่มเชื่อมโยงกับธาตุภายนอก....ต้องลองดูถึงจะรู้ค่ะ

    อันนี้เป็นแนวทางการฝึกวิชา 3 อภิญญา 6 คนธรรมดาทั่วไปสามารถฝึกได้ค่ะ แต่ข้ออภิญญา 1-5 เป็นโลกียธรรม ข้อที่ 6 ต้องเป็นพระอริยบุคคลเท่านั้นค่ะ

    ถ้าจะฝึกให้ง่ายก็คือเข้าป่ากับพระธุดงค์บ่อยๆจะเป็นเส้นทางลัดที่สุด....ของพี่เริ่มแรกก็เริ่มจากปีนเขาก่อน ของที่แบกไปทยอยทิ้งระหว่างทางหมดถึงตอนนั้นปัญญาก็เกิดมาเองค่ะ....เดินป่า 7 วันไม่ได้อาบน้ำไม่ได้แปรงฟัน ไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า...ลองดูแล้วกันว่าตัวเองเห็นตัวเองเหมือนสัตว์ป่าประเภทหนึ่งถึงตอนนั้นอะไรก็ไม่เอาแล้ว...ขอแค่น้ำดื่มและอาหารแค่พอประทังชีวิต....แค่เราเห็นทุกข์ก็เห็นธรรมแล้ว แค่เราแยกทุกข์กายกับทุกข์ใจออกจากกันได้ เรื่องการปฏิบัติต่อไปไม่ใช่เรื่องที่ยากเลย

    ทุกวันนี้ยามว่างเสาร์ อาทิตย์พี่ยังต้องขับรถไปนั่งสมาธิปลีกวิเวกที่ถ้ำเพียงคนเดียว เพราะจิตเราต้องการที่สงัด...ถ้าเราจะฝึกในวัด ในบ้าน ในที่ทำงานก็ได้ แต่จะไปได้ช้าเพราะมันมีอะไรๆมารบวนเราตลอด เสียงโทรศัพท์ เสียงทีวี เสียงรถยนต์ ทำให้ดึงจิตออกมาเป็นระยะๆ การปฏิบัติเลยไม่ต่อเนื่อง

    ก็ต้องลองดูค่ะ ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ หรือทำได้ยาก ขึ้นอยู่กับตัวเราทังสิ้น....ส่วนผลที่ได้อย่างเช่นการกำหนดจิตย่นระยะทางเป็นแค่เรื่องจิ๊บๆไปเลย
     
  8. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,867
    ถ้าเอาทางลัดจริงๆลองปลงอสุภกรรมฐานดูค่ะ อย่างเช่นลองไปช่วยมูลนิธิเก็บศพแล้วเราจะปลงไปเอง...

    ภาพที่เอามาให้ดูคือไส้ของคนที่เน่าต้องตัดทิ้งค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ประมาณที่คุณ พรหมมณี พูดนะเห็นด้วยครับ การปลงอุสภะเป็นอุบายให้จิต
    ตัดร่างกายได้เร็วพอตัดร่างกายได้เร็วมันก็ส่งผลให้ตัวจิตไม่ยึดมั่นถือมั่นได้
    ในลำดับต่อมาของมันเองครับ.. และการพิจารณาธาตุขันธ์นั้นก็เป็นอุบายอย่างหนึ่ง
    ที่สร้างกำลังสมาธิสะสมและเป็นอุบายในการเดินปัญญาร่วมด้วยไปในตัวครับ
    ซึ่งถ้านับในหลักการณ์แล้ว ถือว่าเป็นวิธีการที่แยบยลในการสอน
    ของครูบาร์ในยุคก่อนๆครับ..เพราะว่าการตัดเรื่องยึดติดต่างๆนั้นเป็น
    พื้นฐานสำคัญที่เกี่ยวข้อง กับความสามารถในการทำอะไรได้พิเศษๆของจิต
    ในกำลังระดับสมาธิขั้นสูงนั้นเอง...และอุบายที่แยบยลของครูบาร์อาจารย์
    สมัยก่อนที่ให้เราพิจารณาธาตุขันธ์ร่วมด้วย..ก็ยังช่วยหนุนให้ผู้ฝึกให้ความ
    สำคัญกับเรื่องปัญญามากกว่า เรื่องพิเศษๆต่างๆที่เป็นผลพลอยได้จากการฝึกครับ...

    เพราะอย่าลืมว่า ถ้าเราไม่ให้ความสำคัญกับการพิจารณาแล้ว...
    มีโอกาสสูงมากที่ตัวเรา จะเน้นไปเรื่องของความสามารถพิเศษต่างๆ...
    จนกระทั่งลืมแก่แท้ของพุทธศาสนาได้ครับ...
    และเนื่องจากกรรมฐานกองนี้ กำลังสมาธิที่ได้มานั้น หากนำไปใช้ในการ
    ขึ้นวิปัสสนาแล้ว และสามารถทำได้ในระดับสูง ก็จะยิ่งช่วยให้ตัวจิต
    คลายสิ่งยึดเกาะต่างๆในใจ พอคลายสิ่งยึดเกาะได้
    มันก็คลายธาตุต่างๆที่รวมเป็นกายได้ในตัวมันเอง
    ก็เป็นเหตุให้จิตพลิกจากภายในออกสู่ภายนอกได้
    ซึ่งเป็นพื้นฐานของวิชาเดินธาตุนั่นเอง..
    ยิ่งกำลังสมาธิเราพัฒนสูงขึ้นมาอีก.ในเรื่องที่เราพิจารณาก็จะทำ
    เราพิจารณาตัดได้ดียิ่งขึ้นครับหมายถึงตัวจิตตัดได้นะคับ...
    บางเรื่อง ถ้ายกขึ้นวิปัสสนาได้ บางครั้งแค่ครั้งเดียวตัวจิตมันก็ทิ้งได้เลย
    ในเรื่องนั้นๆที่เราพิจารณาครับ..ซึ่งตรงนี้ถือว่ามีประโยชน์มากครับ..
    จะต่างกับการพิจารณาในระดับกำลังสมาธิไม่สูง พอเราเข้าสู่สภาวะปกติ
    แล้วตัวจิต มันจะยังฟูได้อยู่ หากเจอสถานะการณ์ และสภาพแวดล้อมแบบเดิมๆ
    ซึ่งมันจะต้อง อาศัยการเข้าถึงอารมย์ซ้ำบ่อยๆ และพิจารณาบ่อยๆ ก็จะ
    สามารถทำให้ตัวจิตคลายการยึดติดได้เช่นกันครับ...ซึ่งการพิจารณาในระดับ
    กำลังไม่มาก เหมาะกับบุคคลส่วนมากครับ...ดังนั้นในปัจจุบันเราจึงพอได้ว่า
    พระที่ท่านมีชื่อเสียง แม้ว่าตัวท่านจะผ่านสมาธิระดับสูงมาแล้ว
    ท่านก็มักจะสอน การวิปัสสนาในกำลังสมาธิไม่มากแทบทั้งนั้น
    เนื่องจากเหตุผลที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั่นเองครับ.....

    ส่วน น้องมังกรนั้น ไม่ต้องคิดอะไรมาก และไม่ต้องคิดเผื่อ
    คาดการณ์อะไรล่วงหน้าไว้....
    ลองหายใจตามนี้ดูว่าทำได้ไหม...
    พยายามจะอธิบายให้ไม่งงและนะ..
    ถ้าไม่เข้าใจอีกก็ไม่รู้จะสอนยังไงอีกแล้วหละ..
    ใช้มือซ้ายจับที่ท้องไว้..นิ้วชี้มือขวายกมาไว้ที่ปลายรูจมูก...
    โดยการวางปลายนิ้วชี้ไว้ที่ร่องปากด้านบนเบาๆ...
    แล้วให้ลองหายใจเข้า ให้รู้สึกว่าลมหรืออากาศผ่านปลายนิ้วชี้มือขวา
    ในขณะเดียวกันก็ให้ท้องพองออก ส่วนมือซ้ายนั้นก็ใช้ตรวจสอบว่า
    เวลาเราหายใจท้องมันพอไหม..และอากาศที่เราหายใจเข้ามานั้น
    ตอนที่ท้องเรามันพอง ก็ให้อากาศมันหยุดอยู่ที่ปลายนิ้วชี้มือขวานั้นหละ
    แต่ว่าลมมันจะหยุดที่นิ้วด้านนอก..
    จะสังเกตุได้ว่าลมมันจะธรรมดาๆ....
    ที่นี้ก็หายใจออก อากาศที่เราหายใจเข้ามามันจะร้อนกว่าตอนหายใจเข้าหน่อย
    ก็ให้มันออกไปและก็หยุดที่ปลายนิ้วชี้แต่ว่าตอนนี้จะเป็นด้านใน
    และก็ดูด้วยว่า ท้องเรามันยุบไหม...
    นี่เป็นวิธีการฝึกพื้นฐานครับ......

    ซึ่งต้องใช้เวลาในการปรับตัว ตามระบบร่างกายด้วย
    ปกติแล้ว ไม่ต่ำกว่า ๒ สัปดาห์ และประมาณ ๒ เดือน
    ก็จะกลายมาแทนระบบหายใจปกติของเรา ที่จะหายใจ
    ลึกถึงหน้าอก........

    ถ้ายังหายใจแบบนี้เป็นปกติไม่ได้...ไปฝึกกรรมฐานอะไรก็
    ฝึกให้เข้าถึงได้ยาก.และบอกได้เลยว่า ฝึกไปก็จะเสียเวลาเฉยๆ
    อาจจะได้แค่พอเฉียดๆเสียเวลาไปเล่นๆ แต่ว่าจะไม่เกิดผล
    อย่างที่ควรจะเป็น....เพราะมันเป็นพื้นฐานการหายใจจริงๆ..

    เอาประมาณนี้ให้ได้ก่อน...
    ปล.ค่อยๆอ่าน ก่อนอย่าพึ่งสรุปจนกว่าจะได้ลองพยายาม
    ไปทำดูก่อน..ก็บอกไปแล้วว่า อย่าพึ่งสรุป..
    พอเข้าใจเนาะ...
    ครูบาร์อาจารย์ ข้างบน ท่านไม่เคยพูดหรือสอนเป็นครั้งที่ ๒ นะครับ..
    และไม่ได้มาบอกตรงๆด้วยนะครับ บางทีเราต้องรู้ด้วยกำลังสติทางธรรม
    ของเราด้วยครับ..และ
    ถ้าวาระมาถึงขั้นมีท่านมาสอนถ้า
    ครั้งแรกทำไม่ได้ โอกาสที่จะกลับมาอีกเป็นไปได้ยากครับ...
    เล่าให้ฟังเล่นๆ แต่เราเป็นปถุชน ก็พยายามเข้าใจอะไรให้ง่ายๆหน่อย..
    ปกติจะไม่แนะเกินครั้งที่ ๓ ในเรื่องเดิมๆนะครับ...
    โลกนี้ถึงได้เกิดคำว่า อุเบกขา รับรู้อยู่ภายใน นั่นหละครับ..


    ปล.วิชาเดินธาตุ ต้องเข้าใจนัยยะนี้ให้ดีๆนะครับ...
    ''อยากรู้อะไรให้ดูที่จิตตัวเอง และทำตัวให้เหมือนน้ำ''
     
  10. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,867
    ส่วนการเดินกสิณของเราก็ไม่เหมือนกับวัดพลับหรือวัดราชสิทธารามที่ต้องเอาเทียนจุดและนำภาพมโนน้อมเข้าสู่ภายในกาย แบบกสิณไฟ หรือเอาดินมาวางแล้วเพ่งเพื่อให้เกิดภาพเป็นมโนหรือพวกกสิณแสง กสิณช่องว่าง

    การฝึกกสิณสมัยโบราณพลังจากกสิณนั้นเกิดจากภายในกายเราเองโดยการใช้จิตเราบังคับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็จะมาจากพื้นฐานของกำลังจิตว่ามีความแข็งแกร่งเพียงใด....

    การจะใช้กสิณได้นั้นจะต้องได้ฌาณทั้ง 8 ก่อนคือขึ้นถึงอรูปฌาณ....แต่ถึงกระนั้นคนที่ได้ฌาณแล้วก็ยังไม่สามารถใช้กสิณได้ เพราะการใช้กสิณทั้ง 10 ขึ้นอยู่กับกำลังของฌาณและที่สำคัญที่สุดคือการทรงฌาณ คือหลังจากออกจากฌาณแล้วยังสามารถทรงฌาณได้ยาวนานเพียงใด

    ฉนั้นเรื่องการฝึกกสิณที่มาเผยแพร่ที่เคยอ่านๆผ่านตามาบ้างจึงไม่เคยเห็นว่าสำเร็จเป็นรูปธรรมเลย ถ้าพอที่จะทราบมาบ้างก็เห็นเพียงแต่ครูบาอาจารย์ในอดีตเท่านั้น....

    ส่วนที่มาเล่าขานกันเป็นที่เอิกเกริกล้วนแต่เป็นเรื่องลอกตำรามาเล่ากันบ้าง....มโนเอาเองบ้าง....เอามาถกเถียงกันเป็นที่น่ารำคาญใจว่าเสียเวลาปฏิบัติเสียเปล่าๆ.....และข้อสำคัญคือฝึกไปก็เสียเวลาเปล่าๆ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นไม่สามารถเกิดเป็นรูปธรรม จับต้องไม่ได้ เผยแพร่ไม่ได้...
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ถือว่าเล่าสู่กันฟัง ณ ครับ คุณพรหมมณี..
    มีเรื่องจาก ผู้เขียนคนหนึ่งมาเล่าให้ฟัง..

    ในปัจจุบันนี้ผู้ที่สามารถทำให้เกิด
    เป็นรูปธรรมยังมีอยู่ครับ..ประเภทหยิบใบ้ไม้มาเป็นเงินเห็นๆ
    หยิบดินกลายเป็นพระเครื่อง วางมือในหนังสือดึงออกมาเป็น
    พระเครื่ององค์ที่อยู่ในหนังสือ หยิบขี้ธูปออกมาเป็นทองคำได้เห็นๆ
    ยังมีอยู่แน่นอนและมีชีวิตอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ด้วยครับ..
    แต่ท่านเป็นพระสงฆ์ครับ..และท่านก็เน้นกรรมฐานทุกกอง
    ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องปัญญา แม้แต่กสิณก็สามารถฝึกในทาง
    ของการเดินปัญญาได้เช่นกันครับ...
    ต้องเจอกับตัวและเห็นกับตา ตลอดจนได้
    สัมผัสด้วยตนเองถึงจะเข้าใจครับ...
    ว่าปัจจุบันนี้ยังมีบุคคลเช่นนี้อยู่ครับ
    ...


    ท่านเป็นบุคคลที่แนะเทคนิค
    ในการเพิ่มพลังงานและใช้งานกสิณให้
    ผู้เขียนด้วยท่านหนึ่ง จากหนึ่งในสามท่านที่เป็นพระสงฆ์....

    และปัจจุบันนี้..ผู้ที่ไม่เคยฝึกกสิณก่อนมาเลย..หากว่าตัวจิตเคยทำได้
    ในอดีตชาติมาก่อน.หรือพอมีพื้นฐานเกี่ยวกับอภิญญาจิตภายในมาบ้าง
    พอมีสัมผัสด้านพลังงานมาบ้าง.
    .ที่สำคัญไม่มีใจคิดปรามาสลึกๆในใจต่อกัน
    เพราะหมายถึงการดูถูกครูบาร์อาจารย์กัน...
    และที่สำคัญก็คือ วิบากกรรมทางสมมุติเริ่มคลาย..
    .ปัจจุบันนี้บุคคลที่ไม่เคยฝึกมาเลยก็สามารถที่จะ
    เรียกพลังงานกสิณขึ้นมาได้ บางคนก็ได้ ๕ กอง
    บางคนก็ได้ ๖ กอง บางคนได้ทั้ง ๑๐ กองก็มีครับ...
    โดยไม่ต้องไปเสียเวลาฝึกให้เสียเวลาครับ..
    แล้วแต่ว่า จิตดวงนั้นเคยถนัดกองไหนมาก่อน
    ก็จะชัดเจนในกองนั้นๆ แต่นี้เป็นเพียงแค่ทางผ่าน
    ไม่ใช่เป้าหมายหลัก เป้าหมายหลักคือ การพลิก
    ตัวจิตให้ข้ามไปยังโหมดวิญญาณธาตุ
    เพื่อให้เข้าถึงระดับพลังงาน หรือ กำลังบุญ
    ของระดับครูบาร์อาจารย์ที่ล่วงลับไปแล้ว
    สำคัญกว่า การที่พูดๆว่า เคารพๆแต่ไม่รู้ว่า
    จิตตัวเองเข้าถึงได้จริงๆหรือไม่ครับ..
    หรือแม้แต่บุคคลใดๆก็ได้ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ...
    หรือการเพิ่มหรือลด พลังงานในวัตถุก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญเช่นกัน...
    เพราะพวกนี้ยังไม่ถือว่า เป็นแนวทางตรงทางพุทธศาสนาครับ..

    เพราะฉนั้นปัจจุบันนี้ เลยมองว่า เรื่องเทคนิคในการฝึกให้เข้าถึง
    ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร...วาระต่างหากครับ วาระที่จะสัมผัสได้
    วาระที่จะเข้าถึงได้นั่นต่างหากครับ..แน่นอนว่ามันต้องมาจาก
    ตัวจิตที่มีจิตใจเอื้อเฝื้อเผื่อแผ่ เป็นคนใจกว้าง มีเมตตาเป็นทุน
    ช่วยเหลือคนโดยไม่หวังผลตอบแทน ทำงานอยู่เบื้องหลัง ฯลฯ
    .ตรงนี้ที่จะมาหนุนสิ่งที่สำคัญไปกว่านี้ก็คือ
    ความสามารถในการนำไปใช้งานได้จริงๆครับ...
    ตรงนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับวาระเช่นกัน.
    .แต่มีทริคเล็กน้อยสำหรับส่วนนี้..
    หากย่นย่อให้วาระนี้มาถึงได้เร็วขึ้นก็คือการมุ่งเน้นเพื่อประโยชน์ผู้อื่น
    มากกว่าเพื่อพัฒนาตนเอง และใช้ประโยชน์ในทางธรรม..
    ซึ่งตรงนี้ต้องหาเอง สร้างด้วยตัวเอง...
    และการจะนำมาใช้ได้จริงๆ..ในที่นี้คือ ใช้ได้ผลจริง
    ทำให้บุคคลอื่นๆรับรู้ สัมผัส ได้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นกองไหนก็ตาม...
    ก็คือ จะต้องสอบผ่านเรื่องเมตตาและเทคนิคการนำพลังงานกสิณแต่ละกอง
    ไปใช้งาน จากภาคส่วนภพภูมิด้วยตัวเองครับ..
    บอกไว้ล่วงหน้าเลยว่า ส่วนใหญ่จะสอบตก และกว่าจะผ่านก็ต้อง
    สอบหลายๆครั้ง...ถ้าสอบพอผ่าน..ตัวจิตก็จะสามารถพลิกจาก
    การรู้เห็น ทำได้เฉพาะในนิมิต พลิกขึ้นมาใช้งานได้จริงๆครับ...
    และก็จะพบว่า ที่เคยเห็นว่าเป็นนามธรรม ทำได้แต่ในนิมิตนั้น
    มันขึ้นมาให้สัมผัสได้ มันมีจริงๆนะ มันรับรู้ได้นะ มันจับต้องได้จริงๆนะ..
    มันใช้งานได้จริงๆนะ ก็ต้องผ่านมาประมาณอย่างที่เล่าให้ฟังมาครับ..
    ไม่อย่างนั้นมันก็จะเป็นเพียงแค่การได้ยินมา ได้ฟังมา การทำได้รู้เห็นได้
    แต่ตนเอง เห็นเองรู้เอง แต่ในนิมิต ลืมตามาก็เป็นคนปกติ..
    เอาไว้ทำแต่เพื่อพัฒนาแต่ตนเอง..
    แต่ไม่สามารถทำให้คนอื่นๆสัมผัสรับรู้ได้
    หรือนำมาใช้งานอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อบุคคลอื่นๆได้นั่นเอง
    ในสภาวะลืมตาปกติทั่วๆไป..
    และมีประโยชน์แค่เพียงพอทำให้หลงตนเองได้อย่างคาดไม่ถึงเท่านั้นเอง

    ปล.ส่วนจะเป็นรูปธรรมได้จริงๆนั้น ตัวจิตต้องสามารถ
    ตัด ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ ได้เกือบหมด
    ซึ่งตัวเราสามารถพิจารณาเองได้ ว่าเราสอบตกตรงเรื่องไหน..
    มันถึงจะค่อยๆเกิดค่อยๆพัฒนาขึ้นมาได้ตามลำดับ
    ของมันเองโดยที่ไม่ต้องไปฝึกสมาธิอะไรเพิ่มเติม
    ให้เสียเวลาครับ...
    ตรงนี้ก็มีวาระของมันเช่นกัน ตามเหตุและปัจจัยแห่งบุคคลครับ...


    ใครที่เคยมีโอกาสได้พบกับผู้เขียนตัวเป็นๆ
    จะเข้าใจในประเด็นที่เล่าให้ฟังนี้ได้ดีครับ...
    เพราะไม่รู้ผู้เขียนเป็นใคร...
    แค่เพียงแต่นำมาเล่าให้ฟังครับ....

     
  12. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,867
    ขอบคุณมากค่ะคุณ Nopphakan ที่แชร์ความรู้ค่ะ ส่วนตัวทุกวันนี้หาคนคุยเรื่องนี้ได้ยากยิ่ง และตัวเองก็ยังค่อยๆกระดึ๊บๆฝึกไปค่ะ ได้บ้างไม่ได้บ้างก็แล้วแต่วาสนา ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น

    ส่วนกรณีวัดพลับนั้น เพื่อนสนิทได้ไปฝึกมาแล้วมาเล่าสู่กันฟังว่าฝึกไม่เหมือนกันเพียงเท่านั้นค่ะไม่ได้พูดเกินไปกว่านั้น....

    ส่วนกรณีครูบาอาจารย์ที่เคยฝึกกสิณได้ตอนนี้ตัวเองก็ไม่เคยพบเจอเลยค่ะ ถ้ามีสิ่งใดแนะนำได้ขอช่วยรบกวนแนะนำเพื่อการฝึกพัฒนา ถือว่าเป็นวิทยาทานค่ะ และเป็นกุศลแก่ผู้ที่เข้ามาอ่านเพื่อการศึกษาด้วยค่ะ
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ครับพอเข้าใจอะไรๆอยู่บ้างครับ..
    ประเด็นต่อมานี้ก็ถือว่า เล่าสู่กันฟังในมุมกว้างๆ...
    เรื่องแบบนี้ หาคนคุยด้วยได้ยาก เนื่องด้วยหลายๆกรรมฐาน..
    มันมีผลพลอยได้ปกติ ที่จะเกิดกับตัวจิตผู้ที่ฝึก..
    เป็นเหตุให้ลึกๆในใจแล้ว..ผู้ที่ฝึกนั้นมองเห็นในเรื่อง
    ความสามารถต่างๆที่จะเกิดกับตัวเอง..
    มากกว่าจนลืมไปว่า..วิธีการถ่ายทอดของครูบาร์อาจารย์สมัยก่อนนั้น
    ท่านไม่ได้สอนไปเพื่อให้ได้อะไรเกี่ยวกับเรื่องความสามารถพิเศษ
    ที่จิตจะทำได้เลย.เอาจริงท่านมองว่าเป็นเรื่องไม่ควรใส่ใจเสียด้วยซ้ำ
    เป็นอะไรที่ไม่ทำให้จิตใจเราหลุดพ้นได้...
    .แม้ว่าบางท่านจะบอกว่า ผลของการฝึกมันสามารถ
    ทำโน้นนี่นั้นได้..แต่เกือบทุกท่านจะไม่ลงในรายละเอียดย่อย..
    ที่จะทำสิ่งโน้นนั่นนี่อย่างที่ท่านเล่าให้ฟังเลย ก็เพราะว่าเนื้อแท้แล้ว
    หากเข้าถึงผลของกรรมฐานได้ สิ่งที่ท่านเล่าให้ฟังว่าทำอะไรได้นั้น
    มันเป็นผลของการฝึกที่มันจะสามารถเกิดขึ้นได้เป็นปกติธรรมดา...
    แต่ผู้ปฏิบัติหลายๆท่าน กลับไปยึดผลที่ได้จากการฝึกจนมาเป็นตัวเอง
    อย่างคาดไม่ถึง มันก็เลยกลายไม่ธรรมดา ทั้งๆที่มันเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา

    และครูบาร์อาจารย์เกือบทุกท่าน
    จะเน้นไปในเรื่องการนำกำลังสมาธิที่ได้มา
    เพื่อเป็นฐานในเรื่องของวิปัสสนา เน้นเพื่อสร้างปัญญาทางธรรม
    เพื่อ ลด ละ คลาย ตัดกิเลสทั้งนั้นครับ....
    หลายๆสำนักก็เน้นไปในเรื่องนี้เช่นกัน..
    แตกต่างกันที่ว่า สำนักไหนจะมีอุบายในการสร้าง
    กำลังสมาธิพื้นฐานที่จะนำไปใช้ในการเดินปัญญา
    ได้มากน้อยเท่าไรสำหรับผู้ที่เข้ามาฝึก แค่นั้นเองครับ....
    และไม่ว่าสำนักไหนก็ตาม..หากไปยึดเอาผลที่เกิดขึ้นได้
    เป็นปกติของตัวจิตที่ได้จากการฝึกมาเป็นหลักในการ
    ดึงบุคคลเข้ามาเพื่อฝึกแล้วนั้น สำนักนั้นจะมีปัญหาเกิดขึ้น
    ทันนี้ในการอยู่ร่วมกับสภาพสังคมและก็มักจะมีปัญหา
    ภายในกันเองร่วมด้วยตามมาเป็นปกติ
    คิดว่าประเด็นนี้ ที่ทั้งคุณและผมก็พอจะมองๆออกนั่นหละครับ..
    แต่สิ่งที่เรารู้ๆก็คือ ปล่อยๆไป ไม่ควรเข้าไปยุ่งกับเค้าประมาณนี้หละครับ..

    สิ่งที่ครูบาร์อาจารย์ท่านเน้นในเรื่องวิปัสนานั้น..
    เป็นเรื่องปกติที่ผู้อ่านหรือผู้ฝึกหลายๆท่าน
    อาจจะมองไม่เห็นหรือข้ามในประเด็นการนำกำลังสมาธิที่ได้
    จากการฝึกเพื่อไปวิปัสสนาตรงนี้ไปอย่างน่าเสียดาย...
    จึงกลายเป็นเหตุว่า..ทำไมบางคนฝึกเท่าไรก็เข้าไม่ถึงซักที...
    ฝึกแล้วไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร ฝึกไปเพื่ออะไร ฝึกแล้วได้อะไร
    ฝึกไปฝึกมาก็เลยเลิกฝึกไปก็มี ...แม้ว่าฝึกแล้วพอทำได้แล้วบ้าง
    แต่ทำไม่ ทั้งการติด ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ มันก็ยังอยู่
    กิเลสต่างๆ ทั้ง โลภ โกรธ หลง ก็ยังมีผุดมาให้เห็นเรื่อยๆ..
    และยิ่งบางคนที่เน้นทางด้านปัญญาโดยตรง มาเห็นเข้า
    ก็จะยิ่งไม่เห็นประโยชน์อะไรเลยจากการฝึก..
    แล้วถ้าสองกลุ่มนี้ได้มาคุยกันแล้ว..
    จะเป็นเหตุให้สร้างความขัดแย้งขึ้นมากระทบกระทั่งกัน...
    ยิ่งถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปเผลอยึดวิธีการของตน
    ยึดครูบาร์อาจารย์ของตนร่วมด้วย
    ก็ยิ่งเป็นเหตุให้เกิดการแบ่งฝัก แบ่งฝ่าย แยกแยะ
    ทะเลาะเบาะแว้ง อ้างเหตุอ้างผลตามแต่สิ่งที่ตัวจิตตนเองยึดเข้าไปใหญ่....
    โดยลืมไปว่า ทั้งหมดทุกวิธีการฝึกนั้น มันมีปลายทางเดียวกัน..
    เพื่อนำกำลังสมาธิที่ได้ มาหนุนเรื่องการเดินปัญญา
    เพื่อให้ถึงปลายทางเดียวกันทั้งนั้น อย่างคาดไม่ถึงได้นั่นเองครับ...
    เพราะฉนั้นไม่ว่าจะฝึกด้านไหนๆมา จะปัญญานำ หรือจะฝึกกรรมฐาน
    ใดๆก็ตามนำมาก่อน ก็ไม่ควรไปยึดติดเหมือนๆกันครับ..
    เพราะถ้าเผลอไปยึด มันจะกลายเป็นตัวตนเราขึ้นมาทันที..
    ก็จะไม่มีเหตุให้ต้องทะเลาะเบาะแวงกัน..
    เป็นเพียงแค่การถ่ายทอดประสบการณ์
    ต่างๆที่ได้ เพื่อเล่าสู่กันฟัง เพราะบางจุด
    อาจจะช่วยแก้ปัญหาได้เร็วขึ้น..
    ไม่ว่าจะฝึกมาทางด้านไหนๆก็ตาม...



    และปัจจุบันนี้ก็หาท่านที่จะสอนที่เป็นมนุษย์ที่อยู่ในรูปพระสงฆ์
    ก็ยากเช่นกันครับ...เพราะส่วนใหญ่ที่ทำได้
    ท่านมักจะมีความสามารถเลยขั้นตอนนี้ไปแล้ว
    ซึ่งท่านรู้หมดครับ.. ว่าอะไรเป็นอะไร แม้กระทั่งในรายละเอียดปลีกย่อย..
    แต่ก็ต้องรอจนถึงวาระว่าจะพูดได้ ณ กาลเวลาไหน

    แต่วาระตัวหนึ่งที่พอจะแนะแนวทางให้ฟังได้
    สำหรับผู้ที่ฝึกที่ต้องการจะเดินทางต่อไปได้
    สำหรับกรณีไว้ถามผู้สอนที่ยังมีชีวิตอยู่..ก็คือ
    ปัญหาที่บุคคลนั้นๆติดขัดแล้วไปถาม
    แต่ว่าปัญหาที่ติดขัดนั้น ต้องเป็นปัญหาที่มาจาก
    การที่บุคคลนั้นๆ มีเจตนาเพื่อที่จะมุ่งเน้นเพื่อประโยชน์ต่อผู้อื่น..
    มุ่งเน้นประโยชน์ในทางธรรม และก็ต้องไม่ลืมเน้นว่า
    ไม่ได้ให้ความสำคัญมากกว่าเรื่องปัญญาทางธรรมด้วยนะครับ....
    ก็มีโอกาสที่จะพัฒนาต่อได้เลย..เรื่องแบบนี้มันแปลกอยู่อย่างหนึ่งครับ...
    ถ้าเราได้ฟังถึงเทคนิคแล้ว เราจะสามารถทำได้ทันที...
    แต่ที่เหมือนกันอีกอย่างก็คือ การทำได้ในครั้งแรกจะเหนื่อยกันทุกๆคน
    บางครั้งอาจหลับแบบลืมโลกไปเลยได้เป็นวันๆก็มีครับ..

    ยังมีต่อ
    .
     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ส่วนนี้จะพูดถึงเกี่ยวกับระดับข้างบน
    ถ้าบุคคลใดก็ตาม
    ในอนาคตอาจจะมีข้างบนมาสอน
    ก็ต้องเข้าใจไว้อย่างหนึ่งว่า...
    ระดับพระพุทธฯ สอนธรรม
    ระดับพระสงฆ์สอนเทคนิคเพื่อให้เข้าถึงกรรมฐานกองนั้นๆ...
    พระโพธิสัตว์ทั้งหลายมีชื่อจะมา เมื่อเราเริ่มที่จะสร้างประโยชน์...
    พระมหาฤาษี สอนเทคนิคการนำไปใช้งาน...
    ผู้อยู่เบื้องหลังความสามารถในการนำไปใช้งานได้
    คือเทพ พรหม มีชื่อเสียงต่างๆ...
    ผู้คอยร่วมโมทนา คือเหล่าเทพเทวดาทั้งปวงครับ....
    แต่ไม่ว่าจะรับไหน สิ่งที่เราควรทำเหมือนกันก็คือ
    การให้ความเคารพนับถือ แต่ไม่ใช่ยึดถือนะครับ...
    ที่กล่าวข้างบนนี้ถ้าเข้าใจได้จะทราบว่า ควรกระทำตัวอย่างไรครับ


    ที่นี้เราค่อยมาดูว่า ณ เวลานั้นเราอยู่ในแนวทางใด
    เราอาจตกบกพร่องอะไรอยู่..ถ้าเรามีเป้าหมาย
    เพื่อประโยชน์ผู้อื่น เพื่อประโยชน์ทางธรรม
    เราก็จะมีโอกาศพบได้ตามวาระแห่งตน...
    ส่วนประโยชน์แห่งตนเอง เพื่อชาตินี้ หรือชาติหน้า
    หรือเพื่อที่จะไม่กลับมาเกิดที่จะมาร่วม
    สนับสนุนการที่มีครูบาร์อาจารย์เข้ามาแนะนำเรานั้น
    พวกนี้เราต้องเป็นคนสร้างด้วยตัวเองครับ...


    ถ้าเรามาอยู่ในระดับที่ พอจะใช้ผลจากกรรมฐานได้แล้ว....
    ท่านก็จะไม่สอนอะไรเกี่ยวกับเรื่องเทคนิค
    ในการพัฒนาในแต่ละขั้นตอน ให้เราต้องค้นให้พบด้วยตนเอง...
    จะเน้นให้ไปลองผิดลองถูกด้วยตัวเองก่อน
    และการลองผิดลองถูกนี้
    และก็จะเริ่มมีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ หากว่าเป็นการ
    นำไปใช้เพื่อประโยชน์ต่อผู้อื่นครับ..
    ซึ่งเทคนิคมันมักจะมาได้เอง
    ในขณะที่กำลังทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นเสมอๆครับ...

    ข้อดีของการมีครูบาร์อาจารย์ ข้างบนมาสอนก็คือ...
    จะทำให้เข้าถึงความสำเร็จในการฝึกช่วงนั้นๆได้เร็วขึ้นมากๆ...
    ระยะเวลาจะย่นย่อ จากหลักฝึกธรรมดาเป็น ปี เป็น เดือน
    เหลือเพียงแค่ไม่กี่นาทีได้อย่างอัศจรรย์..
    แต่การนำไปใช้งานที่มีประโยชน์นั้น
    ไม่ว่าทางด้านอะไรก็ตาม...

    ยังๆไงก็แล้วแต่ สิ่งที่ผู้ที่พอใช้ผลได้แล้วมักจะคาดไม่ถึงก็คือ...
    การวางไม่เป็นครับ.การตัดตัวรู้ไม่เป็น
    ตัดตัววิญญานไปรู้ไม่เป็น..ไม่รู้วิธีการที่จะพัฒนา
    ให้ตัวจิตคลายตัวเป็น...ตัวจิตมันเลยพร้อมที่จะใช้งานตลอด
    เป็นเหตุให้ตัวจิต ยึดติดกับ สมาธิ ญาน ญาน ตษะฯลฯ
    ต่างๆอย่างคาดไม่ถึงครับ ประเด็นนี้ต้องระวังให้มากๆครับ....
    เพราะนอกจากจะเป็นเหตุให้ตัวจิตไม่คลายตัว ในสภาวะลืมตาปกติ..
    เอะอะอะไร ถ้ามีเหตุ มันก็จะพร้อมใช้งานอยู่อย่างเดียว...
    มันจะพร้อมไปรู้ไปเรื่อยเปื่อย..
    และมันจะเป็นเหตุให้ลืมเรื่องปัญญาไปอย่างคาดไม่ถึงครับ....
    และที่สำคัญยิ่งกว่า มันทำให้การนำไปใช้ไม่เป็นไปอย่างอัตโนมัติ...
    พูดง่ายๆก็คือ ใช้กำลังเยอะกว่า เหนื่อยกว่า ผลรับที่ได้ก็ไม่คลอบคลุมกว่า
    ภาษากลุ่มบุคคลที่ใช้งานทางจิตมักเรียกว่า
    ใช้งาน ตะกุกตะกักนั่นหละครับ
    (ไอ้ตัวที่รู้ ว่าจะต้อง
    ทำอะไรๆต่อ ในขณะที่ใช้งานนั้นหละ เป็นสาเหตุ
    ให้เกิด อาการ ตะกุกตะกักครับ)...


    เพราะฉนั้นแล้วท้ายสุดนี้ จะขอแนะนำว่า....
    ไม่ว่าจะฝึกกรรมฐานอะไรอยู่ก็ตาม..
    ให้เข้าใจ นัยยะ ที่ว่า
    ''ทำแล้วก็แล้วไป ฝึกแล้วก็แล้วไป ได้แค่ไหนก็แค่นั้น...."
    และไม่ว่าตัวจิตจะสามารถใช้งานได้จากกรรมฐานอะไรก็ตาม...
    ให้เข้าใจนัยยะว่า
    "ใช้แล้วก็ใช้แล้วไป ไม่ต้องหวังผลอะไร
    ไม่ต้องคาดหวังอะไร เวลาจะใช้ค่อยดำริขึ้นมาใช้งาน
    ใช้เฉพาะที่มีประโยชน์และก็ใช้แล้วก็ให้แล้วไป''
    เพราะทุกวันนี้ จิตมันก็เกิดของมันทุกวันอยู่แล้ว..
    จากการใช้ความคิด จากการระลึกนึกได้ การระลึกรู้
    จากการเผลอไปดึง สิ่งต่างๆภายนอกเข้ามา
    ไหนจะเรื่องที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจอีก...
    ดังนั้นเราจึงควรใช้แค่หลักๆเฉพาะในการดำรงชีพ
    ตามแต่เหตุแห่งตน
    เท่านี้ จิตก็เหนื่อยแย่อยู่แล้วครับ..
    .
    ''การปฏิบัติบูชาที่ดีที่สุด คือการปล่อยวางครับ
    ที่ไม่ใช่ว่าว่าง และไม่ว่าง นั่นหละว่างครับ''..
     
  15. banpong

    banpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,434
    ค่าพลัง:
    +1,770
    ยัง login เข้ามาอยู่หรือท่าน 555
     
  16. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,867
    เรื่องฌานทั้งหลายเป็นผลจากการฝึกปฎิบัติทั้งสิ้น....เรื่องมันยาวค่ะ เอาที่สั้นๆก็คือไม่ว่าจะฝึกมาทางไหนท้ายสุดให้พิจารณาสติปัฏฐาน 4 เป็นสำคัญ....และฝึกพรหมวิหาร 4 ให้เต็มกำลัง....ข้อสำคัญก็คือหนทางแห่งทางหลุดพ้นคือพิจารณาอริยสัจจ์ 4 และมรรค 8

    อาจจะใช้เวลาสั้นยาวไม่เท่ากัน ท้ายสุดทุกท่านจะประสบโชคชัยด้วยตนเองค่ะ
     
  17. กลิ่นราตรี

    กลิ่นราตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +5,152
    (deejai) ขออนุญาตเจ้าของกระทู้นะคะ


    คุณพี่พรหมณีคะ
    ขอเชิญพี่พูดคุยเพิ่มรายละเอียดในเนื้อหาที่พี่พรหมณีได้เขียนเล่าไว้ต่อสักนิดค่ะ ในส่วน"การแปรธาตุ"

    เมื่อการเดินธาตุกรรมฐานทั้งภายในและภายนอกกลืนประสานสอดคล้องเอื้อต่อกันเป็นอย่างดีนั้น
    จะเกิดการพัฒนาวิทยายุทธไปถึงขั้นสามารถตัดต่อดัดแปลงวิญญาณธาตุขึ้นได้จากการเล่นแร่แปรธาตุ
    ขอพี่พรหมณีช่วยเล่าความให้อ่านทีเถิดนะคะ

    ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ล่วงหน้าค่ะ
     
  18. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,867
    จิตไม่สามารถตัดต่อเล่นแร่แปรธาตุได้ค่ะ แต่การฝึกพัฒนาจิตสามารถทำให้จิตมีกำลัง โดยใช้พละ 5 อินทรีย์ 5 เป็นฐานแห่งกำลังจิตนั้นๆ.....เมื่อเราปฏิบัติได้ถึงที่สุด กำลังจิตจะมีพลังถึงที่สุดจะเกิดความแตกฉานในเรื่องปัญญา.....แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มีความเสื่อมได้เนื่องจากจิตหรือตัวรู้นั้นไม่มีวันหยุดนิ่งจึงจำเป็นต้องพิจารณาสติปัฏฐาน 4 และพรหมวิหาร 4 ควบคู่กันไปตลอดเวลาซ้ำแล้วซ้ำเล่า....เมื่อนั้นจะเป็นการสะสมพลังหรือกำลังแห่งจิตนั้น

    ส่วนการเดินธาตุกัมมัฏฐานจำเป็นต้องทำแบบเต็มรูปแบบ บางคนอาจใช้เวลาสั้นยาวไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับอุปกิเลสของแต่ละบุคคลที่ห่อหุ้มติดตัวมา จำเป็นต้องชำระกิเลส...เมื่อกิเลสนั้นเบาบางอะไรก็เกิดขึ้นได้ค่ะ

    ตัวอย่างเช่นแม่ชีบางรูปที่เพียรปฏิบัติมา ท่านรำลึกเสมอว่าท่านไม่ใช่พระ ไม่ใช่ผู้วิเศษ ท่านฝึกเพียรปฏิบัติเพียงถ่ายเดียวโดยละกิเลสทั้งมวล จนกระทั่งวันหนึ่งสติมีกำลัง พละมีกำลัง อินทรีย์มีกำลัง จิตมีกำลังจนเต็มก็จะเกิดฌาณขึ้นเองโดยอัตโนมัติ โดยไม่ได้ตั้งเป้า หรือเพียรพยายามที่จะให้เป็นเช่นนั้นเช่นนี้.....พอมาวันหนึ่งท่านนั่งสมาธิเป็นปกติเหมือนทุกวันกายท่านก็ลอยขึ้นมาจากพื้นซะอย่างนั้น....เมื่อท่านรำลึกว่าจะไปที่นั่นที่นี่กายท่านก็หายไปเอง ณ.ตรงจุดนั้น ไปปรากฏณ.สถานที่แห่งหนึ่งตามที่ท่านรำลึกถึง แต่อาจจะกลับมาสถานที่เดิมไม่ได้ ต้องนั่งแท็กซี่กลับมา ประมาณนี้...อันนี้คือสิ่งที่พี่กำลังจะสื่อถึงวิชา 3 อภิญญา 6 ล้วนเกิดขึ้นมาเองโดยไม่ได้ตั้งเป้าหมาย ส่วนใหญ่มักเกิดจากจิตที่ฝึกฝนมาเต็มกำลังโดยปราศจากความปรารถนา ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น

    คือต้องฝ่าด่านนี้ให้ได้เสียก่อนค่ะ....
     
  19. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,867
    มีหลายท่านที่ฝึกสมาธิจนถึงระดับหนึ่งก็เกิดสภาวะขึ้นเองแบบนี้...ยกตัวอย่างพี่ไปสถานที่ปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง มีน้องผู้หญิงเพิ่งจะมาปฏิบัติธรรมครั้งแรกเพราะตามเพื่อนมา....ได้คุยสนทนากันเพียงเล็กน้อย พอน้องเขานั่งสมาธิเสร็จก็ลุกเดินจงกลม สิ่งที่พี่เห็นคือน้องเขาเดินลอยขึ้นจากพื้นดิน หรือเดินไม่ติดพื้น....ขนาดมาเพียงครั้งแรกก็เกิดขึ้นได้แล้วเป็นเพราะอะไร....เป็นเพราะว่าน้องเขาปราศจากกิเลส ณ.ขณะนั้น มาด้วยศรัทธาแบบเต็มกำลัง เขาบอกว่าดี ศรัทธาเต็มเปี่ยม จิตดีไม่มีอาสวะกิเลสมาครอบงำ สิ่งนี้ก็เกิดขึ้นมาเอง

    เมื่อน้องเขาเดินจงกลมเสร็จก็ได้มานั่งสนทนากับพี่อีกเขาบอกว่าระหว่างที่เขาเดินจงกลมเขาเห็นหลวงปู่มั่นเดินจงกลมอยู่ ที่ทราบว่าเป็นหลวงปู่มั่นเพราะเคยเห็นในรูป และศรัทธาท่านเพราะได้เคยอ่านประวัติท่านมาก่อน....

    สิ่งที่เกิดขึ้นมานี้เรียกว่า 1 ในวิชา 3 คือเกิดตาทิพย์ขึ้นมา เพราะมองเห็นในขณะที่กำลังเดินลืมตาอยู่

    อันนี้ยกตัวอย่างมาให้เข้าใจก่อนค่ะ ว่าเวลาฝึกแบบที่พี่เคยฝึกมันเป็นแบบนี้
     
  20. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,867

แชร์หน้านี้

Loading...