ประวัติและประสบการณ์ หลวงพ่อโสต สิริธมฺโม วัดเขาหินโค่ง อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย พิภพจบนภา, 27 กันยายน 2015.

  1. พิภพจบนภา

    พิภพจบนภา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +6
    ประวัติของหลวงพ่อโสต สิริธมฺโม
    วัดสันติธรรมคีรี (เขาหินโค่ง) บ้านชำตาเรือง ตำบลคลองพลู อำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี

    หลวงพ่อโสต สิริธมฺโม หรือที่บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายนิยมเรียกนามกันว่า ท่านพ่อโสต สิริธมฺโม เดิมที่นั้นท่านมีนามว่า โสต นามสกุล เฉื่อยวิบูลย์ เกิดเมื่อวันอังคารที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ ตรงกับวันแรม ๖ ค่ำ เดือน ๙ ปีมะแม ณ บ้านเลขที่ ๕ หมู่ ๗ ตำบลสองพี่น้อง อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี บิดา คุณพ่อทวี เฉื่อยวิบูลย์ มารดา คุณแม่ซึ้ง ผ่องพัก เป็นครอบครัวที่ประกอบอาชีพหลักใน ทำไร่ทำสวน เกษตรกรรมตามประสาชาวบ้านแถบภาคตะวันออก มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน จำนวน ๗ คน ดังนี้
    ๑. นายไพโรจน์ เฉื่อยวิบูลย์
    ๒. นายโสต เฉื่อยวิบูลย์ (หลวงพ่อโสต หรือ ท่านพ่อโสต สิริธมฺโม)
    ๓. นายสุรินทร์ เฉื่อยวิบูลย์
    ๔. นางสำรวน เฉื่อยวิบูลย์
    ๕. นางวรรณา เฉื่อยวิบูลย์
    ๖. นายไพรัตน์ เฉื่อยวิบูลย์
    ๗. นายอนันต์ เฉื่อยวิบูลย์
    “เด็กคนนี้อนาคตจะเป็นหมอหรือเป็นพระเถระ” เป็นคำทำนายของหมอดูท่านหนึ่งสมัยเมื่อท่านเกิดมาดูโลกและถ่อยคำนี้คุณพ่อทวี เฉื่อยวิบูลย์ ได้กล่าวกับท่านไว้เมื่อครั้งท่านยังเป็นเด็กอยู่จึงได้มีใจปฏิพัทธ์ในพระพุทธศาสนาตั้งแต่นั้นมา โดยในช่วงชีวิตเยาว์วัยก็ใช้ชีวิตตามแบบเด็กทั่วไปในสังคมชนบท เมื่ออายุได้ ๗ ขวบ ก็ได้รับการศึกษาด้านการเรียนเขียนอ่านเบื้องต้นตามเกณฑ์ภาคบังคับในขณะนั้นจนสำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ที่โรงเรียนวัดสามผาน ตำบลสองพี่น้อง อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี (สมัยนั้นการเรียนจบเพียงแค่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ก็เป็นครูได้แล้ว) เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๖ อายุได้ ๑๗ ปีย่าง ๑๘ ปี ได้เข้ารับการบรรพชาเป็นสามเณร ณ พัทธสีมา วัดทุ่งเบญจา ตำบลท่าใหม่ อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี โดยมีท่านพ่อพิศาลธรรมคุณ วัดใหม่บูรพา เป็นพระบรรพชาจารย์ เมื่ออยู่ครองสมณเพศสามเณรได้จำพรรษาที่วัดทุ่งเบญจา เพื่อศึกษาเล่าเรียนในทางพระปริยัติธรรมแผนกนักธรรมบาลี และในพรรษาแรกก็สามารถสอบไล่ได้นักธรรมชั้นตรี ในสำนักเรียนวัดทุ่งเบญจา ต่อจากนั้นได้เข้าศึกษาเล่าเรียนในหลักพระอภิธัมมัตถสังคหะชั้นตรี หรือพระอภิธรรมชั้นตรี ในสำนักเรียนวัดคลองน้ำใส โดยอยู่ในการอุปถัมภ์ของพระอาจารย์หลี เจ้าอาวาสวัดคลองน้ำใส หรือวัดสุทธิวารี บ้านคลองน้ำใส ถนนพระยาตรัง ตำบลท่าช้าง อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี อันจะเห็นได้ว่าความรู้ในทางหลักพระพุทธศาสนา ทางธรรมของก็อยู่ขั้นดีพอสมควรแล้ว
    ท่านพ่อโสต สิริธมฺโม ด้วยการที่ท่านเป็นคนที่รู้สิ่งใดต้องรู้ลึกถึงแก่น ถ้ารู้ถึงแก่นแล้วจะทำสิ่งใดก็ไม่ยาก ท่านจึงศึกษาวิชาต่างๆเพิ่มเติมจากหลวงพ่อคง สุวณฺโณ วัดวังสรรพรส (ช่วงปี พ.ศ. ๒๕๑๖-๒๕๑๘) โดยการฝากตัวเป็นอันเตวาสิกวิหาริกธรรม โดยในระหว่างนั้นท่านต้องเดินทางไป-กลับวัดวังสรรพรสและวัดทุ่งเบญจาเพื่อสอบเรียนไปด้วยอันจะได้ซึ่งความวิริยอุตสาหะของท่าน อย่างที่ทราบกันดี หลวงพ่อคง สุวณฺโณ วัดวังสรรพรสนั้นท่านรับการยกย่องให้เป็นเจ้าตำรับในสายวิชาเสือ หนุมาน พระขุนแผน กุมารทอง ที่เน้นหนักสรรพวิชามหาภูตรูป มหาภูตกสิณ วิชามหาธาตุ ที่ควบคุมดูแลในวัตถุอาถรรพ์ตามธรรมชาติ ดินศักดิ์สิทธิ์ ดินวิเศษ ว่านยาสมุนไพร ว่านมงคล ว่านวิเศษ ๑๐๘ ไม้มงคลทั้ง ๓๒ แร่ทนสิทธิ์ กายสิทธิ์ โลหะธาตุวิเศษ ตามสูตรที่นำมาจัดสร้างเป็นเนื้อหามวลสารส่วนผสมต่างๆ ซึ่งเป็นพระเถรานุเถระที่มีชื่อเสียงและเป็นพระอาจารย์ที่คอยเพียรวิชา เช่น พระอักขระคาถาขอม ปฐมบท สระพยัญชนะ ยันตรศาสตร์ในการขีดลากเส้นสายลายยันต์ เป็นขั้นปฐมก่อนแล้วจึงเรียนวิชาขั้นสูงต่อยอดอันได้แก่ การลบผงผสมว่านวิเศษ การลงถมกลบองค์ยันต์ การสักเสกเดินเข็มแทงหมึก การปลุกเสกเพิ่มอิทธิคุณวิเศษให้แก่วัตถุมงคลแบบต่างๆ ควบคู่กับการฝึกฝนพระกรรมฐานอันเป็นคุณในการส่งเสริมให้สรรพวิชาการในตำรับตำราโบราณมีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ได้ตามที่ตั้งอธิษฐานจิตบริกรรมภาวนาในทางวิกุพพนาฤทธิ์ทั้งจำกัดและทั้งไม่จำกัด ยังจะส่งผลให้พระพุทธคุณมีทั้งอิทธิฤทธิ์และบารมีธรรมแก่วัตถุนั้นๆ โดยเรียนรู้จนเข้าใจถึงแก่นแท้สรรพวิชา
    ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๑๗ – ๒๕๑๘ ได้ศึกษาเล่าเรียนการสัก เสก เลข ยันต์ กับพระอาจารย์พ่อจุ่ย วัดทุ่งเบญจา สุดยอดพระเกจิคณาจารย์ในสมัยนั้นซึ่งเป็นสหธรรมิกกับเกจิหลายๆ ท่าน เช่น หลวงพ่อเป๋า อดีตเจ้าอาวาสวัดทุ่งเบญจา หลวงพ่อจิ่ม วัดไผ่ล้อม หลวงพ่อย้อย วัดคลองขุด หลวงพ่อเปี๊ยก วัดวังเวียน และหลวงพ่อกล้วย วัดหมูดุด เป็นต้น และยังถ่ายทอดวิธีการจัดสร้างพระเครื่องเป็นพระพิมพ์แบบต่างๆ เช่น พระพิมพ์พระสมเด็จฯ พระพิมพ์พระขุนแผน พระพิมพ์พระปิดตา เป็นต้น เครื่องรางของขลัง การเรียกสูตรลงพระอักขระคาถาแผ่นโลหะสร้างเป็น ตะกรุดโทน ตะกรุดมหารูด ตะกรุดมหาปราบ ตะกรุดเมตตา เป็นต้น วิชาสีผึ้งเมตตามหาเสน่ห์ หุงด้วยเดโชธาตุ ในครั้งนั้น ท่านพ่อโสต สิริธมฺโม ได้ช่วยเหลือหลวงพ่อจุ่ย บดตำโขลกผสมเนื้อหามวลสารส่วนผสมต่างๆ แบบโบราณที่นิยมใช้ กล้วยสุก น้ำผึ้ง น้ำอ้อย มาเป็นตัวประสานผงวิเศษ ว่านมงคลตามแบบโบราณ กดปั้มเป็นพระพิมพ์แบบต่างๆ เมื่อเสร็จแล้วได้นำไปตากแดดรับรังสีสุริยันจำแลง และได้มอบหมายให้ลูกศิษย์คนหนึ่งคอยเฝ้ามิให้ นก หนู หมู หมา มาลักขโมยกัดกินพระพิมพ์ ปรากฏมีสุนัขเกเรเจ้าถิ่นมาแอบกินพระพิมพ์ที่ตากไว้เสียหลายองค์ ลูกศิษย์คนนั้นกลัวว่าเมื่อหลวงพ่อจุ่ยทราบเรื่องจะตำหนิติเตียนในความไม่รอบคอบจึงเกิดการบันดาลโทสะเป็นอย่างยิ่งจึงคว้าเอาปืนแก๊ปยาวมาไล่ยิงสุนัขเกเรตัวนั้น แต่เหนี่ยวไกปืนอย่างไรก็ยิงไม่ออกเป็นเรื่องที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกันมากในสมัยนั้น

    ในช่วงแรกท่านพ่อโสตนั้นได้ช่วยพระอาจารย์จุ่ยสักยันต์ให้ลูกศิษย์ก็สักยันต์อักขระบ้างและช่วยท่านครอบครูบ้าง และการลงมนต์พระคาถาบรรจุในเลขยันต์นั้นพระอาจารย์จุ่ยก็ได้ถ่ายทอดให้กับท่านพ่อโสตจนหมดสิ้น ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๑๘ หลวงพ่อจุ่ย ได้ถึงกาลมรณภาพลง ก่อนจะมรณภาพท่านได้สั่งเสียให้มอบตำรับตำราโบราณในศาสตร์พุทธาคมให้แก่ท่านพ่อโสตทั้งหมดทั้งสิ้น ซึ่งต่อมานั้น ท่านพ่อโสต สิริธมฺโม ได้สืบทอดต่อช่วงในการสัก เสก เลข ยันต์ ให้แก่บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายซึ่งก็นับราวสองพันกว่าคน เคยมีครั้งหนึ่งมีลูกศิษย์อยากลองของประมาณว่า “หลวงพ่อท่านยังหนุ่มนักไม่รู้จะเหนียวจริงหรือเปล่า” แต่ครั้งเมื่อท่านลงหมึกเดินเข็มแล้วบรรจุพระคาถาตามแบบฉบับ หลวงพ่อคง และหลวงพ่อจุ่ย เสร็จก็หยิบดาบและหอกมาฟันและแทงต่อหน้าลูกศิษย์จำนวนมาก ปรากฏว่า มีดหรือหอกไม่ได้กินเข้าไปในเนื้อ จึงทำให้ชื่อเสียงของท่านพ่อโสตดังไปยังลูกศิษย์และบุคคลทั่วไปที่นิยมชมชอบในเรื่องคงกระพันชาตรี จนมีการแทงเข็มเดินหมึกสักเป็นรูปใบโพธิ์ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของท่านพ่อที่ทรงอิทธิคุณในทางมหาอุตม์ แคล้วคลาด และคงกระพันชาตรีที่คงหนัง คงเนื้อ คงกระดูก คงโลหิต มาแต่สมัยที่ยังบรรพชาเป็นสามเณร ได้รับฉายานามจากบรรดาลูกศิษย์ที่ได้รับการประสิทธิ์ประสาทว่า “หลวงพ่อเณรโพธิ์ดำ” หรือ “พระอาจารย์โพธิ์ดำ” ครั้งเมื่อท่านมีลูกศิษย์ลูกหามากก็มีลูกศิษย์จำนวนหนึ่งที่สนิทสนมไปมาหาสู่ท่านมารบเร้าท่านให้ท่านทำวัตถุมงคลเพื่อติดตัวไว้ใช้ โดยจิตใจท่านพ่อเป็นผู้ดีงามและเมตตาท่านจึงสงเคราะห์แก่การอันสมควร โดยรวบรวมว่าน ๑๐๘ อย่างที่พระอาจารย์จุ่ย วัดทุ่งเบญจาได้ปลูกและเลี้ยงไว้มาบดและกำกับพระคาถาลงไปและใช้วิธีแบบโบราณที่นิยมใช้ กล้วยสุก น้ำผึ้ง น้ำอ้อย มาเป็นตัวประสานผงวิเศษ ว่านมงคลตามแบบโบราณ ตามตำราของพระอาจารย์จุ่ย ได้พระผงพิมพ์โพธิ์ดำ-โพธิ์ขาว สำหรับแจกลูกศิษย์ลูกหาจำนวนไม่เกิน ๕๐๐ องค์
    เดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ ท่านพ่อโสต สิริธมฺโม มีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ท่านจึงกราบโยมบิดามารดาเพื่อขออุปสมบท และเป็นการอุปสมบทครั้งแรก ณ พัทธสีมา วัดทุ่งเบญจา โดยมี พระครูพิศาลธรรมคุณ วัดบูรพา ท่าใหม่ เป็นพระอุปัชฌาจารย์ พระครูรัตนคุณ วัดศรีเมือง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูเป๋า นนฺทสาโร วัดทุ่งเบญจา เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาทางธรรมว่า “สิริธมฺโม” แปลว่า ผู้มีธรรมอันเป็นสิริจำพรรษาอยู่ที่วัดทุ่งเบญจา เพื่อศึกษาเล่าเรียนใน พระนวกะภูมิ พระธรรมวินัย ตามพระพุทธบัญญัติควบคู่กับการฝึกฝนพระสมถสมาธิ พระวิปัสสนากรรมฐาน เมื่ออยู่จำพรรษาจึงมีโอกาสฝึกฝนอบรมทางธรรมปฏิบัติวัตรปฏิปทาการถือในพระธุดงควัตร ๑๓ กับพระครูเป๋า นนฺทสาโร ซึ่งเป็นพระอนุสาวนาจารย์ เป็นการปูพื้นฐานองค์ความรู้ของผู้ที่จะถือปฏิบัติในการออกเดินล่องท่องธุดงค์ไปยังสถานที่สัปปายะ ตามแบบอย่างการปฏิบัติของพระอริยสงฆ์และคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    แต่เมื่อได้อุปสมบทล่วงมาถึงเดือนมกราคม ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ทางราชการได้ส่งหนังสือให้เข้ารับการตรวจคัดเลือกเข้ารับราชการทหารในเดือนเมษายน เป็นเหตุให้ ท่านพ่อโสต สิริธมฺโม ต้องเข้ารับการตรวจคัดเลือก และผลปรากฏว่า ท่านพ่อโสตจับได้ใบแดงต้องเข้ารับราชการเป็นทหารเกณฑ์ผลัด ๔ สังกัดนาวิกโยธิน ท.ร. ๑๙ หลังการออกพรรษาที่สองแล้ว ท่านพ่อโสต สิริธมฺโม จึงต้องลาสิกขาบทออกมารับราชการเป็นทหารเกณฑ์ทำหน้าที่รับใช้ประเทศชาติ เข้ารับการฝึกเป็นเวลา ๖ เดือน และได้ถูกจัดส่งให้ไปประจำการภาคสนามอยู่ที่ชายแดนด่านคลองใหญ่และหาดเล็ก จังหวัดตราด ในยุคสมัยนั้นเป็นยุคที่เขมรแดงแตกพ่ายมีความวุ่นวายและลักลอบเข้าเมืองแบบผิดกฎหมาย อีกทั้งยังมีการปล้นสะดมทรัพย์สินมีค่าของชาวไทยบริเวณตะเข็บชายแดน มีหลายครั้งที่ท่านต้องตะเวรไปยังแนวตะเข็บชายแดนแล้วพบผู้ก่อการร้ายต้องยิงต่อสู้หลายครั้งหลายคราวท่านก็ได้ใช้สรรพวิชาที่ร่ำเรียนมาสมัยในครั้งก่อนเพื่อป้องกันและกำบังกายของตนให้คงกระพันชาตรีสำหรับสู้รบกับผู้ก่อการร้าย มีหลายครั้งที่ท่านโดนกระสุนและกับระเบิด อาจจะโดยการสั่งสมบารมีในอดีตชาติกับการประกอบคุณงามความดีเพื่อบ้านเมืองทำให้แคล้วคลาดจากคมอาวุธนานาชนิดมาเป็นท่านพ่อโสต สิริธมโมในปัจจุบัน โดยรับราชการเป็นทหารผ่านศึกรุ่น ๔ ใน ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ในระหว่างที่รับราชการทหารที่จังหวัดตราด มารดาของ ท่านพ่อโสตได้ถึงแก่กรรมลง ท่านพ่อโสต สิริธมฺโม ก็ได้ปฏิบัติกิจเพื่อตอบแทนคุณมารดาตามหน้าที่ของบุตรอันเป็นที่รัก หลังจากนั้นได้ไม่นานก็ปลดประจำการในปลายปี พ.ศ. ๒๕๒๑

    ชีวิตทางโลกหลังจากปลดประจำการแล้ว ท่านพ่อโสต สิริธมฺโม ได้ดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของผู้อยู่ครองเรือน ยึดการประกอบอาชีพสุจริตของชาวสวน-ไร่ ด้วยพรหมโลกลิขิตเก่าแต่ชาติปางก่อนจึงได้พบและสมรสกับนางมะปราง เฉื่อยวิบูลย์ จนมีบุตรและบุตรี รวม ๓ คน ดังนี้
    ๑. นายประเสริฐ เฉื่อยวิบูลย์
    ๒. นายพลสิทธิ์ เฉื่อยวิบูลย์ (เสียชีวิต)
    ๓. นางสาวโสภา เฉื่อยวิบูลย์
    ตลอดเวลานั้นเหล่าบรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่เคยร่ำเรียนวิชา สักยันต์ และมีประสบการณ์จากวัตถุมงคลต่างๆ จากท่านสมัยเป็นเณร และเป็นพระภิกษุสงฆ์ ก็มีแวะเวียนไปมาหาสู่ท่านอยู่เป็นประจำจนมีคนมากมายเข้าหาท่านอยู่ไม่ขาดสาย ที่เดือดร้อนก็มาขอให้ท่านช่วยบ้าง ท่านก็เมตตาช่วยเหลือกันไปตามศรัทธา ครั้นมากเข้าก็มักจะนำความเดือดร้อนมาสู่ท่านและครอบครัว จนทำให้หลายๆ ครั้งเกิดเรื่องต่างๆ นานาจนหาความสุขไม่ได้ ด้วยการที่มีลูกศิษย์จำนวนมากเมื่อลูกศิษย์กระทำผิดก็อ้างชื่อท่านพ่อโสตเป็นหลักทำให้ท่านต้องถูกเรียกจากชาวบ้านและตำรวจว่าเป็น “เสือโสต” มีหลายครั้งหลายคราที่ท่านมักถูกดักทำร้ายด้วยการโดยดักลอบยิงด้วยอาวุธสงครามชนิดต่างๆ แม้กระทั่งตำรวจในท้องที่ก็ยังเป็นที่โจทก์ขานถึงความคงกระพันและแคล้วคลาดของท่านพ่อโสต ด้วยเป็นอำนาจกรรมเก่าบันดาลให้เห็นถึงสุข - ทุกข์ เรื่องราวต่างๆ นานาที่ต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงทำให้ได้รับรู้และเห็นยมทูตทั้ง ๔ ตน อันได้แก่ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย อันได้ลิ้มรสรับรู้ความทุกข์ยากลำบากของการเป็นผู้อยู่ครองเรือนแม้กระทั่งยามหลับนอนยังต้องขุ่นคิดจับจิตขับความกังวลทั้งหลายออกไปจากจิตใจ เมื่อมองเห็นด้วยการนี้กอรปกับบุตรและบุตรีเจริญแก่วัยอันสมควรแล้วจึงคิดควรหันหน้าเพื่อปฏิบัติทางธรรมละเว้นทางโลกเพื่อหาทางหลุดพ้น
    การอุปสมบท ในครั้งที่สอง เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ ท่านพ่อโสต สิริธมฺโม มีอายุ ๓๘ ปี ณ พัทธสีมา วัดทุ่งตาอิน ตำบลพลวง อำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี โดยมี พระครูประดิษฐ์สาธนการ หรือ หลวงพ่อจำนงค์ ชยฺยวํโส วัดทุ่งตาอิน เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์สมแดง จิรวํโส วัดจันเขม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการฉาบ ฉนฺทธมฺโม วัดคลองพลู เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาทางธรรมว่า “สิริธมฺโม” แปลว่า ผู้มีธรรมอันเป็นสิริ
    หลังอุปสมบท ได้อยู่จำพรรษาที่สำนักสงฆ์คลองชีพ บ้านจันเขม อยู่ฝึกฝนอบรมในพระวิปัสสนากรรมฐานนาน ๓ เดือน ด้วยการที่ท่านปฏิบัติมาโดยตลอด ณ แม้เป็นเพศฆราวาสจึงทำให้ท่านสามารถเข้าถึงกรรมฐานได้ดังใจนึก แต่ด้วยความวุ่นวายของจิตใจและสภาพแวดล้อมอันได้แก่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่เวียนมาหาสู่ ประกอบกับการตั้งจิตที่มุ่งมั่นเพื่อหาคำตอบของสมาธิจิตอันมั่นคงตามสภาวะธรรมอันเป็นปกติในพระวิปัสสนาปฏิบัติพระกรรมฐาน จึงได้กราบนมัสการขออนุญาตเจ้าสำนักสงฆ์ออกธุดงค์แสวงหาสถานที่สัปปายะอันเงียบสงบ ในวันนั้นจึงได้ออกเดินเท้าไปข้างหน้าแบบยังไม่มีจุดหมายปลายทาง ได้มุ่งหน้าไปยังเบื้องหน้าอาศัยตามสวนผลไม้ ป่าละเมาะ เดินลัดเลาะป่าอยู่หลายวัน ต่อมาจึงได้มาอยู่ที่ตีนเขาแห่งหนึ่งก็บังเกิดฝนตกลงมาอย่างหนักสามวันสามคืน พอรุ่งเช้าในวันที่สี่นั้นก็พบว่าสถานที่แห่งนี้มีความร่มรื่นเงียบสงบมีความเหมาะสมในการบำเพ็ญความเพียรทางจิตเป็นอย่างยิ่ง จึงได้อยู่พักอาศัยที่ตีนเขาแห่งนี้ประมาณ ๕ - ๖ วัน จึงได้ขึ้นไปสำรวจบนยอดเขา ท่านพ่อโสต สิริธมฺโม เห็นว่ามีความเหมาะสมในการเข้าอธิษฐานอยู่จำพรรษาในปีนี้
    ณ บนยอดเขา ยังได้พบกับ โยมชาวบ้าน ๒ คน ที่มาเที่ยวหาเก็บของป่าตัดใบตองไปขาย ได้สอบถามว่าภูเขานี้มีชื่อเรียกกันว่าอย่างไร ซึ่งโยมชาวบ้าน ตอบว่าคนแถวนี้เรียกกันว่า เขาหินโค่ง ท่านพ่อโสต สิริธมฺโม จึงได้ขอบิณฑบาตใบตองจำนวนหนึ่งเพื่อนำมาใช้เป็นที่พำนักชั่วคราวในการฝึกฝนปฏิบัติพระกรรมฐาน โดยพาดใบตองกับหินสองก้อนและหลบเข้าไปนั่งกรรมฐานปรากฏว่ามีความสุขสงบเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ถอนกลดจากที่ตีนเขาขึ้นมาอยู่จำพรรษาเสียบนยอดเขา นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสำนักสงฆ์ในเวลาต่อมาด้วยมีประชาชนที่มีจิตศรัทธาได้มาร่วมทำบุญสร้างอาคารศาลาเล็กๆ พอได้พักพิงอาศัยให้เป็นที่สบายขึ้น ง่ายต่อการปฏิบัติธรรมได้สะดวกสบายขึ้น ต่อมาเมื่อชาวบ้านทราบข่าวว่ามีพระธุดงค์ปฏิบัติธรรมที่บนเขา ต่างก็หลั่งไหลมาร่วมทำบุญกันมากยิ่งขึ้น และได้มีพระภิกษุมาอยู่ร่วมจำพรรษาเพิ่มอีก ๒ รูป จากนั้นไม่นานญาติโยมทั้งหลายได้เห็นกิจปฏิบัติของท่านพ่อก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาได้นิมนต์ให้ท่านพำนักที่นี้ตลอดก็จัดตั้งเป็นสำนักสงฆ์สันติธรรมคีรี (วัดเขาหินโค่ง) และก็ได้มาสร้างศาลาขึ้นให้ใหม่ในปีพ.ศ. ๒๕๓๗ ใช้เวลาสร้าง ๑ ปี เต็มๆ ในการสร้างศาลาในครั้งนี้ก็ได้จัดสร้างพระผงสิริฤ (รึ) โดยใช้ผงวิเศษในถ้ำม่วง ถ้ำผาหลวง จ.พิษณุโลก ในการธุดงค์เพื่อจาริกแสวงบุญในพรรษาแรก เพื่อมาแจกญาติโยมที่มาร่วมทำบุญและก็พัฒนามาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นสร้างกุฏิ ห้องน้ำ ศาลาต่างๆ
    ในระหว่างนั้นท่านได้เดินทางธุดงค์ไปยังปราสาทต่างๆ ในภาคอีสาน เช่น ปราสาทหินพิมาย ปราสาทพนมรุ้ง ฯลฯ จนมีอยู่ครั้งหนึ่งท่านได้เข้าสมาธิจิตเป็นตั้งมั่นนิมิตเห็นชายผู้หนึ่งเข้ามากราบเพื่อขอสร้างพระโดยชี้ไปยังมวลสารอันได้แก่อิญเก่าๆ ที่แตกหักตามปราสาท หลังจากพอท่านกลับมายังสำนักสงฆ์สันติธรรมคีรี ท่านก็ได้ดำเนินการสร้าง พระผงขุนแผนชมตลาด ในปี พ.ศ. ๒๕๓๘ ก็เดินธุดงค์ไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อปฏิบัติกรรมฐานเพื่อให้มีสมาธิจิตที่แน่วแน่ เจอทั้งเรื่อง ภูตผีปิศาจ สัตว์ร้าย เสือโคร่ง งูเจ้าที่ และสัตตานัง ครั้งหนึ่งท่านพ่อโสตเคยเล่าว่า เดินธุดงค์ไปยังเขาฉวาก ซึ่งเป็นเขาที่มีป่ารกชัดในละแวกนั้นเมื่อเห็นทำเลอันเหมาะสมก็ได้ปักกลดลงเพื่อปฏิบัติวัตร พอตกกลางตึกอันเป็นคืนเดือนหงาย ก็ได้ยินเสียงดัง ต็อกแต๊กๆ พร้อมเสียง แปล็บๆ เมื่อท่านพ่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่ามีงูเจ้าที่ ขนาดลำตัวใหญ่เท่าจานข้าว ความยาวไม่ต่ำกว่าสิบเมตร เลื้อยมาจ้องหน้าท่านพ่อที่หน้ากลด เมื่อท่านพ่อเห็นท่านก็ได้แต่นิ่งและตั้งสติแผ่เมตตาให้กับงูเจ้าที่ตัวนั้น เวลาผ่านไปเนิ่นนานเสียงนั้นกลับดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ท่านพ่อถอดใจที่จะแผ่เมตตาให้กับงูตัวนั้นและหันมาผู้ด้วยสมาธิจิตว่า “ถ้าฉันเคยกินเจ้า เจ้าก็กินฉันเถอะ ถ้าเราไม่มีอะไรต่อกันก็ขอให้ต่างคนต่างอยู่เถอะ” อาจด้วยบารมีท่านพ่อหรือกรรมเก่าอาจะลิขิตงูเจ้าที่ตัวนั้นก็เลื้อยผ่านหน้ากลดและหายเข้าไปในป่า โดยท่านพ่อโสตก็ออกเดินธุดงค์ไปเรื่อยๆทุกๆปีที่ท่านมีโอกาส ไม่ว่าจะเป็น จังหวัดเชียงราย จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดอุดร จังหวัดอุบลราชธานี เป็นต้น ร่วมอยู่นับ ๑๐ ปี
    หลังจากท่านธุดงค์มาร่วม ๑๐ ปีท่านพ่อโสตก็ติดกิจนิมนต์จากบรรดาลูกศิษย์และภาระกิจที่ต้องดูแลและสร้างถาวรสถานจนมีอยู่ครั้งหนึ่งมีกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งต้องการจะได้ที่บริเวณทั้งหมดของสำนักสงฆ์สันติธรรมคีรี (เขาหินโค่ง) แห่งนี้เนื่องด้วยมีชัยภูมิที่ตั้งอยู่บนเขาและสภาพแวดล้อมอันสวยงามซึ่งมีจำนวนพื้นที่ร่วมสองร้อยไร่ อีกทั้งยังไม่มีโฉนดและใบถือสิทธิ์ (สมัยก่อน) จึงเป็นที่ต้องการของกลุ่มนายทุน กลุ่มนายทุนจึงให้เล่ห์กลปลุกระดมชาวบ้านโดยการปล่อยข่าวในแง่ลบ และได้ร่วมกลุ่มชาวบ้านเพื่อขับไล่พระภิกษุสงฆ์ออกจากวัดทั้งหมด ในเบื้องต้นท่านพ่อโสตก็ได้รับฟังและชี้แจงเพื่อไม่ให้เรื่องต่างๆ ลุกลามไปมากกว่านี้ จนทำให้นายทุนนั้นต้องล่าถอยออกมา ด้วยความที่กิเลสของมนุษย์ซึ่งจบลงในห้วงแห่งอบายจึงดำเนินการจัดฉากและสร้างความเสื่อมเสียให้กับตัวท่านพ่อโสตด้วยวิธีต่างๆนานา แม้กระทั่งนำสีกามากล่าวหาโดยไม่มีหลักฐานถึงในสำนักสงฆ์ แต่ด้วยการที่ท่านพ่อโสตได้สมาธิจิตที่นิ่งดังน้ำในภาชนะแก้วใส ท่านก็นิ่งเฉยพร้อมทั้งกล่าวในที่ประชุมว่า “ถ้าฉันทำไม่ดีจริงอย่างที่พวกท่านว่าก็ถือเป็นบุญของพวกท่านและพระศาสนา แต่ถ้าฉันทำดีจริงก็ถือว่าพวกท่านนั้นกล่าวหาฉันและคอยทำลายพระศาสนา” โดยหลังจากเหตุการณ์นั้นท่านก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลยในกรณีดังกล่าว แต่ด้วยเหตุนี้ก็ทำให้ท่านไม่สามารถบิณฑบาตบริเวณนั้นได้เพราะมีแต่คนดูแคลน แม้บิณฑบาตก็ไม่สามารถฉันอาหารได้เพราะมีแต่ของไม่ดี ดังนั้นจึงรวบรวมเงินซื้อรถเพื่อไปบิณฑบาตที่ตัวอำเภอแก่งหางแมว ด้วยกาลเวลาได้ผ่านบทพิสูจน์เรื่องการปฏิบัติและจริยวัตรอันเป็นที่ภิกษุสงฆ์พึงปฏิบัติก็ออกมาอย่างชัดเจนผลกรรมดีแม้จะช้าแต่สว่างชัดเจนยิ่งนัก กลุ่มนายทุนที่กล่าวหาท่านพ่อโสตต่างก็ล้มหายตายจาก บ้างก็บ้านแตกสาแหรกขาด บ้างก็ติดคุกติดตาราง ก็หาความเจริญมิได้แม้แต่คนเดียว แต่ท่านก็มิได้สมทับแต่คอยอโหสิกรรมอยู่เป็นนิต แม้กระทั่งไปประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลท่านก็ไปร่วมเป็นพระสงฆ์ในพิธี หลังจากชาวบ้านได้รับรู้ข้อเท็จจริงแล้วก็หันกลับมาเลื่อมใสและศรัทธาในตัวท่าน
    ในขณะนั้นถือว่าเป็นผู้คงแก่เรียนที่มุ่งเน้นให้น้ำหนักไปทางการศึกษาเล่าเรียนพระเวท พระคาถา พระอาคม หลักวิชาการต่างๆ จากบรรดาฆราวาสคณาจารย์ อีกหลายท่าน ดังนี้
    ศิษย์ฆราวาสของหลวงพ่อผุด วัดวังเวียน ธรรมทายาทศาสตร์สายวิชาพระปิดตาหลวงพ่อผุด วัดวังเวียน เมืองท่าใหม่ ที่ขึ้นชื่อลือนามร่วมยุคสมัยกับ พระปิดตาห้าเสือเมืองชลบุรี พระปิดตาหลวงพ่อจีน วัดท่าลาด เมืองฉะเชิงเทรา ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสำนักใหญ่เมืองจันทบุรีที่คงเอกลักษณ์ในการจัดสร้างพระพิมพ์พระปิดตา เนื้อผงพระพุทธคุณคลุกรัก ตะกรุดโทนกันปืน อานุภาพมหากันรอบตัว
    อาจารย์เนือง ท่าใหม่ เชี่ยวชาญชำนาญการในทางเจตภูตวิญญาณ ขับไล่ภูตผีปีศาจ และรักษาผู้คนที่ถูกกระทำย่ำยีบีฑาจากเดรัจฉานวิชา ศาสตร์มืด มนต์ดำ ไสยต่ำ
    อาจารย์พัด วัดทุ่งเบญจา เชี่ยวชาญชำนาญการในสายวิชาชุมเสือ หรือสายเหนียวที่เน้นไปในเรื่อง คงกระพันชาตรี ยิงไม่ออกฟันไม่เข้า มหาอำนาจตบะเดชาชัย ในสายเมตตา วิชาด้านเสน่ห์มหานิยมทางอิตถีเพศ ด้วยเหตุที่อาจารย์พัด เคยเป็นเสือเก่ามาก่อนอยู่ชุมเสือเดียวกันกับเสือเท้ว เสือฝ้าย เสือใบ โดยบรรดาชุมเสือเหล่านี้เป็นที่กล่าวข่านในภาคตะวันออกมานับสิบปีถึงความน่าเกรงขาม
    อาจารย์ด๋วน บ้านเขาวงกต เชี่ยวชาญชำนาญการในกำหนดจิตติดต่อนายผี สามารถเรียกผีได้ ขับไล่ผีได้ ใช้งานผีได้ และยังเชี่ยวชาญในการต่อกระดูก ผูกกระดูก
    นอกจากนี้ท่านยังศึกษาตำราที่เกี่ยวกับพระเวทย์ ยาสมุนไพรแผนโบราณ ดูดวง ฤกษ์ยาม จนเข้าใจท่องแท้จนกระทั้งมีลูกศิษย์นำวิชาความรู้ไปประกอบธุรกิจจำนวนมากยกตัวอย่าง เช่น หมอกิ่งแก้ว พลับพลานารายณ์ ปัจจุบันมีชื่อเสียงมากในจังหวัดจันทบุรีด้านสมุนไพรแผนโบราณซึ่งก็ได้นำวิชาความรู้จากท่านพ่อโสตไปใช้เพื่อประกอบสัมมาอาชีพ
    ปัจุจบัน ปี ๒๕๕๘ ท่านพ่อโสตมีอายุครบ ๖๐ ปี ๒๒ พรรษากิตติคุณบารมีธรรมของท่านพ่อโสตนอกจากจะมีเมตตาต่อญาติโยมแล้วท่านยังเป็น พระนักพัฒนา นักเผยแผ่อีกด้วย โดยได้พัฒนาสำนักสงฆ์สันติธรรมคีรี จนมีอาคารเสนาสนะต่างๆ มาถึงทุกวันนี้ สำหรับกิจวัตรที่ญาติโยมไปขอความเมตตาเป็นประจำ คือ การเจิมรถ ดูดวง สะเดาะเคราะห์ และรักษาโรคต่างๆ ด้วยยาสมุนไพร และอีกมากมาย ทำให้ทุกวันนี้มีศิษยานุศิษย์ให้ความเคารพนับถือไม่ว่าจะเป็นชาว ต.คลองพลู หรือตำบลใกล้เคียงเองก็ดี แถบย่านพระโขนง อ่อนนุช ประเวศน์ ลาดกระบัง หัวตะเข้ คลองหลวงแพ่ง เป็นท้องถิ่นย่านของผู้ประกอบกิจการในด้านโรงงานเครื่องจักรกลอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีอัตราความเสี่ยงทางด้านความปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง จึงเป็นเรื่องปกติที่ต้องนิยมเครื่องรางของขลัง เครื่องรางของศักดิ์สิทธิ์ที่ดีเด่นทางด้านแคล้วคลาด อยู่ยงคงกระพันชาตรี แบบคงหนัง คงเนื้อ คงกระดูก คงโลหิต หรือนิยมเรียกกันว่า หนังดีตีไม่แตก กระดูกไม่หัก แมลงวันไม่ได้กินเลือด
    ท่านพ่อโสต สิริธมฺโม ถือเป็นพระเกจิคณาจารย์แบบช้างเผือกมักเกิดในป่าที่ผู้คนต้องเที่ยวเสาะแสวงหาแบบปากต่อปาก แบบมีประสบการณ์ดีจึงบอกต่อกัน มิได้มีการสื่อสารประชาสัมพันธ์ทางสื่อต่างๆ กันแต่อย่างไร บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายส่วนใหญ่อยู่กระจัดกระจายไปทั่ว ๔ จังหวัดชายฝั่งทะเลตะวันออก และในจังหวัดต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียง ในแต่ละวันนั้นมักมีลูกศิษย์เดินทางกันมากราบนมัสการกันตลอดทั้งวัน เพื่อมาขอความอนุเคราะห์ช่วยเหลือทางด้านต่างๆ จำนวนมากน้อยแตกต่างกันไป แต่เมื่อครั้งใดที่ทางสำนักสงฆ์เขาหินโค่ง มีงานบุญงานกุศล ต่างก็พากันหลั่งไหลมาประชุมรวมกันเป็นจำนวนมาก ท่านเป็นผู้ที่เปี่ยมไปด้วยเมตตา ปกครองด้วยความโอบอ้อมอารี ไม่ลำเอียงไม่แบ่งชั้นวรรณะท่านให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย และมีกฎระเบียบที่เข้มงวดพอสมควรแก่อุปนิสัยของบรรดาลูกศิษย์ลูกหาเป็นอย่างดี ทำให้หมู่พระภิกษุสามเณรดูเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นที่น่าเคารพเลื่อมใสของชาวบ้านและประชาชนที่ได้พบเห็นยิ่งนัก ท่านพ่อโสต ท่านได้ให้ความช่วยเหลือญาติโยมเสมือนท่านเป็นบิดาของบุตร เพราะใครมีปัญหาอะไร ที่ยุ่งยากใจไม่สามารถจะทำการแก้ไขให้ตัวเองได้ก็จะมาพึ่งท่านพ่อ ให้ท่านช่วย ท่านพ่อก็ยินดีรับเป็นที่ปรึกษาและช่วยแก้ไขปัญหาให้ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ลูกหาหรือชาวบ้านผู้หนึ่งผู้ใดเดือดร้อน และขัดสนเรื่องเงินทองมาขอพึ่งท่านพ่อ ท่านก็จะช่วยเท่าที่ท่านจะมีอยู่ในตัวท่าน ถ้าท่านพ่อมีก็จะไม่ขัดใครทั้งนั้น ท่านจะช่วยเมตตาให้พ้นความเดือดร้อนเกือบทุกรายความเมตตาอนุเคราะห์แก่บรรดาศิษยานุศิษย์และชาวบ้านทั่วไป ของท่านพ่อนั้นท่านก็กระทำอย่างสม่ำเสมอมิได้ขาด เป็นแบบอย่างที่ดีแก่พระภิกษุ-สามเณรผู้เป็นลูกศิษย์ลูกหาอย่างยิ่ง นอกจากนี้ท่านยังเมตตาให้ความอนุเคราะห์แก่เหล่าหมู่สัตว์ท่านก็กระทำอยู่เสมอ เพราะท่านพ่อเป็นผู้ที่มีความรักเอ็นดูสัตว์มาก ในวัดของท่านจะมีสัตว์ต่างๆหลายชนิด เช่น นกพิราบ สนัข แมว หมูป่า และนกอื่นๆอีกมากมายกระทั่ง หมู-ไก่ สารพัดสัตว์ ทุกเช้าและเย็นท่านพ่อให้พระนำอาหารที่เหลือมาให้เหล่าสัตว์ได้กิน บางตัวบาดเจ็บท่านก็จะจับมารักษาให้จนหายเมื่อสัตว์เหล่านั้นได้รับการอนุเคราะห์จากท่านพ่อแล้ว ก็จะไม่ไปไหน ท่านพ่อท่านสั่งห้ามโดยเด็ดขาดว่าไม่ให้ใครรังแกสัตว์ทุกชนิดในวัด

    พระคาถาอาราธนาพระเครื่องและวัตถุมงคลของท่านพ่อโสต สิริธมฺโม วัดสันติธรรมคีรี (วัดเขาหินโค่ง) จันทบุรี
    กล่าว นะโมฯ 3 จบ ตามด้วยพระคาถา
    สิริฤ (รึ) พุทธานุภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ
    สิริฤ (รึ) นะโมพุทธายะ พยัคโก จะ กัณหะ เนหะ นะมะพะทะ จะเตนะโมฯ ( กล่าว 3 จบ)

    ผู้เรียบเรียง กรณ์ จันทบุรี
    บรรณาธิการ พี่สรรค์ จันทบุรี, พี่เบ็น สุพรรณ
     
  2. พิภพจบนภา

    พิภพจบนภา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +6
    รูปภาพของท่านพ่อโสต สิริธมฺโม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. พิภพจบนภา

    พิภพจบนภา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +6
    เหรียญรุ่นแรก....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF8060.JPG
      DSCF8060.JPG
      ขนาดไฟล์:
      261.8 KB
      เปิดดู:
      2,877
  4. พิภพจบนภา

    พิภพจบนภา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +6
    ประสบการณ์จากทหารสามชายแดนใต้ได้แขวนรุ่นปืนแตกองค์ดำท่านพ่อโสต รอบแรกเข้าเวรเหยียบกับระเบิดไม่เป็นไรแค่รองเท้าขาดกับกางเกงขาด(แต่เพื่อนตาย) อีกหนึ่งอาทิตย์ผ่านไปเข้าเวรแทนเพื่อนโดนระเบิดอีกแต่รอบนี้เสื้อเกราะขาด สลบและพระรุ่นองค์ดำปืนแตกกระเด็นหาย หลานผมเลยโทรมาขอพระจากท่านพ่อๆเลยส่งไปให้10องค์ (ปืนแตกองค์ดำ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กันยายน 2015
  5. พิภพจบนภา

    พิภพจบนภา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +6
    "..นับ.เป็นวาสนาของชาวจันทบุรี ที่มีได้ในเรื่องที่ยากที่สุดคือ เมื่อสิ้นยอดพระเกจิอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกรไปแล้วก็ยังมีทายาทผู้สืบทอดความเกรียงไกรไว้อย่างต่อเนื่อง
    ท่านพ่อคง ก่อ วัดวังสรรพรส จันทบุรี ให้อุโฆษไกลไปทั้งประเทศ มาบัดนี้ สายวัดวังสรรพรส ยังมี ท่านพ่อโสต แห่งวัดเขาหินโค่ง สืบสานต่อ สิ้นท่านพ่อคง ท่านพ่อโสต ยังอยู่
    ให้ดูไปที่ดอยแม่ปั๋ง วันที่ลับแล้วซึ่งเงาของหลวงปู่แหวน วัดศรีเทพประดิษฐาราม นครพนม วันที่หมดแสงธรรมแห่งหลวงปู่จันทร์ วัดถ้ำกลองเพล วันที่หลวงปู่ขาวไม่มีสังขารอยู่ วัดบูรพาราม ซึ่งหลวงปู่ดูลย์นิราศนิรันดร วัดหนองป่าพง หลวงพ่อชาทอดสังขารที่ไม่มีลมหายใจแล้ว และวัดถ้ำผาปล่อง อันหลวงปู่สิมได้ทิ้งศิษย์ไปในที่ซึ่งใครก็คาดหมายไม่ได้ ฯลฯทุกแห่งไม่มีตัวครูบาอาจารย์สืบทอดความเป็นหลวงปู่ไว้ได้เท่าองค์เก่าคงเหลือแต่ข้อวัตร ที่ขึ้นอยู่กับสานุศิษย์จะดำรงไว้ได้แค่ไหน.. จันทบุรีในนามวัดวังสรรพรส สมัยที่ท่านพ่อคง สุวัณโณยังมีชีวิตอยู่อย่างจันทร์กระจ่างฟ้า มาบัดนี้ ท่านพ่อโสต แห่งวัดเขาหินโค่ง ปรากฎขึ้น ความลับที่ถูกปิดบังมานานนับสิบปี ถูกเปิดขึ้น ด้วยวัตรและปฎิปทาของท่านพ่อโสต กล้าหาญเด็ดเดี่ยว ไม่แพ้ องค์บรมครูผู้เป็นอาจารย์ นั่นคือแววที่ส่อให้เห็นว่าท่านมีพร้อมทุกอย่างที่จะสืบสานทุกสิ่งทุกอย่างต่อจากผู้เป็นอาจารย์ตามธรรมดาแล้ว ในวัดใดวัดหนึ่งซึ่งมีพระคณาจารย์ที่เก่งกล้าสามารถและมากบารมีอยู่เป็นหลักแล้ว แม้ในชั้นหลังจะมีลูกศิษย์ลูกหาที่แม้จะเก่งสักเพียงใด ก็ไม่อาจที่จะมีบารมีแซงหน้าหรือเทียบเท่าครูบาอาจารย์ยุคเก่าได้
    ตัวอย่างดังว่านี้ มีให้เห็นประจักษ์ได้ในเกือบทุกวัดทุกสำนักมาแต่โบราณตลอดมา ที่สุด แม้สำนักวัดวังสรรพส ที่มี ท่านพ่อคง เป็นประธานใหญ่ก็น่าจะอยู่ในข่ายเดียวกันทุกประการ ก็นับเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่สุด
    ลูกศิษย์จะไปเก่งกว่าครูบาอาจารย์ได้อย่างไร???
    แต่นั่น ก็เป็นเพียงมุมมองของบุคคลทั่วไปที่ยังไม่เข้าถึง"ข้อมูลเบื้องลึกสุด"เท่านั้น จริงอยู่ หากเป็นสำนักหรือวัดอื่นๆ เหล่าลูกศิษย์ที่เรียนอยู่ในสายเดียวกับบูรพาจารย์ชนิด"ไม่แตกแถว"แล้ว ย่อมไม่อาจจะเทียบเท่ากับพ่อแม่ครูอาจารย์ได้เลย
    แต่สำหรับกรณีของท่านพ่อโสต แล้ว หาใช่เช่นนั้นไปทั้งหมดไม่ เพราะผู้ที่เจาะลึกถึงแหล่งข้อมูลอย่างถึงก้นบึ้งแล้ว ก็อาจที่จะ"ทะลุปรุโปร่ง"ได้เป็นอย่างดีที่สุดว่า ท่านพ่อโสต ท่านไม่ได้เป็นลูกศิษย์แต่เพียงท่านพ่อคง วัดวังสรรรพรสเท่านั้น
    แต่ท่านพ่อโสต ท่านยังมีความสัมพันธ์และเคยร่ำเรียนสรรพวิทยาการจากพ่อแม่ครูอาจารย์ชั้นหัวกะทิแห่งยุคเก่านอกสายวัดวังสรรรพรส มาอีกมากมายมหาศาลอีกด้วย..!!!??? หากคนที่คิดเป็น ก็จะหยิบยกความพิเศษในตรงจุดนี้มาเสริมบารมีและเกียรติคุณของ ท่านพ่อโสต ให้ภิญโญยิ่งๆขึ้นไปได้อย่างไร้ที่สิ้นมิจำต้องพักสงสัย .....

    อ้างอิงจาก เฟสบุค คุณ Pornchai Saengmaung
     
  6. พิภพจบนภา

    พิภพจบนภา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +6
    จากประสบการณ์ ที่เกิดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับคุณเอกชัย วงค์มากตระกูล ได้ประสพอุบัติเหตุรถยนต์ ยางหน้าระเบิดจึงทำให้รถเกิดการพลิกคว่ำ2ตลบ แล้วไปฟาดกับเสาไฟฟ้า เมื่อวันพุธที่ึ7มกราคม พ.ศ.2558เวลาประมาณ 17.30น.ณ.ที่อ.แกลง จ.ระยอง โดยคุณเอกชัย ได้แขวนล็อกเก็ตท่านพ่อโสต วัดเขาหินโค่ง-ตะกรุด 60พรรษา ท่านพ่อโสต และเสือนั่งเขี้ยวแกะด้วยเขาควายดำ ของท่านพ่อโสต วัดเขาหินโค่ง จากเหตุการณ์ครั้งนี้ตัวคุณเอกชัยเอง มิได้รับการบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย จึงอยากจะเผยแพร่พุทธคุณท่านพ่อโสต วัดเขาหินโค่ง ให้ทุกๆท่านได้ทราบต่อไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. พิภพจบนภา

    พิภพจบนภา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +6
    วันนี้ช่วงบ่ายๆพี่เจี๊ยบ เป็นพี่ที่รู้จักกันกับผม ได้เกิดอุบัติเหตุ รถยนต์พลิกคล่ำ ถึง 3 ตลบครับสภาพรถเป็นดั่งในรูป มีอาการไห้ปลาร้าหัก กับแผลถลอกนิดหน่อยครับ พระเครื่องที่อยู่ในรถ
    มีดังในรูป มีพระเครื่องของท่านพ่อโสตได้อยู่ในรถด้วยครับ พี่เจี๊ยบได้รับจากมือท่านพ่อโสต ตอนที่ท่านพ่อไปปลุกเสกพระที่วัดวังสรรพรสครับ...

    โพสโดย นัทธี เจริญลาภ 2/12/58
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. พิภพจบนภา

    พิภพจบนภา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +6
    ผมคล้องท่านติดตัวอยู่ตลอด ไปไหนมาไหน เมื่อ2อาทิตก่อนผมประสบอุบัติรถยนต์พลิกคว่ำหลายตลบที่ช้างข้ามแถวศูนย์โตโยต้า อ.ท่าใหม่ ผมไม่ได้รัดเข็มขัดนิรภัย ผมเป็นคนนั่งข้างคนขับ ไปกับพี่2คน ตัวพี่มีกระดูกหักร้าวช้ำตามตัวเพราะหลุดออกนอกรถ แต่ตัวผมอยู่ในตัวรถ แต่ไม่เป็นอะไรเลย มีแค่รอยเศษกระจกบาด ฟกช้ำตามตัวนิดหน่อย คงเป็นเพราะบารมีหลวงพ่อช่วยไว้คับ

    โพสโดย Akekii Phongmat 3 ธันวาคม เวลา 9:31 น.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. พิภพจบนภา

    พิภพจบนภา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +6
    ท่านพ่อโสต สิริธมโม เสือซ่อนเล็บ แห่งเขาหินโค่ง.....หากจะเปรียบ “ไสยศาสตร์” เป็นเหมือนสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง เรื่องราวของสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ต้องถือได้ว่ามีความน่าสนใจและน่าศึกษาเอามากๆ เลยครับ เพราะในเรื่องของไสยศาสตร์ต้องว่ากันตั้งแต่เรื่องของความชอบ ความเชื่อ ความศรัทธาและความมุ่งมั่น ก่อนที่จะนำเข้ามาผนวกรวมกับเรื่องของคาถาอาคม/อำนาจพลังจิต และตกผลึกออกมาเป็นวิชาต่างๆ ที่มีลักษณะและคุณวิเศษเฉพาะตัวของแต่ละวิชา รวมไปถึงการถ่ายทอดวิชานั้นๆ มายังทายาทรุ่นต่อมา บางวิชาก็กระจุกอยู่แต่ในพื้นที่ บางวิชาก็กระจายออกสู่สายตาโลก

    ปัญหาจึงมีอยู่ว่าในบรรดาทายาทผู้ได้รับการสืบทอดไปนั้น ผู้ใดสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับตนและกับสังคมหมู่มากอย่างที่ทราบกันดีครับว่า ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อวิถีชีวิตดั่งเดิมของชาวบ้านอย่างรุนแรง โดยเฉพาะประเด็นความไม่ปลอดภัยในชีวิตประจำวัน ได้โปรดอย่าถามว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนี้มีสาเหตุมาจากอะไรกันแน่ เพราะผมเองก็ไม่มีความรู้แจ้งในเรื่องนี้ แต่ที่แน่นอนที่สุดคือกรณีดังกล่าวได้ก่อให้เกิดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินไปเป็นจำนวนมากครับ

    ผลการศึกษาถึงสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้หรือที่เราเรียกกันว่า “ไฟใต้” นั้น ได้ชี้ชัดว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสี่จังหวัดของภาคใต้อันได้แก่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาสและอีกสี่อำเภอของจังหวัดสงขลา คือ จะนะ นาทวี เทพาและสะบ้าย้อยนั้น มีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ คำถามมีอยู่ว่า...ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าพื้นที่ที่กล่าวมานี้เต็มไปด้วยอันตราย เหตุไฉน เหล่าทหารกล้า จึงต้องเดินทางไปในดินแดนที่อาจจะกล่าวได้ว่าเขตแดนสังหารดีๆนี่เอง ถามต่ออีกว่า...มันคุ้มค่าหรือเปล่ากับการเดินทางไปของพวกเขาเหล่านั้น?แม้จะมีค่าตอบแทนอันสูงค่า มองในแง่ของการลงทุนต้องบอกว่ามีความเสี่ยงและไม่คุ้มค่าครับ แต่หากมองในแง่ของอุดมคติจะต้องบอกว่า มันคือหน้าที่ครับ เหล่าทหารกล้าเมื่อได้รับคำสั่งให้ไปปฎิบัติหน้าที่ชายแดนใต้ ปฎิเสธไม่ได้ครับ สิ่งหนึ่งที่จะต้องแสวงหามาติดตัวไว้ นั่นก็คือของดีจากเกจิดังเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ หนึ่งคือ “ท่านพ่อโสต วัดเขาหินโค่ง จันทบุรี ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มากฝีมือและเป็นพระที่มีชื่อเสียงระดับแนวหน้าแห่งยุคสมัยนี้โดยภาพรวมแล้วท่านถูกวางให้อยู่ในสายวิชาของ ท่านพระเดชพระคุณ ท่านพ่อคง สุวัณโร แห่งวัดวังสรรพรส อดีตยอดปรมาจารย์ แห่งแดนบูรพา วัตถุมงคลของท่านพ่อโสตที่เหล่าทหารหาญหรือลูกศิษย์ลุกหาได้รับไป ล้วนมีประสบการณ์และถูกเล่ากล่าวขานกันมากในปัจจุบันนี้ ....สองคือ ท่านพ่อโสต เป็นพระนักพัฒนา ดำรงชีวิตด้วยความสมถะ ไม่ยึดติดและเป็นพระผู้มีแต่ให้ครับ จะยากดีมีจนสามารถเข้าพบท่านได้แบบที่เรียกว่ากราบถึงตักและพบได้ตลอดเวลาครับ ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ท่านสามารถปลูกศรัทธาและครองใจชาวบ้านมาตลอด ..... ตัวผู้เขียนเองแม้จะมุ่งตรงขึ้นตรงกับ ท่านพ่อคง สุวัณโณ กับวัดวังสรรพรส มาเนิ่นนานปี .... นับว่ายังพอมีวาสนาที่จะได้พบกับทายาทผู้สืบทอดสายสำนักวัดวังสรรพรส ด้วย คุณนัทธี -พี่รังสรรค์ เจริญลาภ สองท่านนี้ แหละครับ ที่ได้ให้ข้อมูล และแนะนำให้ได้รู้จักท่านมิเช่นนั้น คงใกล้เกลือกินด่างเป็นแน่แท้ สองท่านนี้ได้ให้ข้อมูลว่า เดิมที่คนนอกพื้นที่ไม่ค่อยจะรู้จัก“วัดเขาหินโค่ง เท่าใดนัก เขาว่าอาจจะเป็นเพราะทำเลที่ตั้งของวัดค่อนข้างห่างไกล ผนวกกับการเดินทางเข้าออกยังไม่สะดวกสบายเท่าไหร่ ทำให้วัดเขาหินโค่ง เป็นเหมือนวัดที่คนมักจะมองผ่าน แต่จากประสบการณ์ด้านวัตถุมงคล ที่มีคนประสบพบเจอทำให้ผู้คนจากภายนอกได้รู้จัก ท่านพ่อโสต และวัดเขาหินโค่งมากขึ้น เล่าว่าในเรื่องของคุณธรรมและความเมตตานั้นต้องถือเป็นที่สุดของท่านพ่อโสต ในส่วนของประสบการณ์เขารับรองว่าคงกระพันหนังเหนียวท่านก็โดดเด่นไม่เป็นรองใครสร้างปาฏิหาริย์ช่วยคนรอดชีวิตได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ นอกจากนี้ในประเด็นที่ชาวบ้านในระแวกวัด ทุกคนทราบกันเป็นอย่างดี คือ ท่านพ่อโสต เป็นพระผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งเขาหินโค่ง ประมาณว่า “ขอได้ไหว้รับ” พี่รังสรรค์ เจริญลาภ ได้ให้ข้อมูลต่ออีกว่า ท่านพ่อโสต ท่านสนใจเล่าเรียนวิทยาคมมา ตั้งแต่สมัยเป็นสามเณร เลยนะ ....จะว่าไปแล้วคำพูดของ พี่รังสรรค์ เจริญลาภ ทำให้ เห็นถึงความเป็นคนที่มีอุดมการณ์และใส่ใจกับการเรียนรู้เป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่ในช่วงนั้นท่านยังมีอายุไม่ถึงยี่สิบ แต่ความคิดของท่านดูจะโตเกินวัยครับ เพราะเริ่มตั้งแต่การก้าวเท้าออกจากบ้านและใช้ชีวิตด้วยตัวเองตั้งแต่เด็ก โดยมีพื้นฐานความเป็นเด็กใจบุญและชื่นชอบในศาสตร์ลึกลับ เป็นแรงสำคัญในการดำเนินชีวิต นับว่า ท่านพ่อโสต ท่านเป็นพุทธบุตรอย่างแท้จริง ...... โอกาสใช่ว่าจะมาหาทุกคนครับ ผมโชคดีที่มีโอกาสได้เข้ากราบบรรดาพระเกจิอาจารย์ในภาคตะวันออกหลายองค์ โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าการได้พูดคุยกับผู้ที่อยู่ใกล้ชิดหรือกับผู้ที่มีทัศนคติในเชิงบวกกับท่าน ค่อนข้างมีความสำคัญอย่างมากในการช่วยให้ผมสามารถทำความรู้จักกับท่านโดยไม่จำเป็นจะต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนาน เบื้องต้นเลยนอกจากความต้องการของตัวเองแล้ว ก็ต้องขอบคุณเงื่อนไขและองค์ประกอบหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะกับ พี่ๆน้องๆ ที่อยู่ในพื้นที่ เพราะเขาเหล่านั้นได้ช่วยแนะนำและให้ข้อมูล ตลอดจนนำพาผมได้ไปรู้จักท่าน.....โดยส่วนตัวแล้วผมเองก็ไม่ได้รู้จักท่านพ่อโสตมาก่อน จำได้ว่าครั้งแรกที่ผมได้พบท่านคือตอนที่ ท่านไปกดพิมพ์พระนำฤกษ์ ของวัดวังสรรพรส ถึงในวันนั้นผมจะไม่ได้พูดคุยอะไรกับท่านเลย แต่ภาพของรอยยิ้มและแววตาที่บ่งบอกถึงความเมตตาตอนที่เข้าไปกราบท่าน ยังคงแจ่มใสอยู่ในใจเสมอครับ จนในวันที่พทธาภิเษก ในขณะที่ย้อนความทรงจำอยู่นี้ ด้วยภาพของพระเกจิอาจารย์ที่เข้าร่วมงาน ภาพถ่ายของ ท่านพ่อโสต ที่นั่งยืดตัวตรงขณะทำการปลุกเสกผนวกกับความทรงจำของทุกคนที่เห็นเหมือนกันว่า ในวันนั้นท่านพ่อโสตได้นั่งเสกในท่านี้แบบนิ่งๆ ไม่มีการโอนเอนหรือไหวตัวตั้งแต่เริ่มต้นจนจบพิธี

    ดังนั้นบทสรุปของภาพถ่ายนี้จึงจบลงที่ว่า พลอยน้ำงามแห่งจันทบุรีเม็ดนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน..... สวัสดีครับ.......

    อ้างอิงจาก เฟสบุค คุณ Pornchai Saengmaung
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2015
  10. พิภพจบนภา

    พิภพจบนภา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +6
    ขอนุญาตแชร์ประสบการณ์จริงที่ไม่อิงนิยายครับ (เกี่ยวกับเหรียญเสมาท่านพ่อโสต สิริธมฺโม) ผมได้เหรียญนี้มา เป็นเหรียญเสมาเนื้อเงินลงยา ก่อนที่ผมจะอาราธนาขึ้นคอผมก็นึกถึงหลวงพ่อขอให้ลูกโชคดี ( ถูกหวย)และบ่ายวันที่ 1/12/58 เวลาประมาณ สี่โมงสี่สีบนาทีผมนั่งทำงานอยู่ถามพี่ที่ห้องหวยออกรัยบ้างเขาก็บอกไปตั่งแต่สองตัวล่างสามตัวหน้าสามตัวท้ายผมก็ยิบลอตเตอลี่ออกมาดูไม่น่าเชื่อผมถูกรางวัลเลขท้ายสามตัวหลังครับ(ผมนึกในใจท่านพ่อให้โชคครับ)ท่านศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ผมก็เลยเอาเล่าสู่กันฟัง ซึ่งตั่งแต่เกิดมาจำความได้ผมไม่เคยถูกลอตเตอลี่เลย (สาธุครับ)

    โพสโดย เฟสบุ๊ค จำรูญ อยู่รอต
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. พิภพจบนภา

    พิภพจบนภา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +6
  12. พิภพจบนภา

    พิภพจบนภา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +6
    ยังจำไม่เคยลืมเลือนแม้จนกระทั่งถึงวินาทีนี้ได้ว่า ครั้งหนึ่ง ผู้ให้ความรู้ได้เคยกล่าว”ปฐมนิเทศ”กับตัวของผู้เขียนในสมัยแรกๆที่เพิ่งได้ลองหัดลองเขียนใหม่ๆสดๆตอนหนึ่งว่า “การเขียนหนังสือเรื่องพระนั้น ใช่ว่า ใครๆก็จะสามารถเขียนได้ คนที่ไม่รู้เรื่องพระ แม้จะเขียนหนังสือเป็น ก็เขียนไม่ได้ ส่วนคนที่รู้เรื่องพระ แต่กลับเขียนหนังสือไม่เป็น ก็เขียนไม่ได้อีกนั่นแหละ การเขียนเรื่องพระให้ดีได้น่ะ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยนะ.......!!!!”จากวันนั้น จากวันที่เริ่ม”หัดเดิน”บนบรรณวิถีเมื่อ ครั้งนั้น จนถึงวันนี้ คำกล่าวของท่านผู้นั้น ก็ยังคงเป็นสัจจะความจริงอย่างที่ไม่เคยเปลี่ยนแปรไปไหน การเขียนเรื่องพระให้”ดี” ทั้ง”สาระ”และความ”มันส์”หรือความ”เร้าใจ”นั้น มันช่างยากเย็นเสียจริงๆ เพราะต้อง”ยำใหญ่ใส่สารพัด จน”กลมกล่อม”ครบรส ทั้งเปรี้ยวหวานมันเค็มทุกประการเป็นอันดี และเมื่อ”แก่พรรษา”มากยิ่งๆขึ้น ผู้เขียนก็ได้พบกับความเป็นจริงอีกประการที่ว่า เหนือกว่าความยากใดๆทั้งหมด การเขียนให้”ตรงต่อธรรม”ด้วยความ”เป็นกลาง”อย่างยิ่ง โดยที่ไม่มีการเอนเอียงไปนอกลู่นอกทางแห่ง”สัมมาทิษฐิ”และ”สัจจะความจริง” ไม่ว่าจะเป็นด้วย”อคติ” อันเกิดแต่เหตุแห่งความรัก ความชัง ความหลง ความกลัวหรือผลประโยชน์ใดๆแล้ว มันยิ่ง”ยากหนักหนา”ยิ่งกว่าสิ่งใดๆด้วยประการสิ้นเชิง “ยาก”ทั้ง”เรา” (ที่จะเอาชนะความกลัวและจิตใจตัวเอง) “ยาก”ทั้ง”เขา”(ที่จะเสนอความจริงแท้ให้เข้าถึงจิตถึงใจได้) เรียกได้ว่า การจะเขียนในเชิงนี้ได้ ก็จะต้องมี”ความกล้า”และ”ลูกล่อลูกชน”ตลอดจน”กลเม็ดเด็ดพราย”และ”วิเทโศบาย”ที่แพรวพราวครบเครื่องทั้ง”ไมนวม” และ” ไม้แข็ง”พอเรื่องทีเดียว จึงจะ”สอบผ่าน”การเขียนเรื่องพระ”ที่ยากที่สุด”ในลักษณะนี้ได้ แต่...แม้การดังว่าจะ”ยากเหนือยาก”ใดๆก็ตามที แต่ก็จำต้อง”ทำให้ได้”อยู่นั่นแล ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพื่อรักษา ”ธรรมแท้”ให้คงอยู่ เพื่อความเป็นประโยชน์เกื้อกูล และเป็นที่พึ่งพาอาศัยของคนรุ่นหลังและสรรพชีวิตทั้งหมดทั้งสิ้นได้อย่าง”ถูกต้องร่องรอย” ตามความเป็นจริงสืบไปตราบชั่วกาลนาน
    “ของแท้” ย่อม”เป็นแท้”อยู่ตลอดกาล ด้วยตัวของตัวเองฉันใด
    “ของเทียม” ก็ย่อมเป็น”ของเทียม”อยู่วันยังค่ำ ด้วยตัวของตัวเองฉันนั้น
    “ของแท้”ไม่เคยแปรเป็น”ของเทียม” เฉกเช่นเดียวกับ”น้ำตาล” ไม่เคยเปลี่ยนจากรสหวานเป็นเค็มเยี่ยงเกลืออย่างใด
    แม้”ของเทียม”ก็ไม่เคยกลับกลายเป็น”ของแท้” เช่นเดียวกันเกลือไม่เคยกลายรสเป็นหวาน ตั้งแต่ปฐมแห่งกาลมาอย่างนั้นเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ผู้ปรารถนา”เติมความหวาน”ให้แก่ชีวิตจิตใจอย่างแท้ ย่อมต้องหา”น้ำตาล”จริงๆให้เจอเท่านั้น หาก”หลงเข้าใจ”หรือ”สำคัญผิด”และหรือ”คิดเอาเอง”ว่า “เกลือ” ซึ่งมี”สีขาวๆ”เหมือนกับ”น้ำตาล” รับประทานแล้ว ก็คง”หวาน”ครือๆกัน ก็คงจะได้”รู้ดี” เมื่อได้ลองลิ้มชิมรสดูด้วยตัวเองนะครับ...!!??!!
    “ผู้ที่เห็นสิ่งที่เป็นสาระว่าเป็นสาระ เห็นสิ่งที่ไม่เป็นสาระว่าไม่เป็นสาระ มีความเห็นชอบดังนี้ ย่อมประสพแต่สิ่งที่เป็นสาระ”.....(พระพุทธพจน์) “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุซ่องเสพเมตตาจิต.... เจริญเมตตาจิต... ใส่ใจเมตตาจิต... แม้ชั่วเวลาเพียงลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น ภิกษุนี้เรากล่าวว่าอยู่ไม่เหินห่างจากฌาน ทำตามคำสอนของพระศาสดา ปฏิบัติตามโอวาท ไม่ฉันบิณฑบาตของชาวแว่นแคว้นเปล่า จะกล่าวไปไย ถึงผู้ทำเมตตาจิตให้มากเล่า ?” ... ครั้งหนึ่งตัวผู้เขียน เคยกราบเรียนถามครูบา ทางสาย หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง ไปโดยอ้อม เพื่อเป็นการถวายเกียรติแด่ครูบาอาจารย์ทุกๆฝ่ายและรักษามารยาทอย่างยิ่งว่า
    "ก็หากมีพลังจิตเท่าๆกันพอๆกัน แต่ทำไมฤทธิ์อภินิหาร หรือบุญบารมี ตลอดจนบริษัทบริวารต่างๆ จึงไม่เหมือนกันเล่าครับ..????"
    "ก็เหมือนกับคนที่จบมหาวิทยาลัยเดียวกันนั่นแหละ ทุกๆคนจะเก่งจะมีความรู้ความสามารถเท่าๆกันหรือเปล่าล่ะ..?????"ครูบาย้อนถามเอาบ้าง "เรื่องแบบนี้ อยู่ที่ความปรารถนา ความขวนขวายและการสร้างสมอบรมของแต่ละคนที่ทำมาไม่เหมือนกัน ผลหรืออานิสงส์พิเศษของแต่ละคนแต่ละท่านจึงมีไม่เหมือนกันหรอกน๊ะ..!!!!!!!!!"
    สาธุๆๆ ที่พระคุณเจ้าว่ามา ควรนักหนาและชอบด้วยเหตุผลทุกประการแล้ว..... มาบัดนี้ เริ่มจะแจ้งใจมากขึ้น เป็นที่รู้ๆกันว่า อัน ท่านพ่อโสต แห่งวัดเขาหินโค่ง จากข้อมูลเชิงลึก ประวัติตอนหนึ่ง กล่าวไว้ว่า มีผู้พยากรณ์เมื่อคราวที่ท่านแรกเกิด ไว้ว่า ต่อไปภายภาคหน้าจะได้เป็นพระเถระ จนเวลาล่วงเลยไปหลายสิบปี มาบัดนี้ คำทำนายดังกล่าวนั้นเป็นความจริงทุกประการ เหนือสิ่งอื่นใดความพิเศษจากเรื่องราวต่างๆของท่านยังมีอะไรๆให้ค้นหาอีกมากนะขอรับ ...อาบลม ห่มฟ้า??? อาศัยเพียงใบตอง ปกป้องน้ำค้าง ยังจะมีอะไรที่ตื่นตาตื่นใจเยี่ยงนี้อีกเล่า????? เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าก่อนทีท่านจะมาอยู่วัดเขาหินโค่งนั้น การปฏิบัติท่านมีปฏิปทาเช่นเดียวกันกับ “พระป่า” ที่เที่ยววิเวกไปในทุกแห่งหนนั้นเอง อาศัยป่าที่สงบจากผู้คน โดยอาศัยเฉพาะป่าเขา ท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่ทุกคนอาจจะไม่เข้าใจในปฏิปทาของท่าน จะพากันสงสัยว่า การปฏิบัติที่ตึงเปรี๊ยะ คือ การนั่งภาวนากลางแดดร้อนระอุบ้าง นั่งทั้งวันทั้งคืนโดยไม่ไหวกายเลย บ้าง อดอาหารเป็นเวลานานๆหลายๆวัน บ้าง มิหนำซ้ำท่านยังไม่ติดรสในอาหารอีกด้วย วัตรการประพฤติปฏิบัติธรรมของ ท่านพ่อโสตนี้ นับเป็นเรื่องอัศจรรย์ ปฏิปทาของท่าน แม้เราจะมองดูตามลักษณะที่ท่านบำเพ็ญภาวนาตามสถานที่ต่างๆ ดูเหมือนว่าท่านจะทรมานตนเองเกินกว่าเราจะคิดว่านั่นคือการปฏิบัติธรรม เพราะปกติท่านจะอาศัยป่า นั่งสมาธิภาวนาอยู่ตามเขา นั่งภาวนากลางแดดร้อนระอุ นั่งภาวนายามค่ำคืนที่หนาวอย่างทารุณ นั่งภาวนาท่ามกลางสายฝนที่ตกชุก อย่างนี้เป็นต้น ทำไมท่านต้องกระทำถึงขั้นนั้น จะไม่เป็นการทรมานตนเองเกินไปหรือ ?...เปล่าเลย ท่านทนได้และทำได้ โดยไม่มีอันตรายอันใด ไม่ว่าจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ไม่เกิดกับท่านเลยในเรื่องนี้ นอกจากว่า ความเจ็บที่มีขึ้นตามปกติมนุษย์พึงมีพึงเป็นเท่านั้นมันเป็นความเลี่ยงไม่ได้ แต่การกระทำเยี่ยงท่าน ท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่มีข้อวัตรปฏิบัติไม่เหมือนคนอื่นนั้น อาจเป็นบารมีเก่าของท่านที่เคยดำเนินมาก่อนก็เป็นได้ เพราะการกระทำของนักปฏิบัติธรรมนั้น เป็นการรู้เฉพาะจิตตัวเอง ไม่มีใครรู้หรือจะเดาไม่ได้เลย พระกรรมฐานทุกองค์ ท่านจะมีปฏิปทาที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งผิดแปลกไปจากชาวบ้านธรรมดาอยู่มากทีเดียว แต่ความมุ่งหมายที่สุดของการดำเนินจิตก็เป็นแหล่งเดียวกัน คือทางพ้นทุกข์พ้นภัยนั่นเอง มีใครบางคนเคยกล่าวไว้ พระสงฆ์ใด???ปฏิบัติธรรมขั้นอุกฤษฏ์ ได้อย่างสบายไม่มีอะไรติดขัด สงฆ์นั้นมีกำลังจิตแก่กล้ามั่นคง ...มีคนเคยเรียนถาม หลวงพ่อพุธ ฐานิโย แห่งวัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา กับการปฎิบัติเช่นนี้ ท่านได้เมตตา กล่าวว่า “ถ้าบุคคลใด ปฏิบัติมาได้ขั้นนี้แล้ว จะเป็นผู้มีกำลังจิตที่แก่กล้ามาก อาการเช่นนี้ ถ้าจะมีใครยกเราหย่อนลงไปในน้ำก็สามารถอยู่ได้ ไม่มีอันตรายเลยและไม่มีอะไรอีกด้วย ว่าเย็นหนาว และถ้าเขาจะจับศีรษะบิดจนรอบก็ไม่มีความรู้สึกอะไร จะนั่งอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง บุคคลเช่นนี้มีอำนาจจิตที่แก่กล้าแสดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ได้ทุกเมื่อเลยทีเดียว” เริ่มที่จะแจ้งใจแล้วหรือไม่????? และเพราะเหตุที่ ท่านพ่อโสต สิริธมโม ท่านฝึกตนอย่างอุกฤษฏ์เข้มงวดอย่างยิ่งยวด ตามจริตนิสสัย"โยคีฤาษีเก่า"ที่เคยชินที่จะทรมานตนแบบ"อัตตกิลมถานุโยค"มาแต่ชาติปางก่อน จนติดเป็นวาสนามาถึงชาติปัจจุบันอันเลิกละมิได้ (ถ้าจำไม่ผิด หลวงปู่บุดดา ถาวโร พระอรหันตเจ้าแห่งวัดกลางชูศรีเจริญสุขได้กล่าวไว้) ซึ่งเมื่อสามารถผ่านความบีบคั้นทางกายและใจอย่างยิ่งยวดมาได้ จิตย่อมจะมีอำนาจที่กล้าแข็งกว่าธรรมดา สามารถผาดแผลงสำแดงฤทธิ์ในอิทธิวัตถุมงคล ได้เป็นเอนกอนันตังได้ 108 ดังที่หลายๆท่านได้เคยประสพพบพานมานั่นแล..........รัตนมณีอันยิ่งด้วยคุณค่าอย่างวิเศษไม่ใช่เป็นแก้วแหวนเงินทองของภายนอกอย่างสามัญ แต่แท้จริงแล้ว ย่อมเป็น”พระเถระอันมีนามว่า ท่านพ่อโสต สิริธมโม แห่ง วัดเขาหินโค่ง ผู้ทรงวิสุทธิคุณอันยอดยิ่งที่สุดองค์หนึ่งแห่งยุคสมัย อีกท่านนั้น ยังเป็นพระผู้สืบทอด สายพุทธาคมจาก อดีตคณาจารย์แนวหน้าขั้นหัวกะทิ มาอีกมากมายหลายๆองค์ในสยามประเทศ ในยุค 2500 เป็นต้นมาอย่างน่าอนุโมทนาสาธุการเป็นที่สุด
    นี่ไม่ใช่เรื่อง”ล้อเล่น”หรือ”นิมิต”และหรือ”ฝันในฝัน”ขึ้นมาเรื่อยเจื้อยเอาเองนะครับ แต่มี”หลักฐาน”และ ”พยาน”ทั้งทาง”วัตถุ”และ”บุคคล”การันตีถึงความ”ถูกต้อง”และ”จริงแท้” ของเรื่องนี้ไว้อย่างหนักแน่นที่สุด อย่างที่ไม่มีทางที่”ผู้ทรงธรรมแท้”ท่านใดๆจักหาญกล้าปฏิเสธได้เป็นอย่างเด็ดขาด.. ..โปรดติดตามตอนต่อไป แบบไม่อนุญาตให้คลาดสายตาเป็นอันขาด.....สวัสดีครับ......

    อ้างอิงจาก เฟสบุค คุณ Pornchai Saengmaung
     
  13. พิภพจบนภา

    พิภพจบนภา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +6
    24/12/58 เหรียญประสบการณ์อีกเหรียญหนึ่งของท่านพ่อโสต นั่นคือเหรียญเม็ดแตงแจกกฐิน เหตุเกิด ณ.เครือสหพัฒน์ จ.ชลบุรี ตำรวจได้ล่อซื้อยาบ้าแล้วได้ยิงปะทะต่อสู้กับคนร้าย ได้พลาดลูกหลงไปโดนชาวบ้าน แต่เมื่อตรวจสอบชาวบ้านคนนั้นไม่ได้เป็นอะไรเลยครับ เพียงแค่เป็นรอยจ้ำเล็กๆบริเวณหน้าท้อง โดยที่ในตัวนั้นมีพระเป็นเหรียญเม็ดแตงของท่านพ่อโสตเพียงเหรียญเดียว

    เทียนชัย หมั่นเขตกิจ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2015
  14. พิภพจบนภา

    พิภพจบนภา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +6
    อิทธิคุณ อิทธิฤทธิ์
    ท่านพ่อโสต สิริธมฺโม วัดสันติธรรมคีรี (เขาหินโค่ง) ต.คลองพลู อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี
    ผ้ายันต์แดง " นะวิเศษ ๑๐๘ "
    โดย...ฤทธานุภาพ
    เปิดประเด็นใหม่ ให้ได้ศึกษาเรียนรู้กันในเชิงวิชาการที่เป็นไปในทางพระอภิญญาญาณปัญญาวิถีในองค์พระเกจิคณาจารย์ยุคใหม่ที่สามารถสัมผัสจับต้องได้ สามารถพิสูจน์สูตรได้ตามแบบอย่างสมการเลขคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์กลศาสตร์ คำนวณตามตัวเลข เพราะว่า ตัวเลขมักไม่โกหกโป้ปดหลอกลวงผู้คน ในครั้งนี้ได้หยิบยกนำเสนอเนื้อหาบางส่วนที่จะนำไปจัดพิมพ์เป็นหนังสือเล่มเล็กที่นิยมเรียกกันในตลาดหนังสือว่า หนังสือพ็อคเก็ตบุ๊ค และ เข้าข่ายหนังสือที่กำลังไปรับกระแสความนิยมกันในปัจจุบันนี้ที่จัดพิมพ์ขึ้นมาแบบมี วัตถุมงคลแนบแถมมาพร้อมกัน
    วัตถุมงคลที่นำมา เปิดประเด็น ให้ได้ศึกษาเรียนรู้กันในเชิงวิชาการนั้นครั้งนี้ คือ ผ้ายันต์แดง " นะวิเศษ ๑๐๘ " หรือ ผ้ายันต์ พูนทรัพย์มหาลาภ จัดสร้างขึ้นในนามของ หลวงพ่อโสต สิริธมฺโม วัดสันติธรรมคีรี (เขาหินโค่ง) บ้านชำตาเรือง ต.คลองพลู อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี พระเกจิคณาจารย์ที่กำลังมีชื่อเสียงเป็นที่ทราบกันดีของ ท่านผู้นิยมสะสมพระเครื่องฯ ในพื้นที่ภาคตะวันออก และ ในส่วนกลาง อีกทั้งกำลังเป็นที่จับตามองของ นักเล่นพระเครื่องฯ ชาวต่างชาติ เช่น
    ชาวสิงคโปร์ ชาวมาเลเซีย ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งเนื้อหาสาระที่เราหยิบยกมานำเยสอให้ได้ศึกษาเรียนรู้กันในบางส่วนที่เป็นหลักการทางด้านศาสตร์สายวิชามีประมาณกัน ดังนี้
    ในการศึกษาเรียนรู้ในทาง ศาสตร์พุทธาคม ศาสตร์พุทธเวท ได้กล่าวอ้างอิงถึง พระปัญจมหาคัมภีร์ หรือ พระคัมภีร์ ๕ เล่ม ที่่เป็นหลักวิชาการในสายพระอภิญญาญาณ ได้แก่ พระคัมภีร์ปถมัง พระคัมภีร์อิทธิเจ พระคัมภีร์ตรีนิสิงเห พระคัมภีร์พระพุทธคุณ พระคัมภีร์มหาราช นี่เป็นพระคัมภีร์ที่ อาจารย์เทพ สาริกบุตร ซึ่งถือเป็นปรมาจารย์ในยุคกึ่งพระพุทธกาลได้เป็นผู้พรรณนากล่าวถึง และ ได้รวบรวมรจนาเพื่อเผยแพร่ขยายนัยความหมายออกไปอย่างกว้างขวาง แต่ความเป็นจริงแล้วในทางศาสตร์พุทธาคม ศาสตร์พุทธาเวท ปรากฏพระคัมภีร์อีกเป็นจำนวนมากมายแตกแขนงให้ได้ศึกษาเล่าเรียนกัน
    อาจารย์เทพ สาริกบุตร ได้การร้อยกรองคัดเลือกจัดหมวดหมู่สายวิชา หรือ การชำระคัดแยกพระคัมภีร์ต่างๆ เพื่อให้เป็นการง่ายที่จะศึกษาเรียนรู้วิชาของ สำนักวัดสุทัศนเทพวราราม ได้ดำเนินการในสมัย พระมงคลราชมุนี (สนธิ์ ยติธโร) การดำเนินการนั้นเกิดขึ้นหลังจากการสิ้นพระชนม์ชีพของ องค์สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทโว) ประมาณ ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ซึ่งในครั้งนั้น สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เสงี่ยม จนฺทสิริ) ทรงเป็นกำลังสำคัญในการดำเนินกิจธุระชำระคัดแยกสายวิชาในแต่ละ พระคัมภีร์ทั้ง ๕ เล่ม ออกเป็นปฐมบรรพบท จำนวน ๖ เล่ม ดังนี้
    ๑. พระคัมภีร์ หัวใจ ๑๐๘ กล่าวถึง พระคาถาหัวใจ ๑๐๘ บท
    ๒. พระคัมภีร์ พุทธมนต์โอสถ กล่าวถึง พระคาถาบทต่างๆ
    ๓. พระคัมภีร์ ประชุมมหายันต์ กล่าวถึง องค์ยันต์ต่างๆ
    ๔. พระคัมภีร์ นะ ๑๐๘ กล่าวถึง นะ ต่างๆ ทั้ง ๑๐๘ นะ
    ๕. พระคัมภีร์ วิชาอาถรรพ์ กล่าวถึง ศาสตร์ที่เป็นวิชาเร้นลับต่างๆ
    ๖. พระคัมภีร์ วิชาคงกระพันชาตรี กล่าวถึง ศาสตร์ที่เป็นวิชาของลูกผู้ชายชาตรีที่ต้องเรียนรู้ติดตัวไว้
    พระปัญจมหาคัมภีร์ หรือ พระคัมภีร์ทั้ง ๕ เล่ม ที่มีต้นศาสตร์สายวิชามาจาก สำนักวัดสุทัศนเทพวราราม ในปัจจุบันนี้เป็นการรวบรวมแบบเป็นวิชาการของ อาจารย์เทพ สาริกบุตร ประกอบรวมเข้ากับ พระคัมภีร์ในสำนักวัดประดู่ทรงธรรม บางตำราเป็น วัดประดู่โรงธรรม เมืองกรุงเก่า พระนครศรีอยุธยา พระคัมภีร์ในสายวิชาครูเก่าลุ่มแม่น้ำป่าสัก เมืองท่าเรือ พระนครศรีอยุธยา ได้ยึดเป็นแบบแผนมาจนถึงปัจจุบันนี้ ตามเนื้อหาสาระรายละเอียดในพระปัญจมหาคัมภีร์ กล่าวโดยสังเขป ดังนี้
    พระคัมภีร์ปถมัง กล่าวถึงจุดกำเนิดของสรรพสิ่งที่มีชีวิตที่เล็กที่สุด คือ พินธุ ก่อนที่จะเกิดเป็นอักขระ นะ จัดแบ่งเป็น ๘ ปริเฉท หรือ ๘ ปริวรรค กับอีก ๑ เกร็ด บางตำรากล่าวรวมกันเป็น ๙ ปริเฉท หรือ ๙ ปริวรรค คือ นะ ทั้ง ๑๐๘ หรือ นะวิเศษ๑๐๘ ถือเป็นหัวใจสำคัญของความศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายการเรียกสูตรลงอักขระตัว นะ เสียก่อนที่จะการลงสูตรลบผง แม่บท แม่ธาตุ ตั้งแต่ นะโมพุทธายะ ลบเป็น มะอะอุ ลบเป็น องค์พระควัมปติ ตามลำดับจนถึง มหาสูญ นิพพานสูญ เป็นโลกุตตรธรรม นิพพานัง ปรมัง สุขัง คือ ความดับสิ้นซึ่งกิเลส ตัณหา ด้วยพระนิพพานเป็นความสุขอย่างยิ่งไม่มีความสุขใดจะเทียบเท่า ส่วนที่สำคัญอีกประการหนึ่งในพระคัมภีร์ปถมังที่ได้แสดงไว้ในเรื่อง มหาธาตุทั้ง ๔ คือ ปฐวีธาตุอาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ หรือเรียกกันสั้นๆ ว่า ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องในทางอิทธิฤทธิ ด้วยการแสดงอาการที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ทางธรรมดาของเหล่าสรรพสัตว์สิ่งมีชีวิต จึงต้องศึกษาอย่างละเอียดที่เจาะลึกลงไปในทางพระสมถกรรมฐาน หรือ เป็นไปในทางพระวิปัสสนาสญาณวิถี พระวิปัสสนากรรมฐาน อันเป็นแนวทางแห่งปัญญาบารมี
    พระคัมภีร์ปถมัง ได้จัดแบ่งออกเป็น ๘ ปริวรรค ๑ เกร็ด ขออนุญาตอธิบายขยายนัยความหมายโดยพิสดารไว้อย่างกว้างขวางให้ได้ศึกษาเรียนรู้ ดังนี้
    ปริวรรค ๑ บาทฐานรองรับในการศึกษาเรียนรู้ พรรณนาถึง พระคาถาเสกพินธุ ทัณฑะ เภททะ อังกุ สิระ พระคาถาสำหรับนมัสการ นะโมพุทธายะ พระคาถาสำหรับเสก และ นมัสการมะอะอุ พระคาถาสำหรับนมัสการพระควัมบดี พระคาถาสำหรับนมัสการอุณาโลม พระคาถาสำหรับนมัสการสูญ
    ปริวรรค ๒ พระคาถาสำหรับนมัสการอุทัยองการ
    ปริวรรค ๓ พระคาถาสำหรับนมัสการอุอะมะ พระคาถาสำหรับนมัสการอุนวอุณณาโลมนิสสัยองการ
    ปริวรรค ๔ พระคาถาสำหรับนมัสการอุมหาองการ
    ปริวรรค ๕ พระคาถาสำหรับนมัสการองค์ไวยองการ พระคาถาสำหรับนมัสการองค์มหาไวยองการ
    ปริวรรค ๖ พระคาถาสำหรับนมัสการอุภัยองการ พระคาถาสำหรับนมัสการมหาอุภัยองการ
    ปริวรรค ๗ พระคาถาสำหรับนมัสการองค์สมัยองการ พระคาถาสำหรับนมัสการมหาสมัยองการ
    ปริวรรค ๘ พระคาถาสำหรับนมัสการพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ พระคาถาสำหรับนมัสการอุนวอุณณาโลม พระคาถาสำหรับนมัสการนิพพานสูญ
    ปริวรรค ๙ หรือ พระคัมภีร์ปถมังเกร็ด
    หากจะให้พรรณนาอธิบายขยายความใน ปริวรรค ๙ หรือ พระคัมภีร์ปถมังเกร็ด จะเป็นเรื่องที่ผู้คนโดยทั่วไปนินทาว่าร้ายน่าเบื่อหน่ายก่ายกอดพระคัมภีร์หลับใหลกันเสีย แต่ในครั้งนี้จะแสดงถึงศาสตร์สายวิชา " นะวิเศษ ๑๐๘ " ให้ได้ศึกษาเรียนรู้แบบเด็ดยอดใบอ่อนมาให้ขบเคี้ยวบดละเอียดตามแบบอย่าง ครูบาอาจารย์เจ้าทั้งหลาย ได้สืบต่อถ่ายทอดมาถึงปัจจุบันนี้
    ผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนใน " นะวิเศษ ๑๐๘ " ต้องถือว่า เป็นผู้ที่มีความรู้ทางด้านพระอักขระขอมดีแล้ว ครูบาอาจารย์เจ้า ให้พึงกระทำการนมสิการศึกษาเรียนรู้ในเรื่อง " นะวิเศษ ๑๐๘ " ด้วยมีนัยความหมายแตกต่างออกไปจากหลักการ ขีดลากเส้นสายลายยันต์ หรือ การชักยันต์ ซึ่งมีนัยความหมายแห่งรูปลักษณ์แห่งองค์ยันต์ กำเนิดขององค์ยันต์เสียก่อนว่ามีนัยความหมายอย่างใด เป็นบาทฐานรองรับการศึกษาเรียนรู้อันที่จะเกิดประโยชน์อย่างสูง หรือ อย่างเต็มที่ องค์ประกอบหลักขององค์ยันต์ที่เป็นรูปลักษณ์ที่พบเห็นกันโดยทั่วไปตามแบบอย่างโบราณนั้น ประกอบขึ้นจากจุดเล็กๆ ที่เรียกกันว่า พินธุ ซึ่งถือว่าเป็นกำเนิดของมวลหมู่สรรพสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายทั้งปวง เช่นเดียวกัน นัยความของ " นะวิเศษ ๑๐๘ " แต่นับความหมายของเส้นสายลายยันต์ หมายถึง " สายรกพระพุทธเจ้า " ก่อร่างโครงสร้างให้เกิดเป็น กระดูก หรือ อัฏฐิ คือ อัฏฐิ ยันตัง สันตัง วิกรึง คะเร ฯ ถือเป็นแม่สูตรในการชักยันต์ จึงเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาเรียนรู้ที่แตกต่างในศาสตร์สายวิชากันอย่างเด่นชัด
    โดยความหมายพื้นฐานเบื้องต้นที่มาแห่งองค์ยันต์เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วถึงที่มาของความหมายแทนคุณของสิ่งใดในคติธรรมทางความเชื่อของ " พราหมณ์ " ที่เป็นจุดกำเนิด หรือ รากเหง้าแห่งศาสตร์วิชาของไสยศาสตร์ ไสยเวทในศาสนาฮินดูที่นับถือเทวนิยมที่เกิดขึ้นมาก่อนพระพุทธศาสนาหลายร้อยปี การประกอบพิธีกรรมต่างๆ ตามความเชื่อในลัทธินิยมของศาสนาฮินดู ซึ่งต่อมาภายหลังพิธีกรรมต่างๆ นั้นในทางพระพุทธศาสนาก็รับเข้ามาประยุกต์รวมกันที่เรียกกันว่า " ศาสนพิธี " พิธีกรรมต่างๆ นั้นยังยึดถือปฏิบัติสืบต่อมาจนแยกกันไม่ออกแล้วว่า นี่เป็นคติธรรมทางความเชื่อของศาสนาใด
    นะวิเศษ ๑๐๘ ที่ได้หยิบยกมานำเสนอในครั้งนี้ คงแสดงขั้นตอนวิธีการขีดลากเส้นสายแต่เพียง ๑๑ นะวิเศษ ที่เห็นสมควรแก่การศึกษาเรียนรู้พอเป็นบาทฐานรองรับในชั้นเชิงที่สูงกว่านี้ ด้วยเป็นการรบกวนอย่างหนักหน่วงถ่วงเวลาการเจริญพระวิปัสสนากรรมฐานของ ท่านพ่อโสต สิริธมฺโม เพราะกว่าจะประมวลรวบรวมเนื้อสาระธรรมต่างๆ ได้ดังที่ปรากฏนี้ ใช้เวลาเนิ่นนานกว่า ๖ เดือน ลำดับต่อไปจักพรรณนากล่าวถึงอานุภาพแห่ง นะวิเศษทั้ง ๑๑ นะ ดังนี้

    นะ ปถมังพินธุ ถือเป็นองค์ นะ ปฐมเริ่มแรกแห่ง นะวิเศษ ๑๐๘ ที่ต้องศึกษาเรียนรู้ จึงประดุจดัง บิดา และ มารดา ผู้ทำอุปการคุณต่อบุตร อานุภาพจึงดีเด่นในการปกป้องคุ้มครองเภทภัยอันตรายต่างๆ รวมถึงพระพุทธคุณทั้ง ๔ ประการ และ ดีเด่นแบบครอบจักรวาลดาราจักรหมื่นโลกธาตุ หากทราบถึงอุปเท่ห์เล่ห์กลอันลึกล้ำพิสดารก็สามารถนำไปใช้อย่างสัมฤทธิ์ผล

    นะ ละลวย ในพรคัมภีร์วรรคที่ ๙ จัดเป็น นะวิเศษ องค์ที่ ๙ นามแห่งองค์ นะวิเศษ ย่อมบ่งบอกอานุภาพอยู่ในนามนั้นจึงดีเด่นเป็นที่ประจักษ์ชัดในเรื่องเมตตามหานิยม เมตตามหาเสน่ห์ ในทางความรัก ความเมตตา ความกรุณา ปรารถนาดีกล่าวตามแบบอย่างโบราณกาล แม้ต้องโทษประหารยังหลุดจากโทษานุโทษนั้นแล

    นะ คงกระพันชาตรี เป็นเอกมงคลทางด้านคงกระพันชาตรี คงทนต่อศาสตราวุธทั้งหลายทั้งปวง แบบเนื้อหนังดี ต่อยตีไม่แตก แต่โบราณสมัยนั้นนิยมในการแทงเข็มเดิมหมึกสัก อานุภาพ ย่อมปรากฏชัดในยามจวนตัว ยามที่ต้องศาสตราวุธ คมหอก คมดาบ ปืนผาหน้าไม้ มาต้องกายา แบบลูกผู้ชายไทยชมชอบในเรื่องการต่อสู้


    นะ เฉลวเพ็ชร บรรจุลงในองค์ยันต์จตุโร ถือเป็นอานุภาพในแบบหวานซ่อนเปรี้ยว ภายนอกอ่อนโยน แต่ภายในแข็งแกร่งเรียบร้อยสุภาพ แต่แอบแฝงความร้อนแรง แบบร่ำรวยทรัพย์แต่มักเจ้าชู้ จึงดีทั้งทางบุ๋น และ ทางบู๊

    นะ พญาราชสีห์ เป็นเอกมงคลทางด้านมหาอำนาจ ตบะเดชาชัย และ ความคงกระพันชาตรี เสริมส่งหนุนเนื่องให้ นะ เสือโคร่ง นะพญาเสือ เพิ่มพูนทางด้านฤทธิเดชเข้มขลังทางด้านคงกระพันชาตรียิ่งขึ้นอีก ด้วยบางครั้งบางขณะ นะ แต่ละตัวก็ย่อมมีข้อจำกัดในการแสดงอานุภาพให้เป็นที่ประจักษ์ ซึ่งอาจเกิดจากฤทธิ์เดชคาถาอาคมของฝ่ายตรงข้ามที่เข้ามารุกรานย่ำยีบีฑา นะ แต่ละตัวจึงต้องมีส่วนเกี่ยวข้องเกื้อกูลอุดหนุนซึ่งกันละกัน เป็นไปตามศาสตร์โบราณของแต่ละสายสำนัก ของแต่ละสายวิชาที่เป็นคู่อริต่อกัน หรือ คู่สมพงษ์ หรือ คู่มิตรต่อกัน จึงเรื่องที่ต้องศึกษาเรียนรู้กันอย่างจริงจัง

    นะ เสือโคร่ง นามนั้นดุดันแต่แอบแฝงเมตตามหานิยมในตัวเอง เป็นเอกมงคลทางด้านมหาอำนาจบารมี เป็น นะวิเศษ ตัวบังคับที่ใช้เรียกสูตรลงอักขระคาถาลง ตะกรุดหนังเสือโดยเฉพาะ อานุภาพ เสริมส่งอำนาจบารมีให้ศัตรูกลัวเกรง เสริมสง่าราศีข่มขู่ รุกรานให้ศัตรูต้องปะหวั่นสะพึ่งกลัว ด้วยอานุภาพจากอำนาจจาก นะวิเศษ ตัวนี้

    นะ ขุนแผน ตั้งนามตาม ตัวเอกในวรรณคดีไทยเป็นเอกมงคลทางด้านเมตตามหาเสน่ห์ เมตตามหานิยม เป็นเจ้าเรือนธาตุน้ำ หนุนนำชีวิต ให้ร่มเย็นเป็นสุข ปราศจากทุกข์ภัยต่างๆ เกื้อกูลอำนวยประโยชน์ความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต อานุภาพ แต่โบราณกาลเน้นหนักจัดเต็มในทางเรื่องเจ้าชู้เพียงอย่างเดียว

    นะ ปะถะมัง องค์นี้มีนัยความหมายไปในทางพระนิพพาน อานุภาพ จึงเป็นเอกมงคลในทุกๆ ด้าน ทุกๆ ทาง ดีเด่นแบบครอบจักรวาล อาราธนาใช้เสกเป็น นะปัดตลอด ลงสูตรผสมกระแสเนื้อโลหะหล่อ พระกริ่ง พระชัยวัฒน์ อานุภาพ ทางคุณวิเศษที่เป็นทั้ง กำบังจักขุ กำบังนิทรา เป็นทั้งคงกระพันชาตรี และ ที่เป็นสุดยอดสูงสุด คือ เมตตามหานิยม

    นะ คงดาเดือด อีกหนึ่ง นะวิเศษ เป็นที่นิยมมาแต่โบราณเป็นเอกมงคลทางด้านคงกระพันชาตรี คงทนต่อศาสตราวุธทั้งหลายทั้งปวง ที่เสริมส่ง อานุภาพ แบบเป็นคู่มิตร คู่สมพงษ์ กันกับ นะ คงกระพันชาตรี ให้มีอานุภาพดีเด่นยิ่งขึ้น


    นะ พรหมสี่หน้า เป็น นะวิเศษ ที่ขีดลายเส้นสายแบบพิเศษพิสดาร โบราณคณาจารย์ นิยมลงเทียน ลงสีผึ้งมหาเสน่ห์อานุภาพ ดีเด่นเป็นเมตตามหานิยม เมตตามหาเสน่ห์ รับราชการงานเมือง งานปกครอง เจ้านายรักเมตตาเป็นอย่างยิ่ง

    นะ กระทู้เจ็ดแบก หรือ นะ กระทู้เจ็ดตะแบก นะวิเศษ ในสายวิชาพระพุทธคุณ เป็นเอกมงคลทางด้านคงกระพันชาตรีแบบทรหดอดทนยิ่ง เปรียบกับการที่ถูกทุบตีด้วยกระทู้เจ็ดท่อน หรือ เจ็ดอัน หรือ กระทู้ที่ต้องใช้บุรุษร่างกายกำยำล่ำสันเจ็ดคนแบกมาทุบตีจนกระทู้หักก็ไม่เป็นอะไร อานุภาพ อีกนัยหนึ่งเป็นเอกมงคลทางด้านความแคล้วคลาด โดนทุ่ม หรือ ขว้างด้วยกระทู้เจ็ดแบกพร้อมๆ กันก็ไม่อาจที่จะตกลงมาต้องกายได้เลย นะ กระทู้เจ็ดแบก ตัวนี้ผู้ที่นิยมเล่นทางว่านวิเศษ ๑๐๘ ใช้สำหรับลงบนหัวว่านพญาจงอาง หรือ ว่านสากเหล็ก หรือ ว่านเพชรน้อย หรือ ว่านกระทู้เจ็ดแบก เสกกำกับเคี้ยวกินเป็นคงกระพันชาตรียิ่งนัก นะ กระทู้เจ็ดแบก ตัวนี้ผู้ที่นิยมเล่นทางการสักใช้ลงบนหัวว่านสบู่เลือดตัวผู้ แล้วฝาดบีบคั้นเอาน้ำว่านนำมาผสมกับหมึกสักเป็นคงกระพันชาตรียิ่งนัก นักมวยนิยมนำหัวว่านที่ลงด้วย นะ ตัวนี้ผสมแช่ในน้ำมันมวยนวดตัวเป็นคงกระพันชาตรีและ ลื่นไหลจับไม่อยู่ต่อยตีมวยมีชัยได้เปรียบทุกครั้งไป

    การศึกษาเรียนรู้เรื่อง นะ วิเศษ ตามแบบอย่างโบราณเริ่มต้นที่ นะ ปถมัง หรือ นะ ปฐมอักขระ หรือ นะ ปฐมกัลป์ จึงมีคำกล่าวว่า " นะ ปถมังพินธุ นี้ไซร้ ผู้ใดเรียนได้ นะ มิต้องพักขอก็มาเอง " หรือ บางตำรากล่าวว่า " ผู้ใดสำเร็จ นะ ผู้นั้นมีค่านับแสนทะนานทอง " นะ ปถมังพินธุ นี้ ก็คือ นะ ปถมัง หรือ นะ ปฐมอักขระ หรือ นะ ปฐมกัลป์ นั้นเอง ในสมัยโบราณนั้นต่างนับถือสักการบูชาผู้ที่เรียนรู้ และ สำเร็จวิชา นะวิเศษ ๑๐๘ มักจะเจริญก้าวหน้ามียศฐานบรรดาศักดิ์อันสูงสุดยิ่ง แต่ในปัจจุบันผู้คนต่างทอดทิ้งไม่ให้ความสนใจในศาสตร์สายวิชาโบราณกันแล้ว ด้วยเห็นว่าเป็นเรื่องเหลวไหล และ งมงาย หรือ เป็นเรื่องเฉพาะเจาะจงของ พระภิกษุสงฆ์ หรือ ผู้นิยมทางไสยศาสตร์ ไสยเวท เท่านั้น จึงต่างพากันละทิ้งไม่ศึกษาเรียนรู้ จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากที่องค์ความรู้ที่เคยอยู่คู่พื้นแผ่นดินไทยมาแต่โบราณจะต้องสูญหายลงไปเสียสิ้น

    อ้างอิงจาก เฟสบุ๊ค สิระ อาสาวดีรส
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. พิภพจบนภา

    พิภพจบนภา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +6
    ท่านพ่อโสต สิริธมโม วัดสันติธรรมคีรี (เขาหินโค่ง) จ.จันทบุรี ตอน พระแท้แห่งเขาหินโค่ง ผู้สมควรแก่การกราบไหว้.... ในดินแดนแห่งภาคตะวันออก บูรพาทิศ เวลานี้ วันนี้ พ.ศ.นี้ ต้องยอมรับว่าดินแดนแห่งนี้สิ้น ยอดปรมาจารย์ ท่านพ่อคง สุวัณโณ วัดวังสรรรพส ไปแล้วก็เงียบเหงา แต่ต่อไปนี้ดินแดนแห่งนี้อาจคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อ ท่านพ่อโสต สิริธมโม พระสงฆ์ผู้มีศีลาจารวัตรบริสุทธิ์ผุดผ่อง ราศีเจิดจ้าสว่างไสว มองท่านคราวใดก็สบายใจ ดวงตา ไร้กิเลสพันห้า ตัณหาร้อยแปด แสดงความบริสุทธิ์ผุดผ่องในร่มผ้ากาสาวพัสตร์ จะหาพระเถระแบบนี้ในปัจจุบันนี้มิใช่ง่ายๆในสมัยที่พระพุทธเจ้าท่านยังทรงมีชีวิตอยู่เมื่อถึงเวลาที่พระองค์จะทรงสอนธรรมะแก่ผู้ใด หากพระองค์ทรงสังเกตุว่าบุคคลผู้นั้นยังเป็นผู้ที่มีความตระหนี่และความหวงแหนอยู่ในใจ พระองค์จะเริ่มสอนในเรื่องของการให้เป็นเรื่องแรก ทั้งนี้เพื่อเป็นการซักฟอกจิตใจของผู้นั้นให้มีความละเอียดสะอาดสดใสเสียก่อน จากนั้นพระองค์จึงจะแสดงธรรมที่ลึกซึ้งเป็นลำดับต่อไป ....“พวกกระผมไม่ขัดข้องที่ท่านจะมาอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้เพื่อบำเพ็ญประพฤติปฏิบัติ แต่ถ้าพระคุณเจ้าจะสร้างวัด ก็ขอให้สร้างเพื่อการพระศาสนาเถิด คำขอเพียงข้อเดียวของ “พ่อปู่เขาหินโค่ง”เทพวิญญาณเจ้าที่ ณ ป่าเขาบริเวณนี้ หลังจากที่ท่านพ่อได้ตัดสินใจรับนิมนต์ชาวบ้าน ในการพัฒนาป่าเขาแห่งนี้ให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ว่ากันว่า พ่อปู่เขาหินโค่งเป็นใหญ่แถบนี้มานาน ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยยอมอ่อนน้อมให้ใคร แต่ที่ยอมลงให้ ท่านพ่อโสต ก็เพราะเห็นในความตั้งใจจริงและยอมพ่ายต่อกระแสความเมตตาของท่านพ่อที่แผ่ออกมา เขาว่ากระแสความเมตตาของท่านพ่อเยือกเย็นนัก ชาวบ้านชำตาเรือง เชื่อว่า “เขาหินโค่ง” เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะที่นั่นชาวบ้านมักจะเห็นแสงสว่างเป็นดวงกลมล่องลอยไปมาอยู่บนยอดเขา แสงนั้นบางทีก็สว่างเรืองรอง บางทีก็สว่างจ้าเป็นสีเหลืองสดอาบทั้งเขา นอกจากนี้ในบริเวณดังกล่าวยังได้ชื่อว่า “เป็นที่แรงและมีผีดุ” มีเรื่องเล่าว่า ชาวบ้านบางคนได้ไป หาของป่า เคยมีบางคนไม่เชื่อและไปเผลอนั่งหลับ ก็จะมีคนร่างกายสูงใหญ่ตัวดำ มากระตุกขาหรือคอยแหย่ให้ตื่น เล่นเอาบางคนตกใจถึงกับเกือบเสียสติ เจ็บไข้ได้ป่วยไปก็มี ครับ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับท่านพ่อโสต หรือชาวบ้าน ได้ถูกเล่าต่อกันมา เหล่านี้คือมูลเหตุบางส่วนที่เป็นจุดกำเนิดของ วัดสันติธรรมคีรี (เขาหินโค่ง) จ.จันทบุรี วัดที่ถูกสร้างขึ้นโดยบารมีของพระภิกษุองค์หนึ่งที่เกิดมาเพื่อศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    การเรียนรู้ด้วยการใช้เหตุผลคิดใคร่ครวญ การคิดค้นแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยปัญญาและการฝึกปฏิบัติตามแนวทางอย่างจริงจังแบบชนิดเอาชีวิตฝากไว้ในพระพุทธศาสนา ทำให้พระภิกษุองค์นั้นได้ตกผลึกความรู้ในพระธรรมคำสอนโดยการอบรมสั่งสอนแก่บรรดาพุทธศาสนิกชนให้ได้ประพฤติปฏิบัติตาม หลวงพ่อโสต สิริธมฺโม วัดสันติธรรมคีรี(เขาหินโค่ง)จ.จันทบุรี ท่านเป็นพระป่าที่เปรียบเสมือนช้างเผือกที่เกิดในป่าใหญ่ ที่เน้นการปฏิบัติและการพัฒนาควบคู่กันไปครับ โดยเฉพาะกับการอนุรักษ์ป่าเขาลำเนาไพรให้คงอยู่ในสภาพเดิมตามธรรมชาติท่านถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก อย่างที่ใครบางคนเคยกล่าวไว้ ไม่มีผิด ว่า พระพุทธเจ้าท่านประสูติในป่า ตรัสรู้ในป่า ทรงแสดงปฐมเทศนาก็ในป่า และท้ายที่สุดท่านเสด็จปรินิพพานก็ในป่าเช่นกัน ....สำนักสงฆ์เล็กๆ ที่เริ่มต้นจากการใช้เพิงผาเป็นที่ปฏิบัติธรรม ค่อยๆ ปรับปรุงโดยเพิ่มยกแค่ให้สูงพอกันสัตว์เลื้อยคลาน ต่อมาก็เป็นกระต๊อบ มีฝา มีหลังคา จนในที่สุดได้พัฒนากลายมาเป็น “วัดสันติธรรมคีรี(เขาหินโค่ง)” ในปัจจุบัน ทุกวันนี้นอกเหนือไปจากการมีชื่อเสียงในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของพื้นที่แล้ว ความสงบภายใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนา ความร่มรื่นของป่าเขาน้อยใหญ่ที่ยังสมบูรณ์ และความสวยงามของภูมิทัศน์รอบๆ ที่ได้พัฒนาให้สอดคล้องกลมกลืนกับธรรมชาติ แล้ว บารมีธรรม ของท่านพ่อโสต ทำให้วัดสันติธรรมคีรี(เขาหินโค่ง)แห่งนี้ มีชื่อกระเดื่องนาม ไปทั่ว และในอนาคตจะได้รับการยกย่องให้เป็นหน้าเป็นตาของจังหวัดจันทบุรี อย่างแน่นอนคับ .. เพราะท่านเป็นพระที่มีเมตตาธรรมอันสูงส่ง มีคุณธรรมอันล้ำเลิศ คนหูหนวกก็คงเคยเห็นท่าน คนตาบอดก็คงเคยได้ยินชื่อเสียงของท่าน คงจะมีแต่คนที่ทั้งหูหนวกและตาบอดเท่านั้นที่ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงและไม่เคยเห็นท่าน ........“คนเราจะต้องมองและอยู่แบบมีความหวังให้มาก จะมาอยู่แบบรอวันตายไม่ได้ ถ้าคิดแต่จะรอวันตาย ใจของเราก็จะอ่อนแอและไม่สู้”
    ว่ากันว่ามนุษย์เราหากตั้งใจจะทำอะไรสักอย่าง ความเชื่อในสิ่งที่ทำจะเป็นพลังผลักดันให้เราทำในสิ่งที่เชื่อ
    หากเชื่อว่าความสุขคือความสงบ ก็จงทำความสงบให้เกิดกับแผ่นดินด้วยใจที่เป็นสุขกันเถอะ....สวัสดีครับ

    อ้างอิงจาก เฟสบุค คุณ Pornchai Saengmaung
     
  16. พิภพจบนภา

    พิภพจบนภา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +6
    จุดกำเนิดของขุนแผนสามพราย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 3pray1.jpg
      3pray1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      680.8 KB
      เปิดดู:
      586
  17. พิภพจบนภา

    พิภพจบนภา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +6
    จุดกำเนิดของขุนแผนสามพราย ตอนที่ 2
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 3pray2.jpg
      3pray2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      700.9 KB
      เปิดดู:
      428
  18. พิภพจบนภา

    พิภพจบนภา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +6
    จุดกำเนิดของขุนแผนสามพราย ตอนที่ 3
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 3pray3.jpg
      3pray3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      767.5 KB
      เปิดดู:
      754
  19. พิภพจบนภา

    พิภพจบนภา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +6
    จุดกำเนิดของขุนแผนสามพราย ตอนที่ 4
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 3pray4.jpg
      3pray4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      685.2 KB
      เปิดดู:
      1,284
  20. วิคิด

    วิคิด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2012
    โพสต์:
    786
    ค่าพลัง:
    +1,142
    สอบถามคับขุนแผนมีกี่เเบบคับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...