พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    บันทึกรายรับรายจ่าย ยังสำคัญอยู่ไหม ?
    -http://money.sanook.com/345659/-
    -https://moneyhub.in.th/-

    การทำ บันทึกรายรับรายจ่าย ในแต่ละวันของเรานั้น ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ดูน่าเบื่ออยู่บ้างและก็ดูไม่สำคัญเลย ในเมื่อเงินที่อยู่ในมือเรานั้นเราก็ใช้ไปอยู่เรื่อยๆกับเรื่องเดิม และเราก็ยังสามารถเห็นได้ในกระเป๋าสตางค์และสมุดบัญชีว่าเงินของเรานั้นเหลืออยู่เท่าไหร่อยู่แล้ว การทำ บันทึกรายรับรายจ่าย อาจจะเป็นการเสียเวลาไปกับสิ่งที่ดูไม่จำเป็นเช่นนี้อย่างน่าเสียดาย ทั้งที่จริงๆ แล้วบัญชีรายรับรายจ่ายถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากทีเดียวเลยล่ะ


    แต่ในความจริงแล้วๆ สิ่งที่ดูเป็นเรื่องพื้นฐานไม่จำเป็นมากนักอย่างการทำ บันทึกรายรับรายจ่าย นั้นมีประโยชน์มากกว่าที่หลายๆคนคิด ถ้าอยากรู้ว่าเพราะอะไรเราถึงต้องทำบันทึกรายรับรายจ่าย หรือบันทึกรายรับรายจ่ายนั้นมีความสำคัญอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่าหลายคนคงไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันนัก ดังนั้นเราลองมาทำความรู้จักสิ่งนี้ไปพร้อมๆกันเลยดีกว่า เหตุผลดีๆที่ทำให้เราควรทำบันทึกรายรับรายจ่าย มีดังนี้


    เหตุผลที่หนึ่ง
    การทำบันทึกรายรับรายจ่ายนั้นมีข้อดีตรงที่เราสามารถลงไปได้ว่าเราใช้เงินในส่วนไหนไปบ้าง

    อาจจะไม่ได้มีประโยชน์ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาแต่อาจจะช่วยในระยะยาว อย่างเช่น เมื่อเดือนที่แล้วว่าเราใช้เงินอะไรไปบ้าง ถ้าหากเป็นรายจ่ายที่จ่ายประจำก็อาจจะช่วยให้เราสามารถกันเงินไว้ใช้ในสิ่งที่จำเป็นได้เพียงพอในทุกเดือน และอาจจะดูว่ามีรายจ่ายใดที่ดูจะสิ้นเปลืองเกินไปได้ เมื่อรู้ก็จะช่วยให้เราตัดรายจ่ายส่วนนั้นทิ้งไปได้ ทำให้เราเหลือเงินมากขึ้น

    เรียกง่ายๆว่าเป็นหนทางไปสู่ความเป็นเศรษฐกิจที่ดีมากที่สุดเลยล่ะ แถมการทำบัญชีรายรับรายจ่ายยังทำให้เรารู้ว่าเดือนที่ผ่านมาเราใช้จ่ายเงินไปมากแค่ไหน เดือนนี้ก็จะได้ลดค่าใช้จ่ายลงจากเดิมบ้าง


    เหตุผลที่สอง
    การทำบันทึกรายรับรายจ่ายจะช่วยให้เราสามารถสร้างนิสัยการใช้เงินที่ดีได้
    อย่างที่บอกไปว่าบันทึกรายรับรายจ่ายจะช่วยให้เราเห็นประวัติการใช้เงินของเราอย่างแน่นอนย้อนหลังไปได้นานจนถึงตอนที่เราเริ่มบันทึก ซึ่งการย้อนกลับไปดูหรือรู้ว่าตนเองมีนิสัยการใช้เงินอย่างไรและจะทำให้เราสามารถวางเป้าหมายในชีวิตที่มีเรื่องเงินเข้าไปเกี่ยวข้องได้ดีขึ้น และยังสามารถสร้างแนวทางของการไปถึงเป้าหมายนั้นได้ง่ายและรัดกุมมากขึ้นอีกด้วย

    นอกจากนี้การทำบัญชีรายรับรายจ่าย ยังช่วยกระตุ้นความอยากเก็บเงินให้เราได้เป็นอย่างดี การทำบัญชีรายรับรายจ่ายจึงควรฝึกตั้งแต่เด็ก เพื่อสร้างนิสัยที่ดีในการใช้จ่ายและเก็บออมเงิน


    เหตุผลที่สาม
    การทำบันทึกรายรับรายจ่ายจะช่วยให้เราวางแผนการหาเงินได้ง่ายขึ้น
    เพราะการทำบันทึกรายรับรายจ่ายจะช่วยให้เราสามารถหาทางเอาเงินที่เราเหลือใช้มารวมกันได้มากขึ้น เมื่อเรามีเงินมากขึ้นเราก็สามารถนำเงินเหล่านั้นไปต่อยอดสร้างเงินเพิ่มออกมาได้ เช่น การซื้อพันธบัตรจากสถาบันการเงินหรือธนาคารต่างๆ การนำไปลงทุนในกองทุนต่างๆ หรือแม้กระทั่งการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ในในประเทศและนอกประเทศ เป็นต้น

    นอกจากนี้เรายังอาจจะเพิ่มรายได้ให้กับตัวเอง ด้วยการเอาเงินที่เหลือเก็บในแต่ละเดือนมาลงทุนทำงานอดิเรก เช่นเย็บปักถักร้อย สานตะกร้าหรืองานฝีมือต่างๆ ซึ่งก็มีรายได้ดีไม่น้อยเลยล่ะ แถมยังเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์อีกด้วย


    เหตุผลที่สี่
    การทำบันทึกรายรับรายจ่ายให้เราควบคุมการใช้เงินของเราได้ดีขึ้น
    และจะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเราฝึกทำบันทึกรายรับรายจ่ายไปเรื่อยๆ และสุดท้ายจะทำให้เราไปสู่อิสรภาพทางการเงินหรือการที่เราสามารถสร้างเงินได้จากเงินที่มีแม้ว่าเราจะอยู่เฉยๆก็ตาม รวมไปถึงการมีเงินเก็บมากพอที่เราจะสามารถใช้ได้ตามต้องการในบางครั้งเพื่อสร้างความสุขด้วย โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนก็สามารถไปสู่อิสระภาพทางการเงินได้ด้วยการทำบัญชีรายรับรายจ่ายเช่นกันค่ะ


    ใครอ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็อาจจะพอเข้าใจได้ว่าการทำ บันทึกรายรับรายจ่าย ถึงมีความสำคัญหรือมีข้อดีอย่างไร สรุปแล้วหลักเลยก็คือการสร้างวินัยและนิสัยการใช้เงินที่ดีแก่เรา ทำให้เราใช้เงินอย่างสมเหตุสมผลมากขึ้น สุดท้ายเราก็จะมีเงินเหลือเก็บและสามารถนำไปลงทุนต่างๆเพื่อสร้างเงินเพิ่มขึ้นมาได้นั่นเอง แม้ว่าในช่วงแรกของการทำบันทึกรายรับรายจ่ายนั้นจะมีความน่าเบื่ออยู่บ้าง หลายๆคนอาจจะลืมทำไปบ้าง แต่ถ้ามีความตั้งใจและสามารถทำบันทึกรายรับรายจ่ายไปได้เรื่อยๆ เราก็จะค่อยเห็นความสำคัญของการทำบันทึกรายรับรายจ่ายได้เอง และจะรู้สึกรักการทำบันทึกรายรับรายจ่ายในที่สุด


    อย่าลืมนะคะ หากคุณต้องการประสบความสำเร็จในหน้าที่การเงินของตัวเอง ก็ต้องหมั่นทำบัญชีรายรับรายจ่ายเป็นประจำ และควรแบ่งเงินส่วนหนึ่งออกมาจากรายได้ทุกๆ เดือน เพื่อเก็บออมไว้ใช้ในยามฉุกเฉินด้วย แต่ใช่ว่าแบ่งเงินออมออกมาแล้วจะใช้จ่ายยังไงก็ได้นะคะ เพราะเงินใช้จ่ายนั้นหากคุณใช้อย่างประหยัดและมีเงินเหลือเมื่อสิ้นเดือน คุณก็อาจะนำเงินส่วนนั้นมาสมทบไปในเงินออม ซึ่งก็จะทำให้คุณมีเงินเก็บมากขึ้น ดีกว่าใช้เงินไปกับสิ่งฟุ่มเฟือยจนหมดอีกนะคะ

    สนับสนุนเนื้อหาโดย MoneyHub
    -https://moneyhub.in.th/-
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    "ในหลวง" พระราชทาน ส.ค.ส. ปี 2559 แก่ประชาชนชาวไทย
    โดย MGR Online
    -http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9580000143153-
    31 ธันวาคม 2558 20:14 น.

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทาน ส.ค.ส. ปีพุทธศักราช 2559 แก่ประชาชนชาวไทย เนื่องในโอกาสวาระดิถีขึ้นปีใหม่ มีพรพระราชทานว่า "ให้มีกำลังกายที่แข็งแรง มีกำลังใจที่เข้มแข็งหนักแน่น และมีสติรู้เท่าทันอยู่เสมอ"

    ส.ค.ส.พระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๕๙ นี้ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ครึ่งพระองค์ ฉลองพระองค์เชิ้ตด้านใน ฉลองพระองค์คลุมสีขาว ปักภาพคุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง

    กลางภาพ ส.ค.ส.มีพรพระราชทานว่า "ให้มีกำลังกายที่แข็งแรง มีกำลังใจที่เข้มแข็งหนักแน่น และมีสติรู้เท่าทันอยู่เสมอ"

    ด้านบนของ ส.ค.ส.มีข้อความว่า "สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๙" พิมพ์ด้วยตัวอักษรสีม่วง มีตราพระมหาพิชัยมงกุฎ และผอบทอง ประดับ

    ด้านล่างของภาพ มีรูปลิง สัญลักษณ์ปีนักษัตรปีวอก สีฟ้า มีข้อความภาษาไทย พิมพ์ด้วยตัวอักษรสีเขียว ว่า "ขอจงมีความสุขความเจริญ" และข้อความภาษาอังกฤษ พิมพ์ด้วยตัวอักษรสีเหลือง ว่า "Happy New Year"

    ด้านล่างของ ส.ค.ส. มีแถบสีฟ้า มุมล่างซ้ายมีข้อความ "ก.ส.9 ปรุง 311502 ธ.ค. 2558" มุมด้านขวามีข้อความ ว่า "มหาวิทยาลัยปูทะเลย์ มิถิลา ๒๕๕๘"

    กรอบของ ส.ค.ส.พระราชทานฉบับนี้ เป็นภาพใบหน้าคนเล็กๆ เรียงกัน ด้านละ ๒ แถว รวม ๓๙๖ หน้า ทุกใบหน้ามีแต่รอยยิ้ม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ พระราชทาน ส.ค.ส. ปีใหม่ 2559
    -http://hilight.kapook.com/view/131088-

    [​IMG]


    [​IMG]

    สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ พระราชทาน ส.ค.ส. ปีใหม่ 2559 แก่ประชาชนชาวไทย โดยข้างใน มีพระฉายาลักษณ์ขณะที่พระองค์ทรงจักรยานในงาน Bike for Dad ปั่นเพื่อพ่อ

    เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2559 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร พระราชทาน ส.ค.ส. ปี พ.ศ. 2559 เนื่องในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ แก่ปวงชนชาวไทย มีทั้งหมด 3 หน้าด้วยกัน ดังนี้

    หน้าแรกเป็นตราพระนามาภิไธย ม.ว.ก. ขณะที่หน้าสองเป็นพระฉายาลักษณ์ พระองค์ขณะที่ทรงจักรยานในกิจกรรมจักรยานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 88 พรรษา 5 ธันวาคม 2558 Bike for Dad ปั่นเพื่อพ่อ

    ส่วนหน้าที่ 3 มีข้อความภาษาอังกฤษว่า Season's Greetings Best Wishes for a very Happy and Healthy New Year 2016 และลงพระนามาภิไธย พร้อมข้อความว่า From His Royal Highness the Crown Prince of Thailand

    สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ พระราชทาน ส.ค.ส. ปีใหม่ 2559
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • prince02.jpg
      prince02.jpg
      ขนาดไฟล์:
      41.7 KB
      เปิดดู:
      134
    • prince01.jpg
      prince01.jpg
      ขนาดไฟล์:
      41.7 KB
      เปิดดู:
      152
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ทรงพระเจริญ ในหลวง ทรงอวยพรปีใหม่
    https://www.youtube.com/watch?v=iKi3pjT5mTY
    -https://www.youtube.com/watch?v=iKi3pjT5mTY-



    "ในหลวง" พระราชทาน ส.ค.ส. ปี 2559 แก่ประชาชนชาวไทย
    โดย MGR Online
    -http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9580000143153-
    31 ธันวาคม 2558 20:14 น.

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทาน ส.ค.ส. ปีพุทธศักราช 2559 แก่ประชาชนชาวไทย เนื่องในโอกาสวาระดิถีขึ้นปีใหม่ มีพรพระราชทานว่า "ให้มีกำลังกายที่แข็งแรง มีกำลังใจที่เข้มแข็งหนักแน่น และมีสติรู้เท่าทันอยู่เสมอ"

    ส.ค.ส.พระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๕๙ นี้ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ครึ่งพระองค์ ฉลองพระองค์เชิ้ตด้านใน ฉลองพระองค์คลุมสีขาว ปักภาพคุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง

    กลางภาพ ส.ค.ส.มีพรพระราชทานว่า "ให้มีกำลังกายที่แข็งแรง มีกำลังใจที่เข้มแข็งหนักแน่น และมีสติรู้เท่าทันอยู่เสมอ"

    ด้านบนของ ส.ค.ส.มีข้อความว่า "สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๙" พิมพ์ด้วยตัวอักษรสีม่วง มีตราพระมหาพิชัยมงกุฎ และผอบทอง ประดับ

    ด้านล่างของภาพ มีรูปลิง สัญลักษณ์ปีนักษัตรปีวอก สีฟ้า มีข้อความภาษาไทย พิมพ์ด้วยตัวอักษรสีเขียว ว่า "ขอจงมีความสุขความเจริญ" และข้อความภาษาอังกฤษ พิมพ์ด้วยตัวอักษรสีเหลือง ว่า "Happy New Year"

    ด้านล่างของ ส.ค.ส. มีแถบสีฟ้า มุมล่างซ้ายมีข้อความ "ก.ส.9 ปรุง 311502 ธ.ค. 2558" มุมด้านขวามีข้อความ ว่า "มหาวิทยาลัยปูทะเลย์ มิถิลา ๒๕๕๘"

    กรอบของ ส.ค.ส.พระราชทานฉบับนี้ เป็นภาพใบหน้าคนเล็กๆ เรียงกัน ด้านละ ๒ แถว รวม ๓๙๖ หน้า ทุกใบหน้ามีแต่รอยยิ้ม

    ----------------------------------------

    ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
    ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ


    ไม่มีบุคคลใดในประเทศไทยที่กระทำทุกอย่างเพื่อคนไทย เพื่อแผ่นดินไทย
    เท่ากับในหลวงที่พระองค์ทรงกระทำทุกอย่างเพื่อคนไทย เพื่อแผ่นดินไทย


    ดังนั้น อย่าเนรคุณกับในหลวง
    อย่าเนรคุณต่อประเทศไทย
    อย่าเนรคุณต่อพุทธศาสนา
    อย่าเนรคุณต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
    และเพียงแค่ประพฤติตนเป็นคนดีของสังคม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • S__rama9 01.jpg
      S__rama9 01.jpg
      ขนาดไฟล์:
      94.5 KB
      เปิดดู:
      21
    • S__rama9 02.jpg
      S__rama9 02.jpg
      ขนาดไฟล์:
      228.6 KB
      เปิดดู:
      30
    • prince02.jpg
      prince02.jpg
      ขนาดไฟล์:
      41.7 KB
      เปิดดู:
      27
    • prince01.jpg
      prince01.jpg
      ขนาดไฟล์:
      41.7 KB
      เปิดดู:
      53
    • 35491.jpg
      35491.jpg
      ขนาดไฟล์:
      139.3 KB
      เปิดดู:
      27
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
    พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
    พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)

    -http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=89-

    [89] บุญกิริยาวัตถุ 10 (ที่ตั้งแห่งการทำบุญ, ทางทำความดี — bases of meritorious action)
    1. ทานมัย (ทำบุญด้วยการให้ปันสิ่งของ — meritorious action consisting in generosity; merit acquired by giving)
    2. สีลมัย (ทำบุญด้วยการรักษาศีลหรือประพฤติดี — by observing the precepts or moral behavior)
    3. ภาวนามัย (ทำบุญด้วยการเจริญภาวนาคือฝึกอบรมจิตใจ — by mental development)
    4. อปจายนมัย (ทำบุญด้วยการประพฤติอ่อนน้อม — by humility or reverence)
    5. เวยยาวัจจมัย (ทำบุญด้วยการช่วยขวนขวายรับใช้ — by rendering services)
    6. ปัตติทานมัย (ทำบุญด้วยการเฉลี่ยส่วนแห่งความดีให้แก่ผู้อื่น — by sharing or giving out merit)
    7. ปัตตานุโมทนามัย (ทำบุญด้วยการยินดีในความดีของผู้อื่น — by rejoicing in others’ merit)
    8. ธัมมัสสวนมัย (ทำบุญด้วยการฟังธรรมศึกษาหาความรู้ — by listening to the Doctrine or right teaching)
    9. ธัมมเทสนามัย (ทำบุญด้วยการสั่งสอนธรรมให้ความรู้ — by teaching the Doctrine or showing truth)
    10. ทิฏฐุชุกัมม์ (ทำบุญด้วยการทำความเห็นให้ตรง — by straightening one’s views or forming correct views)

    ข้อ 4 และข้อ 5 จัดเข้าในสีลมัย; 6 และ 7 ในทานมัย; 8 และ 9 ในภาวนา<table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" height="50" width="600"><tbody><tr><td><wbr>มัย; ข้อ 10 ได้ทั้งทาน ศีล และภาวนา
    </td></tr></tbody></table>
    D.A.III.999;
    Comp.146.
    ที.อ. 3/246;
    สังคหะ 29.


    บันทึก ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๗, ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๘ การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจาก พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พิมพ์ครั้งที่ ๗ พ.ศ. ๒๕๓๕, พิมพ์ครั้งที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๔๖ หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ -DhammaPerfect@yahoo.com-</pre>

    พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พิมพ์ครั้งที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๔๖
    -http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=89-
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร อธิษฐานจิต มีอยู่ด้วยกันหลายยุค หลายสมัย
    จากที่ได้ศึกษาจากครูบาอาจารย์มา
    เริ่มต้นจากยุคทวาราวดี (ประมาณ 1,300 ปี ก่อนหน้านี้)
    มายุคกรุงสุโขทัย , ยุคกรุงศรีอยุธยา จวบจนสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ที่เริ่มต้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 , รัชกาลที่ 5 จนถึงรัชกาลที่ 9

    เรื่องราวของคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร ที่มีการเผยแพร่ทุกวันนี้ ผมอยากจะบอกว่า จุดเริ่มต้นมาจากกระทู้ พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้..... (วันที่ 23-12-2005(พ.ศ.2548), 06:59 AM)
    (-http://palungjit.org/threads/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89.22445/-) (PaLungJit.org > ภูมิภาคและประชาสัมพันธ์ > ศูนย์ ประชาสัมพันธ์ > งานบุญอื่นๆ)


    พระพิมพ์และวัตถุมงคลต่างๆที่คณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะพระธรรมทูต คณะโสณะ-อุตระ) ที่มีในปัจจุบันที่ผมเคยบอก เคยเผยแพร่ ส่วนใหญ่จะอยู่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ คือสมัยรัชกาลที่ 4 และ รัชกาลที่ 5 อยู่ในกลุ่มที่ผมเรียกว่า "พระวังหน้า" เนื่องจากท่านผู้ให้สร้างก็คือกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ (อุปราชวังหน้า) ได้มีพระบัณฑูรให้ช่างสิบหมู่แห่งวังหน้า สร้างพระพิมพ์และวัตถุมงคลต่างๆ โดยนำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงที่พระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส(พระอุโบสถประจำวังหน้า) และอาราธนาคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) ที่เป็นพระอาจารย์ของกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ มาอธิษฐานจิตพระพิมพ์และวัตถุมงคลต่างๆ

    จากสาเหตุต่างๆไม่ว่าจะเป็นท่านผู้ให้สร้าง ,ท่านผู้สร้าง ,องค์ผู้อธิษฐานจิต และเรื่องที่เกี่ยวข้องต่างๆ ผมจึงเรียกพระพิมพ์และวัตถุมงคลต่างๆที่สร้างที่วังหน้าในยุครัชกาลที่ 4 และ รัชกาลที่ 5 กรุงรัตนโกสินทร์ ว่า "พระวังหน้า" ครับ
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    18 ข้อคิดสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่ต้องการอิสรภาพทางการเงิน
    -http://money.sanook.com/347843/-

    maibat AomMoney Guru

    ข้อคิดคอนโดเพื่อการลงทุนและอยู่อาศัยโดย Mr.Maibat

    บทความแรกในชีวิตที่ผมลองเขียนลง Pantip ในปี 2556 ปรากฏว่าติดกระทู้แนะนำทั้งห้องสินธรและสีลม เลยอยากนำมาให้แฟนเพจได้อ่านกันครับ อาชีพมนุษย์เงินเดือนเป็นอาชีพของคนส่วนใหญ่ในประเทศมีรายได้มั่นคงแต่น้อยคนนักที่พบกับอิสรภาพทางการเงิน ผมขอแชร์แนวคิดจากประสบการณ์ตรง โดยที่ผมวางเป้าหมายส่วนตัวอยากมีอิสรภาพทางการเงินอายุไม่เกิน 45 ปี และมีทรัพย์สินที่สร้างรายได้เพียงพอใช้ไปตลอดทั้งชีวิต

    1. จงรู้จักออมเงินตั้งแต่อายุยังน้อย
    เคล็ดลับอยู่ที่ควบคุมความอยากของตนเองโดยทยอยซื้อของชิ้นใหญ่ อย่าซื้อทีเดียวติดกัน เช่น โทรศัพท์มือถือ แพคเกจเที่ยว และรถยนต์ ให้เว้นช่วงห่างกันเป็นเดือนๆ เพราะความอยากของคนเราไม่มีที่สิ้นสุด ที่สำคัญควรซื้อของที่มีโอกาสได้ใช้จริง ของที่ไม่คิดจะใช้ก็อย่าไปซื้อ ผมตั้งเป้าอัตราการออม 30-70% ของรายได้ทั้งปี ตามรายได้ที่มากขึ้น

    2. จงเก็บเงินโบนัสไว้ให้ดี
    เพราะเป็นเงินก้อนที่เอาไปลงทุนได้ ผมให้รางวัลตัวเองในแต่ละปีไม่เกิน 30% ของเงินโบนัสที่เหลือเก็บเอาไปลงทุน ทำอย่างนี้ได้เพราะผมมีความสุขในการเก็บเงินมากกว่าใช้เงิน

    3. จงเริ่มเก็บเงินล้านบาทแรกให้ได้แล้วล้านต่อไปจะง่ายขึ้น
    ผมคิดว่าคำกล่าวนี้จริง เพราะพอเราเรียนรู้วิธีการบริหารเงินที่ถูกต้องจนมีล้านบาทแรกได้ การหาล้านต่อไปไม่ใช่เรื่องยาก ประกอบกับเรามีทุนล้านแรกเอาไปต่อยอดความมั่งคั่งได้อีกด้วย

    4. จงเลือกทำงานที่ตนเองชอบและถนัดในธุรกิจที่มีอนาคต
    การหาจุดยืนที่เหมาะสมช่วยทำให้เงินเดือนและตำแหน่งเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญควรเลือกทำงานกับเจ้านายฉลาดและส่งเสริมให้เราก้าวหน้า

    5. จงใช้บัตรเครดิตเป็นเครื่องมือลดค่าใช้จ่าย
    ควรใช้บัตรเครดิตซื้อของที่ต้องการซื้ออยู่แล้ว อย่าใช้จ่ายเกินตัว สาเหตุที่แนะนำจ่ายด้วยบัตรเครดิตเพราะได้ส่วนลด คะแนนสะสม และเงินคืนกลับมาดีกว่าการใช้เงินสด ผมใช้บัตรเครดิตหลายใบโดยชำระเต็มจำนวน และเลือกใช้บัตรที่ให้ส่วนลดสำหรับร้านค้านั้นๆมากที่สุด


    แนะนำให้อ่าน: ทำนายดวงทางการเงิน

    6. จงคิดมาตรการลดค่าใช้จ่ายที่ทำได้ง่ายและเห็นผลจริง
    ผมเคยทำสำเร็จมาแล้วโดยมาตรการแรก ทำเรื่องรีไฟแนนซ์บ้านเพื่อลดดอกเบี้ย มาตรการสอง เอารถไปติดแก๊สเพื่อลดค่าน้ำมัน มาตรการสาม เปลี่ยนเคเบิลเป็นแบบไม่มีค่ารายเดือน พบว่าช่วยประหยัดไปปีละแสนบาท

    7. จงหาทางลดหย่อนภาษีให้ได้มากที่สุด
    การลดภาษีช่วยเพิ่มเงินออมโดยตรง รายการลดหย่อนที่ไม่ควรพลาด ได้แก่ ประกันชีวิต กองทุนรวม LTF/RMF ดอกเบี้ยบ้าน เครดิตภาษีหุ้นปันผล ผมจ่ายภาษีจริงน้อยกว่าครึ่งของภาษีที่คำนวณได้

    8. จงเริ่มบันทึกการเติบโตของรายได้และทรัพย์สินทุกปี
    การบันทึกช่วยให้เราเห็นจุดบกพร่องที่ควรปรับปรุงและใช้กำหนดแนวทางไปสู่เป้าหมาย ตัวชี้วัดที่สำคัญ ได้แก่ การเติบโตของรายได้ การเติบโตของทรัพย์สิน อัตราการออม และผลตอบแทนจากการลงทุน เพื่อเป็นแนวทางบรรลุอิสรภาพทางการเงิน


    แนะนำให้อ่าน: ตั้งแก๊งออมเงิน

    9. จงหัดออมเงินแบบอื่นนอกจากฝากเงินธนาคาร
    การออมเงินทางเลือก ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ กองทุนรวมตราสารหนี้ และประกันชีวิต เป็นต้น อยากแนะนำให้ลองเพราะผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น ผมออมเงินไว้หลากหลายรูปแบบประมาณ 40% ของสินทรัพย์สุทธิ

    10. จงหัดลงทุนเพื่อให้มีรายได้เสริม
    อนาคตอาจกลายเป็นรายได้หลักอีกทาง เช่น ลงทุนในหุ้น กองทุนรวมตราสารทุน ทอง คอนโด และขายของออนไลน์ ก่อนลงทุนต้องศึกษาให้รู้จริงและดูว่ารับความเสี่ยงได้แค่ไหน ผมเคยลองมาหลายอย่างปัจจุบันเน้นลงทุนกองทุนรวมกับคอนโดเป็นหลัก ลงทุนประมาณ 40% ของสินทรัพย์สุทธิ

    11. จงเลือกทรัพย์สินที่มิใช่การลงทุนให้ดี
    ได้แก่ บ้านและรถยนต์ที่เราใช้อยู่ เพราะไม่ได้เปลี่ยนกันบ่อยๆและถือว่าเป็นต้นทุนจมจนกว่าขายออกไป ผมเลือกบ้านในทำเลดี ราคาคุ้มค่า และไปทำงานสะดวก โดยไปเยี่ยมชมโครงการมาไม่น้อยกว่า 50 แห่งก่อนตัดสินใจซื้อ เลือกรถรุ่นที่เป็นที่นิยมของตลาด ราคาคุ้มค่า และไม่เสียบ่อย เพราะเราจะได้เอาเวลาไปทำอย่างอื่น เงินอยู่ในนี้ประมาณ 20% ของสินทรัพย์สุทธิ

    12. จงเรียนรู้การลงทุนโดยใช้เงินคนอื่น
    เช่น การกู้เงินซื้อคอนโด เพราะเราจะได้กำไรมากจากเงินลงทุนน้อย ผมลงทุนคอนโดย่านพระราม 9 ซื้อไว้เมื่อ 5 ปีก่อนราคา 1.8 ล้านบาทโดยใช้เงินตนเอง 2 แสนบาทที่เหลือกู้ธนาคารผ่อนจ่ายเดือนละ 1 หมื่นบาท ปล่อยเช่ามาตลอดได้เดือนละ 1.4 หมื่นบาท ราคาตลาดปัจจุบันที่ขายกันในเว็บไซต์ราคา 2.8 ล้านบาท ถ้าขายไปจะได้กำไรประมาณ 1 ล้านบาทเท่ากับ 400% จากเงินลงทุนจริง และได้กำไรจากส่วนต่างค่าเช่ากับยอดผ่อนอีกด้วย

    13. จงรักษาเครดิตบูโรของตนเองให้ดี
    สิ่งนี้มีผลต่อการทำธุรกรรมทางการเงินกับธนาคาร เช่น สมัครบัตรเครดิต กู้ซื้อบ้าน กู้ซื้อรถ ผมไม่เคยผิดนัดชำระทำให้การทำธุรกรรมกับธนาคารผ่านตลอด

    14. จงระวังวิกฤติเศรษฐกิจ
    เช่น วิกฤติต้มยำกุ้ง วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ทำให้คนรวยจนลงในพริบตา ความรู้เศรษฐศาสตร์เป็นเรื่องสำคัญทำให้เข้าใจวงจรเศรษฐกิจที่มีทั้งเติบโตและตกต่ำสลับกันไปมาตลอด การสังเกตดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจต่างๆ ช่วยให้ลงทุนถูกจังหวะและความเสี่ยงไม่สูงจนเกินไป

    15. จงเลือกนำเงินไปลงทุนเฉพาะเงินเย็น
    การลงทุนต้องใช้เวลาและมีโอกาสขาดทุน หากขาดทุนจริงเราจะได้ไม่เดือดร้อน ผมกำหนดเงินสดขั้นต่ำที่เอาไว้ใช้จ่ายอย่างน้อย 12 เดือน ส่วนที่เหลือก็เอาไปลงทุนได้

    16. จงศึกษาหาความรู้เรื่องการเงินอย่างสม่ำเสมอ
    ความรู้หาได้จากหนังสือ เข้าอบรมสัมมนา เว็บไซต์ เว็บบอร์ด แฟนเพจ ยูทูบ แอพพลิเคชั่น และเพื่อนๆ ช่องทางเข้าถึงความรู้มีมากมายทำให้เรามีความรู้ลึกซึ้งมากขึ้น

    17. จงเรียนรู้จากการลงทุนผิดพลาดในอดีต
    ทุกคนที่เคยลงทุนต้องเคยขาดทุนเป็นเรื่องธรรมดา ผมเองเคยขาดทุนจากวอเรนต์เกือบแสน เคยติดหุ้นวงในมาเกือบสิบปีเพิ่งจะขายได้ ผมไม่เลิกลงทุนในหุ้นแต่จะเลิกเล่นหุ้นในแบบที่เคยเจ็บตัว

    18. จงมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จ
    เพราะความมุ่งมั่นจะเป็นแรงขับดันลึกลับที่จะพาเราไปถึงฝัน ผมทำข้อต่างๆที่กล่าวมาเป็นประจำจนเป็นนิสัย ซึ่งจะพาเราไปถึงฝันสักวันหนึ่ง การมีอิสรภาพทางการเงินคืออยากจะทำอะไรก็ได้ที่เราอยากทำอย่างแท้จริง โดยที่ยังมีรายได้เข้ามาอย่างสม่ำเสมอแม้ไม่ต้องทำงาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องนี้ อ่านแล้วใช้วิจารณญาณกันด้วยครับ


    ---------------------------------------------
    ---------------------------------------------

    นิยามหรือความหมายแห่งเลขศาสตร์ 1 ถึง 100
    -http://horoscope.sanook.com/84525/-


    คงปฏิเสธไม่ได้ว่า "ศาสตร์ตัวเลข" เข้ามามีบทบาทมากในชีวิตเรา ไม่ว่าจะเป็นบ้านเลขที่ ทะเบียนรถ เบอร์โทรศัพท์ ทุกอย่างที่เป็นตัวเลข ก็มีความเชื่อว่าจะสามารถช่วยเสริมดวงได้

    ...วันนี้เราจึงนำข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับใครที่อยากรู้ความหมายดีจากตัวเลข จะได้รู้และไปปรับใช้กับตัวเองกันค่ะ


    เป็นดาวอาทิตย์ดาวพลังความเชื่อมั่น
    เลข 1 เป็นดาวที่ทรงพลังมีอานุภาพมาก มีปฏิภาณกล้าหาญ มีความคิดดี มีชื่อเสียงด้านผู้นำ มุมานะ ทะยาน ชอบเที่ยวไปทุกที่ ชอบผจญภัย มีคนนับถือมาก

    เป็นดาวจันทร์ดาวพลังแห่งจินตนาการ
    เลข 2 เป็นช่างฝัน มีอารมณ์ศิลปิน มองโลกในแง่ดี แก้ไขปัญหาได้ดี เป็นคนเอื้ออาทรต่อผู้อื่น

    เป็นดาวอังคารดาวพลังแห่งความกล้าหาญชาญชัย
    เลข 3 รักอิสระแบบไม่มีแก่นสาร ชอบใฝ่หาความรู้ ชอบเรียนสูงๆ คนพูดจาแบบขวานผ่าซาก รักความยุติธรรม ใจกว้าง ระวังเรื่องเจ็บป่วยจากระบบประสาท ทำงานหนักมากเกินไป

    เป็นดาวพุธพลังแห่งดาวสติปัญญา
    เลข 4 เป็นคนฉลาดมีสติปัญญาไหวพริบดีมาก รู้ทันคน ฉลาดในการวางตัวในที่ทุกสถาน ชอบเดินทางไกล บางครั้งเหมือนขาดเพื่อนแท้ แต่เพราะความฉลาดของตนเองจึงประสบความสำเร็จในชีวิตได้

    เป็นดาวพลังแห่งปัญญาปัญญาทางธรรมะ
    เลข 5 มีความรู้ดี มีปัญญา เป็นคนน่าเชื่อถือและน่าเลื่อมใสศรัทธาของคนที่พบเห็น ทำการงานใดๆ มักราบรื่น มีคุณธรรม จิตใจดีมีเมตตาใฝ่ไปในทางธรรม

    ดาวแห่งศิลปะวิทยาการ
    เลข 6 มีความสุขสบาย มีจินตนาการ ชอบศิลปะ ชอบอิสระ มีโลกส่วนตัว ไม่เบียดเบียนใคร จิตใจดีมีเมตตา ผู้คนรักใคร่ มีเสน่ห์ มีตำแหน่งหน้าที่การงานดี ร่ำรวยด้วยทรัพย์สินเงินทอง

    ดาวเสาร์ดาวพลังแห่งทุกข์โศก
    เลข 7 เป็นคนรักอิสระและมีความคิดเป็นของตนเองอย่างเด่นชัด ไม่ชอบตามแบบใคร เป็นคนรักงานศิลปะ นักเขียน นักวาด นักกวี มีความพิเศษในการแก้ไขปัญหา เป็นคนใจบุญศุลทาน

    ดาวราหูพลังแห่งความลุ่มหลงมัวเมา
    เลข 8 เป็นคนพูดน้อย ขี้อาย ชอบปลีกตัวอยู่ตามลำพัง ไม่ใคร่คบค้าสมาคมกับใครง่าย ตอนเป็นเด็กสุขภาพไม่แข็งแรง ป่วยบ่อย โตขึ้นร่างกายจะแข็งแรง อายุยืน เป็นคนมีอารมณ์ขันแบบลึก ไม่ค่อยมีอารมณ์ขัน มาดขรึมๆ ชอบเอาความคิดของคนอื่นมาลบล้างความคิดของตนเอง

    มีระเบียบวินัย เฉลียวฉลาด แต่ภายในจิตใจแล้วจะเดียวดาย ต้องการความรัก ความอบอุ่น ไม่ต่างอะไรกับเด็ก สุขภาพ มักมีปัญหาในเรื่องตับ ถุงน้ำดี ระบบขับถ่าย มักมีอาการปวดศีรษะ โลหิตเป็นพิษ โรคเจ็บปวดตามข้อ

    พลังดาวเกตุพลังแห่งความลึกลับ
    เลข 9 คล้ายเป็นคนหยิ่งยโส แต่ลึกเป็นคนขาดความเชื่อมั่นในตนเองมากๆ เป็นคนที่มีความตั้งใจจริง มักตัดสินใจอะไรด้วยอารมณ์ชั่ววูบและต้องมานั่งเสียใจกับการตัดสินใจในภายหลัง เป็นคนปากกับใจตรงกัน อารมณ์ร้อน โกรธง่ายหายเร็ว ทำคุณคนไม่ขึ้น ปิดทองหลังพระ มักพบกับความตรงกันข้าม ความไม่จริงใจ ความหลอกลวง

    พลังแห่งอุปสรรค
    เลข 10 เป็นคนมีความมั่นใจในตัวเองสูง มีความทะเยอทะยานดี ชอบของแปลกใหม่ ไม่ชอบซ้ำแบบใคร เป็นคนถือเกียรติ ไม่ชอบอยู่ใต้บังคับบัญชาของใคร ไม่ค่อยนุ่มนวล กล้าได้กล้าเสีย ชีวิตมักมีอุปสรรค จับงานอะไรมักจะเจอคู่แข่ง มีคนปองร้าย บริวารมักให้โทษ

    เป็นคนอาภัพ มีศัตรูรอบด้าน ชีวิตมักจะมีเรื่องระทมขมขื่นแอบแฝงอยู่ มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนอย่างเรื้อรัง ระวังโรคหัวใจ มีภาระหนี้สิน มีศัตรูคอยกลั่นแกล้ง ชีวิตก็มีประสบความสำเร็จอยู่บ้าง คือสำเร็จอย่างแหวกแนวไม่เหมือนใคร แต่ถ้าเวลาดวงตกก็จะสูญสิ้นในพริบตา


    พลังแห่งความขัดแย้งในตัวเอง
    เลข 11 เป็นคนหลงตัวเองเป็นหลักชอบอวดอ้าง ทำอะไรชอบเข้าข้างตัวเอง มักถือพวกพ้องเป็นคนดื้อรั้นมาก จิตใจรวนเร เชื่อคนง่าย ระวังจะโดนทรยศหักหลังจากคนที่เราไว้ใจ

    พลังแห่ง 2 บุคลิกในคนเดียว
    เลข 12 หยิ่ง,ลุ่มหลงมัวเมาหูเบา,เจ็บไม่จำ เป็นคนเชื่อใจคนง่ายจึงมักถูกยุยงได้ง่าย ชีวิตเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนอย่างเรื้อรัง หากหลงใครแล้วมักจะหลงอย่างไม่ลืมหูลืมตา

    แห่งการเปลี่ยนแปลงทั้งดีและร้าย
    เลข 13 ชีวิตมักเจอเรื่องทั้งเรื่องดี เรื่องร้ายอย่างฉับพลัน มีโชคอย่างไม่คาดคิดมาก่อนแต่ในขณะเดียวกันก็จะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันเช่นกัน ไม่ชอบให้ใครมาท้าทาย ไม่ชอบเดินตามร้อยเท้าใคร กล้าแบบไม่กลัวใคร จึงมักส่งผลให้เกิดอันตรายและล้าเหลวในบั้นปลาย

    เป็นคนตัดสินใจผิดพลาดทั้ง ๆ ที่รู้ ต้องระวังอุบัติเหตุทุกรูปแบบ ผ่าตัด ช่องท้อง รถคว่ำ ถูกอาวุธ ถูกคนลอบทำร้าย ครอบครัวมีปัญหาแตกร้าว ชีวิตคู่ไม่ปกติสุข ผู้ใหญ่ให้โทษ เรื่องชู้สาว และสายตามีปัญหา ผู้ใหญ่กดดัน

    พลังแห่งมีสติปัญญาไหวพริบและมงคล
    เลข 14 มีความรู้ ความสามารถดี ฉลาดมีไหวพริบ ตำแหน่งหน้าที่การงานก้าวไกล ผู้คนยอมรับ มีศีลธรรมอันดี รักความถูกต้องเที่ยงธรรม มีส่วนน้อยที่มีอุปสรรคบ้างซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่ส่วนมากดี มีความรุ่งเรื่องเจริญก้าวหน้ามาก

    พลังแห่งเสน่ห์
    เลข 15 เป็นตัวเลขที่ดี มีเพื่อนมาก คนรักใคร่มากมาย อารมณ์ดี จิตใจดี เข้าได้กับทุกคน มีศิลปะในการพูด ทำให้คนรักใคร่เกื้อหนุน ดวงชะตามีเกียรติยศชื่อเสียง มีโชคลาภ

    พลังชีวิตที่ต้องฝ่าฟัน
    เลข 16 มีความทุกข์ อุปสรรค ปัญหา อับโชค วิตมักจะประสบกับโชคร้ายมากกว่าความสำเร็จ แม้จะมีวาสนาสูง เกิดเป็นลูกเศรษฐี ลูกคนรวย ชีวิตก็ต้องมีอุปสรรค มีศัตรูมาก มักจะแพ้ภัยจากศัตรู หากมีความสำเร็จของชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องระวังจะพบจุดจบอย่างไม่คาดคิด

    ถูกคนปองร้าย ถูกอำนาจมืดคุกคาม จะตกต่ำในบั้นปลายของชีวิต เลขนี้ไม่เหมาะกับสุภาพสตรี จะทำให้ผิดหวังในเรื่องความรักทุกรูปแบบ เช่น แต่งงานช้า ไม่ได้แต่งงาน แต่งแล้วต้องเลิก ได้พ่อหม้าย เป็นสามี เป็นเมียน้อย กินน้ำใต้ศอกคนอื่น หรือเป็นหม้ายก่อนวัยอันควร

    พลังแห่งความไม่แน่นอน
    เลข 17 มีสติปัญญาแตกฉาน เข้าใจอะไรได้ง่าย ชีวิตมักจะพบกับอุปสรรคและความยุ่งยาก ในชีวิตอยู่บ่อย ๆ มักจะถูกผู้ใหญ่กดดัน ผู้ใหญ่มักจะให้โทษ ชีวิตขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่แน่นอน ชีวิตสมรถไม่สมหวัง เป็นคนหูเบาเชื่อคนง่าย ค่อนข้างจะดื้อรั้นเอาแต่ใจตัวเอง

    พลังชีวิตแห่งการเปลี่ยนแปลง
    เลข 18 อยู่ไม่ติดที่ มีการโยกย้ายเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ ไม่สมหวังในเรื่องคู่ครอง เลขนี้ไม่เหมาะสำหรับสุภาพสตรี ให้ระวังการทรยศหักหลังการถูกหลอกลวง

    พลังแห่งความสำเร็จจากผู้อุปถัมภ์
    เลข 19 ดวงค่อนข้างดี มีความสำเร็จและดีเด่นทางด้านการศึกษาและหน้าที่การงานสูงส่ง ไม่มีวันอับจนและตกอับ หมายเลขนี้ดีต่อชายร้ายต่อหญิง คือไม่เหมาะสำหรับผู้หญิง เพราะเป็นหญิงจะถูกกลั่นแกล้ง อาภัพรัก ชีวิตรักมักผิดหวัง หากเป็นชายจะมีความรุ่งโรจน์มาก

    พลังแห่งความสำเร็จที่ต้องอาศัยผู้อื่นช่วยหนุนนำ
    เลข 20 ไม่ชอบอยู่นิ่งอยู่กับที่ มีความทะเยอทะยาน เพ้อฝัน เลขนี้ไม่เหมาะกับสุภาพสตรี ชีวิตมักจะมีปัญหาเรื่องคู่ กดดันจนทำให้ต้องเป็นคนไร้คู่หรือไม่ก็เป็นเมียน้อย กินน้ำใต้ศอกผู้อื่น

    พลังแห่งการพลิกผัน
    เลข 21 เป็นคนมีเสน่ห์ เอาแต่ใจตัวเอง เป็นคนเด็ดเดี่ยวกล้าตัดสินใจ โดยที่ผู้อื่นคาดคิดไม่ถึง ชีวิตไม่ค่อยสมหวัง ชีวิตหาความแน่นอนไม่ได้เลย

    พลังแห่งการเพ้อฝัน
    เลข 22 เป็นคนเพ้อฝัน อารมณ์อ่อนไหว หูเบาเชื่อใจคนง่าย ถูกหลอกอยู่เสมอ

    พลังเสน่ห์เมตตามหานิยม
    เลข 23 เป็นคนมีอารมณ์แข็งกร้าวโทสจริต ไม่ยอมแพ้คน เป็นคนเจ้าชู้ หากเป็นชายมักมีเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับเรื่องความรัก เป็นหญิงดี เพราะจะมีผู้ใหญ่ที่มีอิทธิพลคอยให้การช่วยเหลือสนับสนุนส่งเสริมให้ชีวิตประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี

    พลังแห่งมหามงคลความสำเร็จ
    เลข 24 สมบูรณ์พูนผล ชีวิตไม่ยุ่งยาก เป็นคนฉลาดมีปฏิภาณไหวพริบ ไม่ถือตัว มีเพื่อนมากมาย เป็นคนดีมีเมตตา เอื้อเฟื้อช่วยเหลือผู้อื่น หากมุ่งมั่นที่จะเป็นดารา นักร้อง ศิลปินจะประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่อย่าประมาทกับการดำรงชีวิตให้ทำบุญบ้างดีเสริมดวงชะตาได้ดีมากๆ

    พลังร้ายและพลังดี
    เลข 25 ชีวิตมีอุปสรรคมาก กว่าจะประสบความสำเร็จต้องเจออุปสรรคมากมาย ถูกศัตรูปองร้าย ถูกกลั่นแกล้ง ถูกอำนาจมืดคุกคาม ถูกปล้น ถูกจี้ ชีวิตจะพบกับความผันผวนอย่างรุนแรง อาจถูกปองร้ายจนถึงแก่ชีวิต ต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลง ทำให้ชีวิตขึ้น ๆ ลง ๆ หาความแน่นอนไม่ได้

    พลังแห่งความไม่มั่นคง
    เลข 26 มีความสำเร็จแต่ไม่ยั่งยืนถาวร ระวังเรื่องโลกีย์ไว้ให้มากๆ ระวังการผิดศีลธรรมเรื่องโลกีย์

    พลังแห่งความมุ่งมั่น
    เลข 27 ชีวิตประสบความสำเร็จอย่างงดงาม แต่ชีวิตมักจะมีความกดดันอย่างรุนแรง ทำให้เหมือนคนอมทุกข์ มีโรคภัยไข้เจ็บแทรกประจำตัว ถ้าเป็นชายมักผิดหวังเรื่องความรักบ่อยๆ ระวังมักจะมีโรคภัยไข้เจ็บอย่างเรื้อรัง

    พลังแห่งความแปรปรวน
    เลข 28 เสียมากกว่าดี เป็นคนไม่รอบคอบ เป็นคนเบื่อง่าย ไม่ไว้ใจผู้อื่น มักมีเรื่องทุกข์ใจ ไม่มีความสุขในชีวิตสมรส ต้องพลัดพรากจากกันอยู่กันคนละทิศละทาง

    พลังความรุนแรง
    เลข 29 ชีวิตมักจะหักกลาง ถูกปองร้ายจากศัตรู ระวังเรื่องอุบัติเหตุ ชีวิตอมทุกข์ ไม่ยอมคน มั่นใจในตนเอง เผด็จการ ภายนอกสดใส แต่ภายในอมทุกข์ ให้ระวังเพื่อนที่ไม่ซื่อ และเพศตรงข้าม


    พลังแห่งอุบัติเหตุ
    เลข 30 ชีวิตไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่ทำอะไรต้องระวังมีสติให้มาก ชีวิตมีอุปสรรคบ้าง แต่ไม่มาก เป็นคนมีเพื่อนน้อย ค่อนข้างเงียบขรึม ไม่ชอบแสดงตัว ชอบใช้ชีวิตอยู่ตามลำพัง

    พลังแห่งความไม่แน่นอนของโชคชะตา
    เลข 31 ชีวิตในเบื้องต้นจะลำบาก แต่จะประสบความสำเร็จในบั้นปลาย แต่ระวังชีวิตมักจะหักกลาง ความรักหักกลางคัน ชีวิตสมรสไม่แน่นอน ระวังเรื่องอุบัติเหตุรถคว่ำ ถูกอาวุธ ถูกคนลอบทำร้าย การผ่าตัด และการถูกแย่งชิงตำแหน่งหน้าที่การงาน

    พลังแห่งเจ้าชู้มีเสน่ห์
    เลข 32 เป็นคนเจ้าชู้ มีเสน่ห์ มักต้นร้ายปลายดี ต้องระวัง ชีวิตมักจะมีอุบัติเหตุ มีโรคภัยไขเจ็บเบียดเบียนอย่างเรื้อรัง มีคนอุปถัมภ์

    พลังความฉุนเฉียวเร้าร้อน
    เลข 33 มีอารมณ์ฉุนเฉียว เร่าร้อน รุนแรง ทำอะไรชอบเอาแต่ใจตนเอง ระวังอันตรายแบบฉับพลัน มักจะประสบอุบัติเหตุอย่างร้ายแรง มักจะมีอันตรายเกี่ยวกับความเร็ว เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ การทะเลาะวิวาท

    พลังแห่งความรอบรู้ครุ่นคิด
    เลข 34 เป็นคนมีสติปัญญาแตกฉาน ว่องไว มีปฏิภาณดีเป็นคนกล้าหาญ กล้าพูดกล้าทำ แต่ชีวิตมีอุปสรรคมาก เหน็ดเหนื่อยมาก ลำบากอยู่กับปัญหาตลอด แต่ก็เอาตัวรอดได้ ให้ระวังเรื่องอุบัติเหตุหรือการพลัดตกหกล้ม ถึงขั้นทำให้เป็นอัมพาตได้

    พลังแห่งคุณและโทษ
    เลข 35 ไม่ค่อยดีนัก ชีวิตมักอาภัพ กำพร้า ชีวิตบั้นปลายมีความสำเร็จดี มีผู้อุปถัมภ์ แต่ต้องระวังการหลงผิด มักหูเบาเชื่อใจคนง่าย จะมีคนชั่วร้ายเข้ามาสู่ชีวิต

    พลังแห่งความรักความอบอุ่น
    เลข 36 เป็นเลขที่หมายถึงความรัก ความสดชื่นของชีวิต ชีวิตจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี มีมิตรสหาย มาก สติปัญญามีหัวทางประดิษฐ์คิดค้น ถ้าเป็นเด็กจะฉลาดเรียนเก่ง เป็นคนมีเสน่ห์ดึงดูดใจเพศตรงข้าม และเพศตรงข้ามมักให้

    ความอบอุ่นเป็นอย่างดี โชคดีมีการงานดีตำแหน่งสูง เด่นในด้านความรัก มีเสน่ห์ คู่ครองดีมีความรู้ ดาวศุกร์กับดาวอังคารเป็นดาวคู่มิตรกัน รวมกันได้ 9 ดีมาก

    พลังความวิบัติ
    เลข 37 ไม่ดีเลย ชีวิตมีแต่เรื่องขัดแย้ง ทะเลาะวิวาท โชคร้าย ผ่าตัด อุบัติเหตุ คู่ครองมีเหตุให้เป็นไป พรัดพราก ชีวิตมีมุมหักเหตลอดเวลาขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่ราบรื่นนัก

    พลังแห่งโมหะจริต
    เลข 38 เป็นเลขร้าย ส่งผลในทางไม่ดี หมกมุ่นอยู่กับกามคุณ ทางทางผิด ติดเหล้ายา ติดการพนัน และอบายมุขทุกอย่าง เชื่อตัวเองมากเกินไป หมกมุ่นอยู่กับไสยศาสตร์ เวทมนต์คาถา ส่งผลร้ายต่อชีวิต ผิดทำนองคลองธรรม โกรธง่าย อารมณ์ฉุนเฉียว เป็นคนเจ้าอารมณ์

    พลังแห่งความกดดัน
    เลข 39 ชีวิตพบเจอเรื่องยุ่งยากบ่อยๆ แต่ก็มีมิตรสหายให้ความเกื้อกูลช่วยเหลือเป็นอย่างดี


    พลังอำนาจมหัศจรรย์
    เลข 40 ไม่เดือดร้อนอะไร เป็นคนใฝ่รู้ชอบค้นคว้าหาความรู้ ชอบสนุกสนาน สุขสบาย ชอบเดินทางไกลท่องเที่ยว ชอบสิ่งใหม่ๆ และแปลกๆ ไม่ชอบอยู่ติดที่ เป็นคนอ่อนไหวง่าย ดวงชะตาจัดว่าดี

    พลังมหาจักรวาล
    เลข 41 นี้เป็นเลขที่ดีมาก เป็นพลังมหาจักรวาล มีความรุ่งโรจน์ สุขสบาย เป็นคนฉลาด ชีวิตไม่ตกต่ำ มีคนคอยช่วยเหลือมากมาย มีคนอุปถัมภ์ เพื่อนมิตรสหายมาก บ่งถึงความสำเร็จในชีวิตเป็นอย่างดี ผู้ใหญ่มักจะให้การอุปถัมภ์ ปัญญาว่องไว มีสมองปราดเปรื่อง ตั้งแต่วัยเด็กเป็นคนเข้ากับมิตรสหายได้อย่างสนิท ควรเสริมชะตาด้วยการทำบุญ

    พลังโรแมนติค
    เลข 42 เป็นเลขมงคลยิ่ง 4 ดาวพุธ รวมกับ 2 ดาวจันทร์ รวมกันได้ 6 ดาวศุกร์ เป็นคนใจเย็น มีจินตนาการกว้างไกล อารมณ์ศิลปะ ชอบกวีนิพนธ์ มีจิตใจละเอียดอ่อน โรแมนติก มีความละมุนละไม ในสายเลือด

    มีหัวทางประดิษฐ์คิดค้น สมองแจ่มใสมาก สู้ชีวิต เรื่องรักและการงานสำเร็จดังใจ มีเงินทองไม่ขาดมือ ชีวิตประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี มีมิตรสหายมาก มักเป็นที่รักแก่คนทั้งมวล

    พลังวิปริต
    เลข 43 มีศัตรูคอยกลั่นแกล้งอยู่เบื้องหลังตลอดเวลา มีอุปสรรค ความทุกข์ ความผิดหวังล้มเหลว

    พลังส่งเสริมความสำเร็จ
    เลข 44 เป็นเลขที่ส่งเสริมทุกด้านทั้งหน้าที่การงาน การเรียน ความรัก ส่งเสริมความสำเร็จทุกด้าน ไม่ลำบาก มีผู้ใหญ่คอยเกื้อหนุน แต่เลข ๔๔ นี้รวมกันได้ ๘ ทำให้หลงระเริง ระวังอย่าประมาทในการดำรงชีวิต ดวงชะตาถือว่าดี มีเพียงจุดเสียเล็กน้อยเท่านั้น จุดเสียคือคุณเป็นคุณใจน้อย เอาแต่ใจตัวเอง ถ้าแก้จุดนี้ได้จะดีมาก

    พลังการสู้อีกครั้ง
    เลข 45 ดวงดีมาก ดาว 4 (พุธ) กับดาว 5 (พฤหัส) รวมกันได้ 9 (ดาวเกตุ) การงานก้าวหน้า ปัญญาดีฉลาดหลักแหลม ใจสู้ไม่ถอย ก้าวหน้าตลอดเวลา มีคนคอยช่วยเหลือ โชคดีมีลาภ เจริญรุ่งเรือง ชีวิตมักจะมีโชคอยู่เนืองๆ มักจะประสบโชคอันไม่คาดหวังอยู่บ่อยๆ สติปัญญาแจ่มใสดีมาก และจะได้รับความร่วมมือจากทุกวงการเป็นอย่างดี

    พลังแห่งโชค
    เลข 46 มีความสุข มีความสำเร็จ มีเพื่อนมาก เสียอยู่นิดตรงที่เป็นคนใจอ่อน มักตกอยู่ใต้อิทธิพลคนอื่นได้ง่าย

    พลังแห่งความเพียร
    เลข 47 มักจะใจอ่อนเชื่อคนง่าย แต่ถ้าดื้อรั้นขึ้นมาก็ยากที่จะหยุดได้ ต้องระวังการหลงผิด ชีวิตกว่าจะประสบความสำเร็จต้องเหนื่อยและต้องใช้ความพยายามและอดทนสูง

    พลังการหลง
    เลข 48 ไม่ดีเลย ควรระวังอย่าเชื่อใจใครง่ายๆ จะถูกจูงหว่านล้อม หลงผิด ระวังจะประสบอุบัติเหตุ มักมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน

    พลังความยุ่งยาก
    เลข 49 ไม่ค่อยดี มีความอับโชค ชีวิตมีอุปสรรค มักถูกอำนาจมืดคุกคาม ถ้าเป็นสุภาพสตรีจะถูกญาติสามีกดดันกลั่นแกล้ง


    พลังแห่งปัญญาและความสามารถ
    เลข 50 ดวงดีมาก โดยเฉพาะเรื่องปัญญา มีความสามารถ ดีเด่นทางทำงานต่างประเทศ มักพบคู่รักต่างแดน เป็นคนมีญาณพิเศษ มีบุญ ถ้าทำธุรกิจติดต่อกับชาวต่างชาติ เช่น ธุรกิจส่งออกเป็นต้นจะประสบความสำเร็จอย่างดี

    พลังความสมบูรณ์
    เลข 51 บวกกันได้ 6 ดาวศุกร์ ถือว่าเป็นเลขดีเลขหนึ่งเพราะเป็นดาวศุภเคราะห์ บ่งถึงความสำเร็จ มีมิตรสหายมาก มีรสนิยมในทางศิลป์ ฝีมือละเอียดอ่อนประณีต เลข 5 ดาวพฤหัส เลข 1 ดาวอาทิตย์ ธาตุไฟทั้งคู่ จึงส่งเสริมให้มีอำนาจ สติปัญญาแตกฉาน อำนวยความสำเร็จให้กับชีวิตเป็นอย่างดี

    เป็นเลขที่ดีมีมงคล มีความเจริญด้านการงาน ธุรกิจ การเงิน การเรียน เรื่องความรัก สารพัด ไม่ติดขัด มีผู้ใหญ่คอยช่วยเหลือ มีพรสวรรค์ทางสร้างสรรค์ ศิลปะ ดนตรี การพูด มีเสน่ห์ เป็นเลขที่สมบูรณ์ดียิ่ง

    พลังการสนับสนุนค้ำจุน
    เลข 52 มีความสำเร็จด้านการงานและความรักดี หากเป็นชายจะมีคุณสนับสนุนจากผู้หญิง หรือเจ้านายคนใกล้ชิด จะก้าวไกลทุกด้าน แต่ต้องอดทนฟันฝ่าอุปสรรคบ้าง หากเป็นหญิงจะมีอุปสรรคเพราะกรรมเก่า

    พลังการหักเห
    เลข 53 ชีวิตมีทั้งดีและร้ายปะปนกันไป ไม่มากไม่น้อย อย่าหูเบาเชื่อคนง่าย ให้ดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท ทำอะไรให้รอบคอบ จะเกิดผลดีและชีวิตจะประสบความสำเร็จ

    พลังมหาราชาโชคความสำเร็จ
    เลข 54 เป็นมงคลแก่ชีวิตยิ่งที่ได้ชื่อนี้ เพราะรวมกันได้ 9 พอดี เรื่องงาน ความรัก และอื่นๆ สำเร็จสมปรารถนา จะมีตำแหน่งสูง คนเคารพนับถือ ปัญญาดี เรียนอะไรก็แตกฉาน มีคนคอยค้ำจุนหนุนส่ง ไม่มีทางตกต่ำหรือขาดแคลน สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง

    พลังความสุขสมหวัง
    เลข 55 นี้บ่งบอกถึงความสมบูรณ์พูนผล มีสุขสำเร็จดังใจหวัง การงานก็ตำแหน่งสูง ความรักดี มีแฟนฉลาดและดวงดี มีหลักฐาน ทำธุรกิจการค้าขายก็จะได้กำไรเพิ่มพูนยิ่ง คุณเป็นคนมีศีลธรรม ชอบความยุติธรรม คนรักมากมาย มีเสน่ห์ มีศีลธรรม จิตใจดีมีเมตตา ผู้คนรักใคร่ มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เป็นเลขที่มีความสุขสมบูรณ์มาก

    พลังศิลป์และปัญญา
    เลข 56 ดวงชะตาอยู่ในเกณฑ์ดีมาก เพราะมีดาวศุกร์กับพฤหัสบดี มีความโดดเด่นด้านปฏิภาณไหวพริบ อารมณ์ศิลป์ ทำอะไรมีความรอบคอบดี ประสบความสำเร็จทุกด้าน เช่น การเรียน การงาน การเงิน มองโลกในแง่ดี สู้อย่างไม่ถอย นำชีวิตไปสู่จุดหมายคือความสำเร็จได้ อีกอย่างเป็นคนมีเสน่ห์ มีน้ำใจ ผู้คนรักใคร่มากมาย

    พลังความมั่นใจในตัวเองสูง
    เลข 57 เป็นคนค่อนข้างจะดื้อรั้น ชีวิตไม่ค่อยแน่นอน ทำอะไรไม่ค่อยประสบความสำเร็จเพราะยกเลิกกลางครัน

    พลังความลุ่มหลงงมงาย
    เลข 58 ไม่ดีเลย หลงผิด เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ออกนอกลู่นอกทางอยู่เสมอ

    พลังแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี
    เลข 59 จิตใจดีมีเมตตาสูง มีศีลธรรม ดวงด้านความรักดี มีคนคอยช่วยเหลือ เจริญรุ่งเรือง


    พลังความเพ้อฝันและจินตนาการ
    เลข 60 เป็นคนรักสวยรักงาม ชอบความเป็นอยู่อย่างโอ่อ่าและเพ้อฝัน ทำอะไรมักเกินตัว ดีสำหรับหญิง แต่ไม่ดีสำหรับชาย เด็กผู้ชายทำให้จิตใจเบี่ยงเบนเป็นตุ๊ด (กระเทย) ได้งาย

    พลังบุคลิกซ้อน
    เลข 61 ไม่ค่อยดีนัก มีความขัดแย้งในตัวเอง เป็นเลขแห่งความทุกข์ อุปสรรค และปัญหาบั้นปลายชีวิต จะตกต่ำและเหน็ดเหนื่อย

    พลังการเกื้อกูลและพลิกผัน
    เลข 62 ไม่ดีเลย หลงผิดได้ง่าย เพราะปล่อยตัวปล่อยใจเกินไป ดีตรงที่มีคนคอยช่วยเหลืออุปถัมภ์ เป็นชายมีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้าม

    พลังความรักไม่มีสิ้นสุด
    เลข 63 ดีมาก ไม่มีอุปสรรคและเรื่องยุ่งยาก ก้าวหน้าด้านการงาน การเรียนดี ดีเด่นเรื่องความรัก มีเพื่อนมาก ควรทำบุญเสริมดวงจะดีมากๆ และจะโชคดีตลอด

    พลังความอ่อนไหวและการเปลี่ยนแปลง
    เลข 64 เป็นคนมีรสนิยมสูง มีเสน่ห์ แต่ระวังจะถูกผู้อื่นหลอกลวง ชีวิตพบความสำเร็จ มีความสุข ความสะดวกของชีวิตพอสมควร

    พลังความก้าวหน้าและเสน่ห์
    เลข 65 เป็นเลขที่อยู่ในเกณฑ์ดี หากชื่อของคุณบวกรวมกับสกุลแล้วได้เลขนี้ พยากรณ์ได้เลยว่าเจ้าของชื่อเป็นคนฉลาดไหวพริบดี รักความก้าวหน้า จะได้รับความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่หรือมีผู้คอยช่วยเหลืออยู่ตลอด กิจการและการงานราบรื่น เลขนี้จะดีเด่นเรื่องความก้าวหน้าและเรื่องของความรักมีเสน่ห์แก่เพศตรงข้ามมากเป็นพิเศษ

    พลังแห่งอารมณ์และความรู้สึก
    เลข 66 ไม่ดีเลย มอมเมา ลุ่มหลง ไม่พิจารณาไตร่ตรอง เป็นเลขอันตราย

    พลังแห่งความผิดหวัง ทุกข์เศร้า
    เลข 67 ชีวิตมีอุปสรรค ผิดหวัง ขัดแย้ง ครอบครัวแตกร้าว ตกต่ำในบั้นปลายของชีวิต

    พลังแห่งอบายมุข
    เลข 68 ไม่ดีเลย ลุ่มหลง มัวเมา หลงใหล ขาดสติในการพิจารณา อาจถูกชักจูงหรือถูกหลอกได้ง่าย

    พลังความอ่อนไหว
    เลข 69 เป็นคนใจอ่อน ชอบเพ้อฝัน ทำให้ตกอยู่ใต้อิทธิพลผู้อื่นได้ง่าย แต่ยังดีที่มีผู้ใหญ่คอยให้การอุปถัมภ์ค้ำชู จึงพอทำให้ชีวิตไปรอด

    พลังแห่งเคราะห์กรรม
    เลข 70 ไม่ดีเลย ให้ระวังความคิด อย่าหลงผิด ควรดำเนินชีวิตด้วยความรอบคอบไม่มาท เพราะเลขนี้ร้ายมาก บั้นปลายในชีวิตจะมีการฆ่าตัวตาย อาจจะเกิดขึ้นจากอารมณ์ชั่ววูบ ความกดดัน


    พลังแห่งการถูกโจมตี
    เลข 71 ไม่ดีเลย เป็นเลขบ่งบอกถึงความตกต่ำ ถูกใส่ร้าย คดีความ วิบัติ ฉิบหาย การหลงมัวเมา เรื่องความรักก็ไม่สมหวังทั้งสตรีและบุรุษ

    พลังชะตาแข็ง
    เลข 72 ชีวิตเจริญรุ่งเรืองดี แต่มักวุ่นวาย มักจะได้รับทุกข์อันเกิดจากเพศตรงข้าม มีเคราะห์บ่อยๆ และให้ระวังเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ

    พลังดาวบาปเคราะห์ที่ร้ายแรง
    เลข 73 ไม่ดีเลย ระวังเรื่องที่เกิดขึ้นโดยฉับพลันอย่างไม่ทันตั้งตัว เช่น อุบัติเหตุ ผ่าตัด ล้มละลาย ชีวิตไม่ค่อยประสบความสำเร็จ วิธีแก้ควรปล่อยวางกับชีวิตบ้าง

    พลังอารมณ์ที่อ่อนไหว
    เลข 74 มีความสำเร็จดี ถึงไม่ก้าวหน้าสูงสุด ก็ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ระวังอย่าหูเบาเชื่อคนง่าย

    พลังต้นร้ายปลายดี
    เลข 75 ต้นร้ายปลายดี คือเบื้องต้นไม่ประสบความสำเร็จ แต่บั้นปลายชีวิตจะรุ่งโรจน์มาก ชีวิตมีความวุ่นวาย มักถูกตำหนิจากผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ให้โทษ เลขนี้ไม่เหมาะกับนักธุรกิจ

    พลังความยากลำบาก
    เลข 76 ไม่ดีเลย ชีวิตมักจะอับเฉา บ้านแตกสาแหรกขาด ไม่มีความสุขในชีวิตสมรสมักร้างคู่

    พลังแห่งความกดดัน
    เลข 77 ไม่ดีเลย บ่งถึงความทุกข์สองเท่า มีแต่ความโชคร้าย มักมีโรคภัยไข้เจ็บ ชีวิตเหน็ดเหนื่อยมาก แต่ดีตรงที่มีคนยำเกรง มีอำนาจบารมี

    พลังแห่ง ความเดือดร้อน
    เลข 78 ไม่ค่อยดีนัก เจอเรื่องร้ายๆ บ่อย ให้ระวังเรื่องอุบัติเหตุและคดีความ อย่าใจอ่อนเชื่อคนง่าย

    พลังทรัพย์และสุขภาพ
    เลข 79 จัดอยู่ในเกณฑ์ดี มีฐานะมั่นคง บรรพบุรุษเป็นคนดี สร้างฐานะไว้ดี คุณจะได้รับทรัพย์มรดก หรือสิ่งที่ท่านสร้างไว้ให้ ไม่เดือดร้อนเรื่องการเงิน ลงทุนทำธุรกิจอะไรก็จะประสบความสำเร็จ แต่อย่าหักโหมจนลืมรักษาสุขภาพตัวเอง สุขภาพดีมาก ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ แต่หากมีก็หายในไม่ช้า ชีวิตมีอุปสรรคบ้างแต่ไม่ค่อยมาก ต้องลำบากก่อนจึงจะได้ดี


    พลังอัปมงคล
    เลข 80 ไม่ดีมากๆ เลย ถูกครอบงำ ถูกข่มเหงรังแกจากคนไม่ดี (คนพาล) ถูกข่มขี่ ถูกปล้นจี้ ชิงทรัพย์ ผู้หญิงระวังการถูกฆ่าข่มขืน

    พลังการพลัดพราก
    เลข 81 ไม่ดีเลย กำพร้า อาภัพ พลัดพรากจากบุพการี อยู่ไม่เป็นที่ โยกย้ายบ่อย แต่ชะตาชีวิตก็รุ่งเรืองดี

    พลังที่ไม่มั่นคง
    เลข 82 ชีวิตมักจะหว้าเหว่หงอยเหงา ถ้าเป็นชายมีโอกาสไร่คู่ หรืออาภัพคู่ ถ้าเป็นหญิงจะมีพ่อหม้ายเข้ามาพัวพัน

    พลังความผิดพลาด
    เลข 83 ไม่ดี มักมีเหตุให้แตกหักเสียหายเสมอ ระวังภัยคุกคามจากคนไม่ดี (คนพาล) ระวังอย่าเชื่อคนง่าย

    พลังเลขร้าย
    เลข 84 เป็นเลขไม่ดีเลย มักประสบชะตากรรมไม่ดี (โชคร้าย) ระวังเรื่องอุบัติเหตุ คดีความ

    พลังความหลงผิด
    เลข 85 อาจหลงผิดได้ง่าย ลืมตัว เอาแต่ใจตัวเอง มักกำพร้าและขาดที่พึ่ง

    พลังสำเร็จที่ต้องตั้งใจ
    เลข 86 ชีวิตทางโลกจะประสบความสำเร็จ แต่พ่ายแพ้ทางโลกีย์ ชีวิตจะลุ่มหลงมัวเมา ระวังจิตใจที่ใฝ่ไปในทางไม่ดี

    พลังรักลวง
    เลข 87 เป็นคนมีเสน่ห์ แต่จิตใจอ่อนไหวง่าย เจ้าอารมณ์ อมทุกข์ มักหลงผิด หูเบา เชื่อใจคนง่าย ชีวิตบั้นปลายจึงมักตกต่ำ

    พลังความสำเร็จที่แฝงความความร้ายแรง
    เลข 88 ชีวิตประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว แต่ระวังเรื่องอุบัติเหตุ หรือสิ่งที่ไม่คาดคิดอย่างฉับพลัน

    พลังแห่งความเชื่อ
    เลข 89 เป็นคนหัวไว ฉลาด เข้าสังคมได้ดีทุกระดับ แต่ข้อเสียต้้องระวังการลุ่มหลง


    พลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง
    เลข 90 เชื่อเรื่องโชคลาง ดวงดีมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง มักแคล้วคลาดจากอันตรายต่างๆ ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ มีปาฏิหาริย์บ่อยๆ เลขนี้ดีมีความปลอดภัยในชีวิต ดีมาก มีเทวดารักษาคุ้มครอง เรื่องหน้าที่การงานการเงินการดำเนินชีวิตถือว่าก้าวหน้าได้มาก

    พลังความการแสวงหา
    เลข 91 เป็นคนใฝ่หาความก้าวหน้า มีความพยายาม ขยันขันแข็ง แต่ชอบสันโดษ ชีวิตบางครั้งเหมือนอมทุกข์ ด้านการงานดีมาก แต่เสียด้านสุขภาพ ระวังจะมีโรคภัยเบียดเบียน

    พลังอนุรักษ์นิยม
    เลข 92 ค่อนข้างหัวอนุรักษ์นิยม ชื่นชอบและสะสมของเก่า ชอบเรื่องในอดีต รักการค้นคว้า มีความอ่อนโยน มีเพื่อนฝูงมาก

    เป็นเลขที่บอกถึงบอกความสำเร็จที่รุ่มร้อน
    เลข 93 เป็นคนแข็งกร้าว เอาแต่ใจตัวเอง ชีวิตมักจะประสบอุบัติเหตุอยู่เสมอ

    พลังหลงงมงาย
    เลข 94 ไม่ค่อยดี มีความสำเร็จแต่ชีวิตมีอุปสรรคมาก ต้องผ่าฟันอุปสรรคอยู่เสมอ

    พลังความสำเร็จบารมี
    เลข 95 เป็นมงคลและมีผลดีมากๆ เป็นผู้โชคดีอยู่เสมอ มีคนคอยช่วยเหลือและคุ้มครอง มีเกียติยศชื่อเสียง มีคนนับถือมาก อยู่ในศีลธรรมอันดี หยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า คู่ครองดีรักคุณมาก เกื้อกูลกันตลอดไป ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้

    พลังที่อ่อนแอ
    เลข 96 เป็นคนใจอ่อน ระวังการหลงผิด ถ้าคบคนดีก็ดีไป ถ้าคบคนชั่ว ก็จะชั่วตามเขาไปด้วย

    พลังความรุ่งโรจน์
    เลข 97 เป็นเลขดีชีวิตมีความรุ่งโรจน์ เหมือนฟ้าประทาน ประสบความสำเร็จในตำแหน่งหน้าที่การงาน ค้าขายได้กำไร ร่ำรวยด้วยทรัพย์สินเงินทอง มีคนเคารพนับถือ มีเกียรติในสังคม มีเพื่อนมากมาย แต่ควรระวังเรื่องอุบัติเหตุ อย่าประมาท ควรทำบุญสะเดาะเคราะห์จะเสริมดวงชะตาได้มาก

    พลังลาภลอย
    เลข 98 ชีวิตประสบความสำเร็จดี มีพวกพ้องมาก ระวังเรื่องการคบคน

    พลังการหยั่งรู้
    เลข 99 มีอำนาจพิเศษ มีญาณหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ มีประสาทสัมผัสพิเศษ มีพลังทางจิต ทำอะไรพระคุ้มครอง มีความเจริญและมีความสุข

    พลังแห่งสมดุลจักรวาล
    เลข 100 เป็นเลขมงคลมาก โชคดีมีลาภ ชีวิตจะรุ่งเรืองเฟื่องฟูมาก มีการงานตำแหน่งสูง หน้าที่การงาน การเงินก้าวหน้าก้าวไกล เกียติยศปรากฏไกล มีเกียรติในสังคม สมบูรณ์ทุกอย่าง สุขภาพดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ

    ด้านความรักก็ดี คนรักฉลาด มีรูปสมบัติพร้อมทรัพย์สินมากมาย รักกันดี พึ่งพากันและกันดวงชะตาเป็นคู่กันตลอดไป เลขกำลัง 100 นี้ดีนักไม่มีจุดเสียเลย มีแต่ความรุ่งโรจน์และสมบูรณ์ทุกอย่าง

    ขอบคุณข้อมูลจาก : mahamodo
    -http://www.mahamodo.com/-
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หลวงพ่อปาน
    วัดมงคลโคธาวาส อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ

    -http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-parn-wat-bang-hea/lp-parn-wat-bang-hea-hist.htm-

    หลวงพ่อปานเป็นชาวบางบ่อ ท่านเกิดที่ คลองนางโหง ตำบลบางเหี้ย (ตำบลคลองด่านในปัจจุบัน) จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๖๘ ตาเป็นคนจีนชื่อ เขียว ยายเป็นคนไทยชื่อ ปิ่น บิดามีเชื้อจีน ชื่อ "ปลื้ม" มารดาเป็นคนไทย เป็นลูกสาวคนโตของยายปิ่น ชื่อ ตาล อาชีพทำป่าจาก ครอบครัวของท่านอยู่ที่หมู่บ้านโคกเศรษฐี มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๕ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๓

    คนที่ ๑ ชื่อ นายเทพย์

    คนที่ ๒ ชื่อ นายทัต

    คนที่ ๓ ชื่อ นายปาน (หลวงพ่อปาน)

    คนที่ ๔ ชื่อนายจันทร์

    คนที่ ๕ ชื่อนางแจ่ม

    ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ตราพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้นใช้ ลูกหลานของหลวงพ่อปาน ได้ใช้ชื่อของบรรพบุรุษมาตั้งเป็นนามสกุลว่า "หนูเทพย์"

    เมื่อตอนเป็นเด็ก บิดามารดาได้นำไปฝากไว้กับท่านเจ้าคุณศรีศากยมุนี เจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) เพื่อให้เรียนหนังสือไทย ต่อมาไม่นานเจ้าคุณได้ให้บรรพชาเป็นสามเณร ต่อมาท่านได้สึกจากเณร มาช่วยพ่อแม่ ประกอบอาชีพ ทำจาก และตัดฟืนไปขายเป็นอาชีพประจำ ท่านเป็นผู้มีนิสัยอดทนหนักเอาเบาสู้ ทำให้พ่อแม่เบาใจมาก

    เมื่อยังเยาว์ ท่านได้ใช้ชีวิตแบบชาวชนบทคนธรรมดา ครั้นเมื่อเติบโตสู่วัยหนุ่ม เริ่มมีจิตปฏิพัทธ์ผูกพันในเพศตรงข้ามตามวิสัยปุถุชน วันหนึ่งท่านได้ดั้นด้นไปบ้านสาวคนรัก แต่พอล้างเท้าก้าวขึ้นบันได เกิดอัศจรรย์ขึ้นบันไดไม้ตะเคียนอันแข็งแรงพลันหลุดออกจากกัน ทำให้ท่านพลัดตกจากบันได ท่านจึงคิดได้ว่าเป็นลางสังหรณ์บอกถึงการสิ้นวาสนาในทางโลกเสียแล้ว เมื่อกลับถึงบ้านจึงครุ่นคิดตัดสินใจอยู่หลายวัน ผลที่สุดจึงตัดสินใจออกบวช

    เมื่ออายุครบบวชจึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดอรุณราชวรารามนั่นเอง โดยมีท่านเจ้าคุณศรีศากยมุนีเป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านศึกษาด้านวิปัสสนากรรมฐาน รวมถึงไสยศาสตร์ ท่านได้รับการถ่ายทอดจากคณาจารย์หลายองค์จนเชี่ยวชาญ ภายหลังได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดบางเหี้ยนอก ปัจจุบัน เรียกว่าวัดมงคลโคธาวาส โดยมีพระที่เป็นสหายสนิทตามมาด้วยองค์หนึ่งชื่อ หลวงพ่อเรือน หลังออกพรรษาท่านและพระเรือนเริ่มออกธุดงค์ไปสถานที่ต่างๆ

    หลวงพ่อปานและหลวงพ่อเรือนได้ดั้นด้นไปจนถึง"วัดอ่างศิลา" อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี และได้ฝากตัวเป็นสานุศิษย์ของ"หลวงพ่อแตง" เจ้าอาวาสวัดอ่างศิลา โดยศึกษาด้านวิปัสนาธุระ ไสยเวทย์มนต์ต่าง ๆ จนเชี่ยวชาญและสร้างชื่อเสียงให้หลวงพ่อปานเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะ " เขี้ยวเสือโคร่ง ซึ่งแกะเป็นรูปเสือนั่ง " เมื่อมีความเชี่ยวชาญแล้วจึงได้อำลาพระอาจารย์ "หลวงพ่อแตง" มาพำนักอยู่ที่วัดบ้านเกิดตนเองพร้อมด้วยพระอาจารย์เรือน เพื่อนสหาย ณ วัดบางเหี้ย (ปัจจุบันคือวัดมงคลโคธาวาส) และดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสโดยมีหลวงพ่อเรือนเป็นรองเจ้าอาวาส ซึ่งทั้งสองรูปได้ปกครองพระลูกวัดทั้งด้านการศึกษาและการปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดมาตลอด

    จนกระทั่งในปี พ.ศ.๒๔๕๒ ประตูน้ำที่กั้นแม่น้ำบางเหี้ย หรือประตูน้ำชลหารพิจิตรในปัจจุบัน ได้เกิดรั่วไม่สามารถปิดกั้นน้ำให้อยู่ได้ไม่ว่าช่างจะซ่อมอย่างไร จนกระทั่งข้าราชการในท้องถิ่นได้นำความขึ้นกราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ให้ทรงทราบเพื่อขอพึ่งพระบารมีพระองค์ท่าน

    ระหว่างที่ประทับอยู่ที่ประตูน้ำบางเหี้ยเป็นเวลา ๓ วันนั้น พระองค์ได้รับสั่งให้นิมนต์หลวงพ่อปานเข้าเฝ้าฯ เพื่อไต่ถามเรื่องต่างๆ โดยขณะที่หลวงพ่อปานเดินทางเข้าเฝ้าฯ นั้นได้ให้เด็กชายป๊อด ถือพานใส่เขี้ยวเสือที่แกะเป็นรูปเสือไปด้วยซึ่งสมัยนั้นแกะจากเขี้ยวเสือจริงๆ เมื่อไปถึงที่ประทับ หลวงพ่อได้เรียกเอาพานใส่เขี้ยวเสือจากเด็กชายป๊อดที่ถืออยู่ แต่พบว่าไม่มีเขี้ยวเสืออยู่ในพานแล้วโดยเด็กชายป๊อดบอกว่าเสือกระโดดลงน้ำระหว่างทางจนหมดแล้ว

    หลังจากหลวงพ่อปานทราบจึงได้ให้นำเอาดินเหนียวมาปั้นเป็นรูปหมู แล้วเสียบไม้แกว่งล่อเสือขึ้นมาจากน้ำต่อหน้าพระพักตร์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ซึ่งประทับทอดพระเนตรอยู่ตลอด จนถึงกับตรัสกับหลวงพ่อปานว่า "พอแล้วหลวงตา"

    สำหรับเขี้ยวเสือหลวงพ่อปานนั้นได้จัดทำด้วยช่างแกะถึง ๖ คน จึงมีรูปร่างไม่เหมือนกันมีทั้ง อ้าปาก หุบปาก โดยช่างทั้งหมดจะเอาแมวมาเป็นต้นแบบในการแกะ
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หลวงพ่อปาน
    วัดมงคลโคธาวาส อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ

    -http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-parn-wat-bang-hea/lp-parn-wat-bang-hea-hist.htm-

    พระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง”เสด็จประพาส มณฑลปราจิณ” ได้เล่าถึงพระปานไว้ว่า

    “พระครูปานมาหาด้วย พระครูปานรูปนี้นิยมกันในทางวิปัสสนา และธุดงควัตร มีพระสงฆ์วัดต่างๆ ไปธุดงค์ด้วยสองร้อยสามร้อย แรกลงไปประชุมที่วัดบางเหี้ย มีสัปบุรุษที่ศรัทธาเลื่อมใสช่วยกันเลี้ยง กินน้ำจืดที่มีไว้เกือบจะหมดแล้วก็ออกเดิน ทางที่เดินนั้น ลงไปบางปลาสร้อย แล้วจึงเวียนกลับขึ้นไปปราจิณ นครนายก ไปพระบาท แล้วเดินลงมาทางสระบุรี ถ้ามาตามทางรถไฟ แต่ไม่ขึ้นรถไฟ เว้นแต่พระที่เมื่อยล้าเจ็บไข้ ผ่านกรุงเทพฯกลับลงไปบางเหี้ย ออกเดินทางอยู่ในแรมเดือนยี่ กลับไปวัดอยู่ในราวเดือนห้าเดือนหก ประพฤติเป็นอาจิณวัตรเช่นนี้มา ๔๐ ปีแล้ว

    คุณวิเศษที่คนเลื่อมใสคือ ให้ลงตะกรุด ด้ายผูกข้อมือ รดน้ำมนต์ ที่นิยมกันมากคือ เขี้ยวเสือแกะเป็นรูปเสือ เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ฝีมือหยาบๆ ข่าวที่ร่ำลือกันว่า เสือนั้นเวลาจะปลุกเสก ต้องใช้หมู ปลุกเสกเป่าไปข้อไร เสือนั้นกระโดดลงไปในเนื้อหมูได้ ตัวพระครูเองเห็นจะได้ความลำบาก เหน็ดเหนื่อยในการที่ใครๆ กวนให้ลงโน่นลงนี่ เขาว่าบางทีก็หนีไปอยู่ในป่าช้า ที่พระบาทฯ (สระบุรี) ก็หนีไปอยู่บนเขาโพธิ์ลังกา คนก็ยังตามไปกวนไม่เป็นอันหลับอันนอน แต่บริวารเห็นจะได้ผลประโยชน์ ในการทำอะไรๆ ขาย เวลาแย่งชิงก็ขึ้นไปถึง ๓ บาท ว่า ๖ บาทก็มี ได้รูปเสือนั้นแล้วจึงไปให้พระครูปลุกเสก สังเกตดูอัธยาศัยเป็นคนแก่ใจดีมีกิริยาเรียบร้อย อายุ ๗๐ แล้วยังไม่แก่มาก รูปร่างล่ำสันใหญ่โต เป็นคนพูดน้อย มีคนมาช่วยพูด"

    จะเห็นว่า ในพระราชนิพนธ์ “เสด็จประพาสเมืองปราจิณ” ได้เล่าถึง “พระปาน” อย่างละเอียด สิ่งสำคัญยิ่งก็คือ เครื่องรางเขี้ยวเสือที่ทำเป็นรูปเสือ ในขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่ ราคาเช่าตัวละ ๑ บาทบ้าง ๓ บาทบ้าง ๖ บาทบ้าง ซึ่งเป็นราคาที่สูงมากในสมัยนั้น

    ต่อมาท่านได้ไปเรียนวิปัสสนากับพระอาจารย์ที่วัดสมถะ จังหวัดชลบุรีด้วย

    หลวงพ่อปาน เป็นพระภิกษุที่ปฏิบัติธรรมวินัยเคร่งครัด กิจของสงฆ์หลวงพ่อปฏิบัติเป็นประจำทุกวัน อีกประการหนึ่งคือนำ พระสงฆ์ออกบิณฑบาตทุก ๆ เช้า นอกจากเจ็บป่วยไป ไม่แล้วท่านปฏิบัติเป็นประจำทุกวัน อีกประการหนึ่ง คือนำพระสงฆ์สวดมนต์เช้าเย็นที่หอสวดมนต์เป็นประจำทุกวัน และสวดมนต์เป็นคัมภีร์หรือผูกเป็นเล่มเป็นวัน ๆ ไป กระทั่งสวดปาฏิโมกข์ เหตุดังนี้ในสมัยนั้น พระลูกวัดของท่านจึงสวดมนต์เก่งมาก

    ด้านสาธารณประโยชน์ หลวงพ่อเป็นผู้นำในการสร้างถนนจากคลองด่านไปบางเพรียง ถนนจากวัดมงคลโคธาวาสไปวัดสว่างอารมณ์ ถนนจากวัดมงคลโคธาวาสจรดคลองนางหงษ์ ถนนแต่ละสายปัจจุบันได้พัฒนาเป็นถนนถาวรและใช้สัญจร ไปมาจนถึงทุกวันนี้

    ด้านความศักดิ์สิทธิ์อภินิหารของหลวงพ่อนั้น เป็นที่เลื่องลือกันทั่วไป เป็นพระอาจารย์ ที่มีญาณแก่กล้าชื่อเสียงโด่งดังในสมัยรัชกาลที่ ๕ เครื่องรางของขลัง ของท่านเป็นที่เลื่อมใสศรัทธามากและสืบ เสาะหากันจนทุกวันนี้ ท่านคร่ำเคร่งทางวิปัสสนามากและ ธุดงค์อยู่เสมอ ด้วยคุณความดีและคุณธรรมอันสูงส่งของหลวงพ่อที่ได้ประกอบขึ้นไว้ แต่ครั้งท่านยังมีชีวิตอยู่ ราษฎรในตำบลใกล้เคียง กระทั่งต่างอำเภอและต่างจังหวัดพากันเคารพนับถือและรำลึก ถึงหลวงพ่ออย่างไม่ เสื่อมคลาย

    ก่อนที่หลวงพ่อปานจะมรณภาพนั้น ประชาชนที่มีความเคารพบูชาหลวงพ่อ ได้พร้อมใจกันหล่อรูปท่านขึ้นมาองค์หนึ่ง ขนาดเท่าองค์จริง เพื่อไว้เป็นที่เคารพบูชา เพราะหลวงพ่อไม่ค่อยได้อยู่วัด ท่านมักจะเดินธุดงค์ไปในที่ต่างๆ เป็นประจำ จะได้กราบรูปหล่อแทนตัวท่าน แต่เมื่อหล่อรูปแล้วท่านก็ไม่ค่อยจะเข้าวัด ท่านมักจะปลีกตัวไปจำวัดที่พระปฐมเป็นประจำ การที่ท่านไม่อยากเข้าวัดของท่านนั้น อาจเป็นเพราะท่านรู้ล่วงหน้าว่าถึงคราวจะหมดอายุขัยแล้ว ท่านจึงต้องการความสงบในการพิจารณาธรรม แต่ท่านก็ไม่ได้บอกกับใครๆ เมื่อญาติโยมอ้อนวอนมากๆ เข้า ท่านก็บ่ายเบี่ยงไปว่า “เข้าไปไม่ได้ อ้ายดำมันอยู่ ขืนเข้าไปอ้ายดำมันจะเอาตาย” คำว่า “อ้ายดำ” หมายถึงรูปหล่อของท่านนั่นเอง ปัจจุบันนี้รูปหล่อของท่านก็ยังประดิษฐานอยู่ที่วัดมงคลโคธาวาส (วัดคลองด่าน หรือวัดบางเหี้ย) คืออยู่ที่กุฏิของหลวงพ่อซึ่งได้จัดสร้างขึ้นใหม่ และปรากฏความศักดิ์สิทธิ์มากมาย น้ำมนต์ที่หน้ารูปหล่อของท่านก็มีคนนำไปดื่ม และทองคำเปลวที่รูปหล่อก็มีคนนำไปปิดที่หน้าผาก เพื่อรักษาโรคได้ผลมาแล้วมากมาย

    ด้านสมณศักดิ์ หลวงพ่อปาน ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น "พระครูพิพัฒน์นิโรธกิจ"

    ท่านมรณภาพเมื่อ วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๔๕๓ เวลา ๔ ทุ่ม ๔๕ นาที พระราชทานเพลิงศพ เมื่อวันอาทิตย์ ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๔
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ใช้วิจารณญาณในการอ่านกันครับ


    ++++++++++++++++++++++++++


    หมอเทพนม เปิดที่มาคุยกับ มนุษย์ต่างดาว พร้อมคำเตือนถึงไทยและชาวโลก
    -http://hilight.kapook.com/view/131520-

    -https://www.youtube.com/watch?v=e1SZrgOfbTg-
    เผยความลับจากมนุษย์ต่างดาวจานบิน UFO โทรศัพท์เตือนภัยพิบัติใหญ่ต่อมนุษย์โลก

    สัมภาษณ์พิเศษ "หมอเทพนม" เปิดที่มาคุยมือถือกับ "มนุษย์ต่างดาว" พร้อมคำเตือนภัยพิบัติและอันตรายจากการคุกคามยึดโลกของมนุษย์ต่างดาว

    เป็นข่าวเกรียวกราวไปทั่วประเทศ กรณีสมาชิกเว็บยูทูบ kengglider.com อัพโหลดคลิปวิดีโอบันทึกภาพเมื่อครั้งที่ "ศ.ดร.นพ. เทพพนม เมืองแมน" นักค้นคว้าพลังจิตและมนุษย์ต่างดาวชื่อดัง ไปร่วมกิจกรรมในงานวิทยาศาสตร์ทางจิตนานาชาติ 2558 ปีที่ 20 ครั้งที่ 24 และได้โชว์การต่อสายพูดคุยโทรศัพท์มือถือกับ "มนุษย์ต่างดาว" !?

    ในวันดังกล่าว ศ.ดร.นพ.เทพนม ยังอ้างด้วยว่า มนุษย์ต่างดาวได้ส่งข้อความคำเตือนเกี่ยวภัยต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับโลกของเราจากน้ำมือของมนุษย์ รวมถึงพยากรณ์การเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ และอันตรายจากการคุกคามยึดโลกของมนุษย์ต่างดาว จนกลายเป็นที่ฮือฮาในโลกออนไลน์อย่างรวดเร็ว เรียกเสียงคอมเม้นท์ถล่มทลาย มีทั้งกลุ่มคนที่เชื่อ-ไม่เชื่อ-เฉย ๆ-ตีความไปต่าง ๆ นานา หรือถึงขนาดแซวหมอเทพนม ให้รีบไปรับยาด่วน !!!

    เพื่อตรวจสอบเจาะลึกเรื่องราวที่ไปที่มาที่เกิดขึ้น ทางทีมข่าว "กระปุกดอทคอม" จึงติดต่อสัมภาษณ์ ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน หรือ "หมอเทพนม" นายกสมาคมค้นคว้าทางจิตแห่งประเทศไทย กันแบบเจาะลึกชัดเจน ตอบทุกข้อคาใจเกี่ยวกับประเด็นลี้ลับจากนอกโลก

    - วิธีการติดต่อคุยกับมนุษย์ต่างดาวนั้นทำอย่างไร ?

    หมอเทพนม : การติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวนั้นสามารถติดต่อได้หลายวิธี เช่นติดต่อกันทางจิตด้วยการทำสมาธิ หรือใช่ร่างเราเป็นตัวกลางโดยให้มนุษย์ต่างดาวมาเพื่อใช้ร่างของเราสือสารกับคนอื่น การติดต่อผ่านทางคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่อย่างที่องค์การนาซาใช้อยู่ หรือการติดต่อเข้ามาทางโทรศัพท์โดยใช้เครื่อง Convert คลื่นสมองของมนุษย์ต่างดาวเพื่อติดต่อโทรศัพท์เข้ามาหามนุษย์ รวมไปถึงการติดต่อในลักษณะคล้าย ๆ การเล่นผีถ้วยแก้วโดยมนุษย์ต่างดาวจะใช้กระแสจิตขยับถ้วยไปยังตัวหนังสือต่าง ๆ เพื่อสือสารข้อความที่ต้องการบอก เป็นต้น

    แต่ส่วนใหญ่แล้ววิธีที่นิยมมากที่สุดคือการทำสมาธิให้จิตนิ่งสงบจนคลื่นสมองเต้นช้าลงเท่ากับมนุษย์ต่างดาวจนสามารถติดต่อกันได้ เพราะปกติแล้วคลื่นสมองของมนุษย์จะเต้น 50 ครั้งต่อวินาที แต่มนุษย์ต่างดาวจะเต้นเพียง 5-6 ครั้งต่อวินาที หากปรับจูนคลื่นให้ตรงกันก็สามารถติดต่อกันได้คล้าย ๆ กับคลื่นวิทยุ

    - เวลาคุยกัน คุยภาษาอะไร ?

    เวลาติดต่อกันเขาจะมีเหมือนเป็นเครื่องแปลภาษาที่เราสามารถเข้าใจได้เลย แต่บางทีเขาก็พูดออกมาเป็นภาษาของเขา ที่มีลักษณะเหมือนภาษาแขก หรือภาษากูโบ๊ส ที่เป็นภาษาของศาสนาพราหมณ์ที่ใช้ติดต่อกับเทพ

    การที่ผมสามารถติดต่อผ่านจิตกับพวกเขาได้เพราะฝึกสมาธิมานานทั้งที่ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และลูกศิษย์ของหลวงพ่อจรัญ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ รวมถึงสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ผมก็เป็นลูกศิษย์ เพราะพระผู้ใหญ่ที่ฝึกสมาธิจนแก่กล้าแล้วจะสามารถติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้ แต่ท่านไม่ได้บอกเท่านั้น

    แม้กระทั่งพระพุทธเจ้า ที่เมื่อสองพันกว่าปีก่อนเคยมีคนถามว่า นอกโลกมีมนุษย์อยู่ไหม พระองค์ก็ตอบและมีบันทึกอยู่ในพระไตรปิฎกว่า "มีอสงไขยโลกที่มีมนุษย์อยู่" ซึ่งตัวท่านเองนั้นได้เดินทางไปแล้ว 9 ดวงดาว ซึ่งเป็นการเดินทางผ่านจิต และท่านบอกว่าดาวดวงอื่น ๆ มีความเจริญด้านศีลธรรมมากกว่าโลกของเรามาก



    - มนุษย์ต่างดาวเคยโทร.หาครั้งแรกเมื่อไหร่ ?

    เขาเคยโทรมาหาผมเมื่อ ปี 2540 ตอนตีสอง บอกว่าเป็นมนุษย์จากดาวอังคาร ขอนัดให้ผมไปพบเนื่องจากผมเคยเกิดอยู่ดาวอังคาร โดยให้ไปพบที่แก่งกระจานที่เกาะซึ่งมีต้นโสมขึ้นมากที่เรียกว่า เกาะโสมพันปี ผมกับเพื่อนและลูกศิษย์ทั้งหมด 5 คน จึงเดินทางไปค้างอยู่ที่เกาะนั้น 1 คืนแต่ไม่พบอะไร จึงกลับเพราะติดธุระ แต่มีลูกศิษย์ 1 ราย ที่ขอค้างอยู่คนเดียวต่ออีก 1 คืน และเสียชีวิตในวันต่อมา และหลังจากผ่าศพพิสูจน์ก็หาสาเหตุของการเสียชีวิตไม่เจอ

    - เคยเจอมนุษย์ต่างดาวตัวเป็น ๆ ไหม ?

    เจอหลายครั้ง ตอนผมได้รางวัลจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เขาก็มา ฝรั่งก็เห็นเป็น 100 คน ในลักษณะนั่งยานของเขาลงมาที่บ้านที่ผมพัก หรือตอนที่ผมตีกอล์ฟอยู่ ก็เห็นจานบินลงมาจอดและมนุษย์ต่างดาวก็ลงมายืนดูอยู่นานกว่าชั่วโมงโดยแต่งตัวเหมือนหุ่นยนต์ ก่อนจะลอยกลับและหายขึ้นไปบนท้องฟ้า ซึ่งที่ผมเคยพบมีหลายรูปแบบ ทั้งแบบเหมือนหุ่นยนต์ และคล้ายมนุษย์ หรือมีลักษณะตาโตไม่มีผมที่หัว ตอนนี้มนุษย์ต่างดาวที่นาซาติดต่อได้ทั้งหมดประมาณ 73 ดาว

    - ที่ผ่านมามนุษย์ต่างดาวเคยเตือนว่าอะไรบ้าง ?

    ก่อนหน้านี้เขาเคยเตือนถึงภัยของประเทศไทยไว้ 3 เรื่อง ได้แก่ ความไม่สงบในภาคใต้ หากดูแลไม่มีจะลุกลามใหญ่ได้เพราะกลุ่มก่อการร้ายได้เงินสนับสนุนจากประเทศตะวันออกกลางหลายประเทศ

    อีกเรื่องคือเตือนว่าจะเกิดการระเบิดใต้ทะเล น้ำจะท่วมคนตาย

    และล่าสุดในปี 2559 นี้เขาเตือนโดยการฉายภาพคนแขนหาขาดหัวขาดให้ผมเห็นในท้องฟ้า และบอกให้ระวังการเข่นฆ่ากันเองของคนไทย และบอกว่าที่นายกฯ ทำเรื่องความสามัคคีดีแล้ว การพัฒนาบ้านเมืองทำได้ดีแล้ว แต่เรื่องที่ประชาธิปไตยต้องทำให้ดี มิเช่นนั้นจะเกิดเหตุการณ์นองเลือด



    - ในส่วนของต่างประเทศ มนุษย์ต่างดาวเตือนอะไรบ้าง ?

    เตือนว่าใน 5 ปีข้างหน้าให้ระวัง 2 เรื่อง คือสงครามโลกครั้งที่ 3 ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากตะวังออกกลาง คือซีเรีย อีรัก หากประเทศสหรัฐ และจีนเข้าไปร่วมวงด้วย ก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ ส่วนอีกเรื่องคือ แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในทวีปเอเชียซึ่งตอนนี้ทราบว่าทางประเทศเราเองก็มีการติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด

    - ที่บอกว่าต่างดาวจะบุกยึดโลกได้รับคำเตือนว่าอย่างไร ?

    ได้รับคำเตือนจากดาวอังคารว่า ตอนนี้มีหลายดาวที่มีความดุร้ายต้องการมายึดโลกเป็นเมืองขึ้นเนื่องจากมีทรัพยากรสมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดาวที่มีความดุร้ายชอบกินเลือดและเนื้อมนุษย์หรือที่เราเรียกกันว่า "แวมไพร์" ส่วนสาเหตุที่มนุษย์จากดาวอังคารมาเตือนเราเพราะว่าเขาบอกว่าพวกเขาเป็นบรรพบุรุษของเรา ซึ่งในอดีตโลกของเราก็เคยถูกยึดมาแล้ว ซึ่งชาวโลกในสมัยนั้นถูกบังคับให้เป็นทาสขุดทองกลับและสิ่งมีค่ากลับไปใช้ที่ดาวของมัน



    - แสดงว่ามนุษย์เกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาวมาตั้งแต่อดีต ?

    จริง ๆ แล้วโลกของเรามีดาวที่มาช่วยกันสร้างอยู่ 8 ดวงด้วยกัน ซึ่งตัวหัวหน้าใหญ่ที่เรียกว่าพระผู้เป็นเจ้ามาจากดาว "โอไรออน" ได้สร้างมนุษย์ผู้ชาย หรือที่เรียกว่า "อดัม" ส่วนมนุษย์ผู้หญิงคนแรกที่เรียกว่า "อีฟ" นั้นถูกสร้างโดยดาว "ซิริอุส" จนออกลูกหลานขยายพันธ์จนกระจายไปทั่วโลก

    หากสังเกตุยอดของปิรามิด จะชี้ไปที่ดาวโอไรออน ส่วนยอดของปราสาทนครวัด จะชี้ไปที่ดาวซิริอุส โดยสร้างให้เหมือนต้นแบบคือมนุษย์จากดาวที่สร้างนั่นเอง

    - หมายความว่าต่างดาวที่สร้างโลก หน้าหน้าเหมือนชาวโลก ?

    ต่างดาวที่ช่วยกันสร้างโลกทั้ง 8 ดาวหน้าตาเหมือนมนุษย์ บางดาวก็หน้าตาเหมือนพวก สแกนดิเนเวียน ตาฟ้าผมทอง และยังเป็นพวกที่มาช่วย "ฮิตเลอร์" ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ โดยการสร้างจรวด และจานบินให้กับฮิตเลอร์ และสอนสร้างระเบิดปรมาณูที่มีความรุนแรงมาก แต่ฮิตเลอร์ไม่ยอมสร้างจึงแพ้สงคราม และจริง ๆ แล้วฮิตเลอร์ไม่ได้ฆ่าตัวตายอย่างที่เป็นข่าว ฮิตเลอร์หลบหนีมาโดยจายบินที่สร้างขึ้นมาอยู่ที่ประเทศบราซิล ก่อนจะผ่าตัดเปลี่ยนแปลงใบหน้า และเสียชีวิตลงตอนอายุ 94 ปี จะสังเกตุได้ว่าทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยไม่ใครพบศพของฮิตเลอร์แต่อย่างใด

    - เรื่องที่เล่าค่อนข้างเหลือเชื่อ บางคนมองว่าเพี้ยน ให้ไปรับยา ดร.จะบอกกับสังคมว่ายังไง ?

    เรื่องนี้มีหลักฐานต่าง ๆ มากมายจากประเทศที่เจริญแล้วและมีพิมพ์เป็นหนังสือให้ศึกษามากมาย หากคนไม่ศึกษาพวกนี้จะมองว่าเป็นเรื่องตลก อย่างตอนที่ผมอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด อาจารย์เองก็มีความเชื่อมากว่ามนุษย์ต่างดาวมีอยู่จริง รวมถึงทางนาซา รัสเซีย และจีนเองก็ศึกษาเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง

    นอกจากนี้ ผมยังได้ติดต่อกับทางนาซามาโดยตลอด และเป็น 1 ใน 3 คน มีผม ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา และ ทหารอีก 1 ราย ที่ร่วมประชุมกับนาซาในประเทศไทย สาเหตุที่ประชุมในประเทศไทยเพราะไทยเป็นหนึ่งในสองประเทศที่มีประตูมิติมาก อีกประเทศคือชิลี

    ภาพจาก kengglider.com
    https://www.youtube.com/watch?v=e1SZrgOfbTg
    -https://www.youtube.com/watch?v=e1SZrgOfbTg-
    เผยความลับจากมนุษย์ต่างดาวจานบิน UFO โทรศัพท์เตือนภัยพิบัติใหญ่ต่อมนุษย์โลก
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ภาษีและการบริหารการเงิน[ซีรีส์]
    ตอน RMF ลงทุนอย่างไร จึงคุ้มค่า....ใครเหมาะจะลงทุน?
    -http://money.sanook.com/343883/-

    วันนี้มาดูการลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคงในอนาคตและการบริหารเงิน ที่ได้ประโยชน์ทางภาษี โดยการลงทุนระยะยาวในกองทุนคู่แฝดอีกกองทุน หลังจาก ครั้งก่อนเราเรียนรู้ในเรื่องกองทุน LTF ไปแล้ว

    ก่อนอื่นเราต้องรู้จักกองทุน RMF ว่า เป็นการทุนแบบใด มีเงื่อนไขอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ และสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างไร..สิ่งเหล่านี้จะตอบคำถามได้ว่า ใครเหมาะจะลงทุนในกองทุน RMF อย่างไร..



    RMF หรือ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ( retirement mutual fund) โดยหลักการคือ ต้องการสนับสนุนให้ผู้ลงทุนลงทุนระยะยาวเพื่ออนาคตหลังเกษียณ ซึ่งเป็นช่วงชีวิตที่ไม่มีรายได้ประจำ ดังนั้น รูปแบบของกองทุนนี้จึงเน้น การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อย และ มีการออกแบบการลงทุนให้เหมาะสมกับช่วงชีวิต ว่าแต่ละช่วงสามารถรับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใด



    และการสนับสนุนโดยการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีนั้นมีการกำหนดเงื่อนไขไว้ชัดเจนว่าต้องทำอย่างไรจึงจะได้สิทธิประโยชน์ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้



    • ต้องสะสมเงินอย่างต่อเนื่องโดยซื้อหน่วยลงทุนของ RMF ไม่น้อยกว่าปีละ 1 ครั้ง

    • ต้องลงทุนขั้นต่ำ 3% ของเงินได้ในแต่ละปี หรือ 5,000 บาท (แล้วแต่ว่าจำนวนใดจะต่ำกว่า)

    • ต้องไม่ระงับการซื้อหน่วยลงทุนเกินกว่า 1 ปีติดต่อกัน (ยกเว้นปีใดที่ไม่มีเงินได้ ก็ไม่ต้องลงทุน เนื่องจาก 3% ของเงินได้ 0 บาท เท่ากับ 0 บาท)

    • การขายคืนหน่วยลงทุนทำได้เมื่อผู้ลงทุนอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปี และลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี



    สำหรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเมื่อทำตามเงื่อนไขการลงทุน ผู้ลงทุนใน RMF จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีถึง 2 ทางด้วยกัน คือ

    1 เงินซื้อหน่วยลงทุนใน RMF จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 15 % ของเงินได้พึงประเมินในแต่ละปี โดยเมื่อนับรวมกับเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท

    2 กำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุน (capital gain) ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้



    จะเห็นได้ว่า การลงทุนใน RMF มีเงื่อนไขที่ต้องทำตามหาก มีการกระทำที่ผิดเงื่อนไขการลงทุนแล้ว ผู้ลงทุนจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอีกต่อไปและต้องดำเนินการ ดังนี้

    1. กรณีที่ลงทุนไม่ถึง 5 ปี และมีการผิดเงื่อนไข

    •ต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับยกเว้นไปในช่วง 5 ปีย้อนหลัง (นับตามปีปฏิทิน)

    •เมื่อขายคืนหน่วยลงทุน ต้องจ่ายภาษีของกำไรส่วนเกินทุน (capital gain) โดยนำกำไรที่ได้รับจากการขายคืนไปรวมเป็นเงินได้ของปีที่ขายคืนเพื่อเสียภาษีเงินได้ ซึ่งในทางปฏิบัติเมื่อผู้ลงทุนขายคืน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมจะหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% ของกำไรส่วนเกินทุนไว้ก่อน และเมื่อผู้ลงทุนไปยื่นแบบเสียภาษีเงินได้ ก็จะคำนวณอีกครั้ง ว่าจะต้องจ่ายเงินภาษีเพิ่มอีก หรือไม่ อย่างไร



    2. กรณีที่ลงทุนตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป และมีการผิดเงื่อนไข

    • ต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับยกเว้นไปในช่วง 5 ปีย้อนหลัง (นับตามปีปฏิทิน)

    การชำระภาษีตาม 1. และ 2. ต้องชำระภายในเดือนมีนาคมของปีถัดจากปีที่ผิดเงื่อนไข และ/หรือ ขายคืนหน่วยลงทุน หากลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี



    จากเงื่อนไขทั้งหมด เป็นสิ่งที่ชี้ชัดว่า การสนับสนุนการลงทุนใน RMF ก็เพื่อต้องการให้เป็นการลงทุนระยะยาวจริงๆ ดังนั้น หากจะลงทุนใน RMF เราต้องมาตรวจสอบเงื่อนไขก่อนว่าเราสามารถทำในสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่คือ

    - ตอบตัวเองว่าต้องการออมเพื่อวัยเกษียณ

    -มีวินัยในการออมอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง และระยะยาว

    -รู้จักตัวเอง-รู้ว่ามีเป้าหมายการลงทุนเป็นแบบใด สามารถออมเงินได้มากน้อยเพียงไร และยอมรับความเสี่ยงในการลงทุนได้ขนาดไหน

    -รู้จักผลิตภัณฑ์-รู้ว่านโยบายการลงทุนของ RMF ที่สนใจจะลงทุนเป็นอย่างไร เช่น มีความเสี่ยงต่ำ ปานกลาง หรือสูง

    -พิจารณาผลงานของบริษัท คุณภาพในการให้บริการ รวมทั้งการคิดค่าธรรมเนียมจัดการและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ

    -เลือกลงทุนใน RMF ที่เหมาะสมกับตัวคุณ



    โดยสรุป ไม่ใช่เรื่องง่ายหากมนุษย์เงินเดือนจะลงทุนใน RMF หาก ไม่สามารถรับภาระและมีวินัยในการใช้จ่ายการลงทุนอย่างแท้จริง และหาก มนุษย์เงินเดือนมีการลงทุนในรูปแบบอื่นที่เป็นการลงทุนระยะยาวอยู่แล้ว ก็ต้องชั่งใจให้ดีว่า พร้อมหรือไม่ที่จะลงทุนระยะยาวแบบ RMF………..



    ขอบคุณแหล่งข้อมูล

    -http://www.start-to-invest.com/webedu/content.html?menu_id=82-

    -http://www.aimc.or.th/#2-

    -http://www.bfiia.org/index.php?lay=show&ac=article&Id=359633&Ntype=2-
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ภาษีและการบริหารการเงิน[ซีรีส์]
    ตอน ใครควรลงทุนใน LTF และลงทุนอย่างไร ?
    -http://money.sanook.com/342067/-

    ช่วงปลายปีแบบนี้ มีข้อเสนอข้อแนะนำการบริหารเงินเพื่อประโยชน์ทางภาษีกันมากมาย เพราะ เปิดศักราชใหม่มา ผู้มีเงินได้ต้องทำหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อคำนวณภาษีตามหน้าที่กันแล้ว .. และ ข้อเสนอที่เป็นที่นิยมมากที่สุดสำหรับมนุษย์เงินเดือนก็คือ ....การเสนอแนะให้ลงทุนระยะยาวเพื่อได้สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี โดยเฉพาะ การลงทุนใน กองทุน RMF และ LTF

    การยกประเด็นการลงทุนในกองทุนแฝด RMF และ LTF เพื่อประโยชน์ทางภาษี ถูกยกแต่ประเด็นประโยชน์ทางภาษีจนบางครั้งละเลย ไปว่า แท้จริง กองทุน RMF และ LTF คือ การลงทุนประเภทหนึ่งที่มีวัตถุประสงค์ของการลงทุน และเงื่อนไขที่ต้องเรียนรู้ทั้งในเรื่องความเสี่ยง และ รู้ว่า การลงทุนในกองทุนแฝดนี้ผลตอบแทนคือ อะไร...และใครควรลงทุนในกองทุนไหนอย่างไร

    วันนี้เรามาเริ่มที่ กองทุน LTF หรือ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ long-term equity fund ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่เกิดมาจากแนวคิดที่ต้องการส่งเสริมการลงทุนระยะยาวในหุ้นจดทะเบียนในตลาดรอง เช่น SET และ MAI เพื่อช่วยให้ตลาดทุนไทยมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น และยังช่วยสร้างวินัยในการออม ของผู้ลงทุนรายย่อยในระยะยาวมากยิ่งขึ้นด้วย

    จากหลักการของการจัดตั้ง LTF ชัดเจนว่าเป็นการลงทุนในตราสารทุน หรือชัดเจนคือลงทุนในหุ้น ซึ่งมีระยะเวลาเป็นตัวกำหนดชัดเจนว่า อย่างน้อย 5 ปี ปฏิทิน เพื่อให้ตรงกับวัตถุประสงค์การลงทุนระยะยาว ดังนั้นในการลงทุนผู้ลงทุนต้องเข้าใจว่าในการลงทุนกองทุนประเภทนี้ มีความเสี่ยงอยู่ด้วย และผลตอบแทนขึ้นอยู่กับฝีมือการบริหารของผู้จัดการกองทุนเป็นสำคัญ ว่าจะสามารถพิชิตตลาดได้มากน้อยเพียงใด

    นักลงทุนต้องคำนึงว่าตลอด 5 ปีผลตอบแทนที่ควรได้ควรเป็นเท่าไรจึงคุ้มกับการลงทุน โดยเปรียบเทียบกับการลงทุนอื่นๆ หรือ หากมีฝีมือ ก็ลงทุนเองอาจได้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนในกองทุนเล่านี้ก็ได้ เพราะ เมื่อลงทุนใน LTFแล้ว กรณีที่ผู้ลงทุนสั่งขายหรือสับเปลี่ยนระหว่างกองทุน LTF หน่วยลงทุนที่ซื้อก่อนจะถูกนำไปขายก่อน (First-In First-Out : FIFO) โดยผู้ลงทุนไม่สามารถกำหนดให้ บลจ.ขายหน่วยลงทุนก้อนอื่นที่ซื้อทีหลังได้ ตัวอย่างเช่น : ซื้อ LTF ในปี 2550 2551 2552 และ 2553 ต่อมาผู้ลงทุนต้องการขาย LTF บลจ.จะขายหน่วยลงทุนที่ซื้อในปี 2550 ก่อน และเรียงลำดับไปตามปีที่ซื้อก่อนเสมอ

    สำหรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีนั้น เงินที่ซื้อหน่วยลงทุนใน LTF จะได้รับยกเว้น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 15 % ของเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีในแต่ละปี และไม่เกิน 500,000 บาท ซึ่งเงื่อนไขนี้มีการปรับปรุงจากเดิมที่ได้รับการยกเว้นในการลงทุน LTF สูงสุด 15 % ของเงินได้ในแต่ละปี
    การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขนี้ทำให้ เงินที่ลงทุนใน LTF แล้วได้สิทธิเว้นภาษี 15 % จึงเป็นเงินได้หลักที่ไม่ได้รับสิทธิใดๆมาก่อน หรือง่ายๆคือ จากเงินเดือนเป็นหลัก ส่วนรายได้จากอื่นๆ เช่นเงินปั่นผลที่ได้สิทธิประโยชน์มาแล้วจะไม่สามารถนำมาเป็นฐานในการลงทุนได้อีก ส่วนกำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุน (capital gain) ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้

    ดังนั้น เมื่อเงื่อนไขของสิทธิประโยชน์ทางภาษีของ การลงทุนใน LTF คือฐานเงินเดือนเป็นหลัก แล้วเงินเดือนเท่าไรเป็นต้นไปจึงควรเริ่มต้นลงทุนใน LTF ...?

    ลองมาดูตัวอย่างของมนุษย์เงินเดือน โดยกำหนดเงื่อนไขว่าเป็นคนโสด ที่สามารถหักค่าลดหย่อยส่วนตัว ได้เพียงอย่างเดียวไม่นำค่าลดหย่อยอย่างอื่นมาคำนวณร่วมเพื่อความเข้าใจง่ายๆ กัน
    จากฐานของรายได้ที่ที่เสียภาษีตามเกณฑ์ของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นั้น ซึ่งเป็นภาษีแบบขั้นบันได โดยรายได้ 150,000 แรกได้รับการยกเว้น ดังโครงสร้างภาษีข้างล่างนี้

    "ดูที่รูป"

    หากท่านเป็นผู้มีเงินเดือน 20,000 บาท การคำนวณจะเป็นดังนี้ คือ

    รายได้พึงประเมินคือรายได้ทั้งปี เท่ากับ เงินเดือน 20,000 บาท x 12 เดือน = 240,000 บาท
    เงินได้สุทธิ หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน คือ 240,000 – 60,000 – 30,000 = 150,000 บาท
    ตามตัวอย่างนี้ เงินได้สุทธิที่นำมาคำนวณภาษีคือ 150,000 บาท ซึ่งจากฐานรายได้นี้ เท่ากับผู้มีเงินได้ไม่ต้องเสียภาษีเนื่องจากได้รับยกเว้น ภาษีตามโครงสร้างอยู่แล้ว ดังนั้น ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะลงทุนใน LTF เพื่อผลประโยชน์จากการลดหย่อยภาษี

    อีกตัวอย่าง หากเป็นผู้ที่มีเงินเดือน 25,000 บาท
    รายได้พึงประเมินคือรายได้ทั้งปีเท่ากับ 25,000 บาท x 12 เดือน = 300,000 บาท
    เงินได้สุทธิ หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนเท่ากับ 300,000 – 60,000 – 30,000 = 210,000 บาท
    ตามโครงสร้างรายได้ 150,000 บาทแรกได้รับยกเว้นดังนั้น
    ภาษีที่ต้องเสีย คือ 210,000 – 150,000 = 60,000 ซึ่งตามโครงสร้างต้องเสียภาษี ในอัตรา 5 %เท่ากับ 60,000 x 0.05 = 3,000 บาท


    และจากเงื่อนไขผลประโยชน์ที่จะได้รับสิทธิทางภาษีสูงสุด 15 % ของเงินได้พึงประเมินในการลงทุน LTF ดังนั้น ท่านสามารถคำนวณการลงทุนในLTF ดังนี้ คือ
    เงินได้พึงประเมิน 300,000 x 0.15 = 45,000 บาท
    นั่นคือสามารถซื้อกองทุน LTF ได้สูงสุด 45,000 บาท

    นี้คือ ตัวอย่างของการลงทุนในกองทุนยอดฮิต ที่ช่วงปลายปี จะมีการโปรโมทให้กับมนุษย์เงินเดือนเข้ามาลงทุน โดยพยายามบอกถึงประโยชน์ทางภาษีที่จะได้รับ แต่ที่จริงแล้ว หากท่านจะลงทุนในกองทุน ก็ต้องคำนึงในหลายๆด้าน ต้องรู้จักว่ากองทุนนั้นคืออะไร มีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง และผลประโยชน์ที่จะได้รับจริงๆคืออย่างไร
    ไว้ครั้งหน้าเรามาดูการลงทุนในกองทุนยอดฮิตอีกตัวหนึ่งคือ RMF ว่ามีเงื่อนไขอย่างไรประกอบการตัดสินใจในการลงทุน เพื่อการบริหารเงินและภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ

    ขอบคุณแหล่งข้อมูล

    -http://www.start-to-invest.com/-

    -http://www.aommoney.com/taxbugnoms-

    -http://www.fundfine.com/-
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • taxt2.jpg
      taxt2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      65 KB
      เปิดดู:
      115
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันครู
    -http://www.moe.go.th/PSD/Page%20Design/03_Teacher_Day/teather%20day/-

    ประวัติวันครู

    วันครูได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ พ.ศ. 2488 ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า คุรุสภาเป็นนิติบุคคลให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ให้ความเห็นเรื่องนโยบายการศึกษาและวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษาธิการ ควบคุม จรรยาและวินัยของครูรักษาผลประโยชน์ ส่งเสริมฐานะของครู จัดสวัสดิการให้ครูและครอบครัว ได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้และความสามัคคีของครู

    ด้วยเหตุนี้ในทุกปี คุรุสภาจะจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูจากทั่วประเทศแถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา และชักถามปัญหาข้อข้องใจต่างๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาเป็นผู้ตอบข้อสงสัย สถานที่ ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุมสามัคยาจารย์ หอประชุมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในระยะหลังใช้หอประชุมคุรุสภา

    ปี พ.ศ. 2499 ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภากิตติมศักดิ์ ได้กล่าวคำปราศรัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า

    "ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า เนื่องจากผู้เป็นครูมีบุญคุณ เป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าวันครูควรมี สักวันหนึ่งสำหรับให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายได้แสดงความเคารพ สักการะต่อบรรดาครูผู้มีพระคุณทั้งหลาย เพราะเหตุว่าสำหรับ คนทั่วไปถ้าถึงวันตรุษ วันสงกรานต์ เราก็นำเอาอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือครูผู้เสียสละ ทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง"

    จากแนวความคิดนี้ กอปรกับความเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่นๆ ล้วนเรียกร้องให้มีวันครูเพื่อให้เป็นวันแห่งการรำลึก ถึงความสำคัญของครูในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดี เพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นอันมากในปีเดียวกันที่ประชุมคุรุสภาสามัญประจำปีจึงได้พิจารณาเรื่องนี้และมีมติเห็นควรให้มีวันครูเพื่อเสนอ คณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพาจารย์ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครูและเพื่อส่งเสริม ความเข้าใจอันดีระหว่างครูกับประชาชน

    การจัดงานวันครูได้จัดเป็นครั้งแรกเมื่อ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดังกล่าวได้ ในส่วนกลางใช้สถานที่ของกรีฑาสถานแห่งชาติเป็นที่จัดงานวันครูนี้ได้กำหนดเป็นหลักการให้มีอนุสรณ์งานวันครูไว้แก่อนุชนรุ่นหลังทุกปี อนุสรณ์ที่สำคัญคือ หนังสือประวัติครู หนังสือที่ระลึกวันครู และสิ่งก่อสร้างเป็นถาวรวัตถุ

    การจัดงานวันครูได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกิจกรรมให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมตลอดเวลา ในปัจจุบันได้จัดรูปแบบ การจัดงานวันครูจะมีกิจกรรม 3ประเภทหลักดังนี

    กิจกรรมทางศาสนา
    พิธีรำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ ประกอบด้วยพิธีปฏิญาณตน การกล่าวคำระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์
    กิจกรรมเพื่อความสามัคคีระหว่างผู้ประกอบอาชีพครู ส่วนมากเป็นการแข่งขันกีฬาหรือการจัดงานรื่นเริงในตอนเย็น

    ความหมายของดอกไม้ต่าง ๆ ที่นิยมใช้ในการไหว้ครู

    ดอกมะเขือ เป็นดอกที่โน้มต่ำลงมาเสมอ ไม่ได้เป็นดอกที่ชูขึ้น คนโบราณจึงกำหนดให้เป็นดอกไม้สำหรับไหว้ครู ไม่ว่าจะเป็นครูดนตรี ครูมวย ครูสอนหนังสือ ก็ให้ใช้ดอกมะเขือนี้ เพื่อศิษย์จะได้อ่อนน้อมถ่อมตนพร้อมที่จะเรียนวิชาความรู้ต่าง ๆ นอกจากนี้มะเขือยังมีเมล็ดมาก ไปงอกงามได้ง่ายในทุกที่ เช่นเดียวกับ หญ้าแพรก

    หญ้าแพรก เป็นหญ้าที่เจริญงอกงาม แพร่กระจายพันธ์ ไปได้อย่างรวดเร็วมาก หญ้าแพรกดอกมะเขือจึงมีความหมายซ่อนเร้นอยู่ คนโบราณจึงถือเอาเป็นเคล็ดว่า ถ้าใช้หญ้าแพรกดอกมะเขือไหว้ครูแล้ว สติปัญญาของเด็กจะเจริญงอกงามเหมือนหญ้าแพรกและ ดอกมะเขือนั่นเอง


    ข้าวตอก เนื่องจากข้าวตอกเกิดจากข้าวเปลือกที่คั่วด้วยไฟอ่อน ๆ ให้ร้อนเสมอกันจนถึงจุดหนึ่งที่เนื้อข้างในขยายออก จนดันเปลือกให้แยกออกจากกัน ได้ข้าวสีขาวที่ขยายเม็ดออกบาน ซึ่งสามารถนำไปประกอบพิธีกรรม หรือทำขนมต่าง ๆ ได้ ดังนั้น ข้าวตอกจึงเป็นสัญลักษณ์ของความมีระเบียบวินัย หากใครสามารถทำตามกฎระเบียบ เอาชนะความซุกซนและความเกียจคร้านของตัวเองได้ ก็จะเหมือนข้าวตอกสีขาวที่ถูกคั่วออกจากข้าวเปลือก


    ดอกเข็ม เพราะดอกเข็มนั้นมีปลายแหลม สติปัญญาจะได้แหลมคมเหมือนดอกเข็ม และก็อาจเป็นได้ว่า เกสรดอกเข็มมีรสหวาน การใช้ดอกเข็มไหว้ครู วิชาความรู้จะให้ประโยชน์กับชีวิต ทำให้ชีวิตมีความสดชื่นเหมือนรสหวานของดอกเข็ม

    -------------------------------------------------


    คําขวัญวันครู 2559 ประวัติวันครูแห่งชาติ
    -http://hilight.kapook.com/view/19311-

    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    วันครู 2559 วันที่ 16 มกราคม วันครูแห่งชาติ เนื่องในวันครู เรามีบทความ ประวัติวันครู กลอนวันครู 2559 คําขวัญวันครู 2559 มาฝาก

    เดือนมกราคมเวียนมาถึงอีกครั้ง บรรดานักเรียนทั้งหลายคงจำกันได้ดีว่า วันที่ 16 มกราคมของทุกปีเป็นวันครู ที่กำหนดขึ้นเพื่อให้ลูกศิษย์ทั้งหลายระลึกถึงพระคุณของครูบาอาจารย์ที่ได้สอนสั่งอบรมวิชาให้เรา วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาไปทำความรู้จักถึงความหมายของครู ประวัติวันครู ความเป็นมาเกี่ยวกับวันครู และ คําขวัญวันครู 2559 มาฝากค่ะ

    ความหมายของครู

    ครู หมายถึง ผู้สั่งสอนศิษย์ หรือ ผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ศิษย์ ซึ่งมีผู้กล่าวว่ามาจากคำว่า ครุ (คะ-รุ) ที่แปลว่า "หนัก" อันหมายถึง ความรับผิดชอบในการอบรมสั่งสอนของครูนั้น นับเป็นภาระหน้าที่ที่หนักหนาสาหัสไม่น้อย กว่าคน ๆ หนึ่งจะเติบโตเป็นผู้มีวิชาความรู้ และเป็นคนดีของสังคม ผู้เป็น "ครู" จะต้องทุ่มเทแรงกายและแรงใจไม่น้อยไปกว่าพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเลย ซึ่งในชีวิตของคน ๆ หนึ่ง นอกเหนือไปจากพ่อแม่ซึ่งเปรียบเสมือน "ครูคนแรก" ของเราแล้ว การที่เด็ก ๆ จะดำรงชีพต่อไปได้ในสังคม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมี "ครู" ที่จะประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ เพื่อปูพื้นฐานไปสู่หนทางทำมาหากินในภายภาคหน้าด้วย ดังนั้น "ครู" จึงเป็นบุคคลสำคัญที่เราทุกคนควรจะได้แสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อท่าน

    ความสำคัญของครู

    ในชีวิตของคนเราถือว่า บิดามารดา เป็นผู้มีพระคุณอันสูงสุด เพราะท่านเป็นผู้ให้ชีวิต ให้ความรัก ให้ความเมตตา มีความห่วงใย และเสียสละเพื่อลูก นอกจาก บิดามารดา แล้ว ก็มีครูเป็นผู้มีพระคุณคล้าย บิดามารดา คือ เป็นผู้อบรมสั่งสอนถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ รวมทั้งให้ความรัก ความเมตตาต่อศิษย์ทุกคน นับได้ว่าครูเป็นผู้เสียสละที่ไม่แพ้บุพการี

    ครูจึงนับเป็นปูชนียบุคคลที่มีความสำคัญอย่างมาก ในการให้การศึกษาเรียนรู้ ทั้งในด้านวิชาการ และประสบการณ์ ตลอดเป็นผู้มีความเสียสละ ดูแลเอาใจใส่ สั่งสอนอบรมให้เด็กได้พบกับแสงสว่างแห่งปัญญา อันเป็นหนทางแห่งการประกอบอาชีพเลี้ยงดูตนเอง รวมทั้งนำพาสังคมประเทศชาติ ก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ฉะนั้นวันที่ 6 ตุลาคม จึงได้เป็นวันครูสากล เพื่อคนที่เป็นครูทั่วโลกที่เสียสละนำพาเราทุก ๆ คน ไปถึงฝั่งฝันนั่นเอง


    วันครู 2557 ประวัติวันครูแห่งชาติ

    ประวัติความเป็นมาวันครู

    วันครู ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อปี พ.ศ. 2488 ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า คุรุสภา เป็นนิติบุคคลให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกัน ก็ทำหน้าที่ให้ความเห็นเรื่องนโยบายการศึกษา และวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษาธิการ ควบคุมจรรยาและวินัยของครู รักษาผลประโยชน์ ส่งเสริมฐานะของครู จัดสวัสดิการให้ครู และครอบครัวได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้ และความสามัคคีของครู

    ทุกปีคุรุสภาจะจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูทั่วประเทศแถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา และซักถามปัญหาข้อข้องใจต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภา เป็นผู้ตอบข้อสงสัย สถานที่ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุมสามัคคยาจารย์ หอประชุมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในระยะหลังใช้หอประชุมคุรุสภา

    พ.ศ. 2499 ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป.พิบูล สงคราม นายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภากิตติศักดิ์ ได้กล่าวคำปราศรัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า

    "ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า เนื่องจากผู้เป็นครูมีบุญคุณเป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่า วันครู ควรมีสักวันหนนึ่งสำหรับให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายได้แสดงความเคารพสักการะต่อวันสงกรานต์ เราก็นำเอาอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือครูผู้เสียสละทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง"

    จากแนวความคิดนี้ กอปรกับความเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่น ๆ ที่ล้วนเรียกร้องให้มีวันครูเพื่อให้เป็นวันแห่งการรำลึกถึงความสำคัญของครูในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดีเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นอันมาก ในปีเดียวกันที่ให้มีวันครูเพี่อเสนอคณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพจารย์ ส่งเสริมความสามัคคีธรรมระหว่างครูและพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างครูกับประชาชน

    คณะมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2499 ให้วันที่ 16 มกราคมของทุกปีเป็น วันครู โดยถือเอาวันที่ประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2488 เป็น วันครู และให้กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดังกล่าว

    งานวันครูได้จัดเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 ในส่วนกลางใช้สถานที่ของกรีฑาสถานแห่งชาติเป็นที่จัดงาน ได้กำหนดเป็นหลักการให้มีอนุสรณ์งานวันครูไว้แก่อนุชนรุ่นหลังทุกปี อนุสรณ์ที่สำคัญ คือ หนังประวัติครู หนังสือที่ระลึกวันครู และสิ่งก่อสร้างที่เป็นถาวรวัตถุ

    คำขวัญวันครู

    คำขวัญวันครู 2559 เจ้าของคำขวัญ : พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

    "อนาคตก้าวไกล ด้วยครูดี มีคุณภาพ"

    คำขวัญวันครู 2558 เจ้าของคำขวัญ : เด็กหญิงอนุสรา ชื่นบาล

    "เกียรติครูยิ่งใหญ่ น้อมใจบูชา เลิศล้ำคุณค่า ศรัทธาพระคุณ"

    คำขวัญวันครู 2557 เจ้าของคำขวัญ : นายธีธัช บรรณะทอง

    "เทิดพระเกียรติทั่วหล้า กตัญญูบูชา แม่และครูแห่งแผ่นดิน"

    คำขวัญวันครู 2556 เจ้าของคำขวัญ : นายสะอาด สีหภาค

    "แปดสิบพรรษา พระราชินี ราษฏร์รัฐภักดี ครูศรีแผ่นดิน"

    คำขวัญวันครู 2555 เจ้าของคำขวัญ : นางสาวขนิษฐา อุตรโส

    "บูชาครูแห่งแผ่นดิน จอมปราชญ์ศาสตร์ศิลป์ สยามินทร์ ภูมิพล"

    คำขวัญวันครู 2554 เจ้าของคำขวัญ : นางกนกอร ภูนาสูง

    "เทิดพระเกียรติทั่วหล้า บูชาครูของแผ่นดิน ภูมินทร์ภูมิพล"

    คำขวัญวันครู 2553 เจ้าของคำขวัญ : นายกันทา วงศ์จันทร์ทิพย์

    "น้อมจิตวันทา บูชาคุณครู กตัญญูกตเวที"

    คำขวัญวันครู 2552 เจ้าของคำขวัญ : นางนฤมล จันทะรัตน์

    "ครูสร้างคนดี เป็นศรีแผ่นดิน ทั่วถิ่นศรัทธา บูชาคุณครู"

    คำขวัญวันครู 2551 เจ้าของคำขวัญ : นางพงษ์จันทร์ สุขเกษม

    "ครูของแผ่นดิน เลิศศิลป์ศาสตร์ มหาราชภูมิพล ชนบูชา"

    คำขวัญวันครู 2550 เจ้าของคำขวัญ : นางสาวศันสนีย์ แสนโรจน์

    "สิบหกมกรา เทิดทูน พ่อแผ่นดิน ภูมินทร์บรมครู"

    คำขวัญวันครู 2549 เจ้าของคำขวัญ : นางพรรณา คงสง

    "ครูดีเป็นศรีแผ่นดิน ศิษย์ทั่วถิ่นศรัทธาบูชาครู"

    คำขวัญวันครู 2548 เจ้าของคำขวัญ : นายประจักษ์ หัวใจเพชร

    "ครูสร้างคนสร้างชาติด้วยศาสตร์ศิลป์ ทั่วแผ่นดินศรัทธาบุชาครู"

    คำขวัญวันครู 2547 เจ้าของคำขวัญ : นางสาวพรทิพย์ ศุภกา

    "ครู คือ พลังสร้างแผ่นดิน ไทยทุกถิ่นน้อมบูชาพระคุณครู"

    คำขวัญวันครู 2546 เจ้าของคำขวัญ : นางสมปอง สายจันทร์

    "ครูให้ความรู้ ควบคู่จรรยา ปวงชนทั่วหล้า น้อมบูชาครู"

    คำขวัญวันครู 2545 เจ้าของคำขวัญ : นายสุเทพ วิเศษศักดิ์ศรี

    "สร้างคนสร้างชาติ สร้างศาสตร์ก้าวหน้า สร้างภูมิปัญญา ขอบูชาครู"

    คำขวัญวันครู 2544 เจ้าของคำขวัญ : นางสาวสุทิสา ธนบดีไพบูลย์

    "พระคุณครูยิ่งใหญ่ สร้างไทยให้พัฒนา ขอบูชาคุณครู

    คำขวัญวันครู 2543 เจ้าของคำขวัญ : นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล และนายประจักษ์ เสตเตมิ

    "ครูต้องมีจิตวิญญาณของความเป็นครู และประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี"

    "สร้างชาติ สร้างคน ผลงานของครู ทั่วโลกรับรู้ เชิดชูบูชา"

    คำขวัญวันครู 2542 เจ้าของคำขวัญ : นายปัญจะ เกสรทอง และนางเซียมเกียว แซ่เล้า

    "ครูเป็นผู้เบิกทางแห่งปัญญา"

    "ครูชี้ทางสร้างสรรค์ภูมิปัญญา ชนเชิดบูชาพระคุณครู"

    คำขวัญวันครู 2541 เจ้าของคำขวัญ : นายชุมพล ศิลปอาชา

    "ครูเป็นผู้นำทางปัญญา ชี้นำประชาธิปไตย สร้างเด็กไทยให้เป็นคนดี"

    คำขวัญวันครู 2540 เจ้าของคำขวัญ : นายสุขวิช รังสิตพล

    "ครูสร้างศิษย์ ด้วยมิตรและน้ำใจ ครูคือผู้ให้ เพื่อเยาวชนไทยได้พัฒนา"

    คำขวัญวันครู 2539 เจ้าของคำขวัญ : นายสุขวิช รังสิตพล

    "ครู เป็นหัวใจของการพัฒนาคน"

    คำขวัญวันครู 2538 เจ้าของคำขวัญ : นายสัมพันธ์ ทองสมัคร

    "อุทิศเวลา รักษาคุณธรรม ชี้นำประชาธิปไตย สร้างเด็กไทยให้เป็นคนดี"

    คำขวัญวันครู 2537 เจ้าของคำขวัญ : นายสัมพันธ์ ทองสมัคร

    "ครู คือ ผู้มีคุณธรรม ชี้นำประชาธิปไตย สร้างเด็กไทยให้เป็นคนดี"

    คำขวัญวันครู 2536 เจ้าของคำขวัญ : นายสัมพันธ์ ทองสมัคร

    "ครู คือ นักพัฒนา และรักษาสิ่งแวดล้อม"

    คำขวัญวันครู 2535 เจ้าของคำขวัญ : ดร.ก่อ สวัสดิ์พาณิชย์

    "ครู คือ ผู้ให้ ผู้สร้าง ผู้พัฒนา และผู้นำเยาวชนของชาติ

    คำขวัญวันครู 2534 เจ้าของคำขวัญ : พลเอก มานะ รัตนโกเศศ

    "ครู คือ ผู้สร้างสรรค์ให้เยาวชนของชาติเป็นพลเมืองดี"

    คำขวัญวันครู 2533 เจ้าของคำขวัญ : พลเอก มานะ รัตนโกเศศ

    "ครู คือ ผู้อุทิศทั้งชีวิตและจิตใจ ส่งเสริมเพิ่มพูนให้เยาวชนเป็นคนดี

    คำขวัญวันครู 2532 เจ้าของคำขวัญ : พลเอก มานะ รัตนโกเศศ

    "ครูดี มีจรรยา มุ่งค้นคว้าเพื่อพัฒนาเด็กไทย"

    คำขวัญวันครู 2531 เจ้าของคำขวัญ : นายมารุต บุญนาค

    "ครูเป็นผู้สร้าง ครูเป็นผู้ให้ความหวัง ครูเป็นพลังให้ศิษย์เป็นคนดี"

    คำขวัญวันครู 2530 เจ้าของคำขวัญ : นายมารุต บุญนาค

    "ครูดีมีวินัย และคุณธรรม ย่อมน้อมให้เยาวชนเป็นพลเมืองดี"

    คำขวัญวันครู 2529 เจ้าของคำขวัญ : นายชวน หลีกภัย

    "ครู คือ ผู้พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณค่าต่อการพัฒนาชาติให้ก้าวหน้าและอยู่รอดปลอดภัย"

    คำขวัญวันครู 2528 เจ้าของคำขวัญ : นายชวน หลีกภัย

    "การที่บุคคลหนึ่งจะดำรงชีวิตได้อย่างดีนั้นมิใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะผู้เป็นครูมีแนวปฏิบัติที่ยากยิ่ง เป็นสิ่งน่าเห็นใจที่ครูจะต้องปฏิบัติโดยยึดถือความดี มีคุณธรรมระดับสูงกว่าบุคคลทั่วไป แต่ก็น่าภาคภูมิใจ เมื่อครูผู้ปฏิบัตินั้น ได้รับความเชื่อถือ ศรัทธา และยอมรับจากสังคมมากขึ้น จึงขอให้เพื่อนครูทุกท่านปฏิบัติตนด้วยความเสียสละ อดทน ยึดถือความดี มีคุณธรรมเพื่อจะบังเกิดผลดีแก่ตนเอง ชุมชน และประเทศชาติสืบไป"

    คำขวัญวันครู 2527 เจ้าของคำขวัญ : นายชวน หลีกภัย

    "ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ 2527 ผมขอให้เพื่อนครูที่รักทั้งหลายและสมาชิกคุรุสภาทุกท่าน ประสบความสุขสิริสวัสดิ์พิพัฒน์มงคล สัมฤทธิ์ผลอันพึงปรารถนาตลอด"

    คำขวัญวันครู 2526 เจ้าของคำขวัญ : ดร.เกษม ศิริสัมพันธ์

    "อนาคตของเด็กไทย อยู่ที่ความเอาใจใส่ของครูทุกคน"

    คำขวัญวันครู 2525 เจ้าของคำขวัญ : ดร.เกษม ศิริสัมพันธ์

    "ครูนั้น สังคมยกย่องนับถือว่าเป็นปูชนียบุคคล ทั้งนี้เพราะว่าครูเป็นผู้เสียสละยึดมั่นในคุณงามความดี และความถูกต้อง จีงขอให้รักษาความดีนี้ตลอดไป"

    คำขวัญวันครู 2524 เจ้าของคำขวัญ : ดร.สิปปนนท์ เกตุทัต

    "ครูที่แท้ต้องทำแต่ความดี ประพฤติปฏิบัติในระเบียบแบบแผน อันสมควรกับเกียรติภูมิของตน มีความรักในลูกศิษย์และอบรมปัญญาให้ลูกศิษย์มีความสมบูรณ์ทั้งทางด้านวิชาการความฉลาดรอบรู้ในเหตุและผล ทางด้านคุณธรรม จริยธรรม และทางด้านพลานามัย"

    คำขวัญวันครู 2522 เจ้าของคำขวัญ : ดร.ก่อ สวัสดิ์พาณิชย์

    "เป็นครูต้องยึดถือคุณธรรมของครู"

    คำขวัญวันครู 2521 เจ้าของคำขวัญ : นายแพทย์บุญสม มาร์ติน

    "การให้การศึกษาแก่คนในชาติ เป็นกระบวนการที่ต้องทำต่อเนื่องกันไปตลอดชีวิต ดังนั้นจึงต้องระดมสรรพกำลังหลาย ๆ ด้านมาช่วยเหลือการศึกษา ปัจจัยที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะขาดเสียมิได้ก็คือ ครูซึ่งจะเป็นผู้ผลักดันให้ทุกอย่างไปสู่เป้าหมายได้ ฉะนั้นท่านทั้งหลายคงตระหนักถึงหน้าที่อันมีเกียรตินี้ ในโอกาสที่วันสำคัญอย่างยิ่งของครูได้เวียนมาบรรจบครบรอบอีกวาระหนึ่ง ข้าพเจ้าในนามของกระทรวงศึกษาธิการและประธานอำนวยการคุรุสภา ขอส่งความปรารถนาดีและความระลึกถึงเพื่อนครูทุกท่าน ทั้งนอกและในราชการขอจงประสบแต่ความสุขความเจริญโดยทั่วกัน และขอได้โปรดตระหนักถึงหน้าที่ ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีของครูที่ดีสืบไป"


    การจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมในวันครู

    เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจในบทบาท และหน้าที่ของครู ตลอดจนจรรยามารยาทและวินัยตามระเบียบประเพณีครู และบทบาทหน้าที่ของศิษย์ที่พึงปฏิบัติต่อครู คลอดจนการจัดกิจรรมได้เหมาะสม และมีประสิทธภาพ


    วันครู 2557 ประวัติวันครูแห่งชาติ

    กิจกรรมวันครู

    การจัดงานวันครูได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกิจกรรมให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมตลอดเวลาในปัจจุบันได้จัดรูปแบบการจัดงานวันครูจะมีกิจกรรม 3 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้

    1. กิจกรรมทางศาสนา

    2. พิธีรำลึกพระคุณบูรพาจารย์ ประกอบด้วยพิธีปฏิญาณตนการกล่าวคำระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์

    3. กิจกรรมเพื่อความสามัคคีระหว่างผู้ประกอบอาชีพครู ส่วนมากเป็นการแข่งขันกีฬา หรือการจัดงานรื่นเริงในตอนเย็น


    ปัจจุบันการจัดงานวันครู ได้มีการกำหนดให้จัดพร้อมกันทั่วประเทศ สำหรับส่วนกลางจัดที่หอประชุมคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการจัดงานวันครู ซึ่งมีปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน ประกอบด้วย บุคคลหลายอาชีพร่วมกันเป็นผู้จัด สำหรับส่วนภูมิภาคมอบให้จังหวัดเป็นผู้ดำเนินการ โดยตั้งคณะกรรมการจัดงานวันครูขึ้นเช่นเดียวกับ ส่วนกลางจะจัดรวมกันที่จังหวัดหรือแต่ละอำเภอ

    รูปแบบการจัดงานในส่วนกลาง (หอประชุมคุรุสภา) พิธีจะเริ่มตั้งแต่เช้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภา คณะกรรมการอำนวยคุรุสภา คณะกรรมการการจัดงาน วันครู พร้อมด้วยครูอาจารย์และประชาชนร่วมกันใส่บาตรพระสงฆ์จำนวน 1,000 รูป

    หลังจากนั้นทุกคนที่มาร่วมงานจะเข้าร่วมพิธีในหอประชุมคุรุสภา นายกรัฐมนตรีเดินทางมาเป็นประธานในงาน ดนตรีบรรเลงเพลงมหาฤกษ์ นายกรัฐมนตรีบูชาพระรัตนตรัย ประธานสงฆ์ให้ศีล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวรายงานต่อนายกรัฐมนตรีกล่าวนำพิธีสวดคำฉันท์รำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์

    จากนั้นประธานจัดงาน วันครู จะเชิญผู้ร่วมประชุมยืนสงบ 1 นาที เพื่อรำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ที่ล่วงลับไปแล้ว ต่อด้วยครูอาวุโสในประจำการ ผู้นำร่วมประชุมกล่าวปฏิญาณ

    กลอนวันครู
    -http://poem.kapook.com/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9-

    คำสอนของครู

    พระคุณครู มากเหลือ คณานับ

    คอยบอกรับ ช่วยศิษย์ ให้ได้ดี

    ทุกคำสอน ของครู ในวันนี้

    จะเป็นที่ ยึดเหนี่ยว ในใจเอย


    ขอขอบคุณ กลอนวันครู โดยคุณ Poly



    กลอนวันครู แด่...คุณครูผู้ให้

    แด่คุณครูผู้ให้ของลูกศิษย์

    ที่อุทิศชีวิตคอยพร่ำสอน

    ทั้งเมตตาห่วงใยเอื้ออาทร

    ขอให้พรดีทั้งหลายเกิดแด่ครู

    ขอขอบคุณ กลอนวันครู โดยคุณ raining



    กลอนวันครู ผู้ชี้ทางสว่าง

    คุณครูนั้น เปรียบเหมือน แสงเทียนไข

    อุทิศใจ มุ่งมั่น คอยปลูกฝัง

    ทั่งวิชา ความรู้ คอยสอนสั่ง

    ไม่ได้หวัง สิ่งใด มาตอบแทน


    ขอขอบคุณ กลอนวันครู โดยคุณ Ploy



    กลอนวันครู จากใจให้ศิษย์

    ทุกคำสอน จากใจ หวังให้ศิษย์
    ได้พิชิต ความฝัน ที่วาดไว้
    แม้จะยาก เหน็ดเหนื่อย สักเท่าใด
    ครูภูมิใจ เห็นศิษย์ ถึงฝั่งฝัน


    ขอขอบคุณ กลอนวันครู โดยคุณ พลอย



    ครู

    การเป็นครูไม่ได้อยู่ที่ประเมิน

    อยู่ที่เดินด้วยจิตคิดสร้างสรรค์

    เป็นครูด้วยอุดมการณ์นั้นสำคัญ

    ต้องมุ่งมั่นปลูกฝังให้ศิษย์ดี

    ศิษย์ทุกคนมีความเก่ง เร่งช่วยหา

    สอนวิชา ศึกษาจิต คิดช่องชี้

    ให้เขาได้เรียนรู้ถูกวิธี

    ทุกคนมี วิชาหาเลี้ยงตัว

    อย่ามัวเน้นกลุ่มน้อยให้เป็นเลิศ

    ปล่อยให้เกิดปัญหาน่าปวดหัว

    คนไม่เก่งถูกทิ้งให้มืดมัว

    ทำเรื่องชั่วเพราะโง่เขลาเบาปัญญา

    อยากให้มีคุณครูอยู่คู่ศิษย์

    ให้มีจิตรักงานการศึกษา

    ศิษย์คือผู้ประเมินทุกเวลา

    ศิษย์กลับมาเป็นคนดีศักดิ์ศรีครู..

    *************






    •ถึงจะกราบด้วยเต็มใจหรือไม่นั้น แต่ตัวฉันไม่คิดเกี่ยงเลี่ยงไฉน

    จะตบไหล่ด้วยเมตตาพาเจ้าไป พยุงให้รอดถึงฝั่งดังต้องการ



    ขอขอบคุณ กลอนวันครู โดยคุณ -




    •ถึงจะกราบด้วยเต็มใจหรือไม่นั้น แต่ตัวฉันไม่คิดเกี่ยงเลี่ยงไฉน

    จะตบไหล่ด้วยเมตตาพาเจ้าไป

    พยุงให้รอดถึงฝั่งที่ต้องการ






    กลอนวันครู คิดถึงครู

    คิดถึงครู

    เคยร้องไห้ เพราะครูตี ที่ทำผิด

    น้ำตาศิษย์ พรั่งพรู ครูพร่ำสอน

    ทั้งสอนไป ตีไป ไม่ขาดตอน

    ครูเฝ้าวอน ย้อนย้ำ ให้ทำดี



    ครูนั้นคือ แบบอย่าง ที่สร้างศิษย์

    ครูคือมิตร ยามพลาดพลั้ง ไม่ห่างหนี

    ครูผู้ให้ ความเมตตา เปี่ยมปรานี

    ครูผู้มี คุณธรรม ชี้นำคน



    ผ่านชีวิต มาได้ ด้วยใจสู้

    เพราะคำครู สอนใจ ให้เหตุผล

    ความสำเร็จ ปรากฏ ด้วยอดทน

    พระคุณล้น เหลือล้ำ เกินรำพัน



    ถึงใครเห็น ครูเป็น เช่นเรือจ้าง

    แต่ครูสร้าง ทางชีวิต ศิษย์ยึดมั่น

    นานหลายปี พลัดพราก จากไกลกัน

    ใจศิษย์นั้น ยังคำนึง คิดถึงครู

    นพ นิตย์มาลัย 16 ม.ค 2556(วันครูแห่งชาติ)


    ขอขอบคุณ กลอนวันครู โดยคุณ นพ นิตย์มาลัย



    กลอนวันครู กลอน ของ ครู

    คนเป็นครู มิใช่ เป็นคนเก่
    แต่ต้องเป็น ที่พึ่ง ยามผิดหวัง
    คนเป็นครู มิได้ อยากเด่นดัง
    แต่ต้องให้ ความหวัง เยาวชน
    คนเป็นครู ไม่คุยอวด เรื่องตัวเอง
    ถ้าอยากเก่ง ต้องส่งให้ ศิษย์แข่งขัน
    รางวัลใหญ่ หาใช่ ถ้วยรางวัล
    คือศิษย์นั้น เป็นคนดี ของสังคม

    อ่านต่อ...




    กลอนวันครู

    ผองข้าขอยอเยินครูผู้ประเสริฐ

    น้ำใจเลิศสอนศิษย์รู้สู้ปัญหา

    ดั่งแสงทองส่องสว่างสร้างปัญญา

    น้อมบูชาด้วยดวงจิตศิษย์กราบกราน

    อ่านต่อ...

    ขอขอบคุณ กลอนวันครู โดยคุณ -



    คำปฏิญาณตนของครู

    ข้อ 1 ข้าจะบำเพ็ญตน ให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นครู

    ข้อ 2 ข้าจะตั้งใจฝึกสอนศิษย์ให้เป็นพลเมืองดีของชาติ

    ข้อ 3 ข้าจะรักษาชื่อเสียงของคณะครู และบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม

    จากนั้นพระสงฆ์เจริญชัยมงคล แล้วต่อด้วยนายกรัฐมนตรี มอบรางวัลครูดีเด่นประจำปี มอบของที่ระลึกให้ครูอาวุโสนอก และในประจำการ สุดท้ายกล่าวปราศรัยกับคณะครูที่มาประชุม

    "ข้าจะบำเพ็ญตน ให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นครู ข้าจะตั้งใจฝึกสอนศิษย์ให้เป็นพลเมืองดีของชาติ ข้าจะรักษาชื่อเสียงของคณะครู และบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม"

    มารยาทและวินัยตามระเบียบประเพณีของครู

    1. เลื่อมใสการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขด้วยความบริสุทธิ์ใจ

    2. ยึดมั่นในศาสนาที่ตนนับถือ ไม่ลบหลู่ดูหมิ่นศาสนาอื่น

    3. ตั้งใจสั่งสอนศิษย์และปฏิบัติหน้าที่ของตน ให้เกิดผลดีด้วยความเอาใจใส่ อุทิศเวลาของตน ให้แก่ศิษย์ จะละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่การงานไม่ได้

    4. รักษาชื่อเสียงของตนมิให้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว ห้ามประพฤติการใด ๆ อันอาจทำให้เสื่อมเสียเกียรติและชื่อเสียงของครู

    5. ถือปฏิบัติตามระเบียบและแบบธรรมเนียมอันดีงามของสถานศึกษา และปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ซึ่งสั่งในหน้าที่การงานโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบแบบแผนของสถานศึกษา

    6. ถ่ายทอดวิชาความรู้โดยไม่บิดเบือนและปิดบังอำพราง ไม่นำหรือยอมให้นำผลงานทางวิชาการของตนไปใช้ในทางทุจริตหรือเป็นภัยต่อมนุษย์ชาติ

    7. ให้เกียรติแก่ผู้อื่นทางวิชาการ โดยไม่นำผลงานของผู้ใดมาแอบอ้างเป็นผลงานของตน และไม่เบียดบังใช้แรงงานหรือนำผลงานของผู้อื่นไป เพื่อประโยชน์ส่วนตน

    8. ประพฤติตนอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริต และปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความเที่ยงธรรมไม่แสวงหาประโยชน์สำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ

    9. สุภาพเรียบร้อยประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ รักษาความลับของศิษย์ ของผู้ร่วมงานและของสถานศึกษา

    10. รักษาความสามัคคีระหว่างครูและช่วยเหลือกันในหน้าที่การงาน

    รายชื่อประเทศที่มี วันครู

    ประเทศที่มี วันครู ที่ไม่ใช่วันหยุด

    - อินเดีย วันครูตรงกับวันที่ 5 กันยายน
    - มาเลเซีย วันครูตรงกับวันที่ 16 พฤษภาคม
    - ตุรกี วันครูตรงกับวันที่ 24 พฤศจิกายน

    ประเทศที่มี วันครู เป็นวันหยุด

    - แอลเบเนีย วันครูตรงกับวันที่ 7 มีนาคม
    - จีน วันครูตรงกับวันที่ 10 กันยายน
    - สาธารณรัฐเช็ก วันครูตรงกับวันที่ 28 มีนาคม
    - อิหร่าน วันครูตรงกับวันที่ 2 พฤษภาคม
    - ละตินอเมริกา วันครูตรงกับวันที่ 11 กันยายน
    - โปแลนด์ วันครูตรงกับวันที่ 14 ตุลาคม
    - รัสเซีย วันครูตรงกับวันที่ 5 ตุลาคม
    - สิงคโปร์ วันครูตรงกับวันที่ 1 กันยายน
    - สโลวีเนีย วันครูตรงกับวันที่ 28 มีนาคม
    - เกาหลีใต้ วันครูตรงกับวันที่ 15 พฤษภาคม
    - ไต้หวัน วันครูตรงกับวันที่ 28 กันยายน
    - ไทย วันครูตรงกับวันที่ 16 มกราคม
    - สหรัฐอเมริกา วันอังคารในสัปดาห์แรกที่เต็ม 7 วันในเดือนพฤษภาคม
    - เวียดนาม วันครูตรงกับวันที่ 20 พฤศจิกายน


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    -https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81-
    - เว็บคลังปัญญาไทย
    - สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
    - -kroobannok.com-
    - โรงเรียนศรีวิทยาปากน้ำ
    - คุรุสภา สภาครูและบุคลกรทางการศึกษา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มกราคม 2016
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
    ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
    -http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=25&A=6643&Z=6657&pagebreak=0-

    ๗. พรหมสูตร

    ๒๘๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตระกูลใด บุตรบูชามารดาและบิดาอยู่ใน
    เรือนของตน ตระกูลนั้นชื่อว่ามีพรหม มีบุรพเทวดา มีบุรพาจารย์ มีอาหุไนย
    บุคคล ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำว่าพรหม เป็นชื่อของมารดาและบิดา คำว่าบุรพ-
    *เทวดา เป็นชื่อของมารดาและบิดา คำว่าบุรพาจารย์ เป็นชื่อของมารดาและบิดา
    คำว่าอาหุไนยบุคคล เป็นชื่อของมารดาและบิดา ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะ
    มารดาและบิดาเป็นผู้มีอุปการะมาก เป็นผู้ถนอมเลี้ยง เป็นผู้แสดงโลกนี้แก่บุตร
    มารดาและบิดาเรากล่าวว่า เป็นพรหม เป็นบุรพาจารย์ เป็น
    อาหุไนยบุคคลของบุตร เพราะเป็นผู้อนุเคราะห์บุตร เพราะ
    เหตุนั้นแหละ บัณฑิตพึงนอบน้อมและพึงสักการะมารดาและ
    บิดาทั้งสองนั้น ด้วยข้าว น้ำ ผ้า ที่นอน การขัดสี การ
    ให้อาบน้ำ และการล้างเท้า บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญ
    บุคคลนั้นในโลกนี้ทีเดียว เพราะการปฏิบัติในมารดาและบิดา
    บุคคลนั้นละไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์

    จบสูตรที่ ๗

    เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ บรรทัดที่ ๖๖๔๓ - ๖๖๕๗. หน้าที่ ๒๙๓.
    -http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=25&A=6643&Z=6657&pagebreak=0-
    ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
    -http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=286-
    ศึกษาพระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลี อักษรไทย ได้ที่ :-
    [286] -http://budsir.mahidol.ac.th/cgi-bin/Budsir.cgi/SearchItem?mode=1&valume=25&item=286&Roman=0-
    สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕
    -http://84000.org/tipitaka/read/?สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่_๒๕-
    -http://84000.org/tipitaka/read/?index_25-


    บันทึก ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖
    การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจาก พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ.
    หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ DhammaPerfect@yahoo.com
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คำกล่าวไหว้ครู
    -https://www.gotoknow.org/posts/441993-

    (นำ) ปาเจราจริยาโหนติ คุณุตตรานุสาสกา
    สวดทำนองสรภัญญะ
    ข้าขอประณตน้อมสักการ(รับพร้อมกัน)

    บูรพคณาจารย์ผู้กอรปประโยชน์ศึกษา
    ทั้งท่านผู้ประสาทวิชา อบรมจริยา
    แก่ข้าในกาลปัจจุบัน
    ข้าขอเคารพอภิวันท์ ระลึกคุณอนันต์
    ด้วยใจนิยมบูชา
    ขอเดชกตเวทิตา อีกวิริยะพา
    ปัญญาให้เกิดแตกฉาน
    ศึกษาสำเร็จทุกประการ อายุยืนนาน
    อยู่ในศีลธรรมอันดี
    ให้ได้เป็นเกียรติเป็นศรี ประโยชน์ทวี
    แก่ชาติและประเทศไทยเทอญ ฯ
    (นำ) ปัญญาวุฒิกเร เต เต ทินโนวาเท นมามิหัง

    ความหมาย
    ปาเจราจริยา โหนติ คุณุตตรานุสาสกา
    ครูอาจารย์เป็นผู้ทรงคุณอันประเสริฐยิ่ง เป็นผู้พร่ำสอนศิลปวิทยา
    ปัญญาวุฒิ กเร เตเต ทินโนวาเท นมามิหัง
    ข้าพเจ้าขอนอบน้อมเหล่านั้น ผู้ให้โอวาท ผู้ทำให้ปัญญาเจริญ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้ครูอาจารย์เหล่านั้นด้วยความเคารพ
    ..... อ่านต่อได้ที่: -https://www.gotoknow.org/posts/441993-

    ------------------------------------------


    ปาเจราจริยาโหนติ
    https://www.youtube.com/watch?v=s83ntWreSfs
    -https://www.youtube.com/watch?v=s83ntWreSfs-
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    “5 ผู้ต้องธรณีสูบ” สมัยพุทธกาล
    -http://www.palungdham.com/t448.html-

    โดยทั่วไปเราทราบกันว่า ในสมัยพระพุทธองค์มีคนที่ทำความชั่วจนถูกธรณีสูบไป 1 คน คือ พระเทวทัต แต่ความจริงมีถึง 5 ซึ่งทุกคนล้วนแต่ก่อกรรมทำเข็ญมุ่งร้ายต่อพระพุทธองค์และสาวกของพระองค์ทั้งสิ้น

    พระเทวทัต เป็นพระเชษฐาของพระนางยโสธราพิมพา ชายาของเจ้าชายสิทธัตถะ ตามพระพุทธประวัติกล่าวว่า พระเทวทัตตามล้างตามผลาญพระพุทธองค์มาแล้วหลายชาติ

    แรกเริ่มนั้น เมื่อครั้งพระเทวทัตเกิดเป็นพ่อค้า พระพุทธองค์เสวยชาติเป็นพ่อค้าเช่นกัน ได้มีหญิงชราเป็นผู้ดีตกยากนำถาดทองสมบัติเก่าที่ยังเหลืออยู่ไปขายพระเทวทัต เพื่อจะหาเงินยังชีพ ด้วยนิสัยพ่อค้าที่คดด้วยเล่ห์ พระเทวทัตจึงบอกว่าถาดนั้นไม่ได้ทำด้วยทองแท้และตีราคาให้ต่ำ หญิงชราทราบดีว่าสมบัติเก่าของนางนั้นเป็นของมีค่า จึงไม่ยอมขายให้ พอดีกับพระพุทธองค์ขณะเสวยชาติเป็นพ่อค้าเสด็จผ่านมา หญิงชราจึงนำถาดทองเสนอขาย พระพุทธองค์เห็นว่าเป็นถาดที่ทำด้วยทองแท้ จึงให้ราคาสมกับค่าของถาด หญิงชราจึงได้ขายสมบัติชิ้นสุดท้ายนั้นให้พระพุทธองค์

    เรื่องนี้สร้างความโกรธแค้นแก่พระเทวทัตมาก เพราะถ้าไม่มีพระพุทธองค์ หญิงชราก็จำต้องขายให้ตนเพราะความยากจนบีบบังคับ พระเทวทัตจึงกำทรายขึ้นมา 1 กำมือ แล้วหว่านออกไปพร้อมกับประกาศว่า จะขอจองล้างจองผลาญพระพุทธองค์ไปทุกชาติ เท่ากับเม็ดทรายเม็ดละชาติ

    จากนั้นพระเทวทัตก็ติดตามจองเวรกับพระพุทธองค์มาหลายชาติ ชาติสุดท้ายก่อนเกิดเป็นพระเทวทัตจนถูกธรณีสูบ ได้เกิดเป็นชูชกขณะที่พระพุทธองค์เสวยชาติเป็นพระเวสสันดร

    ในชาติที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ พระเทวทัตก็มีจิตริษยาอาฆาตพระพุทธองค์มาแต่เยาว์วัย เมื่อพระพุทธองค์ทรงผนวช พระเทวทัตก็ออกผนวชด้วย และเมื่อพระพุทธองค์บรรลุพระโพธิญาณ พระเทวทัตก็สำเร็จโลกีย์ญาณ ได้อภิญญาสามารถแปลงกายและเหาะเหินเดินอากาศได้


    นายขมังธนูซึ่งพระเทวทัตส่งไปฆ่าพระพุทธองค์ ปลงอาวุธ ฟังธรรม สำเร็จมรรคผล

    แม้จะสำเร็จถึงขั้นนี้แล้ว พระเทวทัตก็ยังมุ่งประกอบการชั่วจองล้างจองผลาญพระพุทธองค์ตลอด ครั้งหนึ่งได้ส่งนายขมังธนูไปปลงพระชนม์ เพื่อจะตั้งตนเป็นพระศาสดาเสียเอง เมื่อไม่สำเร็จก็ยุยงให้พระเจ้าอชาติศัตรูที่เคยเลื่อมใสพระพุทธองค์ จนหลงผิดถึงขั้นปลงพระชนม์บิดาของตัวเอง และยังยุให้มอมเหล้าช้างนาฬาคีรีให้เมามันดุร้ายไปทำร้ายพระพุทธเจ้า ทั้งยังยุยงหมู่สงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ว่าพระองค์ยังพัวพันกับกิเลส มัวหมองในพรหมจรรย์ ฉันพระกระยาหารที่ปรุงด้วยเนื้อสัตว์ ขณะที่พระเทวทัตหันไปฉันมังสวิรัติ และโอ้อวดว่ามีพรหมจรรย์ที่เหนือกว่า

    ความชั่วร้ายต่างๆ ที่พระเทวทัตสะสมมาหลายชาติ ก็ได้บันดาลให้แผ่นดินลงโทษ เพราะไม่อาจจะแบกความชั่วไว้ได้ต่อไป แยกตัวออกสูบพระเทวทัตตกลงขุมนรกอเวจี หมกไหม้ไม่ได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป


    พิธีอภิเษกสมรส พระสิทธัตถะ กับ พระนางยโสธราพิมพา

    ส่วนคนที่ 2 ซึ่งถูกธรณีสูบในสมัยพุทธกาลก็คือ สุปปะพุทธะ ซึ่งเป็นพระราชบิดาของพระเทวทัตและพระนางยโสธราพิมพา พระชายาของเจ้าชายสิทธัตถะนั่นเอง เมื่อรู้ว่าพระเทวทัตถูกธรณีสูบเพราะจองล้างจองผลาญพระพุทธองค์ แทนที่สุปปะพุทธะจะสำนึกในบาปบุญคุณโทษ กลับมีจิตโกรธแค้นอาฆาต ทั้งยังโกรธแค้นเจ้าชายสิทธัตถะที่ทอดทิ้งธิดาของตนออกผนวช จึงนำอำมาตย์ข้าราชบริพารไปนั่งดื่มสุรา ขวางทางที่พระพุทธองค์จะออกโปรดเวไนยสัตว์ ทำให้พระพุทธองค์เสด็จดำเนินไม่ได้เพราะมีทางออกอยู่ทางเดียว ถึงกับต้องอดพระกระยาหารไป 1 วัน

    เมื่อพระอานนท์ทูลถามถึงความผิดของสุปปะพุทธะที่กระทำเช่นนั้น พระพุทธองค์ซึ่งทราบด้วยญาณ จึงตรัสว่า

    “ดูก่อนอานนท์ หลังจากนี้ไปได้เจ็ดวัน สุปปะพุทธะจะลงอเวจีตามเทวทัตไป”

    เมื่อสุปปะพุทธะทราบถึงพุทธดำรัส จึงขึ้นไปประทับบนชั้น 7 ของปราสาท ทั้งยังให้นายทวารคอยขัดขวางไว้ไม่ให้พระองค์ออกจากปราสาทใน 7 วัน

    สุปปะพุทธะประทับอยู่ในปราสาทชั้น 7 จนถึงวันที่ 7 ก็ได้ยินเสียงม้าแก้ว ซึ่งเป็นม้าที่ทรงโปรดร้องก้อง ด้วยความเป็นห่วงม้า สุปปะพุทธะจึงวิ่งลงมา เหล่านายทวารก็คิดว่าครบ 7 วันตามกำหนดแล้ว จึงไม่มีผู้ใดขัดขวางไว้

    พอสุปปะพุทธะก้าวพ้นปราสาท เหยียบพระบาทลงบนพื้น ธรณีก็เปิดออก สูบสุปปะพุทธะลงสู่ขุมนรกอเวจีตามพุทธดำรัสที่ทรงรู้ด้วยญาณ


    พระอุบลวรรณาเถรี

    รายที่ 3 ที่ถูกธรณีสูบอีกคนก็คือ นันทมานพ แม้จะมิได้ทำร้ายต่อพระพุทธเจ้าโดยตรง แต่ก็ได้ทำผิดขั้นร้ายแรงต่อพระอรหันต์

    เหยื่อของนันทมานพ ก็คือ ท่านอุบลวรรณาเถรี สตรีผู้มีโฉมงดงาม เป็นที่หมายปองของชายผู้พบเห็นตั้งแต่พระราชาและเศรษฐี คหบดีทั่วไป แต่ท่านอุบลวรรณาเถรีเบื่อหน่ายในโลกีย์สุข ต้องการหาความสงบตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จึงออกบรรพชาเป็นภิกษุณีตั้งแต่อายุได้ 16 ปี ในที่สุดก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์

    แม้ท่านอุบลวรรณาเถรีจะก้าวไปอยู่ในโลกแห่งความสงบ ปราศจากกิเลสใดๆ แล้ว แต่นันทมานพก็ยังฝังใจด้วยกิเลสตัณหา ปรารถนาจะลิ้มรสสวาทจากนางให้ได้ วันหนึ่งจึงไปแอบซุ่มอยู่ในป่าข้างกระท่อมที่ท่านอุบลวรรณา จำพรรษาอยู่ เมื่อเห็นว่าออกจากกระท่อมไปบิณฑบาตแล้ว นันทมานพก็เข้าไปซ่อนอยู่ใต้เตียง และเมื่อท่านอุบลวรรณฯ กลับมานันทมานพก็เข้าปลุกปล้ำ แม้ท่านอุบลวรรณฯ จะร้องให้คนช่วยก็ไม่มีใครได้ยิน เพราะอยู่ในป่าเปลี่ยววิเวก พระอรหันต์อุบลวรรณาเถรีจึงได้กล่าวกับนันทมานพหวังจะเตือนสติให้เขาสำนึกในการกระทำว่า

    “จงอย่าทำเช่นนี้เลย ความหายนะจะมาสู่ท่าน”

    นันทมานพก็หาฟังไม่ ปลุกปล้ำท่านอุบลวรรณฯ จนสำเร็จดังใจปรารถนา แต่พอเขาก้าวลงจากแคร่ ธรณีก็เปิดอ้าสูบลงไปในขุมนรกอเวจี เพราะกรรมที่เขาก่อกับพระอรหันต์นั้นหนักหนาสาหัสนัก

    การที่ท่านอุบลวรรณฯ ถูกกระทำเช่นนี้ เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของภิกษุ ภิกษุณี และพุทธบริษัททั้งปวงว่า เมื่อท่านอุบลวรรณฯ ได้รับการสัมผัสเช่นนี้ ย่อมจะฝืนความยินดีให้คล้อยตามไปด้วยยาก พระพุทธองค์จึงตรัสบอกกับพุทธสาวกว่า

    “พระอรหันต์นั้นเป็นเช่นเดียวกับไม้ผุ ไม่มีกิเลสและไม่มีความยินดีในกิเลส เฉกเช่นตุ๊กตาที่ไม่มีความปรารถนาในการสัมผัสฉันใด พระอรหันต์ก็เป็นฉันนั้น...”


    นางจิญจมาณวิกา ถูกธรณีสูบ

    รายที่ 4 ที่ถูกธรณีลงโทษเป็นหญิง และเป็นหญิงรายเดียวใน 5 รายที่ถูกธรณีสูบ ซึ่งได้ทำบาปกรรมต่อพระพุทธองค์โดยตรง นางนี้มีนามว่า จิญจมาณวิกา หลงผิดไปรับอาสาจากพวกปริพพาชก ผู้เชื่อถือศรัทธาในนิกายหนึ่ง ซึ่งเกิดความอิจฉาริษยาที่เห็นคนไปเคารพเชื่อถือในคำสอนของพระพุทธองค์ จึงว่าจ้างให้นางจิญจมาณวิกาแกล้งทำเป็นหญิงมีครรภ์ โดยเอาไม้กลึงนูนไปผูกรัดไว้ที่หน้าท้องในเสื้อผ้า ให้ดูเหมือนนางกำลังมีครรภ์ แล้วไปเต้นร้องต่อหน้าพระพุทธองค์ขณะที่กำลังเทศนาแก่สาวกว่า

    “ท่านสมณะโคดม จะมัวมาเทศน์หน้านวลอยู่ไย ทำให้ฉันมีครรภ์เช่นนี้มิดูแล อย่ามัวเทศน์โปรดสัตว์อยู่เลย จงไปตัดฟืนไว้ให้ฉันดีกว่า เมื่อเวลาคลอดลูกจะมิลำบาก”

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสดับจึงหยุดเทศนา กล่าวกับนางจิญจมาณวิกาด้วยท่าทีสงบว่า

    “ดูก่อนภักคินี เรื่องที่เธอกล่าวนั้น คนอื่นเขาไม่รู้ด้วยหรอก จะมีเธอกับฉันสองคนเท่านั้นที่รู้”


    พระอินทร์แปลงร่างเป็นหนู ไปกัดเชือกที่หน้าท้องของนางจิญจมาณวิกา

    เหล่าพุทธบริษัททั้งหลายที่ได้ฟังต่างก็สงสัย ด้วยพระพุทธองค์ก็มิได้ทรงปฏิเสธ ร้อนถึงพระอินทร์ต้องแปลงร่างเป็นหนู ไปกัดเชือกที่หน้าท้องของนางจิญจมาณวิกา เมื่อเชือกขาดไม้ที่ทำให้ท้องนูนเหมือนคนท้องจึงหลุดลงท่ามกลางสายตาของพุทธบริษัท นางตกใจวิ่งหนีไปแต่พอลับตา ธรณีก็สูบเอาลงขุมนรกอเวจีไปอีกราย

    นางจิญจมาณวิกาผู้นี้ เมื่อชาติก่อนเกิดเป็นนางอมิตตา ภริยาชูชก หรือพระเทวทัตที่จองเวรพระพุทธองค์มาหลายชาติ


    นันทยักษ์ เหาะขึ้นกลางอากาศแล้วใช้กระบองซึ่งเป็นอาวุธประจำตน ฟาดลงมาหมายเศียรของพระสารีบุตร

    ส่วนรายที่ 5 ที่ถูกธรณีสูบไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นยักษ์ มีนามว่า นันทยักษ์ ซึ่งมีฤทธิ์เดชมาก วันหนึ่ง นันทยักษ์ได้เหาะเหินเดินอากาศมากับเหมตายักษ์ ผู้เป็นสหาย ครั้นผ่านมาถึงที่พระสารีบุตร สาวกของพระพุทธองค์กำลังเข้านิโรธสมาบัติอยู่ ทำให้อากาศธาตุในบริเวณนั้นว่างเปล่า ยักษ์สองสหายไม่สามารถเหาะผ่านไปได้ นันทยักษ์ผู้มีนิสัยพาล ชาติก่อนก็อาฆาตผูกพยาบาทพระเถระไว้ จึงทำปาณาติบาต ต่อพระสารีบุตรด้วยสันดานพาล เหมตายักษ์ ได้ทัดทาน แต่นันทยักษ์ก็ไม่ฟัง เหาะขึ้นกลางอากาศแล้วใช้กระบองซึ่งเป็นอาวุธประจำตน ฟาดลงมาหมายเศียรของพระสารีบุตร ความแรงของอิทธิฤทธิ์นันทยักษ์ทำให้ภูเขาระเนระนาดไปถึง 100 ลูก แต่พระสารีบุตรซึ่งอยู่ในสมาธิหาเป็นอันตรายอย่างใดไม่ ยิ่งทำให้นันทยักษ์เกิดเร่าร้อนในอารมณ์ ตะโกนก้องไปทั่วทิศว่า

    “เราร้อน....เราร้อน”

    ทันใดก็ตกลงมาจากอากาศ พลันแผ่นดินก็เปิด สูบเอานันทยักษ์ลงขุมนรกอเวจีไปอีกราย นับเป็นรายที่ 5 ในสมัยพุทธกาล

    มาถึงยุคนี้แผ่นดินคลายความศักดิ์สิทธิ์ลง ไม่ได้สูบใครลงขุมนรกอเวจีอีก ไม่งั้นคนที่ทำลายพระศาสนา เช่น ตัดเศียรพระพุทธรูป ปล้นฆ่าพระสงฆ์คากุฏิ หรือว่าหรอกเงินพุทธบริษัทที่ศรัทธาเอาไปมีเมีย เคลมผู้หญิงในกุฏิ ก็คงถูกธรณีสูบลงขุมนรกอเวจีหมด หรือว่าธรณีจะมีวิธีลงโทษให้ตกนรกหมกไหม้ในวิธีอื่นก็ได้นะ
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    13 สัญญาณว่าคุณกำลังขาดวิตามินบี 1 รู้ให้ทัน ป้องกันการเสียชีวิต
    -http://health.kapook.com/view139280.html-

    การขาดวิตามินบี 1 สังเกตได้จากอาการเหน็บชา ทว่านอกจากนั้นแล้วยังอาจมีสัญญาณอันตรายต่อสุขภาพที่ควรต้องใส่ใจมากขึ้นก่อนจะสายเกินไปด้วย

    วิตามินบี 1 มีบทบาทความสำคัญที่มากกว่าหลาย ๆ คนเข้าใจ เพราะอย่างที่รู้กันว่าหากขาดวิตามินบี 1 ขึ้นมา โรคเหน็บชาจะเตือนให้เราต้องเติมวิตามินบี 1 ให้ร่างกายมากขึ้น ซึ่งสิ่งที่อยากให้รู้เพิ่มขึ้นอีกนิดก็คือ สัญญาณของการขาดวิตามินบี 1 ไม่ได้มีแค่อาการเหน็บชาเท่านั้น แต่ยังมีอาการอื่น ๆ ที่ต้องใส่ใจให้ดีด้วย ไม่อย่างนั้นภาวะขาดวิตามินบี 1 อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้เลย

    วิตามินบี 1 ช่วยอะไร ?

    บทบาทหน้าที่ของวิตามินบี 1 หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่าไธอะมิน (Thiamine) คือ ช่วยเสริมการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานร่างกาย ให้มีแรงทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ รวมทั้งยังมีส่วนสำคัญต่อระบบประสาท โดยเฉพาะในด้านนำกระแสความรู้สึกของเส้นประสาททุกส่วนในร่างกาย กระตุ้นการทำงานของหัวใจ และทางเดินทางอาหาร

    ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้ข้อมูลว่า ในคนปกติจะมีวิตามินบี 1 สะสมอยู่ในร่างกาย โดยเฉพาะในกล้ามเนื้อ และมีอยู่บ้างในสมอง หัวใจ ตับ ไต แต่หากเกิดภาวะขาดวิตามินเมื่อใด ร่างกายจะดึงเอาวิตามินที่สะสมไว้ในร่างกายออกมาใช้ ซึ่งจะหมดไปภายใน 1 เดือน และเริ่มมีอาการต่าง ๆ ปรากฏให้เห็น

    หากร่างกายเกิดภาวะขาดวิตามินบี 1 อาการเบื้องต้นเลยก็คือจะทำให้เป็นโรคเหน็บชา ซึ่งภาวะขาดวิตามินบี 1 สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน และยิ่งเกิดกับเด็กทารกยิ่งต้องระวัง เพราะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเสียชีวิตค่อนข้างสูง

    ร่างกายขาดวิตามิน

    ขาดวิตามินบี 1 อาการอะไรบอกได้บ้าง ?

    อาการขาดวิตามินบี 1 ที่สังเกตได้ชัดว่าร่างกายกำลังร้องหาวิตามินบี 1 สามารถดูได้จากสัญญาณดังต่อไปนี้

    1. อาการเหน็บชาปลายมือ ปลายเท้า อาจรู้สึกแปล๊บ ๆ ร่วมด้วย
    2. อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
    3. เบื่ออาหาร
    4. ท้องอืด ท้องผูก
    5. เป็นตะคริวบ่อยขึ้น
    6. ปวดน่อง
    7. แขนขาไม่มีแรง
    8. หอบเหนื่อย
    9. ปัสสาวะน้อยลง
    10. อารมณ์แปรปรวน
    11. น้ำหนักลด
    12. หัวใจเต้นผิดจังหวะ
    13. หัวใจล้มเหลว

    ทั้งนี้สัญญาณของการขาดวิตามินบี 1 จะขึ้นอยู่กับปริมาณการขาดวิตามินบี 1 ของแต่ละบุคคล ซึ่งหากมีภาวะขาดวิตามินบี 1 เพียงเล็กน้อย อาจเกิดโรคเหน็บชา และอ่อนเพลียให้รู้สึกบ้าง

    ทว่าในรายที่ขาดวิตามินบี 1 มาก จะมีอาการทางระบบประสาท เช่น แขนชา ขาชา อาจมีอาการทางสมอง ตากระตุก ตาเหล่ เดินเซ อาเจียน จนมีอาการซึม อาจกระทบไปถึงการทำงานของระบบหัวใจ ทำให้เกิดอาการหอบเหนื่อย เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวจนถึงแก่ชีวิตได้ หรือหากเลือดไปเลี้ยงส่วนใดของร่างกายไม่เพียงพอ ก็อาจเกิดปัญหาที่ระบบนั้น เช่น ไตวาย

    นอกจากนี้ยังควรต้องระวังภาวะขาดวิตามินบี 1 ในเด็กทารก ซึ่งพบบ่อยในเด็กทารกอายุประมาณ 2-3 เดือน ที่กินนมแม่ โดยที่แม่ก็มีภาวะขาดวิตามินบี 1 อยู่กับตัว ทำให้เด็กทารกได้รับวิตามินบี 1 ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายไปด้วย

    โดยสัญญาณขาดวิตามินบี 1 ในเด็กทารกอาจดูได้จากอาการหน้าเขียว หอบเหนื่อย ตัวบวม หัวใจเต้นเร็ว ร้องเสียงแหบหรือไม่มีเสียง ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที เด็กอาจเสียชีวิตได้ภายใน 2-3 ชั่วโมงเลยนะคะ

    ร่างกายขาดวิตามิน

    ขาดวิตามินบี 1 เกิดจากอะไร

    เราจะเกิดภาวะขาดวิตามินบี 1 ได้จากสาเหตุดังนี้ค่ะ

    การรับประทานวิตามินบี 1 ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งอาจเกิดจากภาวะอดอยาก หรือการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสัดส่วน ทำให้ได้สารอาหารไม่ครบถ้วน

    รับประทานอาหารที่มีสารทำลายวิตามินบี 1 มากกว่าอาหารที่มีวิตามินบี 1

    ภาวะทางสรีระวิทยา เช่น เด็กในวัยเจริญเติบโต หญิงมีครรภ์ หญิงให้นมบุตร หรือผู้ที่ทำงานหนัก ซึ่งร่างกายจะมีการเผาผลาญมากขึ้น ทำให้ต้องการวิตามินบี 1 เพิ่มขึ้นไปด้วย

    โรคเรื้อรัง อย่างโรคติดเชื้อ โรคพิษสุราเรื้อรัง การผ่าตัด ภาวะเครียด หรือผู้ที่มีภาวะการทำงานของต่อมไทรอยด์หนัก ๆ

    ภาวะร่างกายลดการดูดซึมวิตามินจากลำไส้ ซึ่งอาจเกิดได้กับผู้ที่มีอาการท้องร่วง ผู้ที่ขาดสารอาหารเรื้อรัง เป็นโรคตับเข็ง หรือกำลังใช้ยาขับปัสสาวะ

    ร่างกายขาดวิตามิน

    ขาดวิตามินบี 1 ต้องกินอะไร? หาทานได้จาก...

    ร่างกายจะได้รับวิตามินบี 1 จากธัญพืช ข้าวโพด ข้าวซ้อมมือ โฮลเกรนต่าง ๆ เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ ลูกเดือย ซีเรียล รวมทั้งเนื้อหมู ไข่แดง ตับ โยเกิร์ต นม มันฝรั่ง ส้ม มะเขือเทศ และถั่วชนิดต่าง ๆ

    ซึ่งนอกจากวิตามินบี 1 ที่หาได้จากอาหารเหล่านี้แล้ว ยังมีอาหารที่กินเข้าไปแล้วอาจจะต้านการรับวิตามินบี 1 เข้าสู่ร่างกายด้วย ซึ่งก็ควรต้องระวังด้วยค่ะ

    อาหารที่มีสารทำลายวิตามินบี 1

    แม้จะรับประทานอาหารที่มีวิตามินบี 1 เข้าไปมากแค่ไหน แต่หากกินอาหารที่มีสารทำลายวิตามินบี 1 เช่น ข้าวขัดสี มันสำปะหลัง เมี่ยง หมากพลู ปลาร้า ชา ปลาน้ำจืด หอยลาย หอยแมลงภู่ หอยกาบ อาหารดิบ ๆ เช่น กุ้งดิบ เนื้อสัตว์ดิบ มากเกินไป ร่างกายก็มีโอกาสเกิดภาวะขาดวิตามินบี 1 ได้เช่นกันนะคะ

    ดังนั้นหากสงสัยว่าตัวเองมีภาวะขาดวิตามินบี 1 ก็พยายามเลี่ยงอาหารเหล่านี้ไปก่อน และควรจะปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางเลือกอื่นในการเสริมธาตุอาหารสำคัญให้ร่างกายอย่างครบถ้วนและปลอดภัย

    การรักษาอาการขาดวิตามินบี 1 ทำได้โดย...

    รับประทานอาหารที่มีวิตามินบีสูง อย่างข้าวซ้อมมือไม่ขัดสี ไข่แดง ตับ เครื่องในสัตว์ โยเกิร์ต นม ถั่ว และพยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารทำลายวิตามินบี 1 อย่างหมาก พลู ชา ปลาร้า และปลาน้ำจืดบางชนิดด้วย

    ในเคสที่มีอาการโรคเหน็บชารุนแรง ทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก อาจรักษาอาการขาดวิตามินบี 1 ได้ด้วยการฉีดไธอะมินปริมาณสูงสุดที่ 100 มิลลิกรัม (ขนาดของไธอะมินขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์) เข้าสู่เส้นเลือดดำ ซึ่งนับว่าเป็นการรักษาที่ให้ผลได้อย่างเต็มที่ในทันที

    ร่างกายขาดวิตามิน

    วิตามินบี 1 ต้องกินเท่าไรถึงเรียกว่าเพียงพอ ?

    การกำหนดค่าปริมาณไธอะมินอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวัน (Dietary Reference Intake, DRI) ของประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เมื่อปี ค.ศ. 2000 ได้กำหนดค่าประมาณของความต้องการไธอะมินที่ควรได้รับประจำวัน (Estimated Average Requirement, EAR) ไว้ที่ 1.0 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับผู้ชาย และวิตามินบี 1 ปริมาณ 0.9 มิลลิกรัมสำหรับเพศหญิง

    ทั้งนี้สำหรับหญิงตั้งครรภ์และหญิงที่ให้นมบุตร ควรเพิ่มปริมาณการรับวิตามินบี 1 ให้มากกว่าปกติอีก 0.3 มิลลิกรัม เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของสภาวะร่างกายในขณะนั้น

    และสำหรับเด็กทารกวัย 6-8 เดือน ควรได้รับวิตามินบี 1 จำนวน 0.3 มิลลิกรัม ส่วนเด็กแรกเกิดจนถึงวัย 5 เดือน ควรได้รับวิตามินบี 1 จากน้ำนมแม่ในอัตราส่วน 0.2 มิลลิกรัม ซึ่งก็หมายความว่าคุณแม่ต้องมีวิตามินบี 1 ในร่างกายที่เพียงพอสำหรับลูกน้อยด้วยนั่นเอง

    ขอย้ำอีกครั้งว่าภาวะการขาดวิตามินบี 1 เราสามารถป้องกันได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ด้วยการรับประทานอาหารที่มีวิตามินบี 1 สูง หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารทำลายวิตามินบี 1 และพยายามรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ เพราะการขาดสารอาหารก็เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดภาวะขาดวิตามินบี 1 ได้ และอาจส่งผลกระทบที่อันตรายต่อสุขภาพได้เลยล่ะ

    *หมายเหตุ อัพเดทข้อมูลล่าสุดวันที่ 16 มกราคม 2559 เวลา 16.19 น.

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    กรมอนามัย -http://nutrition.anamai.moph.go.th/b1.htm-
    เดลินิวส์ -http://www.dailynews.co.th/article/373257-
    คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล -http://www.si.mahidol.ac.th/th/tvdetail.asp?tv_id=17-
    FIT DAY
     

แชร์หน้านี้

Loading...